Monday, 20 May 2024
CRIMES

กองปราบ ตามรวบขบวนการค้าสัตว์ข้ามชาติ พบสัตว์บางส่วนเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากถูกจับใส่กล่องมาเบียดกัน

กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก., (หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 2 ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ตร. ) และ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.มีชัย กำเนิดพรม, พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป., สั่งการให้ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป., พ.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดชะพันธ์ รอง ผกก.3 บก.ป., นำทีมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 2 ศปจร.ตร.

โดย พ.ต.ต.หญิง กัญจิรา นรสาร สว.ฝอ.บก.ปปป. ปฏิบัติราชการ ศปจร.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ไล่ล่าพ่อค้าสัตว์ป่าสงวนข้ามชาติได้ผู้ต้องหา 1 ราย บนถนนสาย 359 ทราบชื่อนายภานุพงศ์ จูสิงห์ ขับรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ทะเบียนปลอม 1ฒฉ 4894กทม.นายภาณุพงศ์ยอมรับสารภาพว่ารับจ้างขนสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลิง) 218 ตัวในราคาครั้งละ 3,000 บาททำมาแล้ว 3 ครั้ง โดยนักบินมาจากจังหวัดพิจิตรเพื่อที่จะนำไปส่งที่จังหวัดสระแก้วซึ่งจะมีคนมารับช่วงต่ออีกทีหนึ่งแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับได้ที่บริเวณถนนสาย 359 ดังกล่าว และยังพบว่ามีลิงเสียชีวิตแล้วก็มีเป็นบางส่วนเนื่องจากถูกจับใส่กล่องมาเบียดเสียดกัน ทั้งนี้จะได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบข้อหาครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง


ภาพ/ข่าว  ทองสุข สิงห์พิมพ์

ตำรวจ ตชด.อส.เบตง บุกรวบ 2 ผู้ต้องหา แก๊งค้ายาเสพติด ยึดของกลาง ไอซ์ครึ่งกิโลกรัม อาวุธปืน กระสุนนับร้อย ขยายผลยาไอซ์ ครึ่งกิโลกรัม พร้อมปืนลม กระสุน 22 รวม 100 นัด

วันที่ 27 พ.ค.64 ร.ต.อ.สมพร สว่างจิต รอง.สว.สส.สภ.เบตง สืบทราบว่าที่บ้านเลขที่ 28 ซ.7 ถ.รัตนกิจ ต.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นบ้านของนายรอสลี สาเล็ง อายุ 32 ปี มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ จึงรายงานให้ พ.ต.อ.เอกชัย พราหมณกุล ผกก. รับทราบ พร้อมประสาน ร.ต.อ.มาคุภูมิ ธรรมเนียม หัวหน้าชุดปฏิบัติการการข่าว ร้อย ฉก.ตชด. 445 นายพิชัย แก้วจำรัส ปลัดอำเภอเบตง รับผิดชอบงานยาเสพติด นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตชด. อส.อำเภอเบตง เข้าตรวจค้น พบของกลาง ยาไอซ์จำนวน 3 ถุง น้ำหนักรวม 56.3 กรัม ถุงพลาสติกใส ซึ่งไว้สำหรับใส่ยาเสพติด 6 ใบ อุปกรณ์การเสพยาไอซ์จำนวน 1 ชุด อาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก อาวุธปืนสั้นขนาด 357 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนขนาด 357 จำนวน 41 นัด กระสุนปืนขนาด 38 จำนวน 8 นัด กระสุนปืนลูกซองเบอร์12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 2 นัด เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจยึดเงินสดจำนวน 24,580 บาท รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน ซึ่งคาดว่าทรัพย์ดังกล่าวได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติด

จากการสอบถามเบื้องต้น รับสารภาพ เคยถูกจับกุมยาบ้าและรับโทษมาแล้วประมาณ 6 ปี หลังจากพ้นโทษก็ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร และเมื่อไม่นานมานี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเดียวกันจับกุมยาไอซ์และอาวุธปืน ซึ่งยังอยู่ในช่วงรอคำตัดสิน ก็มาถูกจับกุมซ้ำอีก ยาไอซ์ที่เจ้าหน้าที่จับกุมในครั้งนี้ ได้ซื้อมาจาก นายวา ในราคา 20,000 บาท เพื่อนำมาเสพ ส่วนอาวุธปืนยาวเพื่อนเอามาจำนำไว้ในราคา 7,000 บาท ปืนสั้นเพื่อนนำมาฝากไว้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมยังได้ทำการขยายผลไปค้นบ้านเลขที่ 47/10 ถ.รวมวิทย์ ต.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา จนสามารถจับกุมตัวนายอันนูวา หรือวา สาลัม อายุ 37 ปี พร้อมของกลางยาไอซ์จำวน 2 ถุง น้ำหนักรวม 507.67 กรัม เครื่องชั่งดิจิตอล 1 เครื่อง ถุงพลาสติกใสที่ใช้ใส่ยาไอซ์จำนวน 22 ถุง อุปกรณ์การเสพยา 1 ชุด อาวุธปืนอัดลม 1 กระบอก กระสุนหัวร่มที่ใช้กับปืนอัดลมจำนวน 1 กระปุก กระสุนปืนขนาด 22 จำนวน 110 นัด นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.เบตง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์ โพธิทัพพะ / ปื๊ด เบตง

หนุ่มอาสารักษาดินแดน ขับรถจักรยานยนต์ ถูกรถเก๋งเลี้ยวซ้ายตัดหน้าชนกระเด็นอัดเสาไฟฟ้าเสียชีวิตคาที่

เมื่อเวลา 09.15 น.ของวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ร.ต.อ.วิเดช หงส์ทัพ ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายก ได้รับแจ้งเหตุมีรถจักรยานยนต์ชนกับรถเก๋ง มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย บริเวณถนนสุวรรณสรขาเข้าตัวเมืองนครนายก หมู่ที่ 10 ตำบลพรหมณี อำเภอเมือง จังหวัดนครนยก ตรงข้ามศูนย์มิตซูมิชิ จึงไปยังที่เกิดเหตุพร้อมแพทย์เวร และกู้ภัยสว่างอริยะจุดพรหมณี พบรถจักรยานยนต์ฮอนด้าสีดำ 150 ซีซี ทะเบียน 1 กฎ สระบุรี 6249 ชนอัดเสาไฟฟ้า รถจักรยานยนต์พังเสียหายใกล้กันพบศพนายกฤษฏา จันทร์แดง อายุ 38 ปี เป็นเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน อำเภอบ้านนา นอนเสียชีวิตอยู่ในที่เกิดเหตุ แพทย์เวรชันสูจน์พบว่าบริเวณลำตัวมีรอยช้ำ ข้อเท้าซ้ายหักผิดรูปกระดูกโผล่ แขนขวาฉีกและนิ้วมือขาด ถัดมา 10 เมตรพบรถยนต์เก๋งฮอนด้าสีเทาทะเบียน กฉ 3231 นครนายก บริเวณประตูรถข้างซ้ายถูกชนได้รับความเสียหายมีเศษเนื้อคนกระจายทั่วบริเวณ มีนางวัลลภา เซียมลา อายุ 69 ปี เป็นคนขับรถเก๋งยืนรอเจ้าหน้าที่ตรวจในที่เกิดเหตุ

จากการให้สัมภาษณ์จากนางวัลลภา เซียมลา เล่าว่าตนได้ขับรถเก๋งไปทำธุระที่ตัวเมืองนครนายก จากนั้นจะกลับบ้าน เมื่อขับมาถึงจุดกลับรถใกล้แยกช้างตนจึงได้เลี้ยวรถเพื่อจะตีซ้ายเข้าบ้านและเป็นจังหวะที่มีรถจักรยานยนต์ขับมาพอดีจึงเกิดเหตุชนกันมีผู้เสียชีวิตดังกล่าว

จากการให้สัมภาษณ์ น.ส วราภรณ์ บุญมี อายุ 30 ปี ภรรยา นายกฤษฎา ผู้เสียชีวิตเล่าว่าสามีเป็นเจ้าหน้าที่ อส. อาสารักษาดินแดน อยู่ที่กองอาสารักษาดินแดน อำเภอบ้านนา และในวันเกิดเหตุได้ออกเวรจะขับรถจักรยานยนต์มาหาตนที่ทำงานในตัวเมืองนครนายก และมีเพื่อนโทรมาแจ้งว่าสามีถูกรถชนเสียชีวิต ตนจึงได้มายังที่เกิดเหตุ  และพบว่าได้เสียชีวิตดังกล่าว

จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุและเก็บข้อมูลหลักฐานและได้เชิญนางวัลลภา เซียมลา คนขบรถยนต์เก๋งไปสอบสวนและดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ นครนายก

ตรวจยึดจับกุมการกระทำความผิด ที่บุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน เนื้อที่ 311 ไร่ จังหวัดชุมพร

วันที่ 25 พฤษภาคม 2564 เวลา 08.30 น จังหวัดชุมพร สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ เข้ารื้อถอนพืชผลอาสินออกจากพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุก ในเขตป่าชายเลน ตามมติคณะรัฐมนตรี ในพื้นที่บ้านดอนพลับ หมู่ที่ 4 ตำบลปากหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร นำโดยนายไมตรี แสงอริยนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ป่าไม้ พร้อมเครื่องมือ และรถแม็คโคร เข้าทำการรื้อถอนพืชผลอาสินออกจากพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุก ในเขตป่าชายเลน ตามมติคณะรัฐมนตรี ท้องที่ บ้านดอนพลับ หมู่ที่ 4 ตำบลปากหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 311 ไร่ เพื่อจะนำพื้นที่ที่ยึดคืนมาฟื้นฟูให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ ตลอดจนปลุกจิตสำนึกให้เจ้าหน้าที่มีความภาคภูมิใจในการปฏิบัติงานป้องกันรักษาป่าจากภัยคุกคามต่าง ๆ ที่มีต่อพื้นที่ป่าอนุรักษ์

นายไมตรี แสงอริยนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) กรมทรัพยากรทาง ทะเลและชายฝั่ง ได้ตรวจยึดจับกุมไว้แล้ว เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 เนื้อที่ 311 ไร่ อยู่ในเขตป่าชายเลน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2530 ในฐานความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2554 โดยได้ดำเนินการปฏิบัติการรื้อถอนพืชผลอาสินออกจากพื้นที่ ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุก ท้องที่ บ้านดอนพลับ หมู่ที่ 4 ตำบลปากหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 311 ไร่

โดยได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรหนักพร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์เข้าดำเนินการรื้อถอนและทำลายพืชผลอาสิน (ต้นปาล์มน้ำมัน) ให้แล้วเสร็จ เพื่อจะนำพื้นที่ที่ยึดคืนมาปลูก ฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่สาธารณะให้พี่น้องประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน พร้อมกับฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนให้คืนความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่ชุมชน อีกทั้งยังเป็นการปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเกรงกลัวแก่ผู้บุกรุก มิให้กล้าเข้ามาบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนอีกต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร  

แม่ร่ำไห้ลูกชายวัย 19 กลับจากกทม.ให้กักตัว14 วัน เครียดวิ่งโดดลงน้ำฆ่าตัวตายประชดโควิด

วันที่ 25 พ.ค. 2564  นางอุดมศรี  ขจรกลิ่น อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87/4 หมู่ 2 ต.ปากทาง อ.เมือง จ.พิจิตร นั่งร่ำไห้อยู่ริมตลิ่งแม่น้ำน่านบริเวณใกล้กับสะพานแขวนข้ามแม่น้ำน่าน บริเวณหน้าวัดราชช้างขวัญ ต.ปากทาง อ.เมืองพิจิตร โดยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังถึงสาเหตุที่มานั่งร้องไห้ ว่า เกิดจากเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ลูกชายของตน ชื่อนายอนุชิต  อิ่มใจ  อายุ 19 ปี  เดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงและมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด

ดังนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้านที่พิจิตร คนในครอบครัวพร้อมทั้ง อสม.ก็ขอร้องให้กักตัวอยู่บ้าน 14 วัน ซึ่งนายอนุชิต ก็ถูกกักตัวอยู่ที่บ้าน ผ่านมาได้ 2 วัน ในวันเกิดเหตุคือเมื่อวานในช่วงเย็น นายอนุชิตจะออกจากบ้านไปหาเพื่อน เนื่องจากถูกกักตัวอยู่บ้านแล้วเกิดอึดอัดใจ ร้อนรุ่ม อยากเจอเพื่อน ๆ จะออกจากบ้านให้ได้ คนในครอบครัวก็ไม่ยอมให้ออกจากบ้าน เนื่องจากในพื้นที่พิจิตรเองก็มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดด้วยเช่นกัน ทำให้นายอนุชิต อายุ 19 ปี กับคนในครอบครัวเกิดมีปากเสียงและโต้เถียงกัน ทำให้ นายอนุชิต เกิดน้อยเนื้อต่ำใจและระเบิดอารมณ์ ตะโกนว่าไม่มีใครรัก จากนั้นก็วิ่งออกจากบ้านแล้วตะโกนว่าจะฆ่าตัวตาย และได้วิ่งออกจากบ้านซึ่งอยู่ริมแม่น้ำน่าน

นางอุดมศรี ผู้เป็นแม่ ก็วิ่งไล่ตามยื้อยุดฉุดกระชากลูกชายที่กำลังวิ่งลงไปที่ริมตลิ่งใกล้กับสะพานแขวน แต่ด้วยแรงของผู้เป็นแม่ ซึ่งอายุมากแล้วก็สู้แรงของลูกชายที่เป็นเด็กวัยรุ่นไม่ได้และผู้เป็นแม่ก็หกล้มที่ริมตลิ่ง ทำให้ลูกชายวิ่งไปจนถึงริมฝั่งน้ำแล้วกระโดดพุ่งหลาวลงไปในแม่น้ำน่านเพื่อฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาของ นางอุดมศรี ผู้เป็นแม่

ความคืบหน้าล่าสุด หน่วยกู้ภัยต่างๆพร้อมนักประดาน้ำต่างช่วยกันงมหาศพหนุ่มวัย 19 ปี รายนี้ ที่น้อยใจคนในครอบครัวที่บังคับให้กักตัว 14 วัน หลังจากที่เดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ แต่ด้วยความเป็นเด็กวัยรุ่นก็อยากจะออกจากบ้านไปพบเจอเพื่อนฝูง แต่ถูกห้ามปราม จึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจโดดน้ำฆ่าตัวตายดังกล่าว ซึ่งขณะผู้สื่อข่าวรายงานหน่วยกู้ภัยกำลังเร่งค้นหาร่างของผู้ตายในแม่น้ำน่าน แต่ก็ยังหาไม่พบ ซึ่งหากมีความคืบหน้าผู้สื่อข่าวจะได้รายงานให้ทราบต่อไป


ภาพ/ข่าว  สิทธิพจน์  พิจิตร

คุมตัว 2 พี่น้อง ‘บังกิบหลี’ และ ‘บังกอหนี’ ผู้ต้องหาร่วมขบวนฆ่า นายสุชาติ ส่งฝากขังที่เรือนจำจังหวัดกระบี่ หลังศาลอนุมัติฝากขังผลัดแรก เบื้องต้น บังกิบหลี ยังปฏิเสธ “ลั่นผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ยิง”

วันที่ 25 พ.ค.64 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ กก.สส.ภ.8 ชุดสืบสวน ภ.จว.กระบี่ คุมตัวนายสุรชัย หรือบังกิบหลี เริงสมุทร และนายสุริยันต์หรือบังกอหนี เริงสมุทร น้องชาย สองผู้ต้องหาคนสำคัญในคดี สังหารโหดนายสุชาติ ขาวล้วน เจ้าของร้านอาหารและฟิชชิ่ง ใน อ.ลำทับ จ.กระบี่ ออกจาก ห้องขัง สภ.อ่าวนาง จ.กระบี่ ไปยังเรือนจำจังหวัดกระบี่ หลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยนายกอหนี น้องชาย ยอมเปิดปากรับสารภาพกับพนักงานสอบสวน ว่าได้ช่วยฝังศพ และฝังรถนายสุชาติด้วย หลังจนท.สอบปากคำ ร่วม 5 ชั่วโมง เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ไม่สมัครใจทำแผน ส่วนบังกิบหลี พี่ชายยังให้ดการปฏิเสธ และขอให้กาในชั้นศาลเท่านั้น จนท.จึงได้ขออนุมัติศาลฝากขังผ่านวีดีโอคอนเฟอเร้นซ์ และศาลจังหวัดกระบี่ก็ได้อนุมัติฝากขังเมือช่วงก่อนเที่ยงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ระหว่างที่จนท. คุมตัวนายกิบหลี ขึ้นรถ  อีโอดี ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ว่า ยอมรับหรือไม่ว่าเป็นคนลงมือยิง นายสุชาติ ตามที่พยานให้การซัดทอด บังกิบหลี บอกว่า “ผมไม่รู้ ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ยิง ครับ”จากนั้น เจ้าหน้าที่นำตัวขึ้น รถ อีโอดี ไปฝากขังที่ เรือนจำจังหวัดกระบี่

ขณะที่นางอารักษ์ ทับไทร อายุ 34 ปี ลูกสาวนายสุชาติ ขาวล้วน พร้อมด้วย นายชูวงศ์ มณีกุล ทนายความเดินทางไปที่ศาลจังหวัดกระบี่ เพื่อยื่นเอกสารเพิ่มเติมในการคัดค้านการประกันตัวบังฟิตและพวก ถูกข่มขู่ ว่าหากมีการติดตาม หรือแจ้งความ จะฆ่าทั้งครอบครัว เนื่องจาก เกรงว่ากากกลุ่มของบังฟิต ได้ประกันตัวจะไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

นายชูวงศ์ มณีกุล ทนายความ ระบุว่า ปมการสังหารอย่างโหดเหี้ยม ครั้งนี้ มาจากความยัดแย้ง ระหว่างนายสุชาติ ขาวล้วน กับ นายสุริยา เริงสมุทร (บังฟิต) เกี่ยวกับธุรกิจมืด ไม่ใช่จากเรื่องเงิน 3 แสน ที่บังฟิตอ้าง เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ สืบสวน อย่างจริงจังกับขบวนการธุรกิจมืดกลุ่มนี้เชื่อว่ามีกลุ่มผู้กว้างขวาง ในพื้นที่อยู่เบื้องหลังหลายคน

นางอารักษ์ ทับไทร ลูกสาวนายสุชาติ เปิดเผยว่า แม้ว่าเจ้าหน้าที่จับกุมตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ ทั้งหมดแล้วแต่ยังไม่ เผาศพพ่อ เนื่องจากต้องรอ ผลชันสูจน์  และ เอกสารต่าง ๆ ก่อน โดยพอใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ สามารถจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

นรข. คุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันการลักลอบเข้าเมือง ในสถานการณ์โควิด - 19

การปฏิบัติหน้าที่ในการเฝ้าระวังป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมีหลายหน่วยด้วยกันที่รับผิดชอบ และหนึ่งในนั้นก็คือหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เรามาดูว่าทางหน่วยงานมีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร ในการควบคุมสถานการณ์ในขณะนี้

พลเรือตรี จรัสเกียรติ ไชยพันธุ์ ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เปิดเผยว่า ปกติบางท่านอาจจะเข้าใจว่า หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) รับผิดชอบเฉพาะแถวภาคอีสานอย่างเดียว จริงๆ แล้ว นรข. เป็นหน่วยเฉพาะกิจของกองทัพเรือ มีพื้นที่รับผิดชอบตลอดแนวลำแม่น้ำโขง ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมี นรข. อยู่ด้วยกัน 4 เขต คือ เขตเชียงราย เขตหนองคาย เขตนครพนม และ เขตอุบลราชธานี รับผิดชอบแบ่งพื้นที่กันไป โดยสถานการณ์การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในพื้นที่ นรข.เขตนครพนม มีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอยู่แต่ไม่มากนัก

จากสถิติในปีงบประมาณนี้ มีการกระทำผิดแล้วทั้งหมด 8 ครั้ง จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้ 23 คน เป็นราษฎรชาวไทย 4 คนซึ่งเป็นผู้นำพาและเป็นราษฎรชาวลาว 19 คน แต่สถานการณ์ภาพรวมของการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตลอดลำแม่น้ำโขงจะปรากฏอยู่ตลอดแนว ซึ่งที่ นรข.เขตเชียงราย มีการตรวจพบการกระทำผิดถึง 17 ครั้ง ที่ นรข.เขตหนองคาย มีการกระทำความผิดที่จับกุมได้ 9 ครั้ง ที่ นรข.เขตอุบลราชธานี มีการจับกุมได้ 3 ครั้ง

สรุปว่าการจับกุมที่ผ่านมาตั้งแต่ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา นรข. สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 37 ครั้ง เป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวม 180 คน เป็นราษฎรชาวไทย 27 คน และเป็นคนลาว 118 คน นอกจากนี้ยังมีราษฎรชาวจีนอีก 35 คน โดยทั้งหมดนี้จะมีกระบวนการที่มีคนนำพาเป็นคนไทยอยู่ทุกรายการ

ซึ่งจากภาพรวมจะสังเกตได้ว่ามีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตลอดแนวลำแม่น้ำโขง ซึ่งการลักลอบเข้ามาในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเข้าไปในพื้นที่ตอนในเพื่อทำมาหากิน และอาจจะมีเป็นขบวนการอย่างเช่นที่ อุบลราชธานี ที่เข้ามาครั้งเดียวประมาณ 60 คนและมีรถตู้มารับเข้าไปในพื้นที่ส่วนใน ซึ่งก็ได้ทลายตรงนี้ไปแล้วเรียบร้อย

ในช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด -19 การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายยิ่งจะต้องมีความเข้มงวดกวดขันมากยิ่งขึ้น เพราะบุคคลเหล่านี้อาจจะเป็นผู้นำพาหะโรคเข้ามาสู่ประเทศไทยได้ ซึ่ง นรข. เองก็ได้มีการกำชับกำลังพลตลอดแนวลำแม่น้ำโขงให้เพ่งเล็งไม่ให้เกิดการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้มีเรื่องที่เป็นใจอยู่คือฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเรา โดยเฉพาะ สปป.ลาว ได้มีการเข้มงวดกวดขันคนของเขาด้วยทำให้ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายลดน้อยลง

แต่อย่างไรก็ตาม นรข. ก็ยังใช้มาตรการลาดตระเวน การตรวจสอบตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองให้ได้ 100 %

และปัจจุบันกำลังพลของหน่วยไม่ได้ออกจากพื้นที่ยังคงปฏิบัติงานในพื้นที่ครบทุกนาย อีกทั้งก็ต้องขอขอบคุณทางจังหวัดนครพนมที่ได้ให้เจ้าหน้าที่ของ นรข.นครพนม ซึ่งประกอบไปด้วย สถานีเรือบ้านแพง สถานีเรือนครพนม สถานีเรือธาตุพนม และนรข.เขตนครพนม ที่อยู่ธาตุพนมได้รับการฉีดวัคซีนโควิด -19 เรียบร้อยแล้วทั้งหมดทุกนาย ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ต้องห่วงกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจในการทำงานมากยิ่งขึ้นด้วย

เราจะเห็นว่าแม้ภารกิจจะมีความเสี่ยง แต่กำลังพลทุกนายของ นรข. ก็พร้อมจะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเฝ้าระวังป้องกันการลักลอบเข้าเมืองให้ทุกคนมีความปลอดภัยและห่างไกลจากไวรัสโควิด -19


ภาพ /ข่าว  สุเทพ หันจรัส  ผสข.นครพนม/ทินกร เพชรดี สปช นครพนม

ผช.ผบ.ทบ.ลงพื้นที่มอบนโยบายสกัดกั้นโควิดสายพันธุ์แอฟริการะบาดที่เกาะสะท้อน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 พ.ค. 64 พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผช.ผบ.ทบ.และคณะ เดินทางมายังด่านพรมแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พร้อมประชุมร่วมกับนายไพโรจน์ จริตงาม รอง ผวจ.นราธิวาส นพ.วิเศษ สิรินทรโสภณ นายแพทย์สาธารณสุข จ.นราธิวาส นายวัลลภ วุฒาพาณิชย์ นายด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาค 4 พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ ผบ.ฉก.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวนกว่า 50 คน เพื่อมอบนโยบายเพิ่มเติมในการสกัดกั้นเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์แอฟริกาใต้ แพร่ระบาดในพื้นที่ ต.เกาะสะท้อน อ.ตากใบ เพื่อไม่ให้ลุกลามเป็นวงกว้าง

โดย พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ ผบ.ฉก.นราธิวาส ได้บรรยายสรุปถึงแนวทางการป้องกันสกัดกั้นตามแนวชายแดน ซึ่งมีทั้งทางน้ำ ทางบกและทางอากาศ พร้อมได้มีการบูรณาการร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน อสม.และชรบ. ในการตั้งด่านโควิดตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะผ่านไปมาของแต่ละหมู่บ้านทั้ง 9 หมู่บ้าน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซน คือ โซนชั้นนอก ชั้นกลางและชั้นใน เพื่อให้พื้นที่แต่ละหมู่บ้านของ ต.เกาะสะท้อน มั่นใจว่าจะไม่มีเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ มาแพร่ระบาด จากการลักลอบเดินทางเข้าตามช่องทางธรรมชาติของชาวบ้านเป็นการเพิ่มเติม

ด้านนายแพทย์วิเศษ สิรินทรโสภณ นายแพทย์สาธารณสุข จ.นราธิวาส ได้บรรยายสรุปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่โดยภาพรวมของ จ.นราธิวาส ยังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ในเบื้องต้นมาจากครอบครัวของชาวบ้านในพื้นที่ ม.9 ต.เกาะสะท้อน ที่ภรรยาและบุตรเป็นชาวมาเลเซีย ได้ลักลอบข้ามแดนมาให้สามีและพักอาศัยอยู่เป็นเวลา 1 เดือน จึงทราบว่าติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญชาวบ้านในพื้นที่ ต.เกาะสะท้อน ส่วนใหญ่จะไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย ที่ไม่ให้ความสำคัญต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากนัก เพราะถือว่าเมื่อติดเชื้อรักษา 14 วันก็หายเป็นปกติ

ด้าน พล.อ.พรศักดิ์ พลูสวัสดิ์ ผช.ผบ.ทบ. ได้กล่าวชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติพอสรุปใจความว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่แพร่ระบาดในขณะนี้ เมื่อเรารู้ว่าคนเป็นผู้นำพาหะเข้ามาแพร่ระบาด เราก็ต้องใช้คนเป็นผู้สกัดกั้นถึงจะสำเร็จ คือต้องจี้ที่ตัวบุคคลกรหรือชาวบ้าน อย่างเช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.หรือนายก อบต.เพราะเขาเป็นคนในพื้นที่หมู่บ้านนั้น ๆ หากให้ความสนใจอย่างจริงจัง ต้องทราบว่า ชาวบ้านคนใดแอบลักลอบนำพาเครือญาติลักลอบข้ามแดนมาจากประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องทราบ เนื่องจากพื้นที่ตามแนวชายแดนส่วนใหญ่ทั้ง 2 ฝากฝั่งจะมีเครือญาติอาศัยอยู่ทั้งนั้น จุดนี้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ พูดแบบบ้าน ๆ คือต้องเคี่ยวเอาจริงเอาจังกับชาวบ้าน อย่างน้อยก็ไม่กล้าที่จะลักลอบนำพาข้ามแดนแล้วการแพร่ระบาดของเชื้อจะค่อย ๆ คลี่คลายจนกลับคืนสู่สภาวะปกติ


ภาพ/ข่าว  นูอารีซ๊ะ ยะยือริ

ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1 เยี่ยมอาการลูกเรือประมง ก.สิริกุล 1 ที่ประสบเหตุจมกลางทะเล

สืบเนื่องจากวันที่ 23 พฤษภาคม 2564 ทัพเรือภาคที่ 1/ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ทรภ.1/ศรชล.ภาค 1)

 ได้ช่วยชีวิต 8 ลูกเรือประมงของเรือ ก.สิริกุล 1 ที่ประสบเหตุคลื่นลมแรงน้ำเข้าเรือและจมลงกลางทะเล ทำให้ลูกเรือทั้งหมดต้องลอยคอเกาะอุปกรณ์ช่วยชีวิต รอความช่วยเหลือ โดยผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1) ได้สั่งการให้จัดเครื่องบินลาดตระเวนแบบที่ 1 ขึ้นบินเพื่อกำหนดตำบลที่ของผู้ประสบภัย และส่ง เฮลิคอปเตอร์ ปราบเรือดำน้ำแบบที่ 1 ไปให้ความช่วยเหลือชีวิตลูกเรือลำดังกล่าว จนปลอดภัยทั้ง 8 คน และนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ โดยผู้ประสบภัย 5 คน อาการปลอดภัย สามารถกลับภูมิลำเนาได้ ส่วนอีก 3 คน อาการพ้นขีดอันตราย แล้ว แต่ยังคงต้องนอนพักรักษาตัวที่ โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ต่อไปนั้น

พลเรือโท โกวิท  อินทร์พรหม ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1 ยังคงมีความห่วงใยอาการของลูกเรือทั้ง 3 คน ที่ยังคงนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลฯ จึงพร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา เดินทางไปเยี่ยมอาการของลูกเรือทั้ง 3 คน ณ หอผู้ป่วยพิเศษอายุรเวชกรรมชาย โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ  เมื่อวันที่ 24 พ.ค.64 ได้พบกับผู้ประสบภัยทั้ง 3 คน พร้อมมอบกระเช้าเพื่อให้กำลังใจ และสอบถามอาการของผู้ประสบภัยทั้ง 3 คน ด้วยความห่วงใย ทราบว่า ในวันนี้ ตรวจร่างกายแล้วไม่มีอาการข้างเคียงจากการสำลักน้ำทะเล อาการโดยทั่วไปปกติดี ซึ่งในเย็นวันนี้แพทย์เจ้าของไข้ได้อนุญาตให้ทั้ง 3 คน กลับบ้านได้

ทางด้าน นาย สถิตย์ ม่วงทอง เจ้าของเรือประมง ก.สิริกุล 1 ได้กล่าวขอบคุณ ผบ.ทรภ.1/ผอ.ศรชล.ภาค 1 ที่ได้จัดเครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ ออกไปให้ความช่วยเหลือ ลูกเรือทั้ง 8 คน ได้ทันท่วงที ผู้ประสบภัยทุกคนได้รับการช่วยเหลือจนปลอดภัย อีกทั้งยังได้ขอบคุณชมรมวิทยุมดดำนาวี ทัพเรือภาคที่ 1 ทำให้มีช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อประสานขอความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทีมแพทย์และพยาบาลจาก โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ รวมไปถึงผู้ประสานงานทุกท่าน ที่ช่วยทำให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จ


ภาพ/ข่าว  กองกิจการพลเรือน ทัพเรือภาคที่ 1

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

หลวงพ่อจ่อยมาโปรดเกลี้ยกล่อมสำเร็จ อส.ตำรวจปีนเสาโทรศัพท์หวังฆ่าตัวตายพิษโควิด-19

อส ตร.เครียดปีนเสาโทรศัพท์ หวังฆ่าตัวตาย เจอวาทะอาจารย์จ่อยกล่อม ปีนลงมาสารภาพพิษโควิด-19 เงินไม่พอค่าใช้จ่าย

เมื่อคืนวันที่ 24 พ.ค.64 เวลา 21.30 น. พ.ต.อ.ปัญญา ดำเล็ก ผกก.สภ.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุ มีคนปีนเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์  หน้าวัดสามัคคีบรรพต (วัดบางเสร่นอก) ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจ 

ที่เกิดเหตุพบผู้คนจำนวนมาก มาพูดให้กำลังใจกับผู้ที่ปีนอยู่บนเสาสัญญาณโทรศัพท์ อยู่ในระดับสูงประมาณ 20-25 เมตร ได้ผ่อนคลายและไม่กระโดดลงมาโดยได้นำเจ้าหน้าที่ส่วนป้องกันและเจ้าหน้าที่ดับเพลิง พร้อมยานพาหนะ และรถพยาบาลเทศบาลตำบลบางเสร่ มาให้การช่วยเหลือ โดยมี นายกันต์ ธนาอัครชล รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเสร่ เป็นผู้แทนนายชัยวัฒน์ อินอนงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางเสร่ ช่วยเข้าเจรจา

จนกระทั่ง พระครูเกษม กิตติโสภณ (พระอาจารย์จ่อย) เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต (วัดบางเสร่นอก) ทราบข่าว จึงรีบเดินทางมาร่วมเจรจาเกลี้ยกล่อม จนทำให้ผู้ที่ปีนอยู่บนเสาสูงจิตใจอ่อนลง ยอมปีนลงมาจากเสาสูงอย่างปลอดภัย ทราบชื่อต่อมา นายชัยยง สอนรัตน์ อายุ 54 ปี อส.ตร. (อาสาสมัครตำรวจ) ชาวตำบลบางเสร่ อ.สัตหีบ

จากการสอบถามลูกชาย (ไม่เปิดเผยชื่อและสกุล) ทราบว่า พ่อเป็นคนชอบดื่มเหล้า พอได้ดื่มก็จะมีอาการเครียดกับปัญหาชีวิต โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 บอกลำบากจริง ๆ ก่อนที่พ่อจะปีนเสาโทรศัพท์ได้นั่งพูดคุยกับพนักงานดับเพลิง ทต.บางเสร่ บ่นรำพึงว่าตนเองอยากจะบวชเพราะเครียดกับปัญหาชีวิตและเรื่องเงินไม่พอใช้ จึงคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย แต่พระอาจารย์จ่อย ได้เข้ามาพูดคุยเกลี้ยกล่อมจนยอมลงมาอย่างปลอดภัย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top