Friday, 4 July 2025
WORLD

‘ศูนย์วิจัยกสิกร’ เปิดตัวเลข GDP ไตรมาส 3 จีนโต 4.6% คาดทั้งปีโต 4.8% หลุดเป้า เหตุจากการเมืองระหว่างประเทศ

(18 ต.ค. 67) ศูนย์วิจัยกสิกร หรือ KResearch รายงานว่า เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 4.6%YoY ในไตรมาส 3/24 โดย 9 เดือนแรกของปี 2024 เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ 4.8%YoY โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งสำคัญ โดยการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ 9 เดือนแรกของปี 2024 ยังหดตัวที่ -10.1%YoY

2.การบริโภคภายในประเทศยังอ่อนแอ รวมถึงความเสี่ยงจากเรื่องเงินฝืดยังมีอยู่ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือนก.ย.2024 ขยายตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 0.4% และ 0.1% ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลจากการเพิ่มเงินอุดหนุนในมาตรการ Trade in (ของเก่าแลกของใหม่) เดือนก.ค. 2024 ช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกในไตรมาส 3/24 เติบโตอยู่ที่ 2.7%YoY ทรงตัวจากไตรมาส 2/24 ที่ 2.6%YoY

3.การส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3/24 โดยขยายตัวอยู่ที่  6.0%YoY จาก 5.7%YoY ในไตรมาส 2/24 จากการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปจากความกังวลเกี่ยวกับการยกระดับสงครามการค้า และการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย.2024 อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้าการส่งออกจะเริ่มมีแนวโน้มส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจชะลอลง หลังมีการเร่งส่งออกไปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024

4.ด้านอุตสาหกรรม High-tech ที่ทางการจีนให้ความสำคัญยังเป็นอีกปัจจัยหนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 3/24 โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรม High-tech  และการลงทุนในอุตสาหกรรม High-tech ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เติบโตได้อยู่ที่ 9.1%YoY และ 10.0%YoY ตามลำดับ

ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 3/24 จากมาตรการเศรษฐกิจที่ทางการจีนทยอยออกมา โดยคาดว่าจะมีมาตรการทางการคลังออกมาเพิ่มเติม ซึ่งขนาดของวงเงินและรายละเอียดของมาตรการน่าจะมีออกมาในช่วงสิ้นเดือนต.ค.2024 ถึงต้นเดือนพ.ย.2024 นอกจากนี้ ในฝั่งมาตรการทางการเงินคาดมีการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมอีก 0.25-0.50% ตามที่ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนได้ระบุไว้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนยังเผชิญความเสี่ยงสำคัญหลายด้าน คือ

1.สถานการณ์การกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. 2024 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าไม่ว่าจะเป็นพรรคใดที่ได้รับการเลือกตั้ง สหรัฐฯ จะเพิ่มการกีดกันการค้ากับจีน ขณะที่ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการปรับเพิ่มภาษีจากประเทศอื่น ๆ

2.ภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในประเทศ ซึ่งการคลี่คลายปัญหายังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี แม้ทางการจะทยอยออกมาตรการต่าง ๆ เช่น ปรับลดเงินดาวน์ และผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุดมีการขยายวงเงินในมาตรการ whitelist ที่สนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 4 ล้านล้านหยวน อย่างไรก็ตาม ราคาที่อยู่อาศัย ยอดขายที่อยู่อาศัยรวมถึงการลงทุนในที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มชะลอลง นอกจากนี้ ดัชนีความต้องการในการซื้อบ้านยังคงปรับลดลง

3.ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะยังกดดันการบริโภคในประเทศ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการผ่อนคลายในภาคการเงิน แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีทิศทางชะลอตัวจะยังกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคของจีน เนื่องจากครัวเรือนในจีนมีความมั่งคั่งประมาณ 70% อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนปี 2024 มีแนวโน้มเติบโตที่ 4.8% ต่ำกว่าเป้าหมายทางการที่ 5.0%

ราคาทองคำเอเชียพุ่งกระฉูดทำ All Time High รับสถานการณ์สงครามตะวันออกกลางกำลังตึงเครียด

(18 ต.ค. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน ราคาทองคำตลาดเอเชียเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ (18 ต.ค.) ซื้อขายในราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,704.89 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากราคาสูงสุดเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ที่ 2,688.83 ดอลลาร์

ตลาดกำลังจับตาวิกฤติในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลกำลังถล่มฮามาสในกาซา และฮิซบอลเลาะห์ทางตอนใต้ของเลบานอน ด้วยความกังวลว่าสงครามอาจขยายวงไปถึงอิหร่าน

ทั้งนี้ ราคาทองคำขึ้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นปีขึ้นมาแล้วราว 30% ในช่วงที่ธนาคารกลางทยอยลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ทองคำน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน ยิ่งผนวกกับความไม่แน่นอนของสงครามรวมถึงสงครามในยูเครน นักลงทุนยิ่งต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

‘อิสราเอล’ ยืนยันแล้วสังหาร ‘ยาห์ยา ซินวาร์’ ผู้นำกลุ่มฮามาส จับตา! อนาคตความขัดแย้ง-ตัวประกันในพื้นที่ตะวันออกกลาง

(18 ต.ค. 67) ยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นผู้วางแผนการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ที่จุดชนวนให้เกิดสงครามกาซา ถูกกองกำลังอิสราเอลสังหารในดินแดนปาเลสไตน์ โดยอิสราเอลเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี

การสังหารเขาถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของอิสราเอล และเป็นเหตุการณ์สำคัญในความขัดแย้งที่กินเวลานานหนึ่งปี ผู้นำชาติตะวันตกกล่าวว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นโอกาสให้สงครามยุติลง แต่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลกล่าวว่าสงครามจะดำเนินต่อไป

กองทัพอิสราเอลกล่าวว่าได้สังหารซินวาร์ในปฏิบัติการทางตอนใต้ของฉนวนกาซาเมื่อวันพุธ

“หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการระบุตัวตนของศพแล้ว สามารถยืนยันได้ว่ายาห์ยา ซินวาร์ถูกกำจัดแล้ว” กองทัพอิสราเอลระบุ

ขณะนี้ยังไม่มีความเห็นใด ๆ จากกลุ่มฮามาส แต่แหล่งข่าวในกลุ่มก่อการร้ายกล่าวว่าสัญญาณจากฉนวนกาซาบ่งชี้ว่าซินวาร์ถูกสังหารในปฏิบัติการของอิสราเอล ในอิสราเอล ครอบครัวของตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวในฉนวนกาซา กล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะมีการหยุดยิงเพื่อนำตัวประกันกลับบ้าน แต่ก็กลัวว่าคนที่พวกเขารักจะตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงกว่า

ในฉนวนกาซา ซึ่งถูกกองกำลังอิสราเอลโจมตีอย่างไม่ลดละเป็นเวลาหนึ่งปี ชาวเมืองกล่าวว่าพวกเขาเชื่อว่าสงครามจะดำเนินต่อไป แต่พวกเขายังคงยึดมั่นในความหวังที่จะกำหนดชะตากรรมของตัวเอง

ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ ซึ่งได้โทรศัพท์แสดงความยินดีกับเนทันยาฮู รวมถึงประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศส กล่าวว่าการเสียชีวิตของซินวาร์เป็นโอกาสให้ความขัดแย้งในฉนวนกาซาที่กินเวลานานกว่าหนึ่งปีสิ้นสุดลงในที่สุด และเพื่อให้ตัวประกันชาวอิสราเอลได้กลับบ้าน

แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าสหรัฐฯ ต้องการเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับข้อเสนอที่จะบรรลุการหยุดยิงและการปล่อยตัวตัวประกัน โดยเรียกซินวาร์ว่าเป็น "อุปสรรคหลัก" ต่อการยุติสงคราม “อุปสรรคนั้นได้ถูกขจัดออกไปอย่างชัดเจน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครก็ตามที่เข้ามาแทนที่ (ซินวาร์) จะตกลงหยุดยิง แต่การหยุดยิงนั้นได้ขจัดอุปสรรคสำคัญในการหยุดยิงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” เขากล่าว มิลเลอร์กล่าวว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซินวาร์ปฏิเสธที่จะเจรจาเลย

เนทันยาฮูกล่าวที่กรุงเยรูซาเล็มทันทีหลังจากการเสียชีวิตได้รับการยืนยันว่า การเสียชีวิตของซินวาร์เป็นโอกาสให้เกิดสันติภาพในตะวันออกกลาง แต่เขาเตือนว่าสงครามในฉนวนกาซายังไม่สิ้นสุด และอิสราเอลจะดำเนินต่อไปจนกว่าตัวประกันจะถูกส่งตัวกลับ

เนทันยาฮูกล่าวในแถลงการณ์ที่บันทึกวิดีโอไว้ว่า “วันนี้เราได้สะสางเรื่องทั้งหมดแล้ว วันนี้ความชั่วร้ายได้รับการโจมตี แต่ภารกิจของเรายังไม่เสร็จสิ้น” “ถึงครอบครัวตัวประกันที่รัก ฉันขอกล่าวว่า นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญของสงคราม เราจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าคนที่คุณรัก คนที่เรารัก จะกลับบ้าน”

อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลกล่าวว่า “นี่คือความสำเร็จทางทหารและศีลธรรมอันยิ่งใหญ่สำหรับอิสราเอล” เขาเรียกซินวาร์ว่าเป็น "ฆาตกรหมู่ที่รับผิดชอบต่อการสังหารหมู่และความโหดร้ายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม" - การโจมตีอิสราเอลที่นำโดยกลุ่มฮามาสที่จุดชนวนให้เกิดการโจมตีในฉนวนกาซา

พลโทเฮอร์ซี ฮาเลวี ผู้บัญชาการทหารอิสราเอล กล่าวว่า การที่อิสราเอลไล่ล่าซินวาร์ในช่วงปีที่ผ่านมาทำให้เขา "ทำตัวเหมือนผู้หลบหนี ทำให้เขาต้องเปลี่ยนสถานที่หลายครั้ง"

เขากล่าวว่า ทหารพบซินวาร์ระหว่างปฏิบัติการปกติโดยไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่น ซึ่งแตกต่างจากปฏิบัติการอื่น ๆ ที่ต่อต้านผู้นำกลุ่มก่อการร้ายโดยอาศัยข้อมูลข่าวกรองที่ครอบคลุม

การสังหารดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการภาคพื้นดินในเมืองราฟาห์ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา ซึ่งกองทัพอิสราเอลสังหารนักรบ 3 คนและนำศพของพวกเขาไป สถานีวิทยุกองทัพอิสราเอลรายงาน

ซินวาร์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้นำโดยรวมของกลุ่มฮามาสหลังจากการลอบสังหารอิสมาอิล ฮานีเยห์ ผู้นำทางการเมืองในกรุงเตหะรานเมื่อเดือนกรกฎาคม เชื่อกันว่าซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ที่กลุ่มฮามาสสร้างขึ้นภายใต้ฉนวนกาซาในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าชาติตะวันตกต่างหวังว่าจะมีการหยุดยิง แต่การเสียชีวิตของเขาอาจทำให้เกิดการสู้รบในตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มว่าความขัดแย้งจะขยายวงกว้างขึ้น อิสราเอลได้เริ่มปฏิบัติการภาคพื้นดินในเลบานอนเมื่อเดือนที่แล้ว และขณะนี้กำลังวางแผนตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม โดยอิหร่านซึ่งเป็นพันธมิตรของกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แห่งเลบานอนเป็นผู้ลงมือ

แต่การเสียชีวิตของชายผู้วางแผนการโจมตีเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนักรบได้สังหารผู้คนในอิสราเอลไป 1,200 คน และจับตัวประกันไปมากกว่า 250 คน ตามการนับของอิสราเอล อาจช่วยผลักดันความพยายามในการยุติสงครามที่หยุดชะงักซึ่งอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 42,000 คน ตามข้อมูลของทางการด้านสาธารณสุขของกาซา

ซินวาร์ ซึ่งเกิดเมื่อปี 2505 เคยได้รับมอบหมายให้ลงโทษชาวปาเลสไตน์ที่ต้องสงสัยว่าให้ข้อมูลแก่อิสราเอล ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะหัวหน้าเรือนจำ เขากลายเป็นฮีโร่บนท้องถนนในฉนวนกาซาหลังจากรับโทษจำคุกในเรือนจำของอิสราเอลนานกว่า 20 ปีในข้อหาวางแผนการลักพาตัวและสังหารทหารอิสราเอล 2 นายและชาวปาเลสไตน์ 4 นาย

เขาได้รับการปล่อยตัวในปี 2011 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนักโทษกว่า 1,000 คนกับทหารอิสราเอล 1 นายที่ถูกลักพาตัวไปซึ่งถูกคุมขังในฉนวนกาซา จากนั้น Sinwar ก็ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มฮามาสอย่างรวดเร็ว เขาอุทิศตนเพื่อกำจัดอิสราเอล

อิสราเอลสังหารผู้บัญชาการของกลุ่มฮามาสหลายคนในฉนวนกาซา รวมถึงบุคคลสำคัญของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอิหร่านในเลบานอน ส่งผลให้ศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอลต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายชะตากรรมของตัวประกัน

การสังหารครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของตัวประกัน และอนาคตของความขัดแย้งในพื้นที่ตะวันออกกลาง

Amazon-Microsoft-Google ทุ่มลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รับปริมาณการใช้ไฟฟ้ามหาศาลจาก Ai และ Data Center

(17 ต.ค. 67) สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ กำลังมองหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อเป็นแหล่งพลังงานที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการขับเคลื่อนปัญญาประดิษฐ์และธุรกิจอื่น ๆ เช่น Data Center

ไมโครซอฟท์ กูเกิล และอเมซอน ได้ทำข้อตกลงกับผู้ดำเนินการและผู้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อสนับสนุนการเติบโตของศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นแหล่งให้บริการด้านการประมวลผลแก่ธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ความต้องการนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้และบริษัทอื่น ๆ ในด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องการพลังงานมากกว่าธุรกิจเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม เช่น สื่อสังคมออนไลน์ การสตรีมวิดีโอ และการค้นหาทางเว็บ

ไมโครซอฟท์ได้ตกลงจ่ายเงินให้เพื่อฟื้นฟูโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Three Mile Island ที่ปิดตัวลงในเพนซิลเวเนีย และในสัปดาห์นี้ อเมซอนและกูเกิล ได้ประกาศว่ากำลังมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีใหม่ของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล เทคโนโลยียังไม่ถูกนำมาใช้เชิงพาณิชย์อย่างเต็มที่ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวว่าอาจมีต้นทุนต่ำกว่าและสร้างง่ายกว่าเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาได้สร้างขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1950

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งเคยลงทุนมากในพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังหันมาสนใจพลังงานนิวเคลียร์เนื่องจากต้องการพลังงานที่ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ไม่สามารถใช้ได้ตลอดเวลาหากไม่มีแบตเตอรี่หรือรูปแบบการจัดเก็บพลังงานอื่น ๆ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการโดยใช้พลังงานที่ปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 แต่คำมั่นสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งต้องการพลังงานมากขึ้น

"พวกเขามีความปรารถนาที่จะปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบที่ยั่งยืน และในขณะนี้ คำตอบที่ดีที่สุดคือพลังงานนิวเคลียร์" Aneesh Prabhu ผู้จัดการทั่วไปของ S&P Global Ratings กล่าว

เมื่อวันจันทร์ Google ประกาศว่าได้ตกลงซื้อพลังงานนิวเคลียร์จากเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลที่กำลังพัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัพชื่อ Kairos Power และคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในปี 2030 จากนั้นในวันพุธ อเมซอนได้ประกาศว่าจะลงทุนในการพัฒนาเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลโดยบริษัทสตาร์ทอัพอีกแห่งหนึ่ง คือ X-Energy ข้อตกลงของไมโครซอฟท์กับ Constellation Energy เพื่อฟื้นฟูเตาปฏิกรณ์ที่ Three Mile Island ได้รับการประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว

นาย Prabhu กล่าวว่าเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลอาจมีค่าใช้จ่ายในการสร้างประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และอาจเป็นไปได้ในอนาคตที่จะวางเตาปฏิกรณ์เหล่านี้ไว้ใกล้กับศูนย์ข้อมูล

บริษัทเทคโนโลยีไม่ใช่บริษัทเดียวที่สนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งลงนามในกฎหมายที่ผ่านโดยเสียงข้างมากทั้งสองพรรคในรัฐสภา ซึ่งผู้เขียนกฎหมายระบุว่าจะช่วยเร่งการพัฒนาโครงการพลังงานนิวเคลียร์ใหม่ๆ

ฝ่ายบริหารของไบเดนมองว่าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งผลิตไฟฟ้าได้ประมาณร้อยละ 20 ของประเทศในปัจจุบัน มีความสำคัญต่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากอดีตที่พรรคเดโมแครตจำนวนมากคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ

“การฟื้นฟูภาคส่วนนิวเคลียร์ของอเมริกาเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มพลังงานปลอดคาร์บอนให้กับโครงข่ายและตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจที่เติบโตของเรา ไม่ว่าจะเป็น AI และศูนย์ข้อมูล การผลิต และการดูแลสุขภาพ” เจนนิเฟอร์ เอ็ม. แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวในแถลงการณ์

การสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจช่วยฟื้นฟูแหล่งพลังงานที่ประสบปัญหาได้ ด้วยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ 94 แห่ง สหรัฐอเมริกามีหน่วยปฏิบัติการมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีการสร้างเพียงสองหน่วยในสหรัฐฯ หน่วยปฏิบัติการทั้งสองหน่วยสร้างขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์วอกเทิลในเวย์นส์โบโร รัฐจอร์เจีย แต่ใช้งบประมาณเกินหลายหมื่นล้านดอลลาร์และล่าช้าไปหลายปี

หน่วยทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของ "ยุคฟื้นฟูนิวเคลียร์" ที่หลายคนรอคอย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มีเครื่องปฏิกรณ์ใหม่ประมาณสองโหล แต่ความทะเยอทะยานเหล่านั้นล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่เนื่องมาจากปัญหาของ Vogtle และโครงการพลังงานนิวเคลียร์ที่ล้มเหลวในเซาท์แคโรไลนา

ผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกล่าวว่าครั้งนี้จะแตกต่างออกไป และบางคนก็เสี่ยงโชคส่วนตัวกับความเชื่อดังกล่าว Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ได้ลงทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทสตาร์ทอัพที่ชื่อว่า TerraPower ซึ่งกำลังดำเนินการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กร่วมกับ PacifiCorp บริษัทสาธารณูปโภคของ Warren Buffett

แนวคิดคือ ส่วนประกอบของแต่ละหน่วยอาจมีขนาดเล็กพอที่จะผลิตเป็นจำนวนมากบนสายการประกอบ ทำให้มีราคาถูกลง โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งอาจเริ่มต้นด้วยเครื่องปฏิกรณ์หนึ่งหรือสองเครื่อง จากนั้นจึงค่อยเพิ่มเครื่องปฏิกรณ์เข้าไปอีกในอนาคต

“กุญแจสำคัญของพลังงานนิวเคลียร์คือคุณต้องเลือกบางอย่างและสร้างมันขึ้นมาจำนวนมากเพื่อให้มีราคาถูก” ริช พาวเวลล์ หัวหน้าสมาคมผู้ซื้อพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่มีสมาชิกเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กล่าว

แต่บรรดานักวิจารณ์พลังงานนิวเคลียร์ยังคงไม่เชื่อ พวกเขาโต้แย้งว่าแม้ว่าข้อเสนอจากบริษัทสาธารณูปโภคและบริษัทเทคโนโลยีอาจฟังดูน่าสนใจ แต่ข้อเสนอเหล่านั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาพลังงานนิวเคลียร์ที่มีมายาวนาน ปัญหาเหล่านี้รวมถึงต้นทุนที่สูงของเตาปฏิกรณ์ใหม่ ความล่าช้าในการก่อสร้าง และไม่มีสถานที่จัดเก็บถาวรสำหรับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว

“ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาพยายามสร้างเตาปฏิกรณ์พลังงาน 250 เครื่อง” อาร์นี่ กันเดอร์เซน หัวหน้าวิศวกรของ Fairewinds Energy Education ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ กล่าว “มากกว่าครึ่งหนึ่งถูกยกเลิกก่อนที่จะผลิตไฟฟ้าได้ เตาปฏิกรณ์ที่เหลือไม่มีเครื่องใดเลยที่สร้างเสร็จทันเวลาและไม่เกินงบประมาณ”

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและพลังงานจำนวนมากกล่าวว่าพลังงานนิวเคลียร์มีความจำเป็น เนื่องจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานน้ำ ไม่น่าเชื่อถือเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น

การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากบุคคลทั่วไปและธุรกิจต่างหันมาใช้ยานยนต์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ ปั๊มความร้อน และเครื่องปรับอากาศ ปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเร่งการเติบโตดังกล่าว

แม้ว่าศูนย์ข้อมูลจะมีสัดส่วนการใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยทั่วโลก แต่สัดส่วนการใช้พลังงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมักกระจุกตัวอยู่ในบางภูมิภาค เช่น เวอร์จิเนียตอนเหนือ ซึ่งอาจทำให้ระบบสายส่งไฟฟ้าในพื้นที่เกิดความเครียดได้

ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าในการเปิดเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ และที่สำคัญที่สุดคือทำให้เย็นลง พลังงานมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับศูนย์ข้อมูลจนอุตสาหกรรมพูดถึงขนาดของอาคารโดยไม่ได้พิจารณาจากขนาดพื้นที่ แต่พิจารณาจากปริมาณเมกะวัตต์ที่ได้รับจากสาธารณูปโภค

ในศูนย์ข้อมูลทั่วไป เซิร์ฟเวอร์ 1 ชุดในศูนย์ข้อมูลต้องใช้พลังงานประมาณ 5 ถึง 10 กิโลวัตต์ แต่เซิร์เวอร์ที่เต็มไปด้วยชิปคอมพิวเตอร์ A.I. ขั้นสูงอาจต้องใช้พลังงานมากกว่า 100 กิโลวัตต์ Raul Martynek ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ DataBank ซึ่งเป็นบริษัทศูนย์ข้อมูล กล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า “จากมุมมองด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ต้องใช้พลังงานมากกว่าถึงหลายเท่า” เขากล่าว

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้เพิ่มการใช้จ่ายในระดับที่น่าทึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพื่อตอบสนองความต้องการและศักยภาพที่พวกเขาเห็นในด้าน A.I. บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่ง เช่น Alphabet, Microsoft และ Amazon ใช้จ่ายเงินด้านทุนรวมกัน 59,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่แล้วเพียงไตรมาสเดียว เพิ่มขึ้น 63 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน และพวกเขายังส่งสัญญาณไปยังนักลงทุนว่าพวกเขาวางแผนที่จะใช้จ่ายต่อไป

ในปีนี้ Amazon ใช้จ่ายเงิน 650 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อศูนย์ข้อมูลที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งจะใช้พลังงานโดยตรงจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีอยู่แล้วในเพนซิลเวเนีย นอกเหนือจากข้อตกลงที่ Three Mile Island แล้ว Microsoft ยังตกลงที่จะซื้อพลังงานจาก Helion Energy ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพในพื้นที่ซีแอตเทิลที่มุ่งสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชันแห่งแรกของโลกภายในปี 2028

อินทรีย์เหล็กบนแผ่นดิน Home of Football ทีมชาติอังกฤษประกาศแต่งตั้ง โทมัส ทูเคิล เป็นผู้จัดการทีม

(16 ต.ค. 67) นายโทมัส ทูเคิล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนใหม่ โดยจะเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025

ชายวัย 51 ปี ซึ่งตกงานนับตั้งแต่ลาออกจากบาเยิร์น มิวนิก ในตอนท้ายของฤดูกาลที่แล้ว จะเข้ามาแทนที่แกรี่ เคฮิลล์ ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ และกลายเป็นผู้จัดการทีมชาวต่างชาติคนที่สามของทีมสิงโตคำราม ต่อจากสเวน-โกรัน เอริคส์สัน และฟาบิโอ คาเปลโล

ทูเคิล อดีตผู้จัดการทีมของเชลซี โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และบาเยิร์น มิวนิก มีประวัติการคว้าแชมป์ที่เอฟเอต้องการเพื่อช่วยยุติการรอคอย 58 ปีในการคว้าแชมป์รายการสำคัญ

อย่างไรก็ตาม การย้ายนี้ได้ดึงดูดการวิจารณ์เกี่ยวกับความไม่เต็มใจของเอฟเอที่จะเชื่อใจชาวอังกฤษด้วยงานระดับสูงสุด

ทูเคิล จะได้รับการช่วยเหลือโดยโค้ชชาวอังกฤษ แอนโทนี่ แบร์รี่ ซึ่งทำงานเคียงข้างเขาที่บาเยิร์น มิวนิก

“ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำทีมชาติอังกฤษ” ทูเคิล กล่าวในแถลงการณ์ของเอฟเอ

“นานแล้วที่ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับเกมในประเทศนี้ และมันทำให้ผมมีช่วงเวลาที่น่าทึ่งบางอย่างแล้ว การได้มีโอกาสเป็นตัวแทนอังกฤษเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง และโอกาสในการทำงานร่วมกับกลุ่มนักเตะพิเศษและมีพรสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก”

ทูเคิล คว้าแชมป์ลีกกับปารีส และบาเยิร์น รวมถึงแชมป์เดเอฟเบ โพคาล กับดอร์ทมุนด์ แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขามาจากช่วงเวลาของเขาในฟุตบอลอังกฤษที่เชลซี
เขาพาบลูส์คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกเพียงไม่กี่เดือนหลังจากเข้ารับตำแหน่งในปี 2021 และยังคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพและฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ กับสโมสรลอนดอน

เขาจะกลายเป็นผู้สืบทอดถาวรของเซาธ์เกต ซึ่งนำสิงโตคำรามเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของยูโรแชมป์สองครั้งติดต่อกัน รวมถึงรอบรองชนะเลิศและรอบก่อนรองชนะเลิศของฟุตบอลโลกในสี่ทัวร์นาเมนต์สำคัญของเขา

อย่างไรก็ตาม อังกฤษยังคงคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติชายตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 1966 บนแผ่นดินเกิด “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เซ็นสัญญากับทอมัส ทูเคิล หนึ่งในโค้ชที่ดีที่สุดในโลก” มาร์ค บัลลิงแฮม ซีอีโอของเอฟเอกล่าว 

“นับตั้งแต่แกรี่ลาออก เราได้ทำงานผ่านกลุ่มผู้สมัคร พบปะโค้ชหลายคนและประเมินพวกเขาตามเกณฑ์นั้น “ทอมัสประสบความสำเร็จอย่างมากและโดดเด่นด้วยความเชี่ยวชาญและความมุ่งมั่นของเขา” ทูเคิล จะได้รับมรดกจากรุ่นนักเตะที่มีพรสวรรค์อย่างมาก รวมถึงแฮร์รี่ เคน, จู๊ด เบลลิงแฮม และโคล พาลเมอร์ ซึ่งจะอยู่ในกลุ่มเต็งสำหรับฟุตบอลโลก 2026

เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ทางการทูต อินเดีย-แคนาดา ต่างขับไล่ทูต เหตุจากการลอบสังหารผู้นำชาวซิกซ์บนดินแดนแคนาดา

(15 ต.ค. 67) อินเดียและแคนาดาขับไล่ทูตระดับสูงและนักการทูตอื่นๆ เนื่องจากความขัดแย้งทวีความรุนแรงเกี่ยวกับการสังหารผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์บนดินแคนาดาเมื่อปีที่แล้ว

นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่ารัฐบาลของเขาตอบสนองหลังจากตำรวจเริ่มติดตามข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่อินเดียมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์

ตำรวจแคนาดากล่าวหาเจ้าหน้าที่อินเดียว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ "การฆาตกรรม การเรียกค่าไถ่ และการกระทำที่รุนแรง" และก่อกวนผู้สนับสนุนขบวนการที่สนับสนุนดินแดนคาลิสถาน ซึ่งต้องการแยกดินแดนสำหรับชาวซิกข์ในอินเดีย

อินเดียปฏิเสธข้อกล่าวหาว่า "ไร้สาระ" โดยกล่าวหาทรูโดว่ายืมความนิยมของชุมชนชาวสิกห์ขนาดใหญ่ในแคนาดาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

ทรูโดกล่าวในการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เมื่อวันจันทร์บ่ายว่าอินเดียได้ทำ "ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง" ในการสนับสนุน "อาชญากรรม" ในแคนาดาและรัฐบาลของเขาต้องดำเนินการตามผลการค้นหาล่าสุด
"หลักฐานที่นำมาเปิดเผยโดย RCMP [Royal Canadian Mounted Police, หน่วยงานตำรวจแห่งชาติของแคนาดา] ไม่สามารถเพิกเฉยได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว

"สิ่งนี้ทำให้ได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือจำเป็นต้องขัดขวางกิจกรรมอาชญากรรมที่ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยสาธารณะในแคนาดา นี่คือเหตุผลที่เราต้องดำเนินการ"
อินเดียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดอย่างรุนแรงและยืนยันว่าแคนาดาไม่ได้ให้หลักฐานใด ๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาของตน

ความสัมพันธ์ระหว่างเดลีและออตตาวาตึงเครียดนับตั้งแต่ทรูโดกล่าวว่าแคนาดามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่อินเดียกับการสังหารนิจจาร์
ความขัดแย้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมลง โดยอินเดียขอให้แคนาดาถอนเจ้าหน้าที่การทูตหลายสิบคนและระงับการให้บริการวีซ่า

เมื่อวันจันทร์ กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียออกแถลงการณ์อย่างฉุนเฉียวว่าข้อกล่าวหาของแคนาดาได้รับอิทธิพลจากผู้รณรงค์แบ่งแยกดินแดนชาวซิกซ์
ต่อมาในวันเดียวกัน อินเดียประกาศให้ทูตแคนาดา 6 คน รวมถึงรักษาการเอกอัครราชทูตสจ๊วร์ต รอสส์ วีเลอร์ ออกจากอินเดียภายในวันที่ 19 ตุลาคม

นายวีเลอร์ยังถูกเรียกตัวไปพบกระทรวงการต่างประเทศของอินเดียเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวของแคนาดา
ในการแถลงข่าวหลังการประชุม นายวีเลอร์กล่าวว่าแคนาดาได้มอบหลักฐานที่อินเดียเรียกร้องไปแล้ว ตอนนี้อินเดียต้องตรวจสอบข้อกล่าวหา
"เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองประเทศที่จะหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้" เขากล่าว

เดลีได้ปกป้องนักการทูตของตน ซันเจย์ คุมาร์ เวอร์มา โดยอ้างถึง "อาชีพอันโดดเด่นของเขามานานกว่า 36 ปี"
"ข้อกล่าวหาที่รัฐบาลแคนาดาปฏิเสธต่อเขานั้นไร้สาระและสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความรังเกียจ" ทางกระทรวงกล่าว กระทรวงการต่างประเทศอินเดียยังกล่าวว่ากำลัง "ถอน" ทูตระดับสูงและนักการทูตคนอื่น ๆ

"เราไม่มีความเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของรัฐบาลแคนาดาปัจจุบันในการรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้น รัฐบาลอินเดียจึงตัดสินใจถอนเอกอัครราชทูตและนักการทูตเป้าหมายอื่น ๆ"

ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ ตำรวจแคนาดากล่าวว่าพวกเขาดำเนินการที่ผิดปกติในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวนที่กำลังดำเนินอยู่ "เนื่องจากภัยคุกคามที่สำคัญต่อความปลอดภัยสาธารณะในประเทศของเรา"
ไมค์ ดูเฮม ผู้บัญชาการ RCMP กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวในวันจันทร์ว่ามี "ภัยคุกคามต่อชีวิตที่น่าเชื่อถือและใกล้จะเกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้ง" ซึ่งเขากล่าวว่า "มุ่งเป้า" ไปที่สมาชิกของขบวนการขาลสถานโดยเฉพาะ

เขาเสริมว่าภัยคุกคามร้ายแรงเพียงพอที่จะรับประกันการแทรกแซงสาธารณะของ RCMP
"เราถึงจุดที่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับรัฐบาลอินเดีย"

เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเจ้าหน้าที่อินเดียสิบสองคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา แต่ไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหารฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ผู้นำแบ่งแยกดินแดนชาวซิกข์ในเดือนมิถุนายน 2023

ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์ ถูกยิงเสียชีวิตโดยชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสองคนนอกวัดซิกข์ที่เขาเป็นผู้นำในซอร์เรย์ บริติชโคลัมเบีย
เขาเป็นผู้สนับสนุนขบวนการขาลสถานอย่างแข็งขัน ซึ่งเรียกร้องให้มีแยกดินแดนชาวซิกข์ และรณรงค์สาธารณะเพื่อสิ่งนี้

อินเดียเคยกล่าวว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายที่นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ - ข้อกล่าวหาที่ผู้สนับสนุนของนายนิจจาร์ตอบโต้ว่า ไม่มีมูล

ในเดือนกันยายน 2023 ทรูโดได้กล่าวต่อรัฐสภาแคนาดาว่าข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของอินเดียในการสังหารนั้นยึดตามข่าวกรองของแคนาดา เขาย้ำว่า การกระทำนี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของแคนาดา

ความสัมพันธ์ที่เย็นยะเยือกระหว่างทั้งสองประเทศดูเหมือนจะคลายลงเล็กน้อยหลังจากอินเดียกลับมาดำเนินการวีซ่าในเดือนตุลาคม 2023
แต่สัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดา เมลานี โจลี เรียกความสัมพันธ์ของประเทศกับอินเดียว่า "ตึงเครียด" และ "ยากมาก"
เธอยังกล่าวอีกว่ายังคงมีภัยคุกคามจากการสังหารมากขึ้นบนดินแคนาดา

ทั้งนี้แคนาดาเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวสิกห์ที่ใหญ่ที่สุดนอกอินเดีย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาที่อาศัยอยู่ในรัฐปัญจาบเป็นส่วนใหญ่

ธนาคารกลางจีน ทดสอบใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ ชำระเงินข้ามพรมแดน เผย!! ใช้บล็อกเชนทำธุรกรรม ประหยัด ‘เวลา - ต้นทุน’

(14 ต.ค. 67) ธนาคารกลาง ‘จีน’ (PBOC) เผยว่าได้เริ่มทดลองการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยใช้ ‘หยวนดิจิทัล’ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ร่วมกับพันธมิตรอย่าง ซาอุดีอาระเบีย ฮ่องกง ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมไปถึงองค์กรระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ 

PBOC เผยว่าปัจจุบัน CBDC ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการบันทึกธุรกรรม ซึ่งทำให้สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนได้ภายในไม่กี่วินาที และลดต้นทุนได้มากถึง 50% 

ปัจจุบัน การโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่มักใช้ระบบ SWIFT ซึ่งต้องผ่านธนาคารตัวกลาง ทำให้การทำธุรกรรมใช้เวลานานหลายวันถึงหนึ่งสัปดาห์ ทั้งนี้การใช้ CBDC จะช่วยเสริมการทำธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์ และลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ของจีน

ความก้าวหน้าของจีนในด้านสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) กำลังกระตุ้นให้ประเทศชั้นนำอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เช่นกัน โดยมีการประกาศร่วมกันในเดือนเมษายน เพื่อทดลองใช้ระบบชำระเงิน CBDC ร่วมกับภาคเอกชน 

นาโอกิ สึกิโอกะ จาก Mizuho Research & Technologies มองว่า จีนมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐาน และเทคโนโลยีใหม่สำหรับธุรกรรมในอนาคต

PBOC เริ่มศึกษา และพัฒนาระบบเงินหยวนดิจิทัลตั้งแต่ปี 2557 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อใช้ในการชำระเงินในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อของที่ร้านค้าหรือร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

โครงการนำร่องครั้งแรกเริ่มต้นที่เมืองเซินเจิ้นในปี 2563 และขยายไปยังหลายพื้นที่ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำเงินหยวนดิจิทัลไปใช้จ่ายในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การชำระค่าอาหาร หรือแม้แต่การจ่ายเงินเดือน และภาษี

จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ธุรกรรมเงินหยวนดิจิทัลมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านหยวนใน  17 จังหวัด สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า และศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลชนิดนี้ในการเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของจีน

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการนำหยวนดิจิทัลมาใช้งานอย่างแพร่หลายคือ ผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมากยังไม่เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างหยวนดิจิทัลกับแอปพลิเคชันชำระเงินยอดนิยมอย่าง WeChat Pay และ Alipay ที่ใช้งานอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าธุรกรรมการชำระเงินในจีนปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นแบบไร้เงินสดอยู่แล้ว

รวบ ‘ชายพกปืน’ ใกล้เวทีหาเสียง ‘ทรัมป์’ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย หลังมีพิรุธ!! ใช้ ‘ทะเบียนรถปลอม-หนังสือเดินทางปลอม’

(14 ต.ค. 67) สำนักงานนายอำเภอริเวอร์ไซด์เคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนียเปิดเผยว่า นายเวม มิลเลอร์ วัย 49 ปีอาศัยอยู่ที่ลาสเวกัส ขับรถเอสยูวีสีดำ ถูกผู้ช่วยนายอำเภอเรียกตรวจเมื่อราว 17.00 น. วันเสาร์ (12 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ทรัมป์ยังไม่ขึ้นเวที

นายแชด เบียนโก นายอำเภอริเวอร์ไซด์เคาน์ตีกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (13 ต.ค.) เชื่อว่า สำนักงานของเขาระงับความพยายามลอบสังหารไว้ได้ แต่ยอมรับว่านี่เป็นเพียง ‘การคาดการณ์’ ของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ผู้ต้องสงสัยได้รับการประกันแล้วปล่อยตัวไป อย่างไรก็ตาม หน่วยงานรัฐบาลกลางกำลังสอบสวนเรื่องนี้

“ที่เรารู้คือเขามีหนังสือเดินทางหลายเล่มใช้ชื่อแตกต่างกัน มีรถไม่ได้จดทะเบียนแต่ใช้ทะเบียนปลอม และอาวุธปืนใส่กระสุนหลายกระบอก ผมเชื่อจริงๆ ว่าเราป้องกันเหตุพยายามลอบสังหารไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง” นายอำเภอกล่าว

นายมิลเลอร์ถูกตั้งข้อหาคดีอาญาสองกระทงทั้งครอบครองอาวุธปืนใส่กระสุนและกระสุนปืนสมรรถนะสูง แต่ได้รับการประกันตัวไปด้วยวงเงิน 5,000 ดอลลาร์ในวันเสาร์ รอยเตอร์สพยายามติดต่อขอความเห็นในวันอาทิตย์ยังติดต่อไม่ได้

สำนักงานนายอำเภอเผยด้วยว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลต่อความปลอดภัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ หรือผู้เข้าร่วมงาน

สำนักงานอัยการลอสแองเจลิสแถลงผ่านเว็บไซต์ในทำนองเดียวกันโดยอ้างหน่วยงานองครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดีว่า ทรัมป์ไม่มีอันตราย หน่วยงานรัฐบาลกลางกำลังสอบสวนเหตุและยังไม่ได้จับกุมใคร

ทรัมป์เคยรอดตายหวุดหวิดจากเหตุถูกมือปืนยิงเฉียดใบหูระหว่างหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อเดือน ก.ค. ต่อมาในเดือน ก.ย. ชายอีกคนหนึ่งถูกตั้งข้อหาพยายามลอบฆ่าทรัมป์ แต่ถูกองครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดีพบตัวเสียก่อน ขณะผู้ต้องสงสัยถือปืนไรเฟิลหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้สนามกอล์ฟปาล์มบีชของทรัมป์ เจ้าตัวปฏิเสธข้อกล่าวหา

แต่ทั้งสองเหตุการณ์ชวนให้เกิดข้อสงสัยถึงแผนการทำงานและการรับมือขององครักษ์พิทักษ์ประธานาธิบดี

ทั้งนี้ การหาเสียงเมื่อวันเสาร์ของทรัมป์ จัดขึ้นที่หุบเขาโคเชลลาที่โด่งดังเรื่องการจัดเทศกาลดนตรีและศิลปะประจำปี

‘แพนทากอน’ เตรียมส่ง THAAD พร้อมทหารอเมริกัน เสริมกำลังให้ ‘อิสราเอล’ ย้ำชัด!! ‘สหรัฐฯ’ พร้อมอยู่เคียงข้าง ในการต่อสู้กับภัยคุกคาม จากอิหร่าน

(14 ต.ค. 67) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ เตรียมที่จะจัดส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศในบรรยากาศระดับสูง หรือ THAAD พร้อมระบบต้านขีปนาวุธ และ กองกำลังทหารอเมริกัน ผนึกกำลังกองทัพอิสราเอล ต้านภัยการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน 

โดยนายพล แพท ไรเดอร์ โฆษกประจำแพนทากอน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ได้รับคำสั่งตรงจาก ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้จัดส่งระบบป้องกันขีปนาวุธอันล้ำสมัยของสหรัฐไปเสริมกำลังให้ฝ่ายอิสราเอลทันที ซึ่งความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐในวันนี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯพร้อมยืนอยู่เคียงข้างอิสราเอลในการต่อสู้กับภัยคุกคามจากอิหร่าน หลังจากที่เตหะรานตัดสินใจยิงขีปนาวุธกว่า 180 ลูกโจมตีกรุงเทล-อาวีฟ ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา

การส่งกำลังทหารไปยังอิสราเอล ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับสหรัฐอเมริกา ยกเว้นการซ้อมรบร่วมของ 2 ชาติ แต่ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯครั้งนี้ ทางแพนทากอนกล่าวว่า เป็นการปรับเปลี่ยนแผนการครั้งใหม่เพื่อสนับสนุนอิสราเอลและปกป้องพลเมืองสหรัฐฯ จากเมื่อหลายเดือนก่อน ที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งทหารอเมริกันไปช่วยเหลืออิสราเอลในการป้องกันเรือรบและการโจมตีทางอากาศในตะวันออกกลางมาก่อนแล้ว แต่นั่นเป็นการตั้งกองหนุนนอกพรมแดนอิสราเอลเท่านั้น

ด้าน พ.ต.ท. นาดาฟ โชชานี โฆษกกองทัพอิสราเอล ได้ออกมาขอบคุณสหรัฐฯ ที่ส่งระบบต้านขีปนาวุธมาสนับสนุนอิสราเอล แม้ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าระบบ THAAD จะถูกส่งมาถึงอิสราเอลเมื่อใดก็ตาม

THAAD เป็นของระบบป้องกันทางอากาศแบบหลายชั้น ที่มีความสำคัญในกองทัพสหรัฐฯ อีกทั้งยังเพิ่มระบบการป้องกันต่อต้านขีปนาวุธของอิสราเอลที่น่าเกรงขามอยู่แล้วให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก

โดยปกติแล้ว THAAD ต้องใช้กำลังทหารประมาณ 100 นาย ในการควบคุม สำหรับการปฏิบัติการ โดยระบบจะประกอบด้วยเครื่องยิงที่ติดตั้งบนรถบรรทุกได้ 6 เครื่อง ที่จะมีเครื่องสกัดกั้น 8 ชุดในแต่ละเครื่องยิง และเรดาร์ศักยภาพสูงอีก 1 ตัว 

ด้าน อับบาส อารัคชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ผ่าน X ว่า สหรัฐฯกำลังทำให้ชีวิตกองทหารของตนอยู่ในความเสี่ยงหากคิดจะส่งพวกเขาไปสนับสนุนกองทัพอิสราเอล ในขณะที่อิหร่านพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และพร้อมปกป้องประชาชน และ ผลประโยชน์ของอิหร่านเช่นกัน 

ด้านนักวิเคราะห์บอกว่า อิหร่านก็พยายามหลีกเลี่ยงการทำสงครามโดยตรงกับสหรัฐฯ แต่หากรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจส่งกองทหารอเมริกันเข้ามาสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มตัว ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญในสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางที่อิหร่านต้องปรับแผนรับมือใหม่อีกครั้ง 

บัณฑิตจีน สิ้นหวัง เกษียณกลับบ้านเกิด ด้วยความท้อแท้ เหตุ!! อุตสาหกรรมทรุดตัว บริษัทเลิกจ้าง แรงงานล้นตลาด

(14 ต.ค. 67) หากคิดว่าหางานใน ‘ไทย’ ยากแล้ว ใน ‘จีน’ กลับยิ่งหางานยากกว่ามาก แม้มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หนุ่มสาวจบใหม่ในจีนตอนนี้กลับหางานลำบากยิ่งนัก โดยอัตราว่างงานของหนุ่มสาวจีนในเดือนสิงหาคม “ทำสถิติใหม่” ที่ 18.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มใช้ระบบบันทึกสถิติใหม่ในเดือนธันวาคม โดยเพิ่มขึ้นจาก 17.1% ในเดือนกรกฎาคม

มีเรื่องราวของสาวจีนที่จบการศึกษามาไม่นาน เธอชื่อ สวี่อวี่ (Xu Yu) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง และใช้เวลาหางานเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว

แม้เธอจะมีผลการเรียนดีเยี่ยมและประสบการณ์ฝึกงานถึงสามครั้ง สวี่อวี่ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดงานที่ดุเดือด เธอลงทุนเงินกว่า 20,000 หยวน หรือราว 90,000 บาทเพื่อเข้าฝึกอบรมเทคนิคการสัมภาษณ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความผิดหวังเมื่อได้รับจดหมายปฏิเสธจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Tencent Holdings และ JD.com

ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ ถังฮุ่ย (Tang Hui) เธอได้รับข้อเสนองานด้านบัญชีจากผู้ผลิตรถพลังงานใหม่ชั้นนำก่อนจบการศึกษา แต่ต่อมาบริษัทได้ยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดให้กับผู้จบใหม่ ถังฮุ่ยได้รับเงินชดเชยเป็นค่าแรงหนึ่งเดือน แต่หลังจากนั้น แม้ว่าเธอจะสมัครงานไปกว่า 50 บริษัทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ได้รับข้อเสนอใด ๆ กลับมา เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของบัณฑิตใหม่จีนหลังจบการศึกษา

ในปีนี้ เหล่าบัณฑิตจีนที่จบออกมามีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11.8 ล้านคน และกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานที่อ่อนแอที่สุดที่จีนเคยเผชิญมาหลายปี จากการที่บรรดาบริษัทด้านอินเทอร์เน็ต การศึกษา และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมกระดูกสันหลังของจีน ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง 

ยกตัวอย่าง ‘เหล่าบริษัทเทคโนโลยี’ อย่าง  Alibaba, Tencent และ Baidu ก่อนหน้านี้เคยขยายการจ้างงาน แต่ปัจจุบันตัดสินใจลดจำนวนพนักงานลง โดย Alibaba ตัดพนักงานลงมากกว่า 13%

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ ‘ธุรกิจกวดวิชา’ ที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร รัฐบาลออกระเบียบลดภาระการบ้านและการติวหลังเลิกเรียน อีกทั้ง ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนจีดีพีจีนก็ยังคงซบเซา จนทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงานทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้ได้หายไปในปีนี้

ส่วนอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานทดแทนและเซมิคอนดักเตอร์ ยังไม่สามารถทดแทนด้านการจ้างงานได้ เพราะการสรรหาบุคลากรเหล่านี้ ‘ต้องการความสามารถเฉพาะทาง’ ซึ่งมักมีวุฒิขั้นสูง เช่น BYD ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ในปีนี้ได้ลดการรับสมัครนักศึกษาลงมากกว่าครึ่งจาก 30,000 คนในปี 2023

หลายคนอาจมีค่านิยมว่า จบจากมหาวิทยาลัยดังมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ปัจจุบันนี้อาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกต่อไป หลายบริษัทต้องการคนมีประสบการณ์และเคยผ่านงานด้านนั้นมากกว่า  

จากที่เคยเป็นเพียงส่วนเสริม ‘ประสบการณ์การฝึกงานที่ผ่านมา’ ได้กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดโอกาสในการทำงาน หลิว จื่อเฉา (Liu Zichao) บัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อนี้ เมื่อเขาคว้าตำแหน่งงานเทคโนโลยีมาครองได้สำเร็จหลังจากฝึกงานที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok 

เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่การฝึกงานเฉพาะทาง กำลังกลายเป็นตัวชี้วัดความสามารถที่สำคัญยิ่งกว่าวุฒิการศึกษา

นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจจีนอันซบเซาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ บัณฑิตจบใหม่หลายคนกำลังเผชิญปัญหาการหางานที่ไม่ตรงกับความสามารถของตนเอง โดยมีคุณสมบัติเกินกว่างานระดับล่าง แต่ขาดประสบการณ์สำหรับงานระดับสูง

ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังด้านอาชีพที่สูงขึ้นของบัณฑิตในปัจจุบัน กำลังทำให้ความไม่ลงรอยกันในตลาดแรงงานของจีนเพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลหลายคนรายงานว่า ความทะเยอทะยานที่เกิดจากโซเชียลมีเดียสำหรับงานเทคโนโลยีที่มีรายได้สูงได้นำไปสู่การเรียกร้องเงินเดือนที่สูงเกินจริง ทำให้บัณฑิตจำนวนมากไม่พอใจกับตำแหน่งงานที่มีอยู่

จาง (Zhang) ผู้จัดการทรัพยากรบุคคลกล่าวว่า บัณฑิตที่สอบข้าราชการไม่ผ่านมักเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่พร้อม และเรียกร้องเงินเดือนสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมมาก

ในทำนองเดียวกัน หยาง เจียน (Yang Jian) ซึ่งทำงานด้านการสรรหาบุคลากรสำหรับบริษัทอัตโนมัติขนาดเล็กกล่าวว่า ความคาดหวังที่ไม่สมจริงของบัณฑิตจบใหม่ และความลังเลในการยอมรับงานที่มีรายได้ต่ำกว่า ทำให้บริษัทของเธอหยุดรับสมัครบัณฑิตใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันมามองดูมุมมองของเหล่าบัณฑิต ผู้หางานรุ่นใหม่รู้สึกไร้อำนาจในตลาดแรงงาน สวัสดิการพื้นฐานเช่น วันทำงานแปดชั่วโมงและประกันสังคมที่ได้รับกลับถูกมองว่าเป็นสิ่งหรูหรา โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีนพบว่า พนักงานรุ่นใหม่ทำงานหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นการทำงานเฉลี่ย 251.9 ชั่วโมงต่อเดือน และมีความคุ้มครองด้านประกันสังคมที่ต่ำจากนายจ้าง

ด้วยภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรู้สึกสิ้นหวังในตลาดแรงงาน ชาวจีนรุ่นใหม่จึงถอยกลับไปยังชนบท โดยหลังจากประกาศว่าตนถูกเลิกจ้าง ลาออก หรือว่างงาน ชาวจีนเจน Z และ Y ก็บันทึกชีวิตประจำวันแบบ ‘เกษียณอายุ’ ในชนบทของตนบนโซเชียลมีเดีย  

เมื่อปีที่แล้ว ผู้เกษียณอายุที่ประกาศตนเองวัย 22 ปี ซึ่งใช้ชื่อแฝงว่า เหวินจือ ต้าต้า (Wenzi Dada) ได้ตั้งถิ่นฐานในกระท่อมไม้ไผ่ริมหน้าผาในมณฑลกุ้ยโจวของจีน เหวินจือ ซึ่งเคยทำงานในหลากหลายสาขา เช่น ซ่อมรถยนต์ ก่อสร้าง และการผลิต บอกกับสื่อท้องถิ่นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องจัดการกับเครื่องจักรทุกวัน จึงลาออกเพื่อกลับบ้านเกิด

นอกจากนี้ บัณฑิตบางคนหันไปทำงานอิสระ เช่น เป็นคนขับส่งของหรือพี่เลี้ยงเด็ก ในขณะที่อีกหลายคนก็เลื่อนการเข้าสู่ตลาดแรงงาน

‘อิหร่าน’ ออกประณาม!! มาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของ ‘สหรัฐอเมริกา’ ชี้!! ‘ผิดกฎหมาย-ไม่ยุติธรรม’ ทั้งยังทำให้อิสราเอลได้ใจ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ต่อไป

(14 ต.ค. 67) ในแถลงการณ์ของ ‘เอสมาอิล บาเกอี’ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ได้กล่าวปกป้องการโจมตีอิสราเอลของอิหร่านว่า เป็นการกระทำที่ ‘ถูกกฎหมาย’ และยืนกรานว่า อิหร่านมีสิทธิตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ พร้อมกับประณามการคว่ำบาตรของสหรัฐอย่างรุนแรง โดยบอกว่าเป็นการดำเนินงานที่ ‘ผิดกฎหมายและไม่ยุติธรรม’

เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา สหรัฐลงโทษอิหร่านด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.

ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐ รายงานว่า หน่วยงานมุ่งเป้าออกมาตรการคว่ำบาตรไปที่กองเรือมืดของอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายน้ำมันอิหร่าน ซึ่งถือเป็นช่องทางหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรที่มีอยู่

กระทรวงฯระบุว่า ได้ออกข้อกำหนดให้บริษัทอย่างน้อย 10 แห่ง และเรืออย่างน้อย 17 ลำ เป็น ‘สินทรัพย์ที่ถูกปิดกั้น’ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีของอิหร่าน

นอกจากนี้ยังได้ประกาศออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อธุรกิจ 6 ราย และเรือ 6 ลำ เนื่องจากมีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมที่สำคัญสำหรับการซื้อ การขาย การขนส่ง หรือการตลาดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมหรือปิโตรเคมีจากอิหร่าน

อย่างไรก็ตาม บาเกอี บอกว่า นโยบายที่เป็นภัยคุกคามและสร้างแรงกดดันมากที่สุดนี้ ไม่มีผลกระทบต่อเจตจำนงของอิหร่านที่ต้องการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน และว่า การคว่ำบาตรจะอาจทำให้อิสราเอลสังหารผู้บริสุทธิ์ได้ต่อไป ทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อความสงบ และความสามัคคีของภูมิภาคและของโลก

ทั้งนี้ มาตรการคว่ำบาตรใหม่มีขึ้นขณะที่โลกกำลังจับตาดูการตอบโต้ของอิสราเอลต่อการโจมตีของอิหร่าน และมีขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค.

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้แนะให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่อับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ออกมาเตือนเมื่อวันอังคาร (8 ต.ค.) ว่า หากมีการโจมตีใด ๆ เกิดขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐานในอิหร่าน อิหร่านจะตอบโต้อย่างรุนแรงมากขึ้น

‘แอนโทนี่ ตัน’ ซีอีโอ Grab ทำงานหนัก วันละ 20 ชั่วโมง ด้วยเงินทุน 8 แสนบาท สร้าง ‘ยูนิคอร์น’ ตัวแรกของอาเซียนได้สำเร็จ กวาดรายได้ปีละ 6.6 หมื่นล้านบาท

(13 ต.ค. 67) ‘แกร็บ’ (Grab) สตาร์ทอัพเล็กๆ ในมาเลเซีย ที่เริ่มต้นด้วยบริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ จากเงินทุนก้อนแรก 8 แสนบาท ก้าวสู่การเป็น ‘ยูนิคอร์น’ บริษัทแรกของอาเซียนในเวลาเพียงไม่กี่ปี 

เพียงเพราะ ‘แอนโทนี่ ตัน’ เด็กหนุ่มทายาทตระกูลร่ำรวยที่อยากพิสูจน์ตัวเอง จนสร้าง ‘ซูเปอร์แอป’ ที่มีรายได้ปีละ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 6.6 หมื่นล้านบาท ด้วยธุรกิจเจาะกลุ่ม ‘ฐานของปิรามิด’ และทำงานหนักเพื่อสร้างแอปที่ใช้งานได้จริง 

แอนโทนี่ ตัน โตมากับตำแหน่งทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลแทน  จากการทำธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ข้ามชาติ บริษัทตันชงมอเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศมาเลเซีย จนไม่จำเป็นต้องแสวงหาความร่ำรวยแล้ว 

ในปี 2552  แทนได้เข้าศึกษาต่อที่ Harvard Business School และพบกับ โฮย หลิง ตัน เพื่อนชาวมาเลเซียในชั้นเรียน ‘การทำธุรกิจในตลาดที่เป็นฐานของปิรามิด’ 

จนกระทั่งปีในปี 2554 ทั้งคู่ได้พูดคุยกันถึงปัญหาความปลอดภัยของระบบแท็กซี่ในมาเลเซีย โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง ซึ่งจุดประกายให้พวกเขาตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

จุดเริ่มต้นของธุรกิจ Grab หลังจากที่ทั้งคู่ได้ร่วมกันร่างแผนธุรกิจเพื่อเข้าร่วมการประกวดสตาร์ทอัพในมหาวิทยาลัย และสามรถคว้ารางวัลรองชนะเลิศพร้อมเงินรางวัล 25,000 ดอลลาร์ หรือราวๆ 8 บาทเท่านั้น

จากสตาร์ทอัพเล็กๆ ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำอย่าง SoftBank จนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เส้นทางการสร้างบริษัทให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ความคาดหวังของครอบครัวที่อยากให้ตันสานต่อธุรกิจที่บ้าน มำให้ไอเดียการสร้าง Grab ถูกปฏิเสธ พ่อของเขาพูดว่า “ฉันไม่คิดว่ามันจะสำเร็จ” ประโยคกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทันมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง

เมื่อขอเงินทุนจากพ่อไม่สำเร็จ ทันหันขอเสนอแผนธุรกิจนี้กับแม่ ซึ่งเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจนี้และตัดสินใจสนับสนุนเงินทุนให้เป็นคนแรก ด้วยเงินทุนที่ได้มา ทันจึงเริ่มต้นธุรกิจ Grab ภายใต้ชื่อ MyTeksi ในเดือนมิถุนายน ปี 2555 
.
ช่วงเริ่มต้นของ Grab นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย ตันและทีมงานต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องงบประมาณที่จำกัดในการสร้างระบบแท็กซี่ใหม่ให้กับมาเลเซีย

สำนักงานเดิมของ Grab ตั้งอยู่ในห้องเล็กๆ ในกัวลาลัมเปอร์ เป็นห้องทำงานเล็กๆ ที่ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานอย่างเครื่องปรับอากาศขณะที่อากาศร้อนตลอดปี และไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตขนาดต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากมือถือ

นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้เป็นเรื่องยากที่ทำให้ Grab ดึงคนขับมาเป็นพาร์ทเนอร์บนแพลตฟอร์ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ในการเริ่มต้นธุรกิจ Grab ในช่วงแรก ๆ แทนได้เดินทางไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อโน้มน้าวให้พนักงานขับรถแท็กซี่มาลองใช้บริการ Grab

ตันสังเกตเห็นพฤติกรรมของคนขับแท็กซี่ในโฮจิมินห์ซิตี้ที่มักแวะดื่มกาแฟที่ปั๊มน้ำมันในช่วงเช้า จึงนำไปสู่ไอเดียแจกกาแฟฟรีตอน ตี 4 เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและชักชวนให้พวกเขามาร่วมงานกับ Grab นั่นเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เค้าเข้าถึงกลุ่มไรเดอร์

ส่วนที่มะนิลา แทนใช้เวลาช่วงเช้ามืดไปทำความรู้จักกับคนขับแท็กซี่อย่างใกล้ชิด นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตพร้อมกับดื่มเบียร์เย็นๆ เพื่อให้เข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

ปี 2561  เป็นปีที่ตลาดบริการเรียกรถในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ Uber ยักษ์ใหญ่ด้านการเรียกรถบริการจากสหรัฐตัดสินใจขายธุรกิจในภูมิภาคนี้ให้กับ Grab คู่แข่งรายสำคัญ โดยแลกกับหุ้นใน Grab ถึง 27.5% และ Dara Khosrowshahi ซีอีโอของ Uber เข้าร่วมคณะกรรมการของ Grab 

การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามการแข่งขันที่ดุเดือดและยาวนาน ทำให้ Grab กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งในภูมิภาคอย่างมาก

แม้ว่า Grab จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและขยายธุรกิจไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการผูกขาดตลาดจากทั้งนักวิจารณ์และหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วและการครอบคลุมตลาดในหลายประเทศ 

Grab ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไปแล้ว เช่นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง และเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้คนในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือที่เรียกว่า ‘ฐานของปิรามิด’

ตอนนี้นอกจาก Grab จะให้บริการเรียกแล้ว ยังขยายธุรกิจไปสู่บริการจัดส่งอาหารและสินค้า รวมถึงบริการทางการเงิน เช่น การชำระเงิน การให้กู้ยืมและธนาคารดิจิทัล ปัจจุบันแกร็บให้บริการลูกค้ากว่า 35 ล้านคน และสร้างงานอิสระกว่า 13 ล้านตำแหน่งใน 8 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา 

‘คณะกรรมการโนเบล’ มอบ ‘รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ’ ให้องค์กรในญี่ปุ่น เพื่อเชิดชูความพยายาม ในการผลักดันโลก ให้ปลอดจาก ‘อาวุธนิวเคลียร์’

(12 ต.ค. 67) คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลมีมติเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ประกาศให้ สมาพันธ์ผู้ประสบภัยจากระเบิดปรมาณูและไฮโดรเจนแห่งญี่ปุ่น หรือ ‘นิฮง ฮิดันเกียว’ (Nihon Hidankyo) ซึ่งเป็นองค์กรของผู้รอดชีวิตในญี่ปุ่นจากระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับ "รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ" ประจำปีนี้ เพื่อเชิดชูความพยายามในการผลักดันโลกให้ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์

คณะกรรมการฯ ระบุว่า นิฮง ฮิดันเกียว ซึ่งเป็นองค์กรรากหญ้าที่มีการก่อตั้งขึ้นในปี 1956 หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในเดือนส.ค. 1945 ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่ร้ายแรงต่อมนุษยชาติจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์

แม้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงครามเป็นเวลาเกือบ 80 ปีแล้ว แต่เป็นเรื่องน่าวิตกที่ในปัจจุบัน แนวคิดในการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์กำลังถูกกดดัน

สำหรับพิธีมอบรางวัลโนเบลจะมีขึ้นที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ในวันที่ 10 ธ.ค. โดยบุคคลหรือองค์กรที่คว้ารางวัลจะได้รับเงินจำนวน 11 ล้านโครนาสวีเดน (1.06 ล้านดอลลาร์) หรือราว 35 ล้านบาท

สำนักข่าววีโอเอระบุว่า สหรัฐทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกใส่ญี่ปุ่นในปี 1945 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 120,000 คนทันที และมีประชาชนจำนวนเท่าๆ กันเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากแผลไหม้และผลกระทบของกัมมันตภาพรังสี ขณะที่มีผู้รอดชีวิตอยู่ราว 650,000 คนที่มีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ฮิบากูชะ (Hibakusha)

แถลงการณ์ของคณะกรรมการโนเบลระบุว่า ชะตาชีวิตของผู้รอดชีวิตเหล่านั้นถูกปกปิดไว้หรือไม่สังคมก็ไม่ยอมรับรู้ และในปี 1956 สมาคมฮิบาคุชะหลายแห่งในญี่ปุ่นมารวมตัวกันกับเหยื่อของการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อสร้างกลุ่ม Nihon Hidankyo ขึ้นมา

คณะกรรมการรางวัลโนเบลระบุว่า กลุ่มดังกล่าวได้รับรางวัลสันติภาพจาก ‘ความพยายามที่จะให้โลกปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ และจากการแสดงให้เห็นผ่านคำให้การของพยานผู้รอดชีวิตว่า จะต้องไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์อีกต่อไป’

"ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง" โทชิยูกิ มิมากิ ประธานร่วมของนิฮง ฮิดันเกียว กล่าวโดยกลั้นน้ำตาและบีบแก้มตัวเองไว้ ในการแถลงข่าวที่เมืองฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุระเบิดปรมาณูเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ในช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง

มิมากิซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตกล่าวว่า รางวัลนี้จะช่วยผลักดันความพยายามในการแสดงให้เห็นว่า การยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นไปได้ และตำหนิรัฐบาลต่างๆ ที่ยังเดินหน้าทำสงครามแม้ว่าประชาชนจะโหยหาสันติภาพก็ตาม

ด้านยอร์เกน วัตเน ฟรีดเนส ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ กล่าวเตือนโดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศใดประเทศหนึ่งว่า ประเทศที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไม่ควรคิดที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์

‘รัสเซีย’ บล็อก!! ‘Discord’ ข้อหาไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ด้านการสื่อสาร งานเข้า!! ทหารหมีขาว เต็มๆ เพราะดันใช้สื่อสารกันเอง ในกองทัพ

(12 ต.ค. 67) รัสเซียสั่งบล็อกการใช้งาน Discord ด้วยเหตุผลว่าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายด้านการสื่อสารของรัสเซีย ที่ต้องป้องกันการนำไปใช้ก่อการร้าย และยาเสพติด

รัสเซียบล็อกช่องทางโซเชียลของต่างชาติ เช่น Facebook, Twitter ตั้งแต่วันแรก ๆ ของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนช่วงต้นปี 2022 การบล็อก Discord หลังเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 3 ปีอาจเป็นเรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมเพิ่งมาบล็อกตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Washington Post รายงานว่าการบล็อก Discord ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อกองทัพรัสเซียเอง เพราะทหารในกองทัพรัสเซียสื่อสารกันด้วย Discord เนื่องจากเป็นช่องทางการส่งข้อความที่ปลอดภัย เข้ารหัส และยังไม่ถูกบล็อกการใช้งานในประเทศ ทางการรัสเซียเคยสัญญาว่าจะทำแอปแชตของตัวเอง แต่มาถึงปัจจุบันก็ยังไม่เกิดขึ้น

การบล็อก Discord ของรัสเซีย เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการบล็อกในตุรกี ซึ่งหน้าสถานะของ Discord ก็ยืนยันว่าถูกทั้งสองประเทศบล็อกจริง ๆ

สถานการณ์ความรุนแรงใน ‘เมียนมา’ เริ่มจะเบาบางลง เหตุ!! ‘งบน้อย-จีนออกมาปราม-เตรียมเดินหน้าเจรจา’

(12 ต.ค. 67) หลายวันก่อนเอย่าไปคุยถึงสถานการณ์เมียนมากับมิตรสหายสายข่าวกรองในเมียนมาท่านหนึ่งว่าทำไมช่วงนี้ความรุนแรงในเมียนมาเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิตรสหายท่านนั้นได้บอกเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว

อันแรกคือการที่ประเทศผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการกำลังมีการจะมีเลือกตั้งผู้นำ  ทำให้นโยบายต่างประเทศไม่ชัดเจนดังนั้นพอเงินที่มาน้อยลงใบเสร็จก็ลดลงตาม

ประเด็นที่ 2 การที่จีนผู้เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องออกโรงมาปรามกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องอันมาจากเหตุที่เข้าไปยึดล่าเสี้ยว ทำให้สถานการณ์ทางเหนือของเมียนมาเงียบลง

ล่าสุดทางรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกประกาศเชิญชวนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม PDF ไปถึง NUG ให้เข้ามาเจรจาสันติภาพเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งในเมียนมา ซึ่งแน่นอนว่าประกาศนี้ถูกฝ่าย NUG ออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งถ้าถามเอย่าว่าแปลกใจไหมบอกเลยว่าไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะทางรัฐบาลทหารเมียนมาก็ต้องการคำตอบนี้จาก NUG เช่นกันและผลักดันให้ NUG กลายเป็นตัวร้ายในสายตาชาวโลก

การที่เมียนมากล้าทำแบบนี้เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้การช่วยเหลือ อันได้แก่รัสเซีย จีน และอินเดีย ดังปรากฏให้เห็นแล้วว่าเมื่อจีนกับอินเดียเป็นแบ็กอัปให้เมียนมาทำให้สถานการณ์ทางเหนือและฝั่งตะวันตกเบาบางลงเหลือเพียงสถานการณ์ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

จากสถานการณ์สงครามในเมียนมาฝั่งตะวันออกติดแนวชายแดนไทยทำให้มูลค่าส่งออกลดลงนับหลายพันล้านบาทนี่ไม่นับปัญหาที่ไทยจะต้องมานั่งรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้อพยพหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทยไปถึงการฟอกขาวเป็นคนไทย ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดสุดท้ายคือการที่ไทยกลายเป็นแหล่งระดมทุนซื้อขายอาวุธส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ทั้งหมดที่เอย่ากล่าวมานี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ทว่ารัฐบาลไทยก็ดี กองทัพไทยก็ดี ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยสร้างความสงบสุขในเมียนมา

เอย่าก็ไม่ได้อยากจะต่อว่ารัฐบาลและกองทัพไทยในเวลานี้เข้าใจว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพคงกำลังช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกับสถานการณ์วาตภัยอยู่ แต่การละเลยปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทยด้วยกันเอง

สุดท้ายผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยควรหัดมาถามชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีต่างด้าวมากมายเพ่นพ่านในประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top