Friday, 4 July 2025
WORLD

‘เสียวหมี่’ ผลิต ‘ชิป 3 นาโนเมตร’ ตัวแรกของจีนได้สำเร็จ พร้อมเดินหน้า!! ผลิตแบบแมสโปรดักชั่นได้ ภายในปี 2025

(26 ต.ค. 67) เสียวหมี่ อิงค์ (Xiaomi Inc) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายยักษ์รายหนึ่งของจีนซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปักกิ่ง กำลังกลายเป็นข่าวเกรียวกราวว่า ได้ ‘taped out’ โปรเซสเซอร์ประเภท ซิสเตม-ออน-ชิป (system-on-chip หรือ SoC) ขนาด 3 นาโนเมตรของตนสำเร็จแล้ว และมีกำหนดจะผลิตกันแบบขนานใหญ่ หรือที่เรียกว่า แมส โปรดักชั่น (mass production) ในครึ่งแรกของปีหน้า

ในวงการอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ tapeout ซึ่งเป็นคำที่เหลือตกค้างมาจากยุคที่ข้อมูลยังต้องบันทึกกันด้วยเทปแม่เหล็กเป็นม้วนๆ หมายถึงช่วงเวลาในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เฝ้ารอคอยกัน เมื่อข้อมูลดีไซน์ในขั้นสุดท้ายถูกบรรจุลงในแผ่นชิปและถูกจัดส่งไปเข้ากระบวนการผลิตออกมาของโรงงาน (fabrication)

ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความสำเร็จของชิปขนาด 3 นาโนเมตรของค่ายเสียวหมี่คราวนี้ ได้รับการเปิดเผย  ในวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย ถัง เจี้ยนกั๋ว (Tang Jianguo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสำนักเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ เทศบาลมหานครปักกิ่ง (Beijing Municipal Bureau of Economy and Information Technology) ทางสื่อ ปักกิ่ง ทีวีดาวเทียม (Beijing Satellite TV)

พวกสื่อจีนบอกว่า ถ้าข่าวนี้ได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าถูกต้องแล้ว ความสำเร็จในการดีไซน์ชิปของ เสียวหมี่ ครั้งนี้ ก็จะกลายเป็นหลักหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์หลักหมายหนึ่งสำหรับประเทศจีนทีเดียว เนื่องจากมันจะกลายเป็นชิปขนาด 3 นาโมเมตรชิ้นแรกซึ่งดีไซน์ขึ้นมาได้สำเร็จโดยฝีมือกิจการแห่งหนึ่งของจีน

เวลานี้ยังไม่มีข้อมูลข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับชิปเซตขนาด 3 นาโนเมตรตัวนี้ ไม่ว่าในเรื่อง คลัสเตอร์หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit หรือ CPU cluster), หน่วยประมวลผลกราฟิก (graphic processing unit หรือ GPU) หรือว่าโครงสร้างเชิงสถาปัตยกรรมของมัน

คอลัมนิสต์ทางเทคโนโลยีรายหนึ่งที่กำลังใช้นามปากกาว่า ‘ลุงเปี่ยว’ (Uncle Biao) กล่าว ในข้อเขียนชิ้นหนึ่งซึ่งนำออกเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (21 ต.ค.) ว่า มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่ ชิป 3 นาโนเมตรตัวใหม่ตัวนี้ ได้รับการพัฒนาร่วมกันโดย เสียวหมี่ และ บริษัทมีเดียเทค (MediaTek) ของไต้หวัน และจะได้รับการผลิตในระดับโรงงาน โดยบริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co หรือ TSMC)

เว็บไซต์ Wccftech.com ที่เป็นเว็บพวกอุปกรณ์เสริมด้านไอทีซึ่งตั้งฐานอยู่ในสหรัฐฯ บอก  ว่า มีความเป็นไปได้ที่ เสียวหมี่ อาจจะโดนสหรัฐฯแซงก์ชั่นคว่ำบาตร สืบเนื่องจากความสำเร็จในการผ่าทางตันจนดีไซน์ชิประดับ 3 นาโนเมตรออกมาได้เช่นนี้

ข้อเขียนชิ้นนี้กล่าวว่า หาก เสียวหมี่ ทำสำเร็จในการไปจนถึงขั้นตอน Tapeout ชิปเซ็ต 3 นาโนเมตรของตนแล้ว มันย่อมหมายความว่าพวกกิจการอื่นๆ ของจีน ซึ่งรวมทั้ง หัวเว่ย เทคโนโลยี ที่เวลานี้ถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำแซงก์ชั่นอยู่แล้ว ก็สามารถใช้โปรเซสเซอร์ตัวนี้ในอุปกรณ์ของพวกเขาได้เช่นกัน

Wccftech.com เคยรายงานเอาไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมว่า เสียวหมี่ อาจจะเปิดตัวโปรเซสเตอร์ ซิสเตม-ออน-ชิป ของตนได้ภายในครึ่งแรกของปี 2025 โดยชิปตัวนี้จะถูกนำไปผลิตเป็นจำนวนมากๆ ผ่านกระบวนการ N4P ของ TSMC ซึ่งสามารถปรับปรุงยกระดับทั้งเรื่องการทำงานของชิป, การเพิ่มประสิทธิผลในการใช้พลังงานไฟฟ้า, ตลอดจนความหนาแน่นของการจัดเรียงตัวทรานซิสเตอร์บนชิป

มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ

ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2022 เป็นต้นมา สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (Bureau of Industry and Security หรือ BIS) ซึ่งสังกัดอยู่กับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งแบนไม่ให้บรรดากิจการทั้งหลายของจีนสามารถเข้าถึงพวกซอฟต์แวร์ดีไซน์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วย (electronic computer-aided design หรือECAD) ของอเมริกา ซึ่งทางฝ่ายทหารและอุตสาหกรรมด้านกลาโหมและด้านการบินและอวกาศของสหรัฐฯ มีการนำไปใช้กันอยู่ในแอปพลิเคชันต่างๆ หลายหลาก เพื่อการดีไซน์แผงวงจรรวมชนิดที่มีความสลับซับซ้อน

พวกนักวิเคราะห์ชาวจีนเคยพูดเอาไว้  ในเวลานั้นว่า มาตรการใหม่ของสหรัฐฯเพื่อควบคุมซอฟต์แวร์ดีไซน์ทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างอัตโนมัติ (electronic design automation หรือ EDA) เช่นนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อจีนอย่างฉับพลันทันที เนื่องจากจีนยังไม่ได้มีการดีไซน์ชิประดับ 3 นาโนเมตร

ต่อมา เกรกอรี แอลเลน (Gregory Allen) ผู้อำนวยการของศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ วัธวานี (Wadhwani AI Center) ที่สังกัดอยู่กับ ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (Center for Strategic and International Studies หรือ CSIS) องค์การคลังสมองชื่อดังซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ได้ระบุ  เอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2022 ว่า การที่อเมริกามีฐานะครอบงำเหนือตลาดซอฟต์แวร์ EDA คือ การทำให้สหรัฐฯสามารถควบคุมเหนือ 1 ใน 4 จุดสำคัญยิ่งยวดที่กำลังถูกใช้เพื่อบีบเค้นรัดคออุตสาหกรรมดีไซน์ชิปของจีน

ทั้งนี้ จุดสำคัญยิ่งยวดจุดอื่นๆ ยังได้แก่ การที่สหรัฐฯแบนการส่งออกชิปเอไอระดับไฮเอนด์, แบนการส่งเครื่องจักรอุปกรณ์ทำชิป, และแบนการส่งส่วนประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปยังจีน

เมนเทอร์ กราฟฟิกส์ (Mentor Graphics), เคเดนซ์ ดีไซน์ ซิสเตมส์ (Cadence Design Systems), และ ซีนอฟซิส (Synopsys) คือ 3 บริษัทชั้นนำในตลาด EDA เซมิคอนดักเตอร์เวลานี้ ทั้ง 3 แห่งต่างตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ และมีลูกจ้างพนักงานจำนวนมากในสหรัฐฯ ถึงแม้ เมนเทอร์ มีฐานะเป็นบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของเครือซีเมนส์ (Siemens) ของเยอรมนี

การเดินทางเป็นเวลา 10 ปี

ไม่มีความชัดเจนว่า เสียวหมี่ สามารถเข้าไปซอฟต์แวร์ EDA อเมริกันได้อย่างไร แต่พวกคอมเมนเตเตอร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า เทคโนโลยีการดีไซน์ชิปของบริษัทนี้ หลักๆ แล้วมาจาก มีเดียเทค นั่นเอง

ทั้งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014 ไพน์คอร์ (Pinecore) กิจการผลิตชิปที่มิได้มีโรงงานทำชิปเป็นของตัวเอง (fabless chipmaker) ซึ่งมีรายงนว่า เสียวหมี่ เข้าไปถือหุ้นอยู่ 51% และ ลีดคอร์ เทคโนโลยี (Leadcore Technology) ถือหุ้น 49% ออกมาแถลง [6] ว่าบริษัทตัดสินใจแล้วที่จะเข้าซื้อหาครอบครองแพกเกจการทำชิป (chip-making package) ซึ่งเรียกกันว่า SDR1860 จากทาง ลีดคอร์ ในราคา 103 ล้านหยวน (ประมาณ 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ลีดคอร์นั้น เป็นกิจการร่วมทุนที่ก่อตั้งขึ้นโดย ต้าถัง เทเลคอม เทคโนโลยี (Datang Telecom Technology) ของจีน กับ มีเดียเทค

ในปี 2017 เสียวหมี่ เปิดตัวชิปสมาร์ตโฟนตัวแรกของบริษัทที่เรียกกันว่า S1 ซึ่งเป็น ซิสเตม-ออน-ชิป แบบ 8 แกน (octa-core SoC) ชิปตัวนี้ผลิตขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยี 28nm high-performance compact plus (28HPC+) ของ TSMC ซึ่งมีคุณสมบัติที่ถือเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องการทำงานได้อย่างดีมากและกินพลังงานไฟฟ้าต่ำ อย่างไรก็ดี เวลาต่อมากลับค้นพบกันว่า ชิป S1 มีปัญหาร้ายแรงในเรื่องการทำให้เกิดความร้อนออกมามากเกินไป

ในปี 2020 เสียวหมี่ พยายามเปิดตัวชิปเซตอีกตัวหนึ่งที่เรียกกันว่า S2 แต่แล้วชิปตัวนี้ก็ล้มเหลวไม่สามารถบรรลุกระบวนการ tape-out อย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และไม่สามารถนำมาใช้งานได้

เหลย จิว์น (Lei Jun) ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารของเสียวหมี่ ครั้งหนึ่งเคยพูดว่า การดีไซน์ชิป เป็นเกมที่มีความเสี่ยงสูงมากว่าหลังจากทุ่มเทเงินลงทุนก้อนมหึมาเข้าไปแล้วมันก็อาจจบลงโดยไม่ให้ดอกผลอะไรเลย

คอลัมนิสต์ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่มณฑลอิ๋ว์นหนาน (ยูนนาน) รายหนึ่ง กล่าว  ในข้อเขียนที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคมปีนี้ว่า มันเป็นเรื่องสำคัญระดับเป็นตายสำหรับ เสียวหมี่ ที่จะต้องพัฒนาชิปของตัวเองขึ้นมา ในเมื่อโปรเซสเซอร์ สแนปดรากอน (Snapdragon) ของบริษัทควอลคอมม์ (Qualcomm) แห่งสหรัฐฯ กำลังมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เขาบอกว่าการเปิดตัวชิป SoC รุ่นใหม่ออกมาให้ได้ในปีหน้า คือความเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวของ เสียวหมี่ ในความพยายามที่จะบรรลุถึงการพึ่งตนเองให้ได้

สำหรับ มีเดียเทค ในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทรักษาฐานะของตนเอง  ที่เป็นผู้ผลิตโปรเซสเซอร์สมาร์ตโฟนระดับท็อปเอาไว้ได้ ด้วยส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกที่ 39% โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทจัดส่งชิปออกไปได้ 114 ล้านยูนิต สูงขึ้น 17% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ตามข้อมูลของ คานาลิส (Canalys) บริษัทวิเคราะห์ตลาดเทคโนโลยีระดับโลก

เสียวหมี่, ซัมซุง, และ ออปโป คือลูกค้าที่เป็นผู้สร้างรายรับสูงที่สุดให้แก่ มีเดียเทค ใน 3 อันดับแรก โดยเป็นผู้ที่ มีเดียเทค จัดส่งโปรเซสเซอร์สมาร์ตโฟนไปให้ในปริมาณ 23%, 20%, และ 17% ตามลำดับ

เพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ควอลคอมม์นั้นจัดส่งโปรเซสเซอร์สมาร์ตโฟนในช่วงไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มมากขึ้น 11% จนมีปริมาณอยู่ที่ 75 ล้านหน่วย โดยที่ 46% ของการขนส่งคือการส่งไปยัง ซัมซุง และ เสียวหมี่

‘อิสราเอล’ เปิดฉากถล่ม!! เป้าหมายทางทหารใน ‘อิหร่าน’ เอาคืน!! ที่อิหร่านโจมตี อิสราเอล ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกล

(26 ต.ค. 67) กองทัพอิสราเอลเผย ได้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่านในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านที่โจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ด้วยขีปนาวุธพิสัยไกลราว 200 ลูก

กองกำลังป้องกันอิสราเอล (ไอดีเอฟ) แถลง เพื่อตอบโต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือนของรัฐบาลอิหร่านต่อรัฐอิสราเอล ตอนนี้กองกำลังป้องกันอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่าน

อิสราเอลบอกว่า ตนมีสิทธิและหน้าที่ในการตอบโต้การโจมตีจากรัฐบาลเตหะรานและพรรคพวก ซึ่งรวมถึงการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิหร่าน

‘ความสามารถในการป้องกันและการรุกของเรา ระดมกำลังอย่างเต็มที่’ ไอดีเอฟ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ขนาดของการโจมตีครั้งนี้ยังไม่มีความแน่ชัดในทันที

สื่อโทรทัศน์รัฐบาลอิหร่าน รายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดรุนแรงหลายครั้งรอบ ๆ เมืองหลวงเตหะราน ขณะที่อีกสื่อรายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดใกล้กับเมืองคาราจ

ส่วนสำนักข่าว Tasnim เผยว่า ยังไม่พบรายงานเกี่ยวกับการได้ยินเสียงระเบิด หรือเครื่องบินบนน่านฟ้าเตหะราน

สื่อโทรทัศน์ของรัฐอ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอิหร่าน บอกว่า ต้นตอของเสียงระเบิดอาจมาจากการเปิดใช้งานระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่าน

ขณะที่สื่อรัฐบาลซีเรีย รายงานว่า ได้ยินเสียงระเบิดในกรุงดามัสกัสและภูมิภาคตอนกลาง

ทั้งนี้ สหรัฐได้รับแจ้งจากอิสราเอลแล้ว ก่อนที่อิสราเอลจะปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายในเตหะราน แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐยืนยันว่า สหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการดังกล่าว

ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า “เราเข้าใจว่าอิสราเอลกำลังปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายทางทหารในอิหร่าน เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง และตอบโต้ที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลด้วยขีปนาวุธเมื่อวันที่ 1 ต.ค.”

ซัด ‘สื่อตะวันตก’ ขยันปั้นน้ำเป็นตัวด้อยค่าชาวจีน ใส่ร้ายเป็นคนจรจัด ลืมมองสหรัฐฯที่คนนอนข้างถนนเกลื่อนเมือง

(25 ต.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความสะท้อนความจริงของ 2 ประเทศ ระหว่าง จีน และสหรัฐ อเมริกา สะท้อนการบิดเบือนข้อมูลของสื่อฝั่งตะวันตก โดยระบุว่า

สิ่งที่เป็นจริงในสหรัฐอเมริกาและเป็นเท็จในประเทศจีน

สื่อตะวันตกเช่นบีบีซี รายงานข่าวว่า “จีนมีคนจรจัดจำนวนมากนอนอยู่บนถนน” แต่นี่เป็นข่าวปลอม ที่จริงแล้ว เป็นช่วงฤดูร้อน ภาพที่เห็นนั้น เป็นนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังรอร่วมพิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา พากันพักผ่อนตามบริเวณโดยรอบจัตุรัสเทียนอันเหมินของกรุงปักกิ่ง 

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างเมือง ที่ไม่อยากพลาดเวลาเชิญธงขึ้นเสา ซึ่งจะทำตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโพสต์ข้อความว่า “ฉันมาถึงประมาณตี 1 แต่เกือบไม่มีที่ว่างแล้ว”

ขณะเดียวกัน ในสหรัฐ อเมริกา ซึ่งมีบรรดาคนจรจัดที่กินนอนบนถนนในเวลากลางวันเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้ยังมีผู้ติดยาที่มีพฤติกรรมแปลกๆ เดินช้าๆ อยู่บนถนน เหมือนกับ 'ซอมบี้' อีกจำนวนมาก นี่คือชีวิตประจำวันที่แท้จริงบนถนนเคนซิงตัน (Kensington) ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏภาพออกมาตั้งแต่ปี 2021

“คนจรจัดในสหรัฐอเมริกา มีจำนวนมาก” เป็นเรื่องจริง

“คนจรจัดในจีนมีจำนวนมากเป็นเรื่องไม่จริง หรือเรื่องโกหกทั้งเพ”

‘TSMC’ ผู้ผลิตชิปรายยักษ์ตัดสัมพันธ์ลูกค้า ฝ่าฝืนกฎ หลังพบแอบส่งชิปให้ ‘Huawei’

(25 ต.ค. 67) บริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. หรือ TSMC ค้นพบในเดือนนี้ว่าชิปที่ผลิตให้กับลูกค้ารายหนึ่งนั้นไปลงเอยที่ Huawei Technologies ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่มุ่งหมายจะตัดเส้นทางการผลิตเทคโนโลยีไปยังบริษัทสัญชาติจีน

TSMC ได้ระงับการจัดส่งให้กับลูกค้ารายดังกล่าวในช่วงกลางเดือนตุลาคม หลังจากที่บริษัทได้ตระหนักว่าเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตขึ้นสำหรับบริษัทดังกล่าวได้เข้าไปอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Huawei บุคคลผู้มีความรู้โดยตรงในเรื่องนี้กล่าว หลังจากนั้น ผู้ผลิตชิปรายดังกล่าวได้แจ้งให้รัฐบาลสหรัฐฯ และไต้หวันทราบแล้ว และกำลังสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น โดยบุคคลผู้นี้ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน

ยังไม่ชัดเจนว่าลูกค้าของ TSMC ดำเนินการในนามของ Huawei หรือไม่ หรือบริษัทตั้งอยู่ที่ใด แต่เหตุการณ์นี้ทำให้รายงานที่เผยแพร่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รวมทั้งจาก The Information เปิดเผยว่าวอชิงตันได้ติดต่อ TSMC เมื่อไม่นานนี้ว่าบริษัทได้ผลิตชิปให้กับบริษัทจีนที่อยู่ในบัญชีดำหรือไม่

การค้นพบของ TSMC ทำให้เกิดคำถามว่า Huawei ซึ่งถือเป็นความหวังสูงสุดของจีนในการก้าวขึ้นสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ได้ชิปขั้นสูงมาได้อย่างไร บริษัทวิจัย TechInsights ค้นพบเมื่อไม่นานนี้ว่าเซิร์ฟเวอร์ปัญญาประดิษฐ์ล่าสุดของ Huawei มีโปรเซสเซอร์ที่ผลิตโดย TSMC ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการผลิตที่สำคัญที่สุดของ Nvidia

Huawei อยู่ในรายชื่อคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2020 และถูกห้ามทำธุรกิจกับ TSMC และบริษัทผู้ผลิตชิปรายอื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา Huawei ได้พึ่งพา Semiconductor Manufacturing International Corp. ซึ่งเป็นพันธมิตรในพื้นที่ในการผลิตชิป ซึ่งรวมถึงชิปขนาด 7 นาโนเมตรที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคมปีที่แล้วในสมาร์ทโฟนของ Huawei

แต่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ได้ตั้งคำถามถึงความสามารถของ SMIC ในการผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตรในปริมาณมาก การที่ Huawei ใช้เอาต์พุตของ TSMC สำหรับชิป AI รุ่นล่าสุดอาจเป็นสัญญาณที่ตอกย้ำเรื่องราวดังกล่าว บริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติไต้หวันได้กล่าวว่าได้หยุดส่งสินค้าทั้งหมดให้กับ Huawei หลังจากวันที่ 15 กันยายน 2020 ซึ่งบริษัทได้ย้ำอีกครั้งเมื่อถูกถามเกี่ยวกับรายงานของ TechInsights

ตัวแทนของ TSMC ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุด โฆษกของ Huawei ยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ เมื่อได้รับการติดต่อ โฆษกของกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าสำนักงานอุตสาหกรรมและความปลอดภัยของหน่วยงาน "รับทราบถึงการรายงานที่กล่าวหาว่าอาจละเมิดการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ"

"TSMC เป็นบริษัทที่เคารพกฎหมาย และเรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงการควบคุมการส่งออกที่เกี่ยวข้อง" บริษัทกล่าวในแถลงการณ์ทางอีเมลเมื่อวันอังคาร "เราได้สื่อสารกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ อย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องในรายงาน เราไม่ทราบว่า TSMC ตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวนใดๆ ในขณะนี้"

ในแถลงการณ์แยกกัน Huawei กล่าวเมื่อวันอังคารว่า "ไม่ได้ผลิตชิปใด ๆ ผ่าน TSMC หลังจากนำการแก้ไขที่กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ จัดทำขึ้นใน FDPR ซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่ Huawei ในปี 2020 มาใช้" FDPR อ้างถึงกฎสินค้าโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นข้อจำกัดการค้าของสหรัฐฯ

John Moolenaar สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรจีน กล่าวเมื่อวันพุธว่า รายงานเกี่ยวกับชิปที่ TSMC ผลิตในอุปกรณ์ของ Huawei "แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างร้ายแรงของนโยบายควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ" เขาเรียกร้องให้ "ทั้ง BIS และ TSMC ตอบกลับทันทีเกี่ยวกับขอบเขตและปริมาณของภัยพิบัติครั้งนี้"

ไต้หวันเคารพมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ และจะแจ้งเรื่องนี้ให้ TSMC ทราบโดยสมบูรณ์ J.W. Kuo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจกล่าวกับนักข่าวเมื่อวันพุธ

เจ้าหน้าที่ BIS ได้พบกับผู้บริหารของ TSMC เมื่อกลางเดือนตุลาคมเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตชิป รวมถึงการที่ผู้จัดจำหน่ายบุคคลที่สามอาจให้เทคโนโลยีที่จำกัดการเข้าถึงจีนได้หรือไม่ ตามคำบอกเล่าของบุคคลอีกคนที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ ซึ่งอธิบายว่าการประชุมครั้งนั้นเป็นการร่วมมือกัน ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาพูดถึงการค้นพบของลูกค้าหรือไม่

ตัวเร่งความเร็ว AI ซึ่งเป็นชิปที่ใช้ในการพัฒนาโมเดล AI ได้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

Nvidia ซึ่งตั้งอยู่ในซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้ TSMC ในการผลิตเวอร์ชันที่เป็นผู้นำตลาด ซึ่งผลักดันยอดขายและมูลค่าของบริษัทในช่วงสองปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป Nvidia ที่ทันสมัยไปยังจีน และ Huawei กำลังเสนอตัวเร่งความเร็วเป็นทางเลือกในประเทศ

910 ของ Huawei ซึ่งเป็นรุ่นก่อน 910B เริ่มผลิตในปี 2019 ก่อนที่ 910B จะออกสู่ตลาด รัฐบาลสหรัฐฯ ขยายมาตรการคว่ำบาตรบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน โดยในช่วงเวลาดังกล่าว Huawei ได้จัดเก็บชิ้นส่วนของ TSMC ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัทสามารถใช้ชิป TSMC ขนาด 5 นาโนเมตร ซึ่งล้ำหน้าชิปขนาด 7 นาโนเมตรถึงเจเนอเรชันในแล็ปท็อปที่วางจำหน่ายเมื่อปลายปีที่แล้ว

‘โตเกียว เมโทร’ ทำ IPO สูงที่สุดในรอบ 6 ปี ระดมทุนกอบกู้ภัยพิบัติจากสึนามิของ ‘ญี่ปุ่น’

(25 ต.ค. 67) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Tokyo Metro ได้เริ่มต้นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงจากผู้ให้บริการสาธารณะไปสู่ตั๋วร้อนสำหรับนักลงทุน โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 45% ในวันแรกที่เปิดตัวบนส่วน Prime ของตลาดหลักทรัพย์หลักของญี่ปุ่น

ผู้ให้บริการระบบรถไฟใต้ดินที่มีอายุเก่าแก่ถึง 104 ปีของกรุงโตเกียวแห่งนี้ ตั้งเป้าที่จะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของตนในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเมืองที่มีประชากร 14 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางสำคัญของการท่องเที่ยวขาเข้า ศูนย์กลางการเงินระดับโลก และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เฟื่องฟู

หุ้นปิดการซื้อขายวันแรกที่ 1,739 เยน สูงขึ้น 45% จากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 1,200 เยน หลังจากเปิดที่ 1,630 เยนบนส่วน Prime ของตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
ราคาเสนอขายทำให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 697,200 ล้านเยน (4,600 ล้านดอลลาร์) แต่การพุ่งขึ้นในวันพุธทำให้มูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.01 ล้านล้านเยน ในช่วงหนึ่งวัน ราคาหุ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,768 เยน

ราคาหุ้นครั้งแรก 'สูงกว่าที่คาดไว้' นายชินโง อิเดะ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านหุ้นของสถาบันวิจัยเอ็นแอลไอกล่าวหลังจากเปิดการซื้อขาย "ราคาหุ้นอ่อนตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ความต้องการหุ้นเมโทรเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรที่มั่นคง"

ราคาหุ้นโตเกียวเมโทรอาจร่วงลงมาเหลือประมาณ 1,500 เยนในที่สุด เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 2% นายอิเดะกล่าว อัตราผลตอบแทนที่ราคาเสนอขายครั้งแรกจะอยู่ที่ 3.3%

การซื้อขายในช่วงเช้า "เริ่มต้นได้ดี เนื่องจากเราเห็นความต้องการซื้อในระดับหนึ่ง" นายโทโมอิจิโร คูโบตะ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจากบริษัท Matsui Securities กล่าว บริษัท Tokyo Metro เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุดในกลุ่ม Prime ในวันนี้ โดยมี "นักลงทุนรายย่อยหลากหลายกลุ่ม" ที่ลงทุนทั้งในระยะยาวและระยะสั้นเข้าร่วมด้วย เขากล่าว

IPO ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ โดยการเปิดบัญชีกับบริษัท Matsui Securities เพิ่มขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคม ในขณะที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์มากขึ้นระมัดระวังในการใช้เงินของตนในขณะที่รอผลการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่น แต่ความสนใจจากนักลงทุนรายใหม่ "เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกไม่กี่ประการ" สำหรับตลาดหุ้น คูโบตะกล่าว

ไม่มีการระดมทุนใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรก การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกมีขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถขายหุ้นที่ถืออยู่ 53% ในบริษัทผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินได้ครึ่งหนึ่ง และชำระหนี้คืนสำหรับการก่อสร้างบางส่วนของประเทศหลังจากภัยพิบัติสึนามิในปี 2011

รัฐบาลกรุงโตเกียวเป็นเจ้าของหุ้น 47% ที่เหลือ การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกได้ลดหุ้นที่รัฐบาลกลางและกรุงโตเกียวถืออยู่เหลือ 50% และหุ้นที่เหลืออีก 50% จะถูกขายออกไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกนี้ "สร้างรากฐานสำหรับการปฏิรูปองค์กรต่อไป" นายอาคิโยชิ ยามามูระ ประธานบริษัทโตเกียวเมโทรกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังตลาดปิด "การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกนี้จะช่วยเพิ่มความเป็นอิสระและความโปร่งใสในการบริหารจัดการบริษัท และเร่งความเร็วในการตัดสินใจ"

เมื่อถูกถามว่าราคาเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกต่ำเกินไปหรือไม่ ยามามูระปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่การจดทะเบียนของ SoftBank Corp. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมภายในประเทศของ SoftBank Group ในปี 2018 และเป็นโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) ของ Japan Post ในปี 2015

เดิมทีมีกำหนดเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกในช่วงฤดูร้อน ตามรายงานของ Nikkei ในเดือนพฤษภาคม แต่ดูเหมือนว่าจะถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากตลาดเกิดความปั่นป่วนหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ในเดือนสิงหาคม Nikkei รายงานว่า IPO จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยวันที่จดทะเบียนในวันที่ 23 ตุลาคมได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 21 กันยายน

แต่ความผันผวนของตลาดกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ Shigeru Ishiba ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ตลาดได้รับผลกระทบจากความกลัวว่าพรรคเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของ Ishiba จะประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ตุลาคม

Tokyo Metro ยังคงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนในฐานะผู้ประกอบการโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง

"Tokyo Metro มีฐานรายได้ที่มั่นคงซึ่งสามารถต้านทานภาวะเศรษฐกิจได้" Yusuke Maeyama นักวิเคราะห์จาก NLI Research Institute กล่าว "ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่มีเสถียรภาพจะน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ"

ในปีงบประมาณ 2020 บริษัทประสบภาวะขาดทุนเนื่องจากภาวะฉุกเฉินที่เกิดจาก COVID และการปิดทำการทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม นับจากนั้นมา การที่พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศในญี่ปุ่นได้ดำเนินไปพร้อมๆ กับที่การท่องเที่ยวขาเข้าเติบโตจนเกินระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารโดยรวมอยู่ที่ 95% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19

โตเกียวเมโทรกำลังขยายขอบเขตการดำเนินงานไปสู่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกโดยใช้ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทเป็นเจ้าของตามเส้นทางรถไฟใต้ดิน บริษัทมีอัตรากำไรสูงสำหรับผู้ประกอบการรถไฟ

สำหรับปีสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 บริษัทคาดการณ์อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 21.6% โดยมีกำไรสุทธิ 52,300 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน และรายได้ 407,500 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 4.7%

“อารมณ์ของตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในขณะนี้ เนื่องจากความผันผวนของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ” Maeyama กล่าว“

“แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องการรับเงินปันผลเป็นประจำ Tokyo Metro ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ”

Tokyo Metro ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 แต่บริษัท Tokyo Underground Railway Company ซึ่งเป็นบริษัทก่อนหน้าก่อตั้งขึ้นในปี 1920 ปัจจุบัน บริษัทผู้ให้บริการรถไฟใต้ดินแห่งนี้มีเส้นทางทั้งหมด 9 สาย รวมระยะทาง 195 กิโลเมตร ขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ยวันละประมาณ 6.5 ล้านคน

4 ชาติอาเซียน ‘ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย’ ตบเท้าเข้าร่วม BRICS ส่อเข้าทางจีน เพิ่มโอกาสสร้างอาณาจักร Global South

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีการประชุมของกลุ่มบริกส์ในปีนี้ ว่า 

BRICS ขยายสมาชิกอีกนับสิบประเทศ แถมมุ่งมั่นสะสมทองคำเพื่อผลักดันสกุลเงินใหม่ The Unit

ว่ากันว่า สงครามอิสราเอล-ฮามาส เป็นอีกหนึ่งแรงผลักให้สองชาติมุสลิมในอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซีย  ตัดสินใจร่วมวงกับจีนในกลุ่ม #BRICS ในครั้งนี้

สำหรับ เวียดนาม ในยุคอยู่เป็น ก็พร้อมจะร่วมวงกับจีนในกลุ่ม BRICS แบบไม่ลังเล แปลงจีนให้เป็นโอกาส

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 ชาติอาเซียน ทั้งไทย ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เข้าเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรของ BRICS แต่ยังไม่ใช่สมาชิกเต็มตัวแต่อย่างใด

จับตาประชุมกลุ่ม BRICS ร่วมประเทศพันธมิตร 34 ประเทศ กลุ่มมหาอำนาจใหม่ท่ามกลางความขัดแย้งสองซีกโลกในทุกมิติ

(24 ต.ค. 67) ในสัปดาห์นี้กำลังมีการประชุมใหญ่ในสองซีกโลกที่สะท้อนให้เห็นถึง 'การแบ่งขั้ว' ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นในยุคปัจจุบัน กับการประชุม BRICS และ IMF-World Bank

ฝั่ง 'สหรัฐ' เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่ทยอยเรียกความสนใจไปแล้วตั้งแต่การออกรายงานหนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก มาจนถึงการออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดเดือน ต.ค. ที่เตือนเรื่องความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้าซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนในฝั่ง 'รัสเซีย' จะเปิดบ้านในเมืองคาซาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ 'บริกส์' (BRICS) ที่มีสมาชิกดั้งเดิม 4+1 ประเทศคือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ และผู้นำ/ผู้แทนจาก 34 ประเทศเข้าร่วมระหว่างวันที่ 22 - 24 ต.ค. โดยมีไฮไลต์ที่การเข้าร่วมประชุมครั้งแรกของเหล่า 'สมาชิกใหม่' 5 ประเทศ และการสะท้อนนัยยะทางการเมืองครั้งสำคัญของรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน

อัสลี อัยดินทัสบาส ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศจากตุรกี กล่าวกับสถาบันคลังสมองบรูกกิงส์ในสหรัฐว่า ภายหลังสงครามในฉนวนกาซา (ซึ่งสหรัฐส่งอาวุธไปให้กับอิสราเอล) รัสเซียและจีนได้ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกต่อต้านตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยความผิดหวังจากการกระทำสองมาตรฐานของตะวันตก รวมถึงความไม่พอใจจากคว่ำบาตรและบีบบังคับทางเศรษฐกิจของตะวันตก 

"เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มประเทศตรงกลางจะแปรพักตร์จากอิทธิพลของสหรัฐไปซบจีนแทน แต่ประเทศเหล่านี้กำลังเปิดใจให้จีนและรัสเซียมากขึ้น เพื่อให้โลกมีอิสระและกระจายขั้วอำนาจมากขึ้น"

>>> จับตาสมาชิกใหม่ BRICS+

ขณะที่ซีเอ็นบีซีรายงานว่า รัสเซียพยายามใช้วาทกรรมการรวมกลุ่มของประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา เพื่อต่อกรท้าทายระเบียบโลกใหม่กับซีกโลกเหนือที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งจะเป็นวาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ตัวปูตินเองได้เปรยเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า การขยายสมาชิกกลุ่มบริกส์เป็น 'ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงอำนาจที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มและบทบาทในกิจการระหว่างประเทศ' พร้อมส่งสัญญาณว่าเขาตั้งใจที่จะนำเสนอรูปแบบการรวมกลุ่มที่เรียกว่า 'BRICS+' (บริกส์พลัส) เพื่อท้าทายตะวันตกทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ

ปูตินจะใช้วันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดผู้นำบริกส์ 10 ประเทศ จัดการประชุมคู่ขนาน BRICS and Outreach หรือ BRICS Plus ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกาเกือบ 40 ประเทศเข้าร่วม และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของกลุ่มในการขยายความสัมพันธ์กับประเทศในซีกโลกใต้

"ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และในอนาคตอันใกล้นี้ เศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นกลไกหลักในการเพิ่ม GDP โลก และเศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกมากขึ้น" ปูตินกล่าวในการประชุมภาคธุรกิจกลุ่มบริกส์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

นอกจากผู้นำของกลุ่มประเทศก่อตั้ง 5 ประเทศ ยกเว้นเพียงบราซิลที่ส่งผู้แทนมาร่วมประชุมเนื่องจากประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ประสบอุบัติเหตุ ผู้นำของ 5 ประเทศสมาชิกใหม่ต่างมาร่วมประชุมบริกส์อย่างคึกคัก อาทิ ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) อิหร่าน อียิปต์ และเอธิโอเปีย ส่วนซาอุดีอาระเบียส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมแทน 

นอกจากนี้ยังมีผู้นำประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกเข้าร่วมด้วย อาทิ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และแม้แต่อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ส่วน 3 ประเทศที่แสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ไปแล้ว ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และตุรกีนั้นมีรายงานว่าประธานาธิบดีเรย์เซบ เตย์ยิป เออร์ดวน ของตุรกี รัฐมนตรีเศรษฐกิจของมาเลเซีย ราฟิซี รัมลี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ จะเข้าร่วมการประชุมด้วย

ทิโมธี แอช นักวิชาการในโครงการรัสเซียและยูเรเซียของสถาบันชัทแธมเฮ้าส์ในลอนดอน กล่าวว่าในฉากหลังนั้น ปูตินกำลังคาดหวังถึงชัยชนะด้านการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่เหนือยูเครนและตะวันตก โดยพยายามส่งสารว่า แม้จะมีสงครามและถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก แต่รัสเซียก็ยังคงมีพันธมิตรระหว่างประเทศจำนวนมากที่เต็มใจจะคบค้าและค้าขายด้วยกับรัสเซีย

ทั้งนี้หลังจากที่สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเปิดฉากขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในเดือนก.พ. 2565 รัสเซีย ปูติน และบรรดาแกนนำในรัฐบาลต่างก็ถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และบรรดาประเทศพันธมิตร เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรต่างออกมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจพลังงาน ธนาคาร และกลาโหมของรัสเซีย ท่ามกลางแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ คว่ำบาตรรัสเซียตามมาหลังจากนั้น 

ไม่เพียงแต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเท่านั้น ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในกรุงเฮกได้อนุมัติการออกหมายจับปูตินในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อปี 2566 ทำให้ผู้นำรัสเซียไม่สามารถเดินทางไปประเทศที่มีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศได้ และเคยต้องงดการไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำประเทศบริกส์ครั้งก่อนที่แอฟริกาใต้มาแล้ว และงดเข้าร่วมแม้แต่การประชุมจี20 ในปีที่แล้วที่ประเทศอินเดีย แม้จะไม่มีข้อตกลงกับ ICC ก็ตาม 

"การประชุมสุดยอดที่คาซานมีความสำคัญทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปฏิบัติต่อระบอบการปกครองของปูติน" แองเจลา สเตส่วนนต์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายูเรเซีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าวกับสถาบันบรูกกิงส์ "การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่า รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ยังมีพันธมิตรที่สำคัญ เช่น อินเดีย จีน และประเทศตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญๆ"

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ตอกย้ำให้เห็นภาพนี้ด้วยการจับมือกับปูตินอย่างแน่นแฟ้นในงานและส่งสารอย่างชัดเจนถึงการรวมกลุ่มครั้งนี้ว่า ความร่วมมือในกลุ่มบริกส์เป็น "เวทีสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและร่วมมือกันระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในโลกวันนี้ เป็น “พลังหลักในการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้ถึงโลกหลากขั้วอย่างเท่าเทียมและเป็นระเบียบ รวมถึงโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและอดกลั้น”

นักวิชาการไทยในอิหร่าน โพสต์!! ไทยน่าจะได้ใช้ ‘น้ำมันราคาถูก’ ถ้าไม่เกรงกลัวอิทธิพล ประเทศมหาอำนาจ แล้วรับส่วนลดจากอิหร่าน

(23 ต.ค. 67) ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยีด นักวิชาการคนไทย ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ ‘ราคาน้ำมัน’ โดยมีใจความว่า ...

อิหร่านยังครองแชมป์น้ำมันถูกที่สุดในโลกมาหลายสิบปี

ถ้ามีบัตรน้ำมัน ราคาเบนซินต่อลิตร 70 สตางค์ ถ้าไม่มีบัตรน้ำมัน ราคา 1.40 สตางค์ ครับ

รถผมเติมเต็มถังน้ำมันเบนซิน 65 ลิตร เสียค่าน้ำมันเป็นเงินไทยประมาณ 45 บาท

ถูกขนาดนี้ ประเทศไทยยังไม่กล้าซื้อ เพราะเกรงกลัวมหาอำนาจ ถึงแม้ว่าน้ำมันจะมีราคากลางของตลาดโลก แต่ส่วนลดที่น่าสนใจ ทำให้ชาติที่ไม่กลัวมหาอำนาจเป็นลูกค้าหลักของอิหร่าน

ปล.ผมใช้ชีวิตอยู่อิหร่านนะครับ

‘Huawei’ เปิดตัว ‘HarmonyOS NEXT’ สลัด!! ‘Android’ ทิ้งอย่างสิ้นเชิง

(23 ต.ค. 67) แกนหลักของ HarmonyOS เป็นการพัฒนาของ Huawei ด้วยตนเองทั้งหมด ซึ่งทำให้จีนสามารถหลุดพ้นจากการพึ่งพา Android และจะสามารถพัฒนาระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีภายในประเทศ ต่อยอดตามความต้องการของตนเองได้ โดยไม่ถูกจำกัดจากปัจจัยอื่นๆ

ตามข้อมูลที่เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ HarmonyOS เวอร์ชันก่อนหน้านี้ยังคงใช้โค้ดบางส่วนจากโครงการ Android Open Source Project (AOSP) ทำให้ต้องรองรับแอปพลิเคชัน Android บางส่วน

แต่ HarmonyOS NEXT ที่เพิ่งเปิดตัวได้พัฒนาระบบพื้นฐานขึ้นเองทั้งหมด ทำให้บรรลุเป้าหมายการพึ่งพาตนเองและการควบคุมระบบปฏิบัติการภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน ความลื่นไหลของระบบ ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ

ตามรายงานของสื่อ มีแอปพลิเคชันและบริการเมตามากกว่า 15,000 รายการที่เปิดตัวบน HarmonyOS NEXT ครอบคลุม 18 อุตสาหกรรม และแอปพลิเคชันสำนักงานทั่วไปได้ครอบคลุมบริษัทมากกว่า 38 ล้านแห่งทั่วประเทศ

ตามรายงาน HarmonyOS NEXT ลดอุปสรรคและต้นทุนในการเข้าถึงระบบ โดยได้ปรับปรุงให้มีความคล่องตัวขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ และแอปพลิเคชันจำนวนมากได้รับการอัปเดตแบบต่อเนื่องวันละครั้ง

หยู เฉิงตง (Yu Chengdong) หรือ Richard Yu กรรมการบริหารของ Huawei และประธานคณะกรรมการของกลุ่มธุรกิจผู้บริโภค กล่าวระหว่างการประชุมว่า "HarmonyOS NEXT ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ถือเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ในแง่ของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ความปลอดภัย และการปกป้องความเป็นส่วนตัว ปัจจุบัน แอปพลิเคชันที่เปิดตัวบนแพลตฟอร์มได้รับการอัปเดตเกือบทุกวัน สามารถเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์และสถานการณ์หลากหลาย เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และห้องโดยสารรถยนต์

ปัจจุบัน จำนวนอุปกรณ์ที่รองรับ HarmonyOS มีมากกว่า 1 พันล้านเครื่อง มีนักพัฒนาที่ลงทะเบียน 6.75 ล้านคน ในขณะเดียวกัน Huawei ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศจีนเพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

HarmonyOS เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 โดยใช้กับจอแสดงผลอัจฉริยะของ Huawei   และเริ่มใช้กับโทรศัพท์มือถือ Huawei ในปี 2021

ในไตรมาสแรกของปี 2024 HarmonyOS ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกเกิน 4 เปอร์เซ็นต์ ตามสถิติจาก Counterpoint บริษัทวิจัยตลาดเทคโนโลยีระดับโลก

ในตลาดจีน ด้วยความนิยมในผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ของ Huawei ทำให้ HarmonyOS มีส่วนแบ่งตลาด 17 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรก และ iOS ของ Apple มีส่วนแบ่งตลาด 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่าส่วนแบ่งตลาดของ HarmonyOS แซงหน้า iOS เป็นครั้งแรก กลายเป็นระบบปฏิบัติการอันดับสองในตลาดจีน ตามรายงานของ Counterpoint

ตามรายงานการวิเคราะห์ของ Zhongtai Securities เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมระบุว่า ระบบนิเวศแอปพลิเคชันของ HarmonyOS กำลังเติบโต  และการทำตลาดในวงกว้างของ HarmonyOS กำลังจะมาถึงในปี 2024 ซึ่งคาดว่าจะผลักดันให้ผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันจำนวนมากปรับตัว ย้ายแพลตฟอร์ม และพัฒนาต่อยอด

‘หนุ่มวิชาการจีน’ อ้าง จบ 2 อภิมหาบัณฑิต 4 ป. เอก 4 ป. โท ชาวเน็ตสวมวิญญาณโคนัน ตามสืบ!! ‘ปริญญาจริงหรือจกตา’

(23 ต.ค. 67) จ้าว จือเจี้ยน นักวิชาการจีนป้ายแดง วัย 29 ปี ได้ปลุกสัญชาตญาณโคนันของชาวเน็ตจีนทั่วประเทศไปแล้ว เมื่อประวัติการศึกษาของเขาถูกเผยแพร่หลังจากได้รับตำแหน่งนักวิจัยของสถาบัน Inner Mongolian National Culture and Art Research Institute ที่เต็มไปด้วยวุฒิการศึกษามากมายเหลือเชื่อ อันประกอบด้วย งานวิจัยหลังปริญญาเอก 2 ใบ, ปริญญาเอก 4 ใบ, ปริญญาโท 4 ใบ และเป็นสมาชิกองค์กรทางวิชาการอีกมากกว่า 20 แห่ง 

นอกจากจะเป็นนักวิชาการมากปริญญาแล้ว ยังมาจากหลากหลายสาขาวิชาอีกด้วย โดย จ้าว จือเจี้ยน อ้างว่า เขาได้รับปริญญาเอกในสาขา ศิลปะการแสดง, จิตวิทยา, การศึกษา และ พระคัมภีร์ศึกษา อีกทั้งยังระบุถึงสถาบันที่จบมาด้วยว่า ได้ปริญญาเอกมาจากมหาวิทยาลัยคาทอลิคแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ และ Lyceum of the Philippines University ที่เป็นสถาบันเอกชน

นอกจากนี้ เขายังจบปริญญาโทจากหลายสถาบัน ในสาขาการสื่อสาร, พุทธศาสนา, จิตและสมาธิศึกษา จาก University of Hong Kong, Baptist University และ University of Zaragoza,  Miguel de Cervantes European University ในสเปน

ไม่เพียงแค่ใบปริญญาในปริมาณน่าสะพรึงเท่านั้น เขายังเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรวิชาการถึง 22 แห่ง ในสาขาต่างแขนง ตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ ยันแพทยศาสตร์ และยังเคยตีพิมพ์บทความทางวิชาการระดับสูงอีก 24 ชิ้น ที่ได้รับคะแนนความถี่ในการอ้างอิงระดับ 28+ 

แต่ถึงจะมีหลักฐานอ้างอิง แต่ประวัติการศึกษาของ จ้าว จือเจี้ยน ก็เต็มไปด้วยคำถาม เพราะการจบวุฒิปริญญาเอกสักใบ ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอย่างหนักไม่ต่ำกว่า 4 ปี ไม่น่าเชื่อที่นักวิชาการหนุ่มวัยเพียง 29 ปี จะเรียนได้หมดครบทุกปริญญาที่อ้างมา

เมื่อประวัติการศึกษาของ จ้าว จือเจี้ยน กลายเป็นประเด็นถกเถียง ทางสถาบันต้นสังกัดที่รับเขาเข้าทำงานจึงต้องระงับการจ้างเพื่อตรวจสอบ

โดยเมื่อ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา หยิน ฟู่จุน หัวหน้าของสถาบันกว่าผ่านสื่อ China Newsweek ว่า จึงตอนนี้ยังไม่พบ ‘การปลอมแปลงที่ชัดเจน’ ของใบปริญญาโททั้ง 4 ใบของจ้าว จากการตรวจสอบของหน่วยงานบริการด้านการศึกษาแลกเปลี่ยนของจีน (CSCSE) จึงเชื่อได้ว่าปริญญาโททั้ง 4 ใบ เป็นของจริง 

ส่วนวุฒิปริญญาเอก 1 ใบก็ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และยังรอผลการตรวจอีก 1 ใบ ส่วนปริญญาเอกใบอื่นๆที่เหลือ จ้าว จือเจี้ยน ไม่ประสงค์ยื่นตรวจสอบ แต่ทั้งนี้ หยิน ฟู่จุน หัวหน้าสถาบันระบุว่า จ้าว ผ่านขั้นตอนการประเมินของสถาบันในตำแหน่งนักวิชาการเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกเสียใจที่เกิดดรามาในประวัติการศึกษาของเขา

แต่นักวิจารณ์ชาวเน็ตยังไม่จบง่ายๆ และได้โต้แย้งในประเด็นเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายของวุฒิการศึกษาของเขา เนื่องจากใบปริญญาบางส่วนของเขาได้รับจากหลักสูตรออนไลน์ และ มหาวิทยาลัย อย่าง Miguel de Cervantes European ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อสถาบันที่ใช้ตรวจสอบด้วยซ้ำ (ซึ่งในบ้านเราจะเรียกว่า สถาบันที่ กพ. ไม่รับรอง)

มิหนำซ้ำ CSCSE เพิ่งจะระบุเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า สถาบัน Lyceum of the Philippines University วิทยาเขตบันทังกัส ที่จ้าวจบมา เป็นหนึ่งใน 13 สถาบันต่างประเทศที่อยู่ในระดับล่าง ที่จำเป็นต้องตรวจสอบวุฒิการศึกษาอย่างเข้มงวด 

ส่วนองค์กรวิชาการ 22 แห่งที่จ้าว จือเจี้ยน อ้างว่าเป็นสมาชิก หลายแห่งเป็นสมาคมสาธารณะ หรือไม่ก็ก่อตั้งโดยกลุ่มนักศึกษา ที่แค่จ่ายเงินค่าสมาชิกก็เข้าร่วมได้

และตอนนี้ รัฐบาลจีนได้เพิ่มความเข้มข้น ในการปราบปรามนักวิชาการหลายคนที่พยายามหาทางลัดในการเพิ่มวุฒิการศึกษาเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตน 

โดยเมื่อปี 2022 อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนานถูกไล่ออก หลังพบว่าสถาบันได้ใช้เงินกว่า 18 ล้านหยวน ส่งบุคลากร 23 คนไปเรียนหลักสูตรปริญญาเอกฉบับเร่งรัด การันตีจบได้ภายใน 28 เดือนที่มหาวิทยาลัยอดัมสันในฟิลิปปินส์

ด้วยเหตุนี้ ทำให้อาจารย์ และนักวิชาการหน้าใหม่ที่โชว์ปริญญาเวอร์วัง หรือมีประวัติการศึกษาน่าเหลือเชื่อ ชวนสงสัย จึงกลายเป็นเป้าสายตาของเหล่าบรรดานักสืบโซเชียลจีน ไม่ว่าจะมีกี่สิบปริญญาขุดหมด ถ้าไม่สลด ขุดต่อ 

‘เมียนมา’ เตรียมเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม ‘BRICS’ เพื่อยกระดับ!! บทบาทของตน ในเวทีระดับโลก

(23 ต.ค. 67) ไม่นานมานี้มีสำนักข่าวหลายสำนักไม่ว่าจะมาจากฝั่งอินเดียหรือจีนรายงานตรงกันว่าเมียนมากำลังดำเนินการสมัครเข้าเป็นประเทศในกลุ่ม BRICS  ก่อนอื่นที่เราจะมารู้ว่าทำไมเมียนมาถึงสมัครเข้า BRICS เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า BRICS คืออะไร

BRICS เป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิกผู้ก่อตั้ง 4 ประเทศ คือ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย และจีน ในปี 2009 ซึ่งเริ่มแรกใช้ชื่อกลุ่มว่า BRIC โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละประเทศมาเรียงต่อกัน ต่อมาได้รับแอฟริกาใต้เพิ่มเข้ามาในปี 2010 ทำให้เปลี่ยนไปเป็น BRICS และใช้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าต้นปี 2024 จะรับสมาชิกเพิ่มมาอีก 5 ประเทศอันได้แก่  อียิปต์, เอธิโอเปีย, อิหร่าน, ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และล่าสุดมี 34 ประเทศที่ยื่นคำร้องขอเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้ว อันได้แก่ แอลจีเรีย อาเซอร์ไบจาน บาห์เรน บังกลาเทศ เบลารุส โบลิเวีย คิวบา ชาด สาธารณรัฐคองโก อิเควทอเรียลกินี เอริเทรีย ฮอนดูรัส อินโดนีเซีย คาซัคสถาน คูเวต ลาว มาเลเซีย เมียนมา โมร็อกโก นิการากัว ไนจีเรีย ปากีสถาน เซเนกัล ซูดานใต้ ศรีลังกา ปาเลสไตน์ ซีเรีย ไทย ตุรกี ยูกันดา อุซเบกิสถาน เวเนซุเอลา เวียดนาม และซิมบับเว

ข้อดีของการเป็นสมาชิกใน BRICS มีหลายประการกล่าวโดยสรุปคือ

1. การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS จะช่วยยกระดับบทบาทของประเทศตนในเวทีระหว่างประเทศ 

2. ทำให้ประเทศที่เป็นสมาชิกมีจุดยืนในฐานะพหุภาคีและความสมดุลระดับโลก 

3. โอกาสที่จะเข้าถึงการลงทุนและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อันยกระดับให้ประเทศมีการพัฒนามากขึ้น

4. สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในระดับภูมิภาค

5. ได้รับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า

เฉกเช่นเดียวกันกับไทยที่มองหาโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนและเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลทหารเมียนมาก็แสวงหาลู่ทางในการที่จะลืมตาอ้าปากจากการถูกแซงชั่นจากประเทศตะวันตกและประเทศพันธมิตรของตะวันตกโดยมีหัวหอกเป็นอเมริกาด้วยเช่นกัน  จากที่เอย่าคาดการณ์แล้วหากเมียนมาเข้าเป็นสมาชิก BRICS ได้สำเร็จ เมียนมาจะบรรลุถึงการส่งออกสินค้าเกษตรของตนไปยังตลาดใหม่ๆโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศของ BRICS เอง  อีกทั้ง BRICS ยังเปิดโอกาสทางการค้าที่เสรีโดยไม่จำเป็นต้องค้าขายผ่านสกุลเงินใครเป็นสกุลเงินหลักแต่เปิดโอกาสให้ทำธุรกิจผ่านสกุลเงินของประเทศตนเองได้โดยตรงอันจะช่วยให้ลดปัญหาการได้เปรียบหรือเสียเปรียบอันเนื่องมาจากการใช้ระบบ SWIFT

อีกอย่างเมียนมาจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่จะช่วยในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนได้มากขึ้นหลังถูกโดดเดี่ยวมาตั้งแต่รัฐประหารและประเทศในกลุ่ม BRICS ก็น่าจะเข้ามาลงทุนในเมียนมามากขึ้นด้วยเหตุที่ค่าแรงถูกและยังมีที่ดินเป็นจำนวนมากที่ที่สามารถพัฒนาได้

สุดท้ายหากเกิดสงครามขึ้นมาประเทศในกลุ่ม BRICS ก็จะได้รับการช่วยเหลือทางอาหารจากประเทศในกลุ่มสมาชิกที่มีการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลักซึ่งนอกจากไทยแล้วเมียนมาก็เป็นอีกประเทศที่มีการส่งออกสินค้าทางการเกษตรในราคาถูกและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีเช่นกัน

South China Morning Post ระบุในถ้อยแถลงว่าทางรัฐบาลทหารเมียนมาแสดงความปรารถนาของเมียนมาที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มประเทศ BRICS ในฐานะผู้สังเกตการณ์ระหว่างการเยือนมอสโคว์เมื่อไม่นานมานี้ และจากท่าทีของจีนและรัสเซียที่เป็นหัวเรือใหญ่ใน BRICS เชื่อว่าสามารถนำพาเมียนมาเข้าเป็น 1 ในสมาชิกของ BRICS ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

การที่ทางรัฐบาลเมียนมาคิดแบบนี้น่าจะเป็น 1 ในแผนระยะยาวในการสร้างเสถียรภาพของประเทศและสร้างความเจริญที่ยั่งยืนในประเทศอันจะส่งผลให้ความขัดแย้งในประเทศจบลงไวขึ้นนั่นเอง และนั่นก็รวมถึงการผลักดันผู้คิดต่างให้ออกไปอยู่นอกวงและกลายเป็นคนไร้สัญชาติในที่สุด

‘คาซัคสถาน’ เตรียมฉลอง!! จัดงานใหญ่ใน ‘วันสาธารณรัฐ’ เผย!! เป็นก้าวแรกสู่ความเป็นอิสระ มีอธิปไตยของประเทศ

(23 ต.ค. 67) ประเทศคาซัคสถาน เตรียมจัดงานใหญ่ ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคมนี้ เพื่อฉลองวันหยุดสำคัญของประเทศ ‘วันสาธารณรัฐ’ ซึ่งในวันนี้ในปี 1990 ได้มีการประกาศเอกราชของสาธารณรัฐโซเวียตคาซัค ซึ่งถือเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นอิสระของประเทศ วันนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นเส้นทางของคาซัคสถานสู่การมีอธิปไตยและการเสริมสร้างความเป็นอิสระของชาติ มีบทบาทสำคัญในการสร้างอัตลักษณ์แห่งชาติของประเทศ

“เอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนี้เป็นการประกันความไม่แบ่งแยกและความไม่ละเมิดของดินแดนของเรา และการยืนยันที่จะเสริมสร้างอัตลักษณ์ของชาติและรับประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน หลักการพื้นฐานเหล่านี้ได้ถูกสะท้อนในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และแนวทางยุทธศาสตร์ของคาซัคสถานในปัจจุบัน” ประธานาธิบดีโตกาเยฟกล่าว

ในด้านเศรษฐกิจ คาซัคสถานมุ่งแสวงหาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงวิสัยทัศน์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความสัมพันธ์กับมหาอำนาจหลักทั่วโลกในภาคส่วนสำคัญ เช่น พลังงานหมุนเวียน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคาซัคสถานในการกระจายเศรษฐกิจและส่งเสริมนวัตกรรม เศรษฐกิจของคาซัคสถานมีขนาดใหญ่เนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศ ทั้งแร่ธรรมชาติ น้ำมัน และแร่หายาก และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมเหล่านี้

ต้นปี 2024 การผลิตน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) เพิ่มขึ้น 15,000 bpd ในขณะที่การผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวและคอนเดนเสทอยู่ที่ 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 10,000 bpd เป้าหมายการผลิตน้ำมันในปี 2024 กำหนดไว้ที่ 90.3 ล้านตัน ซึ่งมีการสำรองน้ำมันที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 78 พันล้านตัน

ในปี 2023 การค้าระหว่างประเทศของคาซัคสถานมีมูลค่ารวม 139.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (การส่งออก 78.7 พันล้าน การนำเข้า 61.1 พันล้าน) เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

‘แบงก์ชาติอินโดนีเซีย’ โดดอุ้ม ‘ค่าเงินรูเปียห์’ จากปัจจัย ‘ทรัมป์’ มีโอกาสเข้าวิน ปธน.สหรัฐ

(22 ต.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย เข้า “แทรกแซง” ตลาดเงินตราต่างประเทศเพื่อพยุง ค่าเงินรูเปียห์ ท่ามกลางการคาดการณ์ของเหล่านักลงทุนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสหรัฐมากขึ้น และ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย

การเข้าแทรกแซงครั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียดำเนินการทั้งในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบสปอตและตลาดอนุพันธ์ เพื่อบรรเทาความผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในวันอังคารนี้ (22 ต.ค.) ตามที่เอดี ซูเซียนโต ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการเงินของธนาคารกลางได้เปิดเผย

เงินรูเปียห์ อ่อนค่าลงมากถึง 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 15,568 ต่อดอลลาร์ในการซื้อขายช่วงเช้าของวันนี้ (22 ต.ค.) ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม โดยธนาคารกลางอินโดนีเซียต้องเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อพยุง ค่าเงินรูเปียห์

ซูเซียนโตระบุว่า การอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟดที่แสดงท่าทีไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการบริหารท่านนี้ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ค่าเงินรูเปียห์ ยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากคาดว่าผู้ประกอบการส่งออกจะยังคงมีการนำเงินดอลลาร์เข้ามาในตลาด ซึ่งจะช่วยพยุงค่าเงินรูเปียห์ได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลงในช่วงเปิดตลาดวันอังคารนี้ท่ามกลางการแข็งค่าของดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนต่างจับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่บ่งชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น

ความผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ อาจทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมโดยธนาคารกลางต้องล่าช้าออกไปในปีนี้ โดยเพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า

“ยังมีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายเพิ่มเติม แต่ในขณะนี้ ธนาคารกลางให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์มากกว่า” ซึ่งธนาคารอินโดนีเซียคงอัตราดอกเบี้ยสำคัญไว้ที่ 6% ในเดือนนี้

ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีความพร้อมในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ เนื่องจากมีปริมาณสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

BMW Brilliance เปิดตัวโครงการ 'พลังงานความร้อนใต้พิภพ' บนแผ่นดินจีน มลพิษเป็น 0 ลดการปล่อยคาร์บอน 1.8 หมื่นตันต่อปี

(22 ต.ค. 67) บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู บริลเลียนส์ ออโตโมทีฟ หรือบีบีเอ (BBA) กิจการร่วมค้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปในจีน เปิดตัวโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพที่มุ่งเป้าผลิตความร้อนจากพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลร้อยละ 100 สำหรับกลุ่มโรงงานของบริษัทฯ ในนครเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

รายงานระบุว่าบีบีเอจะเจาะบ่อความร้อนใต้พิภพระดับกลาง-ลึก จำนวน 28 บ่อ ซึ่งจะสร้างแล้วเสร็จภายในช่วงฤดูการจ่ายพลังงานเพื่อให้ความร้อนปี 2025 พร้อมด้วยพื้นที่การทำความร้อนราว 5.8 แสนตารางเมตร

ไต้เฮ่อเซวียน ประธานและซีอีโอของบีบีเอ กล่าวว่าเราเชื่อว่าการลงทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือการลงทุนเพื่ออนาคต และบริษัทจะเริ่มเข้าสู่บทใหม่ของการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพนับแต่วันนี้เป็นต้นไป
อนึ่ง พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพและปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยมีปริมาณสำรองมหาศาลและกระจายตัวอยู่ทั่วจีน

บีบีเอคาดการณ์ว่าจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมเพื่อเก็บสะสมพลังงาน ณ ความลึกประมาณ 2,900 เมตรใต้ดินแบบไม่ก่อมลพิษและปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ อีกทั้งจะดำเนินการสำรวจพลังงานด้วยกระบวนการแบบปิด โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน 18,000 ตันต่อปี

ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูเดินหน้าเพิ่มการลงทุนในเสิ่นหยางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2023 บีบีเอได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหลักของโรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งใหม่แล้วเสร็จ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.7 หมื่นล้านบาท) ซึ่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะถูกนำมาใช้จ่ายความร้อนให้กับโรงงานและโรงประกอบของบริษัทฯ ในช่วงฤดูหนาวเป็นหลัก

จับตา ‘ละครสั้น’ Soft Power มาแรงจากดินแดนมังกร อุตสาหกรรมแสนล้าน ชง พัฒนาคุณภาพการถ่ายทำ-เนื้อเรื่อง

(22 ต.ค. 67) ทุกวันนี้น้อยคนที่จะหนีจาก ‘ละครสั้นจีน’ พ้น เพราะว่าละครสั้นจีนตามติดไปแทบจะทุก ๆ แพลตฟอร์มวิดีโอ

และด้วยทั้งพล็อตเรื่องและโครงเรื่องที่เรียบง่าย แต่สั้น-กระชับ น่าติดตามจึงทำให้มีแฟนคลับละครสั้นจีนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว 

โดยละครสั้นจากประเทศจีนได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ตามข้อมูลจาก iiMedia Research ระบุว่า ในปี 2566 ขนาดตลาดละครสั้นออนไลน์ในจีนอยู่ที่ 37,390 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นถึง 267.65% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 อัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 100,680 ล้านหยวน

และจากข้อมูลพบว่าเมื่อปี 2566 การถ่ายทำละครสั้นและขนาดเล็กของจีนที่ได้ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้องของจีน มีจำนวน 3,574 เรื่อง และจำนวน 97,327 ตอน 

โดยลักษณะของละครสั้นจีน หรือที่มีอีกหลายชื่อ เช่น Micro-Drama, Short Play นั้นจะมีความยาวต่อตอนสั้นมาก คือไม่เกิน 2 นาที โดย 1 เรื่องมีไม่เกิน 100 ตอน สามารถรับชมจนจบเรื่องในเวลาเพียงประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ละครสั้นและขนาดเล็กเป็นกระแสที่มาแรงในสื่อออนไลน์จีน เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนไปตามความเร่งรีบของสังคม ละครสั้นและขนาดเล็กจึงตอบโจทย์ของผู้ชมละครยุคใหม่ 

ประกอบกับผู้จัดทำละครสามารถผลิตละครออกมาในตลาดได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้ชม เนื่องจากต้นทุนการถ่ายทำไม่สูง เนื้อหาสั้นกระชับ แต่ทั้งนี้เนื้อหาของละครและคุณภาพของละครต้องถูกใจผู้ชมถึงจะสามารถแข่งขันได้ โดยปัจจุบันเนื้อเรื่องละครสั้นมีการสอดแทรกเรื่องการท่องเที่ยว ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนด้านธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ซึ่งนำประโยชน์การต่อยอดไปยังธุรกิจสาขาอื่นๆ 

ทั้งนี้ ละครสั้นคือถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการพัฒนาธุรกิจละครไทย และเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนสู่ต่างประเทศ รวมถึงเป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยไปสู่ต่างประเทศอีกช่องทางหนึ่งด้วย

ไม่ใช่แค่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นโอกาสในกระแส ‘ละครสั้น’ เท่านั้น โดยในประเทศจีนเองเริ่มลงทุนและทำการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ทำให้กระแสละครสั้นจีนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วไปทั่วทุกมุมโลก

จากการสำรวจพบว่า ละครสั้นที่ได้รับความนิยม มักจะเป็นพล็อตเรื่องมักมีการหักมุม รวมไปถึงเนื้อหาแฟนตาซีเกินจริง ความแค้น และความรัก นอกจากนี้ยังมีการปรับเนื้อหาให้เข้ากับรสนิยมและวัฒนธรรมของผู้ชมในแต่ละประเทศ

ในระยะต่อไปนั้นเพื่อพัฒนาคุณภาพของละครสั้นจีนให้เป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ทรงพลังของประเทศ ทางการจีนได้วางแผนให้ผู้ผลิตละคร ทำการซื้อลิขสิทธิ์ของทั้งนวนิยาย มานฮวา ยอดนิยมของจีนมาทำเป็นละครสั้นเพื่อส่งออกวัฒนธรรมไปยังต่างประเทศอย่างจริงจัง 

และจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าลักษณะการจ่ายเงินเพื่อดูในปัจจุบันของละครสั้น ยังเป็นการจ่ายแบบรายตอนในราคาตอนละประมาณ 10 บาท หรือ 2 หยวน หากในอนาคตทางแพลตฟอร์มมีการปรับรูปแบบเป็นแบบ Subscription รายเดือน โอกาสในการทำการตลาดในไทยมีแนวโน้มสดใสมากกว่าในปัจจุบัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top