Tuesday, 18 March 2025
POLITICS

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"อนุทิน" ลุยยกระดับสิทธิ์ "บัตรทอง" พัฒนางานบริการประชาชน

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่สำนักพิมพ์ มติชน ในงานเสวนาพิเศษ "ร่วมทางเดียวกัน จาก 30 บาทรักษาทุกโรค สูตร 30 บาทรักษาทุกที่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวหนังสือ “ระหว่างบรรทัด" นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโครงการบัตรทอง โดยระบุว่า  ในอดีตสิ่งที่ตนเกลียดมากคือคำว่าผู้ป่วยอนาถา เป็นผู้ป่วย เป็นคนไทยที่มีสิทธิ์ในชีวิต น้อยกว่า แต่โครงการบัตรทองได้เข้ามาทำลายภาพดังกล่าวจนหมด ทำให้คนไทยมีสิทธิ์ ในการรักษาพยาบาล เป็นสิทธิ์ที่จะได้รับการบริการจากภาครัฐ ในฐานะคนไทย

เมื่อย้อนกลับไป ในวันที่เดินหน้าโครงการ ไม่เคยกังวลเรื่องโรงพยาบาลจะล้มละลาย เพราะรัฐดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญยังเป็น Pilot Project ที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน และต้องทำให้สำเร็จ 20 ปีที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบของโครงการ จึงเป็นที่มาของคำว่า 30 บาทรักษาทุกที่เพราะรักษาทุกโรคอย่างเดียวไม่พอ ต้องรักษาทุกที่ งานสาธารณสุข ต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้ มีความขลัง ผู้บริหารที่เข้ามาดูแลกระทรวงฯ ต้องสานต่อ ส่วนตัว เมื่อได้เข้ามาทำงาน ก็พยายามทำให้ดีขึ้นและได้สื่อสารเสมอว่า ให้ใช้งานตนอย่างเต็มที่ เพราะเป็นรัฐมนตรี ที่มาจากหัวหน้าพรรค ในรัฐบาลผสม อย่างไรเสียคณะรัฐบาลก็ต้องฟังกัน กระทรวงสาธารณสุข มีอิสระในการทำงาน 

"ผมห้อยหลวงพ่อเลี๊ยบ ตอนที่รู้ตัวว่าต้องเข้ามาเป็นรัฐมนตรีฯ ซึ่งจริง ๆ  ผมตั้งเข็มมาทางนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเลย เมื่อทราบผลการเลือกตั้งคนแรกที่ผมติดต่อคืออาจารย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะความตั้งใจแรกคือการดูแลยกระดับโครงการบัตรทอง ก็ต้องหวังพึ่งพาคนมีประสบการณ์ มีความสามารถ"

สำหรับ สปสช. สิ่งที่ขอคือการทำงานต้องต่อเนื่อง ไม่ขาดช่วง จะมีบางช่วงเวลาที่ สปสช.ไม่มีเลขาฯ บางคนทำงานได้ไม่นานก็ไป องค์กรที่ไม่มั่นคง ย่อมเดินหน้าลำบาก จากนี้ เหตุการณ์ข้างต้นต้องไม่เกิดขึ้น คนเก่าไป คนใหม่ต้องทำงานทันที เพราะนี่คืองานที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน จะสะดุดหยุดลงไม่ได้ ตอนแรกโครงการรักษาทุกโรค ก็ยังรักษาได้บางโรค แต่วันนี้ พัฒนา มาจนรักษาได้ทุกโรค โรคหายาก ก็ยังรักษา

ยิ่งกว่านั้น มะเร็ง ก็รักษาทุกที่ได้เช่นกัน มะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากที่สุด ปีนี้ไทยเพิ่มเครื่องฉายรังสี 7 เครื่อง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นศูนย์มะเร็งต่างๆทั่วประเทศไทยจะสามารถรับผู้ป่วยได้มากขึ้น ทำให้ประชาชนไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิวนาน ประชาชนได้รับความสะดวก จากนี้จะพัฒนาสถานที่ให้บริการ ต้องจอดรถได้มากขึ้น ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นทุกๆ ด้าน งานสุขภาพเป็นงานที่ต้องพัฒนา หยุดไม่ได้

ขนส่งยืดเวลาทำใบขับขี่ได้ก่อนนาน 6 เดือน

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยว่า กรมฯ ได้ขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ (ใบขับขี่) ส่วนบุคคลและใบขับขี่รถสาธารณะ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ทุกประเภท ให้สามารถยื่นคำขอต่ออายุใบขับขี่ได้ก่อนใบขับขี่สิ้นอายุไม่เกิน 6 เดือน จากเดิมกำหนดไว้เพียง 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป 

เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ครอบครองใบขับขี่รถส่วนบุคคลและใบขับขี่รถสาธารณะมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงได้นำระบบอบรมออนไลน์ e-Learning เข้ามาช่วยลดขั้นตอนแล้ว แต่ยังไม่สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของประชาชนได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มระยะเวลาดำเนินการให้มากขึ้น จาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน

ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์และขยายโอกาสให้ผู้ได้รับใบขับขี่มีเวลาในการดำเนินการขอต่ออายุใบขับขี่มากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ http://www.dlt-elearning.com จากเดิมมีอายุรับรอง 90 วัน เป็น 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรมให้สอดคล้องกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับใบขับขี่สามารถดำเนินการต่ออายุใบขับขี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด

นอกจากนี้ยังได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการต่อใบขับขี่ สามารถเลือกอบรม e-Learning ทางเว็บไซต์ http://www.dlt-elearning.com ผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองจากสถานที่ใดก็ได้ตลอด 24 ชม. โดยมีการอบรมทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถขนส่ง การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถสาธารณะ และการอบรมต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล ที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป

เพื่อไทยติง “ประยุทธ์” ต้องมีมารยาทก่อนสั่งคนอื่น เย้ย! ใครกันแน่ที่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ตำหนินักข่าวนั่งไขว่ห้างระหว่างฟังการแถลงผลการประชุม ครม.ว่า ตามอารมณ์และวิธีคิดของพล.อ.ประยุทธ์ไม่ถูกจริง ๆ ก่อนหน้านี้นึกจะโยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าวก็โยน นึกจะไล่ฉีดแอลกอฮอล์ใส่นักข่าวก็ฉีด แม้จะอธิบายว่าล้อเล่น ต้องการสร้างความเป็นกันเองกับนักข่าว แต่สังคมประเมินได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวพึงกระทำหรือไม่ บทจะโมโหโทโสฉุนเฉียวเจ้ายศเจ้าอย่าง แสดงอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมา สั่งนักข่าวห้ามนั่งไขว่ห้างก็สั่ง ทั้งที่หากว่ากันตามจริงบุคลิกภาพและภาษากายของ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะมีปัญหามาโดยตลอด 

ไม่ว่าจะในเวทีระดับประเทศหรือการปรากฏตัวในเวทีระหว่างประเทศ ประชาชนต้องอดทนมาโดยตลอด บุคลิกภาพสีหน้าแววตาภาษากายการควบคุมอารมณ์ที่แสดงออกของบุคคลระดับผู้นำประเทศ น่าจะต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่านี้ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะไปห้ามปรามหรือสั่งการใครให้มีมารยาท ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เพราะตราบที่การสั่งการสวนทางกับสภาพที่แท้จริงที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์แสดงออกต่อบุคคลอื่น คำสั่งการนั้นย่อมไม่เป็นผล” นายอนุสรณ์ กล่าว

ผบ.ทร. ตรวจเยี่ยมการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์ การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ในการฝึกภาคทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 ณ หาดบ้านทอน ค่ายจุฬาภรณ์ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยมี พล.ร.ท.สมัย ใจอินทร์ รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการกองเรือยุทธการพล.ร.ท.สำเริง จันทร์โส ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 พล.ร.ต.สรไกร สิริกรรณะ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้แทนผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และ นาวาเอก อมร ซื่อตรง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน / ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ให้การต้อนรับการฝึกภาคทะเล นั้น เป็นการฝึกของกำลังทางเรือในการควบคุมทะเล และขยายอำนาจจากทะเลสู่ฝั่ง ตามแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ และแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้าน 

โดยจัดตั้งกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล ซึ่งเป็นกำลังเชิงรุก มีกำลังสำคัญ ประกอบด้วย หมวดเรือเฉพาะกิจโจมตีหมวดเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก และหมวดเรือสนับสนุน โดยหมวดเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ที่จัดให้มีการยกพลขึ้นยกในวันนี้ จัดกำลังประกอบด้วย หมู่เรือลำเลียง ได้แก่ เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงสีชัง และเรือหลวงสุรินทร์ หมู่บินลาดตระเวนและลำเลียง ได้แก่ เครื่องบินตรวจการณ์ชายฝั่ง เครื่องบินลาดตระเวน เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง และ เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ผิวน้ำ กำลังรบยกพลขึ้นยก ได้แก่ ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) ยานเกราะล้อยาง (BRT) รถฮัมวี่ (HMMWV) ปืนใหญ่ ขนาด 105 มม. พร้อมกำลังทหารนาวิกโยธิน จำนวน 700 นาย นอกจากนั้น ยังมีกำลังในส่วนอื่น ๆ อาทิ ชุดปฏิบัติการพิเศษ ชุดปฏิบัติการชายหาด และชุดแพทย์โรงพยาบาลสนาม

สำหรับ การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบการปฏิบัติตามหลักนิยมในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก พ.ศ. 2564 ทดสอบแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ พ.ศ. 2563 และทดสอบความพร้อมกำลังทางเรือและกำลังรบยกพลขึ้นบกนาวิกโยธิน ในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกโดยในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก จำเป็นจะต้องได้มาซึ่งการควบคุมทะเลและครองอากาศในพื้นที่ปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งห้วงเวลาที่กำหนดการค้นหาและลิดรอนทำลายกำลังทางเรือของข้าศึกทั้งเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำไม่ให้เป็นภัยคุกคามเป็นภารกิจหนึ่งในการควบคุมทะเล โดยการปฏิบัติการในวันนี้เริ่มด้วย

เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ ทำการค้นหาและกำหนดตำบลที่เรือดำน้ำ เพื่อใช้อาวุธในการโจมตีทำลาย ในขณะเดียวกันเครื่องบินตรวจการณ์ชี้เป้าได้บินตรวจการณ์ และชี้เป้าหมายเรือข้าศึกเพื่อให้กำลังทางเรือใช้อาวุธทำลายจนได้การควบคุมทะเล และเมื่อได้การควบคุมทะเลในพื้นที่ปฏิบัติการแล้ว กองเรือเฉพาะกิจสะเทินน้ำสะเทินบก จะขอรับการสนับสนุนการกำหนดช่องทางเข้า - ออกเรือเล็ก จากชุดต่อต้านทุ่นระเบิดเคลื่อนที่ เพื่อทำลายทุ่นระเบิดที่ฝ่ายข้าศึกได้วางไว้ป้องกันพื้นที่ยกพล เมื่อชุดลาดตระเวนแทรกซึมเข้าพื้นที่ยืนยันพิกัดกำลังของฝ่ายข้าศึกได้แล้ว จะร้องขอการทำลายที่หมายด้วยปืนใหญ่เรือ เพื่อให้ข้าศึกหมดขีดความสามารถในการต่อต้านกำลังรบยกพลขึ้นบกที่จะขึ้นมาดำเนินกลยุทธ์บนฝั่ง

เมื่อพื้นที่บนบกกำลังต่อต้านถูกทำลายแล้ว ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) คลื่นแรก ได้เข้าปิดระยะ และขึ้นเกยหาด ตามด้วยยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) คลื่นที่สอง โดยทำการโจมตีเป้าหมายบนฝั่งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเรือระบายพลแบบ LCVP จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นคลื่นที่ 3 ได้เคลื่อนที่เข้าเกยหาดเพื่อทำการส่งกำลังรบดำเนินกลยุทธ์ ในขณะเดียวกันกำลังรบยกพลขึ้นบกที่บรรทุกมาบนเรือระบายพลขนาดเล็ก ได้เคลื่อนออกจากเรือ เพื่อเข้าทำลายข้าศึกบนหาด ต่อมา กำลังรบคลื่นที่ 4 ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ประกอบด้วย แบบ EZ แบบ ซูเปอร์ ลิงค์ และ แบบ เบลล์ 212 ทำการลำเลียงกำลังพลและยุทธโปกรณ์ สนับสนุนดำเนินกลยุทธ์บนฝั่ง ตามด้วยกองร้อยยานเกราะล้อยาง ที่ลำเลียงมาจากเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ที่แล่นมาเกยหาด ได้เคลื่อนจากเรือขึ้นฝั่งเพื่อสนับสนุนกำลังรบยกพลขึ้นบก ตามด้วยการส่งกลับสายแพทย์ กรณีมีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ อันเป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกในวันนี้

นอกจากการฝึกภาคสนามและภาคทะเลที่จัดให้มีขึ้นในวันนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้น แบบ HARPOON BLOCK 1C โดยเรือหลวงตากสิน การฝึกปฏิบัติการร่วมระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพอากาศ (LINK – E) และยิงอาวุธทางยุทธวิธี และยิงเป้าอากาศยาน ในพื้นที่ทะเลอันดามัน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมสังเกตการณ์ โดยการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้น แบบ HARPOON BLOCK 1C ในครั้งนี้ ได้ทำการยิงอาวุธปล่อยต่อเป้าที่ระยะ 55 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 100 กิโลเมตร 

นับเป็นการยิงไกลสุดที่เคยทำการยิงมาในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้หัวระเบิดจริงซึ่งกองทัพเรือดำเนินการเองโดยไม่พึ่งพาประเทศเจ้าของอาวุธปล่อย หรือต่างชาติแต่อย่างใด โดยอาวุธปล่อยสามารถวิ่งชนเป้าได้อย่างแม่นยำ นับเป็นความสำเร็จของกองทัพเรือไทย อีกทั้งเป็นการสร้างความชำนาญ และเพิ่มองค์ความรู้ทางยุทธการให้มีความต่อเนื่องเป็นหลักประกันของชาติทางทะเลได้อย่างคุ้มค่า เพราะอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ Harpoon ถือได้ว่าเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ป้องปรามและในวันที่ 9 เมษายน 2564 กองทัพเรือ จะจัดให้มีการฝึกสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง บริเวณสนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 

โดยได้เชิญกองทัพบก และกองทัพอากาศ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกตามรายการต่าง ๆ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการต่อเนื่องและได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกเหล่าทัพในทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงคุณลักษณะและขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลในการป้องกันประเทศในอนาคตตามวิสัยทัศน์กองทัพไทยที่เป็นกองทัพชั้นนำในภูมิภาค มีนวัตกรรมทันสมัย ปฏิบัติการร่วมอย่างมีประสิทธิภาพทุกมิติ” และสร้างความสมัครสมานสามัคคี อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของกองทัพไทยในภาพรวม ตามคำขวัญของกองทัพเรือที่ว่า “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”

ทบ. แจ้ง นศ. ติดสอบแจ้งเลื่อนตรวจเลือกทหารปีนี้ได้ที่สัสดีอำเภอ ระหว่าง 21 เม.ย. - 15 พ.ค. 64

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ. หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ กองทัพบกกำหนดดำเนินการตรวจเลือกทหารกองประจำการประจำปี2564 ในระหว่างวันที่ 1 ถึง 20 เมษายน 2564 (เว้นวันที่ 6 เมษายน และวันที่ 12 - 15 เมษายน 2564) แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้สถาบันอุดมศึกษาได้มีการปรับเลื่อน การเรียน การสอนและห้วงเวลาการสอบ โดยเฉพาะการจัดทดสอบวิชาสามัญในระบบการคัดเลือกกลางระหว่าง 3 - 4 เมษายน 2564  ส่งผลให้กำหนดวันสอบของนักศึกษาตรงกับห้วงเวลาที่นักศึกษาบางคนจะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร

พ.อ.หญิงซิริจันทร์ กล่าวอีกว่า กองทัพบกจึงได้อำนวยความสะดวก ให้กับนักศึกษาที่มีเหตุจำเป็นสุดวิสัยที่ไม่สามารถเข้ารับการตรวจเลือกทหารตามข้อจำกัดข้างต้น โดยขอแจ้งให้นักศึกษาที่มีวันสอบตรงกับวันที่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหารในปีนี้  ให้ไปรายงานตัวและแจ้งเหตุจำเป็นสุดวิสัยต่อสัสดีอำเภอ/เขต ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขต พร้อมแสดงหลักฐาน อาทิ หนังสือรับรองจากสถานศึกษา , กำหนดการสอบ , หมายเรียกเข้ารับราชการทหาร ( สด.35 ) เป็นต้น ตั้งแต่ วันที่ 21 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2564 และจะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหารในปีถัดไป

อย่างที่ทราบว่าในปี ค.ศ. 2021 เมียนมาได้เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านและสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านอันเป็นผลของความขัดแย้งจากความเชื่อของคนในชาติ ก็คือ การเผาทำลายธุรกิจชาวต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจของชาวจีน

วันนี้เอย่าจะมาชำแหละให้ดูว่าใครคือเพื่อนที่แท้จริงที่เข้ามาลงทุนในเมียนมาและช่วยทำให้คนในเมียนมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

จะเห็นว่าในปี 2020 ที่ผ่านมาการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์สูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าการลงทุนในเมียนมาสูงถึง 1,859 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยการลงทุนในกลุ่มธุรกิจในฮ่องกงที่สูงถึง 1,422 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับสาม คือ กลุ่มนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการลงทุนจำนวน 768 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่อันดับสี่ คือ กลุ่มนักธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีการลงทุนเป็นมูลค่า 553 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยสหราชอาณาจักรที่มีการลงทุนในเมียนมาเป็นมูลค่า 425 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในส่วนของไทยเองในปี 2020 ที่ผ่านมานั้นอยู่ในอันดับที่ 7 มีการลงทุนในเมียนมาเป็นมูลค่า 79 ล้านเหรียญสหรัฐ

ไฮไลท์ คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่คนเมียนมาคาดหวังให้เข้ามากู้วิกฤตของประเทศในครั้งนี้ ซึ่งมีการลงทุนในเมียนมาเพียง 43.5 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่าไทยและเวียดนามเสียอีก

หากย้อนมองไปถึงการลงทุนในอดีต 1 ทศวรรษที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหามิตรที่พร้อมใจจะมาลงทุนในเมียนมาและช่วยเมียนมาในการพัฒนาประเทศก็คือ จีน ญี่ปุ่น , เกาหลี , สหราชอาณาจักร และ เวียดนาม ที่มีการลงทุนมาก่อนปี 2011 และยังลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน

จากข้อมูลการลงทุนของ DICA เป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าคนเมียนมาสามารถลืมตาอ้าปากมีกินมีใช้ได้ทุกวันนี้เพราะประเทศใดเข้ามาลงทุนช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้สิงคโปร์และไทยจะเริ่มเข้ามาลงทุนในเมียนมาหลังมีนโยบายการเกิดประเทศของอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง แต่ก็ถือว่ามีการเข้าในลงทุนต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน

หากนับว่านักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเป็นนักลงทุนจีนเช่นเดียวกันจะเห็นได้ว่าจีนนั้นน่าจะเป็นมหามิตรของเมียนมาทางเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยในการผลักดันธุรกิจในเมียนมาให้ดีขึ้น ดังนั้นการกระทำใดๆ ก็ตามของคนเมียนมาต่อธุรกิจของคนจีนภายใต้ร่มธงจีนย่อมหมายถึงการที่ประชาชนเมียนมาลงทุนทุบหม้อข้าวหลักของตนเองหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่คนเมียนมาต้องตัดสินใจเลือกอนาคตของเขาเอง

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ไทยพบผู้ติดเชื้อ 42 ราย กังวลปรากฎการณ์ติดเชื้อในครอบครัว ศบค.กระจายวัคซีน อสม. บุคลากรด่านหน้าแนวชายแดน จับตา ศบค. เล็ก ชง บิ๊กตู่ ขอไฟเขียว ลดวันกักตัว คนเข้าประเทศไทย แบ่งสามกลุ่ม 7วัน - 10วัน - 14วัน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 42 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 24 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 19 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 5 ราย นอกจากนี้ เป็นผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ 18 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่เดินทางมาจากเซาท์ซูดาน 2 ราย ซึ่งกำลังตรวจสอบว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาหรือไม่ ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม 28,868 ราย หายป่วยสะสม 27,426 ราย อยู่ระหว่างรักษา 1,343 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดสะสมคงที่ 94 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มีผู้ติดเชื้อสะสม 128,796,905 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 2,815,896 ราย

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก ได้มีการหารือกันถึงการติดเชื้อที่ จ.สมุทรปราการ โดยผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นหญิงอายุ 28 ปี ตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 22 มี.ค. จากสอบสวนโรคพบว่า มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 5 ราย และ 1 ใน 5 ราย ติดเชื้อโดยเป็นหญิงอายุ 25 ปี  ซึ่งผู้ติดเชื้อรายที่สองได้ไปสัมผัสคนรอบตัวและคนในครอบครัว ทำให้มีผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง โดยมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 6 ราย นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อรายแรกยังแพร่เชื้อไปติดสามีและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเพื่อนร่วมงานยังได้แพร่เชื้อไปยังน้องสาวและลูกชายอายุ 1 ปี 7 เดือน รวมถึงพี่เลี้ยงเด็ก ปรากฎการณ์การนำเชื้อไปแพร่คนใกล้ตัวและครอบครัวลักษณะนี้เริ่มเห็นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่ศูนย์กักบางเขนที่ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน 

เบื้องต้นมีตำรวจติดเชื้อ 3 นาย และบุคลากรของศูนย์ ที่มีทั้งแผนกครัวที่ต้องปรุงอาหาร บริการอาหารให้กับผู้ถูกกัก ผู้ทำความสะอาด แม่บ้าน คนครัว ศบค.ชุดเล็กมีความเป็นห่วง จึงทบทวนแผนกระจายวัคซีน โดยจะกระจายวัคซีนไปให้บุคลากรที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ด้วย รวมถึงสม. บุคลากรด่านหน้าอย่างในพื้นที่ที่มีผู้อพยพข้ามแดนเข้าในขณะนี้ เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่จำเป็นและควบคุมการระบาดในจังหวัด จากเดิมมีการกระจายครอบคลุม 22 จังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง จังหวัดเศรษฐกิจ จังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดแนวชายแดน จึงจะกระจายครอบคลุมไป 52 จังหวัด มีทั้งจังหวัดขนาดเล็ก จังหวัดขนาดใหญ่ จังหวัดขนาดใหญ่พิเศษด้วย นอกจากนี้ วัคซีนล็อตใหญ่จะกระจายให้ครบ 77 จังหวัดในเดือน มิถุนายน

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมศบค. ชุดเล็ก เพื่อหาข้อสรุปก่อนขออนุมัติจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผอ.ศบค. และเมื่อได้รับความเห็นชอบจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 1 เมษายน ในมาตรการผ่อนคลายการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ปัจจุบันผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยต้องกักตัว 14 วัน จากนี้จะมีการกับตัวแยกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน 

ได้แก่ กลุ่มที่หนึ่งจะมีการกักตัวเพียง 7 วัน หากเป็นชาวต่างชาติจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 14 วันก่อนการเดินทางแล้ว กลุ่มที่สองรับการกักตัว 10 วัน ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนมาแล้วแต่ยังไม่ถึง 14 วันก่อนการเดินทาง หรือได้รับวัคซีนยังไม่ครบ 2 โดส กลุ่มที่สาม เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีรายงานสายพันธุ์กลายพันธุ์ ซึ่งเป็นรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข กลุ่มนี้จะต้องมีการกักตัวอย่างน้อย 14 วัน เช่น สายพันธุ์ แอฟริกัน บราซิล อังกฤษ หรือในอนาคตอาจมีสายพันธุ์ที่เพิ่มเติมซึ่งต้องติดตามการเฝ้าระวังของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งสามกลุ่มนี้จะมีการนับเวลาของวันเริ่มที่เที่ยงคืนถึง 6 โมงเย็น นั่นหมายความว่าหากเดินทางมาถึงประเทศไทยตอน 6 โมงเย็นก็นับวันเดินทางที่เดินทางถึงเป็นวันที่หนึ่งในการเข้าสู่สถานกักกัน แต่ถ้าเดินทางถึงประเทศไทย 1 ทุ่ม ก็นับวันที่หนึ่งของการกักตัวเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่มาถึงประเทศไทย 

นอกจากนี้ มีการทบทวนเรื่องการตรวจค้นหาเชื้อ ต่างชาติก่อนที่จะเดินทางเขาจะต้องมีการตรวจหาเชื้อ โควิด-19 และยืนยันไม่มีรายงานการติดเชื้อ คือเป็นลบ จึงสามารถเดินทางเข้าประเทศ กลุ่มนี้เราจะตรวจผลโควิด-19 ของเขาครั้งที่หนึ่งในวันที่ 5 - 6 แต่สำหรับกรณีคนไทยที่เดินทางกลับบ้าน ซึ่งคนไทยไม่ได้มีการตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทาง ดังนั้น จะมีการตรวจหาโควิดแบบสวอป ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทย และมีการตรวจอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 5 - 6 นี่คือกลุ่มกักตัว 7 วัน ส่วนกลุ่มที่มีการกักตัว 10 วันจะมีการตรวจโควิดสองครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 3 - 5 ครั้งที่สองคือวันที่ 9 - 10 กลุ่มสุดท้ายที่มีการกักตัว 14 วัน จะมีการตรวจหาโควิดโดยวิธีการสวอปสามครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือวันที่เดินทางถึงประเทศไทยในวันแรก ครั้งที่สองในวันที่ 6 - 7 ครั้งที่สามคือวันที่ 12 - 13 และทุกกลุ่มยังมีกำหนดด้วยว่าจะต้องอนุญาตให้มีระบบติดตามตัวจนครบ 14 วันถึงแม้ว่าจะออกจากสถานกักกันไปแล้ว นี่คือ ข้อสรุปในเบื้องต้นที่จะรายงานต่อนายกรัฐมนตรีในวันเดียวกันนี้ดังนั้นจึงขอให้ทุกคนติดตามผลการอนุมัติในวันเดียวกันนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามถึงรายชื่อจังหวัดที่จะได้รับวัคซีน ทั่วประเทศมีการบริหารจัดการอย่างไร พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ขอเรียนทุกๆคนว่าทุกพื้นที่ทุกจังหวัด ไม่ได้ตกสำรวจศบค. ให้ความสำคัญกับทุกพื้นที่ แต่ด้วยในช่วงแรกปริมาณวัคซีนมีจำกัด ดังนั้น จึงมุ่งเน้นไปยังพื้นที่เสี่ยง ศบค. รับฟังข้อมูลจากทุกพื้นที่ พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ก็จำเป็นต้องระดมวัคซีนเข้าไปช่วยดูแลพื้นที่ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปพื้นที่อื่น ขอให้ติดตามรายงานการกระจายวัคซีนโดยกระทรวงสาธารณสุขจะชี้แจงในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ รวมไปถึงการติดตามข้อมูลจากทางเพจสาธารณสุขจังหวัด ไม่ว่าข้อมูลพื้นที่จังหวัดใดบ้าง พื้นที่ไหนบ้าง ต่างก็มีความจำเป็น เพราะนอกจากจะเป็นพื้นที่เสี่ยงแล้ว ศบค. ยังพิจารณาพื้นที่จังหวัดทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้าแนวชายแดน พื้นที่ไหนบุคคลใดจะได้รับวัคซีนก่อนหลังขอให้ติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด

‘พิธา’ เตือน ‘ประยุทธ์’ ล้มเหลวนโยบายต่างประเทศโดยสิ้นเชิง-ทำไทยขายหน้าประชาคมโลก วอน!! หยุดสนับสนุนกองทัพที่เข่นฆ่าประชาชน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า ตนและส.ส.พรรคก้าวไกลรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา ทั้งการเข้าจับกุมโดยพลการและการใช้ความรุนแรงอย่างปราศจากสำนึกต่อผู้ชุมนุมโดยสันติ และขอประณามการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ เหยื่อของความรุนแรงโดยรัฐนั้นมีทั้งผู้ชุมนุม ผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉิน บุคลากรการแพทย์ ประชาชน และเด็กผู้บริสุทธิ์ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายอย่างเป็นระบบโดยผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของกองทัพเมียนมา

การที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงท่าทียอมรับการรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์โดยเปิดเผย นอกจากจะเป็นการทรยศปณิธานที่จะได้มาซึ่งประชาธิปไตยของชาวเมียนมาแล้วนั้น ยังบั่นทอนสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศอีกด้วย ทำให้บทบาทนำในภูมิภาค รวมถึงความน่าเชื่อถือในระดับสากลของไทยยิ่งถดถอยอย่างมาก พรรคก้าวไกลขอประณามรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ให้การสนับสนุนความรุนแรงและกองทัพที่เข่นฆ่าประชาชน

นายพิธา กล่าวย้อนไปถึงเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า ไทยไม่เพียงเป็นชาติแรกในโลกที่เปิดประตูบ้านรับผู้แทนของคณะทหารเมียนมา แต่พลเอกประยุทธ์ยังเป็นผู้นำรัฐบาลคนแรกที่ยอมเดินทางไปหานายวันนะ หม่อง ลวิน ซึ่งทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคณะรัฐประหาร ที่อากาศยานทหาร กองบิน 6 ซึ่งนอกจากผิดหลักพิธีการทูตที่ระดับรัฐมนตรีนั้นต้องเดินทางไปเยี่ยมคารวะบุคคลที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลแล้ว การที่หัวหน้ารัฐบาลยอมพบหารือกับผู้แทนระดับสูงของคณะทหารเมียนมานั้น ถือเป็นการให้การยอมรับทางการทูตอย่างสมบูรณ์

“การส่งผู้ช่วยทูตทหารเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันกองทัพเมียนมานั้น โดยนัยทางการทูตถือเป็นการตอกย้ำต่อประชาคมโลกว่า กองทัพไทยซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ เป็นผู้นำในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม ให้การยอมรับกองทัพพม่า ไม่สามารถเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้นอกจาก ประเทศไทยยอมรับนับถือและพร้อมที่จะคบค้าสมาคมกับคณะบุคคลที่ถือปืนปล้นประชาธิปไตย เข่นฆ่า ทรมาน และกักขังพี่น้องร่วมชาติผู้เห็นต่างตามอำเภอใจนับร้อยนับพันคน ซึ่งทำให้สถานะของไทยที่เคยเป็นประเทศชั้นนำในภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับหลักการและค่านิยมสากลด้อยค่าด้อยราคาลง

“มากไปกว่านั้น การแสดงการยอมรับคณะรัฐประหารของเมียนมา โดยการแอบส่งเสบียงให้กองกำลังทหารภายใต้การนำของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย และการติดประกาศให้สมาชิกคณะกรรมการผู้แทนสภาแห่งสหภาพ (Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw - CRPH) อยู่ในรายชื่อบุคคลเฝ้าระวังตามแนวชายแดนนั้น นับเป็นการทรยศต่อข้อเรียกร้องของคนเมียนมานับแสนนับล้านคนที่ขอให้คณะทหารมอบประชาธิปไตยคืนแก่ประชาชน และปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังตามอำเภอใจทั้งหมดรวมถึงนางออง ซาน ซูจี ตลอดจนทรยศต่อหลักการและพันธกรณีด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน ที่รัฐบาลไทยประกาศบนเวทีระหว่างประเทศว่ายึดมั่นมาตลอด

“หากเรื่องนี้ เป็นที่รับทราบของประชาชนชาวเมียนมาโดยทั่วไป สวัสดิภาพของคนไทยและความปลอดภัยของธุรกิจไทยในเมียนมา อาจตกอยู่ในอันตราย ดังที่ได้มีการเผาโรงงานของบางประเทศที่มีท่าทีสนับสนุนคณะทหารเมียนมา มาก่อนหน้านี้ หากเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ขึ้นกับคนไทยและธุรกิจไทยในเมียนมา พลเอกประยุทธ์จะสามารถรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของเขาเหล่านั้นได้หรือไม่ อย่างไร?" นายพิธาถาม

นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล แนะพลเอกประยุทธ์ 3 ข้อที่ต้องเร่งทำอย่างเร็วที่สุดคือ

1.) ร้องขอให้บรูไนในฐานะประธานอาเซียน จัดการการประชุมสุดยอดอาเซียน สมัยพิเศษโดยเร็วที่สุด ตามที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียได้ร้องขอ

2.) ติดตามดูแลความเป็นอยู่ของคนไทยที่ยังต้องอยู่ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และพร้อมนำออกจากประเทศเมื่อได้รับการร้องขอ

3.) ประสานกับมิตรประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบและการประหัตประหารในเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม โดยไม่ผลักดันกลับประเทศ ในการเข้าไปช่วยเหลือผู้อพยพ ต้องเปิดให้ภาคประชาสังคมของไทยและนานาชาติเข้าตรวจสอบได้ เช่น การลงชื่อเข้าเยี่ยม ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้อพยพ โดยเฉพาะเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงสูง โดยการเข้าตรวจสอบในครั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคัดกรองความเสี่ยงของโควิด และเมื่อสถานการณ์สงบลงและมีแนวโน้มดีขึ้น ผู้อพยพพร้อมกลับไปยังถิ่นฐานเดิม ขอให้ UNHCR และกระทรวงมหาดไทยเป็นพยานความสมัครใจ หากมีผู้ไม่สมัครใจจะกลับไปยังถิ่นฐานเดิม ควรมีการดำเนินการระหว่าง UNHCR ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยคัดกรองผู้อพยพโดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการประหัตประหารหากถูกส่งตัวกลับ

ในขณะที่ประชาคมโลกต่างประณามการกระทำอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อนของคณะทหารเมียนมา สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีมาตรการคว่ำบาตรต่อคณะทหารเมียนมา ผู้บัญชาการทหารจาก 12 ประเทศออกแถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรงถึงชีวิตกับประชาชนมือเปล่า หรือแม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศก็ไม่ให้การยอมรับนายวันนะ หม่อง ลวิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยซ้ำ นโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ต่อเรื่องการรัฐประหารในเมียนมาจึงถือเป็นความล้มเหลวทางการทูตและนโยบายด้านการต่างประเทศของไทยโดยสิ้นเชิง นายพิธากล่าวสรุป


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"พรรคกล้า" กทม. เรียกร้อง ธนาคารออมสิน ขยายเวลาลงทะเบียนผ่อนปรนหนี้บุคลากรทางการศึกษาสังกัด กทม. ออกไปอีก 1 เดือน หลังมีหนังสือให้เวลาลงทะเบียนเพียง 7 วัน

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการกลุ่ม กทม. พรรคกล้า เรียกร้องให้ธนาคารออมสินขยายมาตราการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้สินเชื่อ ข้าราชการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้ ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ธนาคารมีมาตราการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2563 ต่อมางวดชำระตามเงื่อนไขเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ยังไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขของธนาคารฯ ได้ เพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป 

แต่ต่อมาธนาคารฯ มีหนังสือถึงสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร ลงรับเมื่อวันที่ 22 มี.ค.64 ให้ 
แจ้งลูกหนี้ในสังกัด แสดงความจำนงขอเข้าร่วมมาตรการผ่อนปรน และต้องให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564  นายเอกชัย กล่าวว่า ระยะเวลาการดำเนินการแจ้งความจำนงนั้นกระชั้นชิดมาก มีเวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงขอเป็นตัวแทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร วิงวอนไปยังธนาคารฯ ได้โปรดเห็นใจ และขอให้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงความจำนงเข้าร่วมมาตรการผ่อนปรนออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือนจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2564 เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดกรุงเทพมหานคร ดำเนินการเข้าร่วมมาตราการผ่อนปรนเงื่อนไขชำระหนี้ได้ทัน ตามกำหนดต่อไป

ก.แรงงาน ระดมภาคีเครือข่ายพิจารณาร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการมุ่งขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายหมดจากสังคมไทย

กระทรวงแรงงาน จัดประชุมระดมสมองภาคีเครือข่ายกว่า 200 คนพิจารณาร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 3 ให้เกิดความสมบูรณ์และนำไปปฏิบัติใช้เพื่อให้การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายหมดสิ้นไปจากสังคมไทย 

วันที่ 31 มีนาคม 2564 นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในฐานะประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นแผนปฏิบัติการด้านการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2565 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า นโยบาย ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เร่งรัดให้ทุกหน่วยงานดำเนินการเพื่อให้ปัญหาการค้ามนุษย์หมดสิ้นไปจากประเทศไทยตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล และยกระดับประเทศไทยสู่เทียร์ 1 ให้ได้นั้น นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับนโยบายดังกล่าวมาสู่การปฏิบัติ โดยมอบให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2564 - 2565 เพื่อให้สอดรับการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 182 ว่าด้วยการห้ามและการดำเนินการโดยทันทีเพื่อขจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของการใช้แรงงานเด็ก 

อีกทั้งปัญหาการใช้แรงงานเด็กของประเทศไทย เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยตลอด จากรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในประเทศไทย ปี 2562 ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย 2,696 คน เป็นการใช้แรงงานเด็กในการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือค้ายาเสพติดมีจำนวนมากที่สุด 2,495 คน รองลงมาคือ การกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการใช้ จัดหา หรือเสนอเด็กเพื่อการค้าประเวณี จำนวน 106 คน การกระทำผิดที่เกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานเด็ก จำนวน 59 คน และการให้เด็กทำงานที่มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือศีลธรรมของเด็ก จำนวน 36 คน 

ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็กอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายของประเทศไทยดีขึ้นเป็นลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการใช้แรงงานเด็กก็ยังไม่ได้หมดไปจากประเทศไทยแรงงานเด็กบางส่วนยังต้องทำงานเนื่องจากครอบครัวยากจน โดยที่เด็กมีระดับการศึกษาไม่สูงนัก เมื่อเข้าสู่ระบบการทำงานจึงทำให้เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกชักจูงไปกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เด็กอาจทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี หรือทำงานที่เป็นอันตรายขาดการพักผ่อน ทำให้เด็กที่ทำงานมีปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขภาพจิต รวมทั้งการขาดโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาอาชีพ

นางโสภา เกียรตินิรชา กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมอบให้ศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำโครงการศึกษาการประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2563 พร้อมทั้งจัดทำนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย พ.ศ. 2564–2565 โดยการจัดประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการ จำนวน 200 คน ร่วมกันแสดงความคิดเห็นต่อร่างนโยบายและแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การจัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการฯ ฉบับสมบูรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดไปจากประเทศไทย

อัยการสั่งฟ้อง "เอกชัย" กับพวก คดี ม.110 ชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จ เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 แสนยื่นประกัน

วันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth), นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ 5 ผู้ต้องหา เดินทางมารายงานตัวตามที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 นัดสั่งคดี กรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในความผิดฐาน ประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย ม.215 และกีดขวางการจราจรฯ กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 

นายเอกชัย เปิดเผยว่า วันนี้ได้เตรียมหลักทรัพย์มายื่นประกันตัว ส่วนจำนวนเท่าใดไม่ขอเปิดเผย คดีนี้ก่อนหน้านี้ในชั้นฝากขัง ศาลเคยไม่ให้ประกันตัวเพราะโทษสูงกลัวหลบหนี และอยู่ระหว่างการสอบสวน ต่อมาศาลปล่อยตัว วันนี้อัยการส่งฟ้อง การสอบสวนสิ้นสุดแล้ว ซึ่งเวลาผ่านมาเกือบ 5 เดือน หากตนหลบหนีก็ทำได้ง่าย แต่ตนไม่เคยคิดที่จะหนี ส่วนประเด็นที่เคยร้องขอให้อัยการสอบพยานเพิ่มนั้น เท่าที่คุยกับทนายความระบุอัยการรับ แต่ยังไม่จำเป็นต้องพิจารณาตอนนี้  เข้าใจว่าวันนี้ส่งฟ้องไปก่อน ทั้งนี้ ตนไม่ได้มาขอความเมตตาจากศาล แต่ต้องการความเป็นธรรม 

ขณะที่นายบุญเกื้อหนุน ได้อ่านคำแถลงอันมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เราไม่มีความประสงค์ หรือความพยายามที่จะกระทำตามข้อกล่าวหา และเรายืนยันในความบริสุทธิ์ของพวกเรามาตลอด แต่หลังจาก 5 เดือนผ่านไป พร้อมกับความอัปยศและความยากลำบาก พวกเราได้รับทราบถึงข้อสรุปจากอัยการได้ตัดสินใจเตรียมการส่งคดีฟ้องต่อศาลอาญา และจะเป็นช่วงการดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป ถ้าหากไม่สำเร็จ พวกเราทั้ง 5 คนจะต้องถูกขัง และถูกริดรอนเสรีภาพของพวกเราโดยทันที 

"พวกเราได้มีโอกาสต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อความยุติธรรม กับเพื่อนของผมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ และถึงขนาดนั้นเอง ผมเชื่อว่าเรายังมีอะไรอีกมากที่ยังต้องช่วยเหลือ เกื้อกูลและทำต่อ ถึงจุดนี้ ผมคงเพียงพูดแค่ว่า มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ ถ้าหากความเป็นอยู่ของผมต้องจบลงในขณะที่ถูกจองจำ ผมจะเผชิญหน้าต่อไปโดยปราศจากความเสียใจทั้งสิ้น ต่อกรกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มและความพึงพอใจ ที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราได้สละชีพให้จะมีความหมาย และชื่อเสียงเรียงนามของผมจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ โดยที่รู้ว่าจิตวิญญาณ จิตใต้สำนึก และความศรัทธาของเราจะไม่มีวันถูกทำลายได้อย่างแน่นอน" นายบุญเกื้อหนุน กล่าว 

ด้าน นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความผู้ต้องหา กล่าวถึงเรื่องการปล่อยชั่วคราวหากถูกยื่นฟ้อง ว่า ตามหลักการตามกฏหมายผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี จะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และก่อเหตุภยันตรายประการอื่น หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อพนักงานสอบสวน ถ้าเอาข้อเท็จจริงมาประกอบกับข้อกฎหมาย ผู้ต้องหาทั้ง 5 จะต้องได้รับการปล่อยชั่วคราว 100 เปอร์เซ็นต์ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาได้เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 เเสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวหากถูกฟ้องตกเป็นจำเลย จากนั้นในเวลา 11.00 น. ทางพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา นำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา

“บิ๊กป้อม” ห่วงใยนักกีฬาคนพิการ เปิดอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์/ศูนย์ฝึกกีฬาบอคเชีย ชื่นชมผลงานที่ผ่านมา เรียกประชุม คกก.กกท. หนุนไทยเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ครั้งที่ 33 สร้างความเชื่อมั่น ส่งเสริมเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวภายใต้ New Normal กำชับสมาคมฯ เร่งฝึกซ้อม

เมื่อ 31 มีนาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานพิธีเปิดอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา และอาคารศูนย์ฝึกกีฬาบอคเชียแห่งชาติ พร้อมทั้งเป็นประธานการประชุม คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กก. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา  การกีฬาแห่งประเทศไทย

พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางถึงบริเวณพิธี ณ อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬารับฟังคำกล่าวรายงาน การดำเนินการจากผู้ว่าฯกกท. (นาย ก้องศักด ยอดมณี) รับชมวีดีทัศน์ความเป็นมาของการปรับปรุงศูนย์ฯ และการดำเนินงาน พร้อมเยี่ยมชมการบริการ และเครื่องมืออุปกรณ์ จากนั้น ได้เป็นประธานการประชุม คกก.กกท. โดยรับทราบความคืบหน้า เรื่อง ที่ กกท.ได้ขอความอนุเคราะห์ การขอรับวัคซีนป้องกัน covid-19 จากกระทรวงสาธารณสุข สำหรับ นักกีฬาทีมชาติ เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการกีฬา ที่จะเดินทางเข้าร่วมแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่32 พาราลิมปิกเกมส์ และกีฬารายการนานาชาติอื่น ๆ 

โดยในขณะนี้ มีนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ จำนวน 11 คน ได้รับการฉีดวัคซีน ชุดแรกแล้ว ได้แก่ สมาคมแข่งเรือใบ จำนวน 9 คน และสมาคมวินเซิร์ฟ จำนวน 2 คน โดยทั้ง 2 สมาคมจะเดินทางไปร่วมแข่งขันรายการ มุสสานาห์ โอเพ่น แชมเปี้ยนชิพ 2021 ที่ประเทศโอมาน ซึ่งเป็นการแข่งขัน Qualify Olympic 2020 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จากนั้น ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบ การขอรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 (พ.ศ.2568) โดยนำเสนอ ครม.ให้ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขัน พร้อมเห็นชอบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณา จังหวัด เจ้าภาพเพื่อใช้จัดการแข่งขัน ด้วย

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กกท.ให้เร่งขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาการกีฬาให้บรรลุเป้าหมาย อย่างเร่งด่วน และการบริหารงบประมาณ จะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน กีฬาซีเกมส์นั้น จะต้องมีการวางแผนเตรียมการ อย่างเหมาะสม ภายใต้ New Normal และต้องสามารถสะท้อนศักยภาพ ความเชื่อมั่นของประเทศ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร  ยังได้มอบนโยบายให้สมาคมกีฬาต่าง ๆ เร่งวางแผนฝึกซ้อมนักกีฬา พร้อมเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬา ทุกประเภท ให้สามารถก้าวสู่ความเป็นเลิศ และเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์สมัยหน้าให้ได้ ต่อไป

ภายหลังการประชุม คกก.กกท. พล.อ.ประวิตร ได้เดินทางไปทำพิธีเปิดอาคารศูนย์ฝึกกีฬาบอคเชียแห่งชาติ ณ อาคารศูนย์ฝึกฯ สมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์ สำหรับนักกีฬาคนพิการ โดยตรง พร้อมได้กล่าวย้ำว่า นักกีฬาคนพิการถือเป็นผู้ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมาได้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการกีฬา ของประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง

‘รมว.คมนาคม’ แบ่งงาน รมช.คนใหม่ คุม 4 หน่วยงาน ขบ. - ทย. - สบพ. - โรงแรมสุวรรณภูมิ

วันที่ 31 มีนาคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2546 ได้ลงนามออกคำสั่งกระทรวงคมนาคม ที่ 183/2564 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุ้งนี้ ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารราชการของกระทรวงคมนาคม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ.2550 จึงให้ยกเลิกคำสั่งที่ 429/2563 ที่ได้สั่ง ณวันที่ 9 มิถุนายน 2563 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และให้ใช้ดำสั่งนี้แทน

ทั้งนี้ มอบอำนาจให้นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ให้มีอำนาจในกำกับดูแล และปฏิบัติราชการแทนโดยทั่วไป ยกเว้นการบริหารงานบุคคล การอนุมัติงบประมาณ การอนุมัติ การอนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆ ที่เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งใด หรือมติของ ครม. สำหรับงานของส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย

1.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
2.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.)
3.) สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.)
4.)บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด
5.)งานตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและที่ประชุมวุฒิสภา

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ในการกำกับดูแล และปฏิบัติราชการแทน ที่ได้รับมอบอำนาจนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อาจมอบอำนาจการอนุมัติ อนุญาต การออกใบอนุญาตใดๆ หรือการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่น ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งใด หรือมติของ ครม. อันอยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้แก่รัฐมนตรีช่วยการการกระทรวงคมนาคมได้ โดยทำเป็นหนังสือ ขณะที่บรรดาเอกสารใด ๆ ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งหรือลงนามในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทน ให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อทราบในโอกาสแรก

นอกจากนี้ ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นว่า เรื่องใดเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลหรือมีผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาล หรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความไม่ยุติธรรมแก่ประชาชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสามารถสั่งการในเรื่องนั้นได้โดยตรง อีกทั้งในกรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ อำนาจในการกำกับดูแลและปฏิบัติราชการแทนให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรวมถึงในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมอบอำนาจนี้ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ยึดมั่นในระเบียบกฎหมาย และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2556 นอกจากนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 รวมทั้งหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด

“วิษณุ” แจง ประมวลจริยธรรม ขรก.การเมือง แตกต่างจากลงโทษ ส.ส. เปรียบมาตรฐานชี้วัดความผิดอะไรทำได้หรือไม่ได้ ก่อนส่งไปจัดการตามกม.ที่เกี่ยวข้อง

วันที่ 31 มีนาคม 2564 นายวิษณุ เครืองาม กล่าวถึง สาระสำคัญ ภายหลัง ครม.เห็นชอบร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มี พ.ร.บ. มาตรฐานทางจริยธรรมเป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญ 60 กำหนด ซึ่งกำหนดว่าให้มีคณะกรรมการมาตรฐานจริยธรรมเพื่อกำกับกับสอดส่องให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภทไปจัดทำประมวลจริยธรรมของตัวเองขึ้น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งดูแลข้าราชการประมาณ 3 แสนคน ไปจัดทำประมวลจริยธรรมของข้าราชการพลเรือนซึ่งขณะนี้ยังไม่เสร็จ ยกตัวอย่างครู ก็ต้องไปทำประมวลจริยธรรมครู ซึ่งขณะนี้กำลังทำอยู่ ซึ่งทั้งหมดที่กำลังทำอยู่จะต้องเสร็จในวันที่ 6 เมษายน 2564

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนข้าราชการการเมือง ครม. จะเป็นผู้จัดทำประมวลจริยธรรม โดย ครม.ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฎีกาเป็นผู้ทำ ซึ่งฉบับเมื่อวันที่ 30 มีนาคม เป็นของข้าราชการการเมือง ที่ สำนักงานคณะกรรมการกฎีกา ทำแล้วเสร็จ โดยข้าราชการการเมืองคือผู้มีตำแหน่ง ตามที่กฎหมายระเบียบข้าราชการการเมืองกำหนดไว้ ไล่ตั้งแต่ นายกฯ รองนายกฯ จนถึง เลขานุการรัฐมนตรี และ ผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ไม่รวม ส.ส. และ ส.ว. เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง แต่ส.ส.และ ส.ว. มาตรฐานจริยธรรมต่างหาก ซึ่งรัฐธรรมนูญแยกออกมา โดยการกำหนดให้องค์กรอิสระทั้งหลายรวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้จัดทำเพื่อใช่เป็นประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทั้งหลาย เช่น กกต. ป.ป.ช. และ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นต้น ซึ่งรวมถึง ครม. ส.ส. และ ส.ว.ด้วย โดยจัดทำเสร็จมาและประกาศใช้แล้วมา 2 ปี

ผู้สื่อข่าวถามว่า โทษของข้าราชการการเมืองเหมือนกับ ส.ส. หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เหมือน เพราะจะไล่ไปตามกฎหมายของตัวเอง ประมวลจริยธรรมจะบอกแค่เรื่องมาตรฐานในความประพฤติ และ ปฏิบัติเท่านั้นว่าพึงกระทำอะไร และ พึงละเว้นอะไร แต่กรณีที่มีการฝ่าฝืนเกิดขึ้นจะไล่ไปใช้กฎหมายต่างๆเช่น ข้าราชการการเมืองจะมีจริยธรรมตามประมวลที่เข้าครม.เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่หากฝ่าฝืนต้องไปดูว่าผู้กระทำฝ่าฝืนมีตำแหน่งอะไร เช่น เลขานุการรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรี กรณีนี้ใช่วิธีปรับครม.เอาออก และ ตั้งคณะกรรมการสอบ เป็นการไล่ไปใช้กฎหมายอื่น ส่วนความผิดอาญาก็ไปที่ ป.ป.ช. หรือไปที่ตำรวจ ดังนั้นอย่ามาดูว่าไม่เห็นบอกว่าผิดอะไรแล้วทำอย่างไร แต่บอกว่าทำอย่างไรเรียกว่าผิด  แค่นี้ก็มีสะพานจะเดินอีกเยอะแล้ว ส่วนข้อห้ามตามร่างประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง ขอให้ไปดูรายละเอียด ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้มีประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า มีตามรัฐธรรมนูญฉบับเก่า ก็เลิกไปแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญ ของร่างประมวลจริยธรรมร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ...มีสาระสำคัญดังนี้ 

1.) กำหนดนิยามคำว่า ข้าราชการการเมือง หมายความว่า ข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง และให้หมายความรวมถึงกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีด้วย 

2.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหาษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

3.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่  

4.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องกล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม 

5.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมีจิตสาธารณะ 

6.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยต้องดำรงตน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

7.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ

8.) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top