Sunday, 16 June 2024
POLITICS

สูตรไม่ลับตรวจเชื้ออู่ฮั่น แค่ 5 วัน ตรวจได้ 11 ล้านคน | NEWS GEN TIMES

‘ทำงานหนัก’ + ‘ฉลาด’ สูตรไม่ลับตรวจเชื้ออู่ฮั่น​ ที่ใช้เวลาแค่ 5 วัน ตรวจประชาชนจีนได้ถึง 11 ล้านคน

สิ่งที่น่าคิดตามอย่างมาก​เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ​ วิธีการทำงานแบบร่วมมือกันในทุกหน่วยงานของจีนนั้นน่าทึ่งอย่างมาก​ โดยเท่าที่เห็นนั้น​ อย่างน้อย ๆ​ มีการทำงานร่วมกันของ 3-4 กระทรวง

- ทั้งกระทรวงมหาดไทยที่จัดการประชาชนมาเข้าระบบ
- กระทรวงสาธารณสุขทำงานตรวจเชิงรุกในจุดต่าง ๆ 
- โดยมีกระทรวงดิจิทัลใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีสนับสนุน
- รวมถึงกระทรวงคมนาคมที่มีการเคลียร์เส้นทาง​ พร้อมทั้งจัดรถมารับ-ส่งผู้คน เพื่อมาตรวจหาเชื้อ

นี่คือการทำงานหนัก (Work Hard) แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการทำงานที่ฉลาด​ (Work Smart) บนความร่วมมือไปพร้อม ๆ​ กันกับหลากหน่วยงาน

ว่าแต่ ‘ประเทศไทย’ มองเห็นอะไรจากวิธีการทำงานแบบนี้ของจีนบ้าง? 

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ก้าวไกล' ทวิตฉะ 'เพื่อไทย' ขัดขวางเชือด 'ลุงป้อม' เจอสวนกลับ ไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์

น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์ว่า พรรคก้าวไกลไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่อภิปรายพลเอกประวิตร ส.ส.รังสิมันต์ โรม พร้อมที่จะอภิปรายค่ะ เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เรายืนยันว่าเราแจ้งกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้วว่าพวกเรามีความประสงค์จะอภิปรายพลเอกประวิตร แต่ไม่มีพรรคร่วมสนับสนุน 

หลังจากประชุมเมื่อวันพุธ ส.ส.ประเสริฐ เลขาเพื่อไทย แจ้งคุณชัยธวัช เลขาก้าวไกล ให้ส่งรายชื่อเพิ่มเติมภายใน 15.00 น.วันอาทิตย์ คุณชัยธวัช ส่งชื่อพลเอกประวิตรในวันอาทิตย์ บ่ายสองกว่า ๆ แต่สุดท้ายทางเพื่อไทยให้ก้าวไกลไปทบทวนใหม่ ทั้ง ๆ ที่การเสนอชื่อเป็นสิทธิของพรรคนั้น ๆ

ทำให้นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ทวิตกลับผ่าน Yuttapong_Official มีข้อความว่า ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ และจุดยืนของผม เพราะผมได้เสนอพรรคพท.ให้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ บิ๊กป้อม ในฐานะ “บิดาแห่งเรือดํานํ้าไทย” รวมเอาหลักฐานฯ เด็ด ให้ผู้บริหารฯพรรคพท. ดูแล้วเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 64 , เรือดำนํ้าไม่ผิดเป็นไปได้ไง? #อภิปรายไม่ไว้วางใจ65 #บิ๊กป้อม #เพื่อไทย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ราเมศ ย้ำ เฉลิมชัย ตอบได้ทุกประเด็น ยึดซื่อสัตย์สุจริต จึงไม่คิดกลัวฝ่ายค้าน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นที่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า หลักการต้องถือว่าเป็นสิทธิของฝ่ายค้านในระบบประชาธิปไตยที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร เคารพในการทำหน้าที่ตามครรลอง ส่วนข้อมูลของฝ่ายค้านจะมีน้ำหนักมากน้อยขนาดไหนก็ต้องรอดูตอนอภิปราย  นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยก็ไม่ได้กังวลใจใดๆเลย สามารถตอบคำถามชี้แจงได้ทุกประเด็น ความจริง ความซื่อสัตย์ สุจริต สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ทุกคำตอบสิ้นข้อสงสัย 

นายเฉลิมชัย เป็นรัฐมนตรีที่มาจากลูกชาวบ้าน ได้ทำหน้าที่ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนดี จะให้ใช้ตำแหน่งไปแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือพวกพ้องไม่มีแน่นอนในส่วนของพรรคไม่ได้ตั้งวอร์รูมแต่อย่างใด แต่โดยส่วนตัวที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย ก็จะสนับสนุนข้อมูลนายเฉลิมชัยอย่างเต็มที่ และในฐานะโฆษกพรรคหากมีการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายค้าน ก็พร้อมที่จะชี้แจงทันที เราเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของนายเฉลิมชัยอย่างเต็มที่ ไม่มีทุจริตจึงไม่คิดกลัวฝ่ายค้านแต่อย่างใด

คำถามชวนคิด 238 ปี ใครคือเจ้าของประเทศ? คำถามชวนตอบ "คุณทำอะไรให้ประเทศบ้าง?"

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว (15 ส.ค. 63) เจ้าของผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า 'Atirutj Sarlim' ได้โพสต์ข้อความที่ชวนให้เกิดการตั้งคำถามใหม่ ๆ แก่คนรุ่นใหม่ ที่อาจมองต่างมุม แต่ไม่ได้มองมุมกลับได้อย่างน่าสนใจว่า...

238 ปี ที่ไม่ต้องสงสัย ใครคือเจ้าของประเทศ?

เข้าไปโพสต์ใน Facebook ของธนาธร มีวัยรุ่นเข้ามาถามหลายเรื่อง ก็ตอบไป จนถึงคำถามล่าสุด ถามว่าทำไมไม่อยากให้ตรวจสอบสถาบัน เลยตอบไปว่า...

ไม่ใช่ไม่อยากให้ตรวจสอบครับ แต่ไม่เห็นเหตุผลหรือความจำเป็นต้องตรวจสอบ

ท่านไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยอะไร ที่ต้องโดนตรวจสอบ ไม่ได้กระทำผิดอะไร!!

ราชวงศ์จักรีเริ่มต้นในปี 2325 ยาวมาจนปัจจุบัน 2563 เป็นเวลา 238 ปี

ก่อน 2475 >> นักการเมืองบริหารประเทศเหรอครับ?

เงินที่อยู่ในคลังของประเทศ >> นักการเมืองเป็นผู้ดูแลเหรอครับ?

ที่ดินที่กลายเป็น มธ. ท่าพระจันทร์ ก่อน 2475 >> เป็นของใครเหรอครับ?

ตอนที่ประเทศสยามต้องไถ่ถอนจากฝรั่งเศส >> เป็นเงินใครครับ?

จาก 2325 ถึง 2475 เป็นเวลา 150 ปี >> แผ่นดินในประเทศสยามเป็นของใครเหรอครับ?

พอ 2475 ใครเอาปืนไปจี้ปล้นมาจากท่านครับ?

ที่ดินที่กลายเป็น มธ. ใช่ของปรีดีเหรอครับ?

เงินทั้งหมดที่ปรีดีใช้หลัง 2475 ลอยลงมาจากอากาศเหรอครับ? หรือปรีดีหยอดกระปุกเก็บไว้

แล้วเงินของราชวงศ์ ที่ส่งต่อกันมากว่า 150 ปี ปรีดีและพวกกลุ่มเล็ก ๆ ที่อ้างประชาชนทั้งประเทศ มีความชอบธรรมอะไรไปเอาของท่านมาครับ?

ทรัพย์สินของราชวงศ์ ไม่ได้เพิ่งมีหลัง 2475 เหมือนปรีดีและพรรคพวกนะครับ 150 ปีนะครับจาก 2325 ถึง 2475...

แล้วทำไมราชวงศ์จะไม่มีสิทธิ์เอาของของท่านที่โดนเอาปืนจี้ปล้นไปกลับคืนครับ?

แล้ว 88 ปีที่ประชาชนมาบริหารประเทศต่อจาก 150 ปีที่ราชวงศ์บริหารมา มีสิทธิ์อะไรกับทรัพย์สินของท่านครับ?

จะอ้างจ่ายภาษี จากวันที่คุณเกิด จนถึงวันที่คุณอ้างว่า จ่ายภาษี กับ 238 ปีที่ราชวงศ์จักรีดำรงอยู่ เทียบกันหน่อยครับว่า เงินคุณจะประมาณเท่าไหร่กับเงินของราชวงศ์ที่ส่งต่อกันมาครับ

ผมไม่เห็นความชอบธรรมอะไรเลย ที่คนแบบพวกคุณจะมีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวกับเงินของราชวงศ์ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่อายุยังไม่ถึง 30 ปีเลย

30 ปี กับ 238 ปี กับคุณูปการต่าง ๆ ที่กษัตริย์ไทยได้สร้างไว้ตั้งแต่วันประชาชนชาวไทยยังไม่ได้บริหารประเทศจนวันนี้

คุณทำอะไรให้ประเทศบ้าง?

คุณกับครอบครัวคุณ และพวกที่เรียกร้องด้วยครับ จากวันที่เกิด จนวันที่ลุกขึ้นมาเรียกร้อง ทำอะไรให้ประเทศเท่ากับที่ราชวงศ์ทำมาตั้งแต่ 2325 ครับ ถึงบอกว่าพวกคุณมีความชอบธรรมมากพอ เป็นเจ้าของประเทศมากพอ ที่จะไปตรวจสอบพระมหากษัตริย์ที่สืบทอดต่อเนื่องมา 238 ปี

เอาความชอบธรรมอะไรไปตรวจสอบท่านครับ งงมาก


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3263615580348530&id=100001003612221&refid=52&__tn__=-R


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.เห็นชอบ ลงนามรับบริจาคยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ จากเยอรมัน -เห็นชอบ รับสนับสนุนวัคซีน แอสตราฯจากภูฏาน พร้อมส่งคืนให้ในอนาคต

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม. เห็นชอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นผู้มีอำนาจลงนาม สัญญาการลงนามในร่าง In-kind Donation Agreement ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมัน กับ กระทรวงสาธารณสุขของไทย เพื่อรับบริจาคยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (ยาคาซิริวิแมบและอิมเดวิมาเมบ) จากเยอรมันของบริษัทรีเจนเนอรอน (Regeneron) จำนวน 1,000-2,000ชุด โดยเป็นการบริจาคแบบไม่มีเงื่อนไข เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โดยประเทศไทยในฐานะผู้รับบริจาค ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนสำหรับยา แต่มีภาระในการรับมอบจาก Bundeswehrapotheke (ร้านขายยาทหาร) Epe และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าจัดเก็บ  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนั้น ครม.เห็นชอบการลงนามในร่าง FORM OF AGREEMENT Tripartite Agreement ระหว่างรัฐบาลภูฏาน รัฐบาลไทย และบริษัท แอสตราเซเนกาจำกัด  ซึ่งเป็นการรับมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ของบริษัท 
แอสตราเซเนกา จำกัด โดยให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้มีอำนาจลงนามในสัญญา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภูฏานมีความประสงค์จะมอบวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบริษัท แอสตราเซเนกา จำนวน 130,000-150,000 โดส แก่ประเทศไทย ผลิตโดย Statens Serum Institute ประเทศสวีเดน บนพื้นฐานของการส่งมอบคืนในอนาคต ตามข้อตกลงไตรภาคี ระหว่างรัฐบาลภูฏาน  รัฐบาลไทย และบริษัทแอสตราเซเนกาจำกัด   

ครม. กำหนด วันที่ 5 ธ.ค. ของทุกปี เป็น"วันอาสาสมัครสากล"

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ครม. เห็นชอบกำหนดให้มีการจัดงานวันอาสาสมัครสากล (International Volunteer Day: IVD) ตามมติสหประชาชาติ ในวันที่ 5 ธันวาคมเป็นประจำทุกปี เพื่อให้การขับเคลื่อนกิจกรรมด้านอาสาสมัครของไทยเผยแพร่สู่ระดับสากลและเป็นการยกระดับสู่การบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืน (SDGs) โดยกำหนดช่วงระยะเวลาการจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม (วันอาสาสมัครไทย) ถึงวันที่ 5 ธันวาคม (วันอาสาสมัครสากล) ของทุกปี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับผิดชอบในส่วนของการสนับสนุนและประสานงานในการจัดกิจกรรมต่างๆ เนื่องในโอกาสวันอาสาสมัครสากล

ทั้งนี้ ความเป็นมาของ “วันอาสาสมัครสากล” ถูกกำหนดขึ้นจากมติขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2528 ได้ประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสากล และเชิญชวนประเทศต่างๆ จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับงานอาสาสมัคร โดยคณะรัฐมนตรีเคยมีมติ เมื่อ 19 ธันวาคม 2543 กำหนดให้ “วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครไทย” เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับอาสาสมัคร สำหรับการจัดกิจกรรมวันอาสาสมัครสากลในไทย ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และโครงการอาสาสมัครแห่งสหประชาชาติ (United Nations Volunteer: UNV) ได้จัดงานวันอาสาสมัครสากลของประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติกรุงเทพมหานคร และจัดกิจกรรมตามหัวข้อที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ในแต่ละปี 

โฆษกรัฐบาลเผยผลสอบประมูลก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเหนือ-อีสาน ยังไม่แล้วเสร็จ ขอรออีกนิด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกรัฐมนตรีถึงกรณีที่นายกฯมีคำสั่ง ลงวันที่ 17 มิ.ย.64 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการประมูลการก่อสร้าง รถไฟทางคู่ทั้งสายเหนือและสายอีสาน ขณะนี้เวลาล่วงเลยไป 2 เดือนแล้ว ผลตรวจสอบได้ข้อสรุปผลอย่างไรบ้าง มีการทุจริตหรือไม่ และนายกฯได้สั่งการกระทรวงคมนาคมดำเนินการอย่างไรต่อไปว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ และทราบว่าในเรื่องที่ได้มีการยื่นไปไปกลับด้านองค์กรอิสระต่างๆในการที่จะตรวจสอบทั้งในเรื่องของความโปร่งใส ทั้งในเรื่องที่ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ตรงนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบก็ขอให้รอเวลาอีกนิดที่จะมีข้อสรุปออกมา

รัฐบาล แจงเหตุสั่งซื้อซิโนแวคเพิ่ม ยกงานวิจัยชี้ฉีดไขว้ภูมิสูงถึง4 เท่า-ป้องเดลต้าได้ ระหว่างรอวัคซีน​mRNA ช่วงปลายก.ย.-ต้น ต.ค.นี้ ยืนยันเป้าเดิมได้ครบ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ สั่งคาดโทษคนสวมรอยจนท.ฉีดไฟเซอร์ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรีถึงเหตุผลของรัฐบาลในการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ว่า มีเหตุผลด้านการวิจัยและการเก็บข้อมูลมารองรับ เนื่องจากตั้งแต่องค์การอนามัยโลกได้มีการอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบบไขว้ชนิด ทางประเทศไทยจึงเริ่มมีการฉีดวัคซีนแบบไขว้และเก็บข้อมูลมาซึ่งข้อมูลที่ได้พบว่า ถ้าเป็นผู้ที่ฉีดซิโนแวคเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะมีภูมิ ต่ำกว่าการฉีดแอสตราตราเซเนกา 2 เข็ม และจากการเก็บข้อมูลพบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มที่1 ไขว้ด้วยแอสตราเซเนกา เข็มที่ 2 จะทำให้ภูมิขึ้นมาสูงกว่า การฉีดวัคซีน​ซิโนแวค 2 เข็ม ถึง 4 เท่า และสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ด้วย จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนในลักษณะนี้ ในผู้ที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน ระหว่างรอวัคซีน​mRNA ที่จะมาในช่วงปลายเดือน ก.ย. หรือ ต้น ต.ค.นี้
 
เมื่อถามถึงกรณีรพ.เฉลิมพระเกียรติ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์บูสเตอร์โดสเข็ม 3 ให้ภรรยาผอ.รพ.และกรณีแพทย์จ.นครศรีธรรมราช นำญาติที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้ามาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ กรณีแบบนี้จะจัดการอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการให้ทางจังหวัดสอบสวนตั้งคณะกรรมการขึ้นมา รวมถึงให้สาธารณสุขจังหวัดเข้ามาตรวจสอบ และต้องพิจารณาว่าหากตรวจสอบแล้วมีความผิดจริงก็ต้องดำเนินการลงโทษตามระเบียบวินัยต่อไป ย้ำว่ารัฐบาลไม่มีการให้นโยบายฉีดให้กับ VIP แต่อย่างใด

นายอนุชา ยังกล่าวถึงแผนการจัดหาวัคซีนว่าไทยจะได้ฉีดให้ประชากรในไทยคลอบคลุมทุกกลุ่มภายในสิ้นปีนี้แน่นอนหรือไม่ ว่า ปัจจุบันการฉีดวัคซีน มีข้อมูลว่าฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 24 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ประมาณ 18.3 ล้านโดส เข็มที่ 2 ประมาณ 5.2 ร้านโดส และเข็ม Booster เข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และด่านหน้าประมาณ 500,000 โดส โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จะสามารถฉีดได้ถึง 30 ล้านโดส โดยภายในเดือนนี้มีการฉีดระหว่างช่วงวันที่ 6 ส.ค.ได้สูงถึง 600,000 โดสต่อวัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับวัคซีนที่จะเข้ามา ซึ่งสามารถเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ย้ำว่าในปี 2564 มีการยืนยันแล้วว่าจะมีวัคซีนเข้ามาครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ เพราะฉะนั้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายตั้งแต่เดือนต.ค.-ธ.ค. จะมีศักยภาพในการฉีดมากกว่า 15 ล้านโดสอย่างแน่นอน ยืนยันว่าภายในสิ้นปีจำนวน 100 ล้านโดสก็จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย

ครม.รับทราบ การพัฒนากฎหมาย เพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบการพัฒนากฎหมายเพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการพัฒนากฎหมายไปแล้ว อาทิ 1.จัดทำพ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยื่นคำขอหรือการติดต่อใดๆ ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐหรือระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกัน สามารถทำโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร 2.จัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2564 (ระเบียบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์) โดยหน่วยงานของรัฐต้องใช้อีเมลในการสื่อสารเป็นหลักมีผลตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สามารถพัฒนาต่อยอดไปใช้ในการจัดทำระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ 3.ปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินงานทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำร่างพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น)  ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงให้บริษัทมหาชนจำกัดและคณะกรรมการบริษัทมหาชนจำกัด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า 4.ปรับปรุงวิธีการเขียนกฎกระทรวงและกฎหมายลำดับรองอื่นให้หน่วยงานของรัฐให้บริการแก่ประชาชนด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งพ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายลำดับรองระดับกฎกระทรวงที่ผ่านการพิจารณาทั้งหมด 75 ฉบับ และพร้อมรองรับการดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว และ 5.จัดทำระบบกลางทางกฎหมาย เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มกลางเกี่ยวกับกฎหมาย ที่ให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 แล้ว สำหรับการดำเนินการระยะถัดไปจะเป็นการขยายการให้บริการข้อมูลกฎหมายทั้งหมดของประเทศ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกรกฎาคม 2565

ครม. ให้ กำหนดมาตรฐาน ถุงมือยางตรวจโรค แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หลังพบ มีมิจฉาชีพ รีไซเคิลขาย 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด -19)  ทำให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางจำนวนมาก จึงทำให้กลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตถุงมือยางแบรนด์ต่างๆ โดยหลอกให้ผู้ซื้อโอนเงินค่าสินค้า หรือหลอกขายถุงมือยางเก่าที่ใช้งานแล้ว ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว หรือที่เรียกว่า ถุงมือยางตรวจโรค ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.1056 เล่ม 1-2556 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ผู้ทำและผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และผู้จำหน่ายต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เป็นของผู้ได้รับอนุญาต และมีการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่ถูกต้องครบถ้วน 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมได้รับจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไปได้ใช้ถุงมือยางตรวจโรคที่มีคุณภาพ ป้องกันการนำเข้าถุงมือยางตรวจโรคที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือยางตรวจโรค มีการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อีกด้วย

“ครม.” เทงบ 9 พันล้านบาท ซื้อวัคซีน เพิ่มเติม 20 ล้านโดส คาดส่งมอบภายในปี 64 พร้อมรับทราบให้คร.ลงนามซื้อไฟเซอร์เพิ่มอีก 10 ล้านโดส รวมยอด30 ล้านโดส  

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ สำหรับประชาชนคนไทยเพิ่มเติมอีก 20,001,150 โดส เป็นส่วนที่เคยลงนามไปแล้ว โดยวงเงินอนุมัติจะต้องนำไปชำระ จำนวน 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาวัคซีนประมาณ 8,439 ล้านบาท และเป็นค่าบริการจัดการประมาณ 933 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ช่วงประมาณปลายเดือนก.ย.-ต้นเดือนต.ค.นี้ 

นายอนุชา กล่าวว่า นโยบายรัฐบาล จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จึงให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วยการเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรค COVID-19 รวมทั้งลดผลกระทบพื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

นอกจากนี้นายอนุชา ได้แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม. ได้รับทราบการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส โดยมอบหมายให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ที่ลงนามกับตัวแทนบริษัทไฟเซอร์ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 โดยการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งmRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตราเซนเนก้า

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนให้สามารถจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส รวมถึงวัคซีนเทคโนโลยีต่างๆมาฉีดให้แก่ประชาชน และขอให้มีการบริหารจัดการกระจายวัคซีนให้ดีด้วยแผนที่ชัดเจน รวมถึงการให้ข้อมูลการจัดสรรแก่ประชาชนต่อไป

"บิ๊กตู่"ห่วงการเมืองทั้งใน-นอกสภาฯ “หวั่น” เหตุการณ์บานปลายเหมือนม็อบในอดีต วอนประชาชนเลี่ยงชุมนุม “ขู่” พวกที่เคยมีคดีต้องพิจารณาให้รอบคอบ พร้อมยันไม่หวั่นศึกซักฟอก กำชับ ครม.ทำการบ้าน “โว” ถือเป็นโอกาสดีใช้เป็นเวทีขี้แจงต่อประชาขน และสมาชิกในสภา

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการชุมนุมทางการเมืองที่มักจะมีความวุ่นวายหลังการชุมนุมหลักยุติ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้นโยบายอย่างต่อเนื่องว่าให้เจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยโดยให้ยึดกฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมทั้งการสลายการชุมนุมก็ขอให้ยึดหลักสากลเป็นหลัก 

นายอนุชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้มีการระงับเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ชุมนุม อีกทั้งขณะนี้ไม่ใช่มีเพียงผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ทั้งในส่วนของการจราจรและการทำลายทรัพย์สินของราชการอย่างที่ปรากฏในข่าวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีการต่างๆ และย้ำว่าทุกอย่างต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิด โดยเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยกับบ้านเมืองโดยเร็ว

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมือง ทั้งใน และ นอกสภาฯอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ และเป็นช่วงสำคัญที่กำลังให้ประชาชนคนไทยทุกคนให้ความร่วมมือ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ขอบคุณคนไทยส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมืออย่างดี ที่ไม่ไปรวมตัวกันในกิจกรรมต่างๆ และต้องขออภัยกับความเดือดร้อนในกรณีที่ต้องมีมาตรการในการปิดกิจกรรมและกิจการบางส่วน 

“ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากให้กลับไปเหมือนในอดีตในช่วงที่มีการชุมนุม แล้วอาจจะมีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงในการออกมาชุมนุม เพราะหากออกมาในช่วงนี้ก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมายและในหลายส่วนที่ต้องส่งฟ้อง หากส่งฟ้องแล้วมีการดำเนินการผิดเงื่อนไขของการที่ศาลให้ประกันตัวก็ต้องโดนคุมขัง ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วพิจารณาในส่วนนี้ด้วย” นายอนุชากล่าว

นอกจากนี้ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงตอบคำถามต่อสื่อมวลชน ถึงความพร้อมในการรับมือศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวเสมอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อยู่ในรายชื่อที่จะถูกอภิปรายได้เตรียมความพร้อม และนายกรัฐมนตรีระบุว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบในมุมต่างๆ ในการทำงานของรัฐบาลว่า สิ่งที่ผ่านมาอาจเกิดความเข้าใจผิดจากการไม่ได้ชี้แจงให้ครบถ้วน ดังนั้นจังหวะที่จะใช้เวทีของสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะสื่อสารให้ประชาชน โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบถึงการทำงานที่ผ่านมาด้วย

ครม. เห็นชอบ ตั้ง ปลัดกระทรวงแรงงาน - อธิบดีกรมป่าไม้ คนใหม่ - อนุชา สะสมทรัพย์ นั่ง ผู้ช่วยรมต. ของรมว.ทส.

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ได้แก่ 

1. นางอุรุญากร จันทร์แสง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกีฏวิทยา (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มกีฏวิทยาทางการแพทย์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (จุลชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 

2. นางนวลจันทร์ วิจักษณ์จินดา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านภูมิคุ้มกันวิทยา (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มภูมิคุ้มกันวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ภูมิคุ้มกันวิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  
  
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายชัยยา เจิมจุติธรรม วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ กรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้   
1. นายเฉลิมชัย ปาปะทา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำ แหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง    
2. นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำ แหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง     
3. นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมป่าไม้ 
4. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี  
5. นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม  
6. นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง     
7. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำ แหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง     

ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอรับโอน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 1 คน คือ นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง การบริหารความเสี่ยง การวางแผนกลยุทธ์องค์กร และการบริหารทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

ครม.อนุมัติตามที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการสื่อสารมวลชน) ในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แทนผู้ที่ลาออก และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 

ครม.เห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายอนุชา สะสมทรัพย์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง 

ครม.เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน จำนวน 8 คน ได้แก่ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน , นายประสงค์ พูนธเนศ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง , นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม , นายปรเมธี วิมลศิริ ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ  เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ปัจจุบันคือตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) , นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นผู้ประกอบกิจการพลังงาน , นายประเสริฐ ตปนียางกูร  ผู้แทนสภาวิศวกร , นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ผู้แทนของอธิการบดีของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ , นายวิจารย์ สิมาฉายา ผู้แทนองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรในทางธุรกิจ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2564

ครม. ไฟเขียวซื้อ-จัดหาวัคซีน Pfizer รวม 30 ล้านโดส 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 20,001,150 โดส (Pfizer) กรอบวงเงินจำนวน 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาวัคซีน 8,439 ล้านบาท และการบริหารจัดการ 933 ล้านบาท ช่วงระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน ส.ค. – ธ.ค.นี้ เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม (Pfizer) จำนวน 20,001,150 โดส ของกรมควบคุมโรค ตามนโยบายรัฐบาลที่จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ประกอบกับ ขณะนี้มีผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่หลากหลาย รัฐบาลจึงเห็นควรให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วย/การเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโควิด รวมทั้งลดผลกระทบ/พื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. ยังรับทราบการจัดสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส พร้อมมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดและไบออนเทค ทำให้การจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA  เพิ่มจำนวนเป็น 30 ล้านโดส ซึ่งจะเริ่มทยอยจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้ 

ส่วนการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ในครั้งนี้ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งในส่วนของ mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตร้าเซนเนก้า โดยวัคซีนไฟเซอร์ ได้รับการขึ้นทะเบียนแบบมีเงื่อนไขจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 และเป็นวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนให้ใช้สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้

“หมอเรวัต” ประณาม คฝ.ไม่ปฏิบัติตามหลักสากล อัด "ประยุทธ์” รู้เห็นเป็นใจยอมให้จนท.ทำร้ายปชช.

นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) โดยระบุข้อความว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค. กระสุนจริงนัดแรกเจาะคอผู้ร่วมชุมนุม บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเป็นชายอายุ 20 ปี ถูกส่งถึงห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี เวลาประมาณ 21.00 น. อาการแรกรับ หมดสติ ไม่หายใจ ไม่มีชีพจร ต้องใส่ท่อหายใจ และปั๊มหัวใจประมาณ 6 นาทีสัญญาณชีพจึงกลับมา จากการทำซีที (CT) สมอง พบกระสุนปืน 1 นัดฝังอยู่ที่ก้านสมองและมีกระดูกต้นคอซี่ที่ 1และ 2 แตก ขณะนี้อาการโคม่ายังไม่รู้สึกตัว 

นพ.เรวัต ระบุต่อว่า ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงทั้ง ทั้งฉีดน้ำแรงดันสูง แก๊สน้ำตาและกระสุนยางจนมีผู้บาดเจ็บสาหัส ตาบอดแล้วหนึ่งราย บริเวณที่มีการปราบปรามอย่างรุนแรงคือสามเหลี่ยมดินแดงซึ่งใกล้บ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นพื้นที่ต้องห้ามถ้าผู้ชุมนุมเคลื่อนเข้าไปใกล้เมื่อไหร่ก็จะถูกปราบปรามอย่างโหดและในที่สุดก็จะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตาย

“จึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ปฏิบัติตามหลักสากลต่อผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ควรต้องรับผิดชอบและควรถูกประณามมากที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่รู้เห็นเป็นใจยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำโหดร้ายทารุณต่อประชาชน เพื่อคุ้มครองป้องกันตัวเองทั้งที่ปลอดภัย อยู่ในบ้านพักภายในค่ายทหาร” นพ.เรวัต ระบุ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top