Monday, 20 May 2024
CRIMES

ตม.1 รวบฝรั่งคู่เกย์เฒ่าเจ้าเล่ห์ โอเวอร์สเตย์ เบี้ยวค่าเช่าอพาร์ตเม้นท์หรู ไฮโซวงการบันเทิง นานเป็นปีเกือบล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1,และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวจับกุม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กรณีสืบเนื่องจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของอพาร์ตเมนท์หรูแห่งหนึ่งย่านสาทร ว่าตนเป็นเจ้าของตึกอพาร์ตเมนท์เก่าแก่ระดับหรู มีชาวต่างชาติทั้งชาวยุโรปและอเมริกันเช่าอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีราคาค่าเช่าตั้งแต่ 50,000 - 100,000 บาท ตนต้องการจะร้องเรียนว่ามีชาวต่างชาติ สูงอายุ 2 นาย เช่าพักอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่ผู้เช่าไม่ยอมจ่ายค่าเช่าติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน (มูลค่าความเสียหายเกือบล้านบาท) ตนจึงได้ให้สำนักงานบริหารอพาร์ตเมนท์ทวงถาม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีทรัพย์สินเหลือพอจะจ่ายค่าเช่า และจะไม่ยอมย้ายออกจากอพาร์ตเมนท์ดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ทั้งเรื่องสถานการณ์โควิด–19 ความชรา และมนุษยธรรม

ทางอพาร์ตเมนท์ได้มีจดหมายขอให้บุคคลทั้งสองเก็บของและย้ายออกจากอพาร์ตเมนท์ โดยยังไม่ได้พูดคุยถึงค่าเช่าที่ค้างชำระ แต่เมื่อทั้งสองได้รับจดหมายเตือนดังกล่าว นอกจากจะไม่ย้ายออกจากอพาร์ตเมนท์แล้ว ยังมีพฤติกรรมดื้อดึงขัดขืนไม่ยอมย้ายออก และนอกจากนั้นคนต่างชาติทั้งสองยังมักมีพฤติกรรมชอบออกไปเที่ยวเมาสุราและกลับมาโวยวายที่อพาร์ตเมนท์ และมีครั้งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มหัวฟาดพื้นบริเวณหน้าลิฟท์ เจ้าหน้าที่อพาร์ตเมนท์ได้เรียกรถพยาบาลเพื่อนำตัวไปรักษา แต่ปรากฏว่ายังพากันหนีออกมาจากโรงพยาบาลทั้งชุดผู้ป่วยกลับมาอาศัยในอพาร์ตเมนท์ตามเดิม และรักษาตัวกันเอง ทั้งยังนำกระดาษเขียนข้อความกล่าวหาเจ้าของอพาร์ตเมนท์ต่าง ๆ นา ๆ นำไปติดทั่วอพาร์ตเมนท์

ทางอพาร์ตเมนท์เห็นว่าบุคคลทั้งสองมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยได้รับอนุญาตในเหตุผลใช้ชีวิตบั้นปลาย ประกอบกับการใช้ชีวิตหลังเกษียณนั้น ควรจะมีการวางแผนการใช้จ่ายที่เป็นเรื่องเฉพาะตัว และอพาร์ตเมนท์ที่เช่าอยู่ก็มีค่าเช่าสูง แต่ทั้งนี้ทางอพาร์ตเมนท์ก็มีจิตเมตตา ที่จะพร้อมเจรจาประนีประนอมค่าเช่า หรือให้ผ่อนชำระได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม จึงได้ร้องเรียนมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เดินทางมาตรวจสอบบุคคลทั้งสอง

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.1 ได้เคยเดินทางไปตรวจสอบเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2563 ตรวจสอบพบว่าชาวต่างชาติทั้งสองพึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้แนะนำให้ทางเจ้าของอพาร์ตเมนท์ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือดำเนินคดีฟ้องขับไล่ซึ่งเป็นคดีแพ่งไปก่อน ต่อมาทางเจ้าของอพาร์ตเมนท์ได้ทำการฟ้องคดีต่อศาล ผลคำพิพากษา ศาลตัดสินให้ชาวต่างชาติทั้งสองออกจากอพาร์ตเมนท์และชำระค่าเสียหายคือค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน เกือบ 1 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าชาวต่างชาติทั้งสองก็ยังดื้อดึงไม่ออกจากอพาร์ตเมนท์ ตนจึงแจ้งเรื่องต่อกรมบังคับคดีให้มาปิดหมายบังคับคดีที่อพาร์ตเมนท์ แต่ยังติดขัดเนื่องจากเป็นช่วงเวลาสถานการณ์โควิด-19 ทางอพาร์ตเมนท์มีความอัดอั้นใจว่าเหตุใดตนซึ่งไม่ได้มีความผิดอะไร จะต้องมาได้รับความเสียหายและรับภาระดูแลชาวต่างชาติทั้งดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือชี้แจ้งข้อเท็จจริงต่อ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขอให้พิจารณาไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทั้งสองอยู่ต่อตามอำนาจหน้าที่ และขอให้เดินทางมาตรวจสอบอีกครั้ง

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.1 จึงได้จัดกำลังไปตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปที่อพาร์ตเมนท์พบคนต่างชาติทั้งสองพักอาศัยอยู่ตามที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากการตรวจสอบปรากฎพบว่า นายโรส กับ นายรีส การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งสิทธิและจับกุมนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆรวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

ตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 จับยาไอซ์ มูลค่า 135 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 4 คน ขณะกำลังมาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส

วันนี้ ที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่หอประชุมพนมไพร กองบังคับการตำรวจตะเวนชายแดนภาค 4 อ.เมือง จ.สงขลา พันตำรวจเอกพหล เกตุแก้ว รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค4 และ พันตำรวจเอกกวินศักดิ์ พีรยศธนนนท์ รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมยาไอซ์ 135 กิโลกรัม มูลค่า 135 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 4 คน ประกอบด้วย นายวิฑูรย์ วิเชียรพงษ์ อายุ 23 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี นายอัครวินท์ สวัสดิ์อักษรชื่น อายุ 22 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี  นายภาณุพงศ์ เพิ่มเจริญ อายุ 32 ปี เป็นคนจ.สมุทรสาครและนางสาวอรวรรณ เถื่อนบำรุง อายุ 24 ปี เป็นคนกรุงเทพมหานคร

พร้อมด้วยรถยนต์ จำนวน 2 คัน เป็นรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊สสีขาว ฝากระโปรงหน้า-หลังสีดำ หมายเลขทะเบียน ขว 2597 ชลบุรี และ รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีขาวป้าย หมายเลขทะเบียน 2กฬ1109 กรุงเทพฯ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

สถานที่เกิดเหตุ ที่เก้าเส้งรีสอร์ท 8/23ถ.เก้าแสน ซ.1 ม.3 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 15.30 น.โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกลุ่มได้สืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจนพบว่ามีขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ตรวจพบรถต้องสงสัยจึงได้ติดตามรถคันดังกล่าวจนทราบว่าได้เข้าพักที่เก้าเส้งรีสอร์ท

เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจค้นห้องพักที่ผู้ต้องหาได้เปิดไว้ ผลการตรวจค้นพบยาไอซ์บรรจุในถุงพลาสติกสีเขียวเหลืองใส่กระสอบปุ๋ยจำนวน 135 กิโลกรัมอยู่ภายในห้องพัก แต่ไม่พบผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้ออกตรวจสอบรถต้องสงสัยที่เข้าพักในเก้าเส้งรีสอร์ท พบรถต้องสงสัยจำนวน 2 คันจึงได้ติดตามรถต้องสงสัยจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนที่1 คือ นายวิฑูรย์ วิเชียรพงษ์ อายุ 23 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี โดยจับได้ที่บริเวณสามแยกสำโรง ถนนกาญจนวนิช ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในเวลาต่อมาได้จับกุมผู้ต้องหาคนที่ 2 คือ นายอัครวินท์ สวัสดิ์อักษรชื่น อายุ 22 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี ได้ที่บริเวณหลังเซเว่นอีเลฟเว่น หนองข้อง อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา

ส่วนผู้ต้องหาคนที่ 3 คือ นายภาณุพงศ์ เพิ่มเจริญ อายุ 32 ปี เป็นคน จ.สมุทรสาคร และคนที่ 4 คือ นางสาวอรวรรณ เถื่อนบำรุง อายุ 24 ปี เป็นคนกรุงเทพมหานคร  ได้หลบหนีไปยังสถานีขนส่งหาดใหญ่โดยอาศัยรถตู้เพื่อหลบหนี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจความมั่นคงจุฬาภรณ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสกัดจับรถตู้คันดังกล่าวและสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนที่ 3 และ 4 ได้เมื่อเวลาประมาณ 22:20 น.วันเดียวกัน และนำตัวกลับมาที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 เพื่อดำเนินการสืบสวนและขยายผล

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายบอย หรือตี๋ (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีให้นำยาไอซ์ดังกล่าวมาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อำเภอตากใบจังหวัดนราธิวาส โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท

จึงได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ในข้อกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน/ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมตรวจยึดยาเสพติดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์

สลด !! ตายรายวัน “วัดหนามแดง” เปิดเมรุเผาศพเหยื่อโควิด เผย เพราะวัดเป็นของญาติโยม

ท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนามแดง ต.บางแก้ว  อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้เมตตาฌาปณกิจศพ  เหยื่อโควิด-19 และนับเป็นรายที่ 4 ที่ทางวัดหนามแดงได้รับฌาปณกิจศพ นับว่ายังคงมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19  อย่างต่อเนื่องและมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอีกเป็นจำนวนมาก

ท่านพระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนามแดง เปิดเผยว่า ทางวัดหนามแดง มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน รวมถึงผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงพักรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกทั้งยังมีความเป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ ที่ยังคงทำงานหนักอย่างต่อเนื่องและมีความเสี่ยงสูงในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ

ซึ่งทางวัดหนามแดงได้รับฌาปณกิจศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เป็นรายที่ 4 โดยทางวัดหนามแดงมีมาตรการในการป้องกันดูแล และคุมเข้มในการเผาศพผู้เสียชีวิต ด้วยโรคโควิด-19 โดยทางเจ้าหน้าที่จะทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณพื้นที่โดยรอบ ก่อนจะนำร่างผู้เสียชีวิตใส่ภายในเมรุเผาศพ และหลังจากเผาศพร่างผู้เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจตามมาตรการในการดูแลป้องกันตามกฎระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ประชาชนไม่ต้องกังวลและไม่ต้องกลัวติดเชื้อ

ซึ่งในการเผาศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 นั้น  ทางวัดหนามแดง จะดำเนินการประสานทางเจ้าหน้าที่ รพ.สต.บางแก้ว พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองบางแก้ว เจ้าหน้าที่ อสม.ต.บางแก้ว เพื่อตรวจคัดกรองตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดทุกครั้ง

อีกทั้งทางวัดหนามแดง มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง จึงขอฝากไปยังประชาชนทุกคนให้ดูแลสุขภาพตนเอง และดูแลบุคคลในครอบครัว ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท และขอให้ประชาชนทุกคนลงทะเบียนฉีดวัคซีน  เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและสวมใส่ผ้าปิดจมูกทุกครั้ง เว้นระยะห่าง อดทน เพื่อที่เราจะได้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ

กกล.สุรศักดิ์มนตรี ยึดกัญชาข้ามโขงกว่า 400 กก. พร้อมเคตามีน 1 กิโลกรัม

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน นาเชวงศักดิ์ พลเยี่ยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร นายสมศักดิ์ บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร พ.อ.สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์ ผบ.บก.ควบคุม ที่.1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี แถลงข่าวเจ้าหน้าที่ทหารสนธิกำลังตรวจยึดกัญชานำเข้าจากประเทศ สปป.ลาว จำนวน 400.50 กก.

โดยสืบเนื่องจากระหว่างเวลา 18.00 - 23.30 น. ของวันที่ 5 มิถุนายน เจ้าหน้าที่หมวดเคลื่อนที่เร็วที่ 2 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด มาในพื้นที่รับผิดชอบ บริเวณ บ้านป่งขาม หมู่ที่ 1 ต.ป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้จัดกำลังออกลาดตระเวนตามพื้นที่ได้รับแจ้งจนกระทั่งเวลาประมาณ 22.30 น. เจ้าหน้าที่อยู่ได้ทำการสังเกตพบเรือกีบปิดไฟแล่นเข้ามาจอดริมฝั่งแม่น้ำโขงจึงใช้กล้องส่องกลางคืน (Night Vision) พบเห็นกลุ่มคนกำลังดำเนินการขนสิ่งของบางอย่างจากเรือขึ้นมาบนฝั่งคาดว่าจะเป็นสิ่งของผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ และตะโกนส่งเสียงออกไปให้หยุด แต่กลุ่มคนดังกล่าวได้แยกย้ายกันวิ่งหนีบางส่วนกระโดดขึ้นเรือกีบขับหลบหนีไปกลับทาง สปป.ลาว และอีก 2 คน บนฝั่งอาศัยความมืด และชำนาญเส้นทางวิ่งหลบหนีเข้าไปบริเวณท้ายหมู่บ้าน

จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบพบว่าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชาแห้งอัดแท่ง) น้ำหนักประมาณ 400.50 กิโลกรัม ทั้งหมดบรรจุอยู่ในกระสอบสีดำ จำนวน 11 กระสอบ และยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2(เคตามีนชนิดเกล็ด) จำนวน 1 กิโลกรัม ห่อหุ้มด้วยพลาสติกลายการ์ตูนสีขาวบรรจุอยู่ในถุงชาจีนสีเขียวอีกชั้นหนึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในกระสอบกัญชา จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลางและนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว ชุด ฉก.พญาอินทรีย์ / เดวิท โชคชัย

ตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ บูรณาการร่วมกับ ปปส.ภ.3 จังหวัดศรีสะเกษ แถลงผลการการปฏิบัติการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะ พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภ.3 (หน.ปส),  นายณรงค์ วรหาญ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันปราบปรามยาเสพติดภาค 3 พลตำรวจตรีสันติ เหล่าประทาย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ นายสำรวย เกษกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญภายใต้ยุทธการ พิฆาตทรชน คนค้ายา อีสานใต้ และยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน ในห้วงวันที่ 19 พฤษภาคม – 6 มิถุนายน 2564  โดยมี พันเอก ณัฐพงศ์ จินดาเวช รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายทหาร และพันตำรวจเอก ศุภชัย ศักรินพานิชกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ /เลขานุการร่วมศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดศรีสะเกษ นายนพ พงศ์ผลาดิสัย ปลัดจังหวัด /กรรมการและเลขานุการร่วม ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดศรีสะเกษ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนจังหวัดศรีสะเกษร่วมรับฟังการแถลงข่าวเป็นจำนวนมาก

ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถานีตำรวจภูธรในสังกัด ภ.จว.ศรีสะเกษ รวม 32 สถานี ,กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ , ที่ทำการปกครองจังหวัดศรีสะเกษและที่ทำการปกครองอำเภอ ทุกอำเภอ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดศรีสะเกษ , เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร, สำนักงาน ปปส.ภาค 3 ตำรวจทางหลวง,ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองศรีสะเกษ , เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ , กองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดศรีสะเกษ , กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอ ทุกอำเภอ และหน่วยงานในพื้นที่ สามารถจับกุมรวมทั้งสิ้น 465 คดี    ผู้ต้องหา 481 คน

ของกลางเป็นยาบ้า 269,278 เม็ด  กัญชา 41 กรัม ไอซ์  411.8 กรัม กระท่อม 11,680  กรัม อาวุธปืน  31 กระบอก จับกุมตามหมายจับคดียาเสพติด 7 หมาย (ครอบครองเพื่อจำหน่าย 5 เสพ 2 ) ยาบ้า จับกุม 386 คดี ผู้ต้องหา 397 คน ของกลางเป็นยาบ้า 263,272 เม็ด กัญชาทจับกุม 26 คดี ผู้ต้องหา 26 คน ของกลาง กัญชา 41 กรัม  พืชกระท่อม จับกุม 15 คดี  ผู้ต้องหา 20 คนของกลาง กระท่อม 11,680 กรัม  ไอซ์จับกุม 5คดี  ผู้ต้องหา 5 คนของกลาง ไอซ์ 411.8 กรัม และอาวุธปืน จับกุม 31 ราย ผู้ต้องหา 31 คน อาวุธปืนจำนวน 31 กระบอก ได้แก่ ปืนแก๊ปยาว จำนวน 21 กระบอก ปืนไทยประดิษฐ์ 10 กระบอก , กระสุนปืน 16 นัด และจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ห้วง 24 พฤษภาคม – 6 มิถุนายน 2564 จำนวน 2 ราย ผู้ต้องหา 2 คน ของกลางยาบ้า 47,806 เม็ด และ ไอซ์ 402.96  กรัม ด้วย    

นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ โดยประสานข้อมูลการปฏิบัติกับสำนักงานป้องกันปราบปรามยาเสพติดภาค 3 ในการกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ  การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ตามแนวชายแดนและพื้นที่ชั้นใน ตามนโยบายรัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3พฤศจิกายน 2563 ได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งระบบ โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้ความสำคัญกับกระบวนการ มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปราม แหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ทั้งพื้นที่แนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน โดยให้เป็นการแก้ไขปัญหาภายในของประเทศด้วยกฎหมายไทยและหลักสากล  ซึ่งจังหวัดศรีสะเกษได้กำหนดให้วาระที่ 2 ของ 10 วาระเร่งด่วนในการพัฒนาจังหวัด เป็นเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จึงร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมกวาดล้างอาชญากรรมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตามแผนยุทธการ พิฆาตทรชน คนค้ายา อีสานใต้ และ ยุทธการ 238 พิทักษ์นครลำดวน

พลตำรวจตรี สันติ เหล่าประทาย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 3 จึงขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้าโดยแจ้งข้อมูลผ่าน สายด่วนยาเสพติด 1599 , สายด่วน 191  , Application Police I lert U  และ เบอร์สายด่วน 1386 สำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม (https://www.oncb.go.th/)   ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดศรีสะเกษ  สายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชม.  ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการปราบปราม จับกุม ทำลายเครือข่ายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อลดปัญหายาเสพติด ให้สังคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติด ต่อไป  และขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนตำรวจภูธรภาค 3 ด้วยดีเสมอมา


ข่าว/ภาพ  บุญทัน ธุศรีวรรณ ศรีสะเกษ

ด่วน !! คลื่นซัดเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ 2 ลำ เกยตื้นที่เกาะพระทอง

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายฉัตรชัย ทองทวีวิวัฒน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 12 (คุระบุรี พังงา)และเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางทะเลชุมชน 2 คุระบุรี ได้รับแจ้งว่ามีเรือลากจูงชื่อ วายเคพี มารีน และเรือลำเลียงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชื่อ นำทอง 39 ถูกคลื่นซัดเกยตื้นบริเวณชายหาดด้านทิศตะวันตกของเกาะพระทอง ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา มี MR.EFENDI TAKARENDEHANG สัญชาติ อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเรือในขณะเกิดเหตุมีคนประจำเรือประมาณ 8 คน โดยเรือได้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์จากประเทศพม่า เพื่อเดินทางไปประเทศอินโดนีเซีย เมื่อมาถึงฝั่งทะเลอันดามันในประเทศไทยเชือกขนาดใหญ่ได้เข้าไปพันกับใบจักรเรือ จนทำให้เครื่องเรือดับเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงถูกคลื่นพัดเข้ามาเกยตื้น แต่ตัวเรือ เครื่องจักร สินค้า ยังไม่ได้รับความเสียหาย และไม่มีการแพร่กระจายของคราบน้ำมันในบริเวณจุดเกิดเหตุ

โดยทางเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 12 (คุระบุรี พังงา)และเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางทะเลชุมชน 2 คุระบุรี ได้เร่งเดินทางไปร่วมช่วยเหลือนำเครื่องดูดน้ำสูบน้ำออกเรือ และตัดเชือกที่พันใบจักรเรือลากจูงดังกล่าว พร้อมได้ให้ทางเจ้าของเรือประสานหน่วยงาน เพื่อร่วมวางแผนในการนำเรือทั้ง 2 ลำ ออกจากจุดเกยตื้น

ว่าที่ร้อยตรีกิตติภูมิ สมัยกลาง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา เปิดเผยว่า เบื้องต้นทางสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา และเจ้าหน้าที่ ศรชล.ภาค 3 เตรียมการกู้ลากจูงเรือออกจากจุดเกิดเหตุ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการจัดหาเรือช่วยเหลือ (Salvage) เพื่อให้การช่วยเหลือลากจูง เรือลากจูง“วายเคพี มารีน” ออกก่อน และจะใช้เรือลำดังกล่าว ดึงเรือลำเลียง นำทอง 39 ออกมาในภายหลัง โดยทั้งนี้ ต้องปฏิบัติงานกู้ลากจูงเรือ ในช่วงระดับน้ำขึ้นสูงสุด  พร้อมนี้ได้ให้ข้อสังเกตข้อแนะนำกับ เจ้าของเรือ/ผู้ดูแลเรือ เกี่ยวกับการเตรียมการเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าบนเรือลำเลียง ซึ่งบรรทุกสินค้า เป็นไม้ยางพารา (PARA WOODS) ในตู้คอนเทนเนอร์ กรณีอาจต้องจัดเตรียมเรืออื่น พร้อมอุปกรณ์ยกขน เพื่อขนถ่ายสินค้าบางส่วนออกให้เรือเบาขึ้นเพื่อให้สามารถกู้เรือลำเลียงได้โดยง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น


ภาพ/ข่าว  อโนทัย งานดี

ศรชล. ร่วมศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จับ ‘ไอ้โง่’ ในทะเลผิดกฎหมาย

ศูนย์อำนวยการในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดชุมพร (ศรชล.จังหวัดชุมพร) บูรณาการร่วมกับ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดชุมพร ภายใต้การอำนวยการของ นายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผวจ. / ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร มอบหมายให้ น.อ.กิตติ พงษ์  พุ่มสร้าง รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร ร่วมกับ นาย พงศ์รันย์ รัตนพรหม ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลจังหวัดชุมพร จัดกิจกรรมควบคุมการทำประมงในช่วงประกาศปิดอ่าวไทยตอนกลาง (ประจวบ ฯ ชุมพร สุราษฎร์ธานี) โดยมี นายนุรัตน์ ขาวสะอาด เจ้าพนักงานเดินเรือปฏิบัติงาน เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติงาน พร้อมเจ้าหน้าที่รวม 4 นาย นำเรือตรวจประมง 324  ออกตรวจพื้นที่ตามภารกิจที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านที่มีอาชีพเลี้ยงหอย บริเวณชายทะเล อ่าวทุ่งมะขาม อ่าวทุ่งคา และอ่าวสวี ว่ามีการลักลอบนำเครื่องทำการประมงผิดกฎหมายมาใช้ในบริเวณดังกล่าว 

ในการนี้ ตรวจพบลอบพับ(ไอ้โง่) จำนวน 69 ลูก ไม่พบเจ้าของ โดยที่ลอบพับ ดังกล่าวเป็นเครื่องมือประมงผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และพ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมือลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์น้ำสลับซ้ายขาวอยู่ทางด้านข้างใช้สำหรับดักสัตว์น้ำ มีความผิดตามมาตรา 67 มีโทษตามมาตรา 147 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จาการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ไม่พบผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนและทำการยึดเครื่องมือประมงดังกล่าวนำของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร อ.เมือง จังหวัดชุมพร ส่วนลอบพับ (ไอ้โง่ 69  ลูก) ทั้งหมดนำมาเก็บรวบรวมไว้ ณ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล จังหวัดชุมพร เพื่อทำการเผาทำลายต่อไป


ภาพ/ข่าว ปชส.ศรชล.ภาค 1 / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี

สภ.หนองสูง ยึดกัญชาแห้งอัดแท่ง 410 กิโล พร้อมรถยนต์เก๋ง

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สรรธาร อินทรจักร ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร พ.ต.อ.จตุรงค์ กลิ่นศรีสุข ผกก.สภ.หนองสูง ร่วมแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.หนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ตรวจยึดกัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 410 กิโลกรัม และรถยนต์

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เวลา 03.00 น พ.ต.อ.จตุรงค์ กลิ่นศรีสุข ผกก.สภ.หนองสูง หลังได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ จึงสั่งการให้ จนท. ตร.สภ.หนองสูง บูรณาการร่วมกับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดมุกดาหาร, กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, ตม.มุกดาหาร,ตำรวจน้ำมุกดาหาร,ฝ่ายปกครอง อ.หนองสูง  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบ

ครั้นเมื่อเวลา 03.30 น.ได้มีรถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตตี้ สีดำ ทะเบียน กท 4518 ชลบุรี ได้เดินทางมาจาก อ.คำชะอี มุ่งหน้า อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์  บริเวณด่านตรวจจามจุรี อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จึงส่งสัญญาณให้หยุด แต่คนขับเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ได้เร่งเครื่องขับรถหนี ไปทางถนนหลวงหมายเลข 12 เส้นหนองสูง - กุฉินารายณ์ บ.คำพอก ม.5 ต.โนนยาง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จึงได้ขับรถไล่ติดตามไป พอไปถึงที่เกิดเหตุรถคนร้ายได้เสียหลักตกข้างทาง คนขับได้ทำการวิ่งหลบหนีไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบภายในรถพบกระสอบพลาสติกสีดำพันด้วยเทปใส วางอยู่เบาะหน้า บอกหลัง และท้ายรถ เป็นจำนวนมาก จึงได้ยึดรถมาตรวจสอบอย่างละเอียดที่ สภ.หนองสูง พบเป็นกัญชาแห้งอัดแท่ง จำนวน 9 กระสอบ ตรวจนับอย่างละเอียดได้จำนวน 410 แท่ง น้ำหนักประมาณ 410 กิโลกรัม จากนั้น เจ้าหน้าที่ จึงได้นำของกลางทั้งหมด ส่ง พงส.สภ.หนองสูง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  พวงเพชร / เดวิท โชคชัย จ.มุกดาหาร

ผบ.ฉก.นราธิวาส รุดลงเรือลาดตระเวนทางน้ำ สั่งคุมเข้มตามแนวชายแดน เพิ่มมาตรการควบคุมพื้นที่ เน้นย้ำ ชป.จรยุทธ์ ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ป้องกันผู้หลบหนีเข้าเมือง ในห้วงมาเลเซียสั่งล็อกดาวน์ประเทศ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศมาเลเซีย ที่ยังคงมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเป็นอันดับที่ 43 ของโลก และอันดับที่ 3 ของอาเซียน ผู้ติดเชื้อสะสม จำนวน 565,533 ราย และมีผู้เสียชีวิต 2,729 ราย ส่วนรัฐที่ติดกับชายแดนไทย ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส คือ รัฐกลันตัน มีผู้ติดเชื้อ จำนวน 27,093 ราย โดยมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ ทั้งการล็อกดาวน์ประเทศ (ระลอกแรก) ซึ่งที่ผ่านมาหลังนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ออกประกาศ Total Lockdown ตั้งแต่ 1 – 14 มิถุนายน 2564 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดหนักของโควิด-19 หลังผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุ 9,700 คนต่อวัน

วันนี้  6 มิถุนายน 2564 พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส  พร้อมด้วยพันโท กฤตณ์พัทธ์ กรกัน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 และ รองผู้บังคับชุดควบคุมป้องกันชายแดน รุดลงเรือลาดตระเวนทางน้ำ ตลอดแนวลำน้ำสุไหงโกลก โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในประเทศมาเลเซีย ที่ยังคงมีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากกรณี มีผู้ลักลอบหลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย นำโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกามาแพร่ระบาดในพื้นที่ตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสของประเทศไทย  จึงคาดว่าจะมีแรงงานต่างด้าวและคนไทยบางส่วน มีความพยายามจะหลบหนีข้ามแดนเข้ามาฝั่งประเทศไทยได้อีก หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส  จึงได้จัดตั้งที่บังคับการทางยุทธวิธี ณ หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 หมู่8 ตำบลปาเสมัส อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เพื่ออำนวย การปฎิบัติงานในการควบคุมในพื้นที่รับผิดชอบ และเขตพื้นที่รอยต่อ พร้อมจัดชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ ลาดตระเวนทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ใช้กำลัง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และ อาสาสมัครประจำพื้นที่  รวมถึงใช้เครื่องมือพิเศษในการสกัดกั้นการลักลอบข้ามแดน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 สกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบข้ามแดนมาได้โดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานของชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ ชุดป้องกันชายแดน  พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานและสั่งการ เพิ่มมาตรการสกัดกั้นเข้มงวดควบคุมพื้นที่ชั้นนอก ชั้นใน เสริมเครื่องมือและยุทโธปกรณ์พิเศษ รับมือสถานการณ์ หลังประเทศมาเลเซียออกประกาศ ล็อกดาวน์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนครบ 14 วัน ย้ำต้องตื่นตัวอยู่เสมอ พร้อมทั้งได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ ตลอดจนสั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่ เพิ่มมาตรการคุมเข้มตลอดแนวชายแดน สกัดกั้นพื้นที่รับผิดชอบ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโก-ลก และ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เพิ่มมาตรการในการลาดตระเวน

โดยให้หน่วยได้บูรณาการ การปฏิบัติงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนในการบังคับใช้กฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด การเสริมกำลังตามแนวชายแดน โดยเฉพาะช่องทางที่มีชุมชนหรือหมู่บ้านอาศัยอยู่ใกล้แนวชายแดน การจัดตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด และการจัดตั้งแหล่งข่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลักลอบการหลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย พร้อมทั้งจัดชุดลงพื้นที่ ร่วมกับผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำท้องถิ่น พบปะประชาชนในพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจ สร้างความตระหนักรู้ให้กับชุมชน โดยให้ทุกคนทำเพื่อส่วนรวม  พร้อมทั้งขอความร่วมมือ จากเจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านให้ความร่วมมือ ช่วยเป็นหูเป็นตา มีการตั้งจุดตรวจ จุดคัดกรอง คอยแจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์แอฟริกาใต้ ที่กำลังระบาดอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อีก


ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการชุมชนยั่งยืนแก้ปัญหายาเสพติด และชื่นชมตำรวจได้รับความร่วมด้านปราบปรามยาเสพติดทุกฝ่าย

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 64 พล.ต.อ.มนู เมฆหมอ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมโครงการการดำเนินการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด ครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่บริเวณศาลาประชาคมบ้านตาดใหญ่  ต. ห้วย อ. ปทุมราชวงศา จ. อำนาจเจริญ ว่าจัดทำโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่กำลังเป็นภัยต่อประเทศชาติจากที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ทหาร เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโครงการการดำเนินการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด แบบครบวงจร ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มีสถานีตำรวจภูธรทั่วประเทศ จำนวน 6,483 สถานี สถานีละ 1 แห่ง ผลการปฏิบัติงานภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งทาง ผวจ. อำนาจเจริญเสนอให้ในพื้นที่ จ. อำนาจเจริญควรเพิ่มสถานีละ 8- 10 แห่ง

พล.ต. อ. มนู ยังได้จัดแถลงผลการจับกุมยาเสพติดของตำรวจ ชุดปฏิบัติการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดร่วมกับสืบ สภ.ชานุมาน  เมื่อคืนที่ผ่านมาสามารถตรวจยึดจับกุมยาบ้าที่ลักลอบมาจากแนวชายแดนไทย-ลาวด้านฝั่งแม่น้ำโขง อ.ชานุมาน ตำรวจยึดยาบ้าได้ทั้งสิ้น 50,000 เม็ด รถยนต์กระบะ 2 คัน ผู้ต้องหา 4 คนเป็นราษฎรจากจังหวัดสารคามและ จ.บุรีรัมย์ ขณะจำนำยาบ้าออกจากพื้นที่ จ. อำนาจเจริญ

ผลการดำเนินการการจับกุมคดียาเสพติดของตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ ตั้งแต่ตุลาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ผลการจับกุมคดียาเสพติดทั้งหมด จับกุม 2,267 ผู้ต้องหา 2,307 คน ของกลางยาบ้า 860,000 เม็ด มูลค่า ประมาณ 5,464,500 บาท การปฏิบัติหน้าที่เป็นที่น่าพอใจ พล.ต.อ.มนู กล่าว


ภาพ/ข่าว  นายคู่  บุญมาศ   


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top