Sunday, 6 July 2025
POLITICS

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม ‘แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน’ ขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลกแล้ว

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ นำเสนอแหล่งมรดกทางธรรมชาติพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั้น เป็นที่น่ายินดีว่า เว็บไซต์ของศูนย์มรดกโลก องค์การยูเนสโกได้บรรจุ “พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน” ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) เพื่อเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

โดยภายหลังทราบข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยินดีและชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ได้เดินหน้าผลักดันจนประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่ง พร้อมย้ำว่า ขอให้ทุกหน่วยงานคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติ และประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ และประเทศเป็นหลัก เพราะการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติจะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้คนไทย รวมทั้งเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง

นายธนกร กล่าวว่า สำหรับพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน ที่นำเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลตลอดชายฝั่งทะเลอันดามันที่อยู่ตอนบนของคาบสมุทรไทย ในเขต จ.ระนอง พังงา และภูเก็ต รวมทั้งสิ้น 6 อุทยานแห่งชาติ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง อุทยานแห่งชาติแหลมสน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง อุทยานแห่งชาติสิรินาถ รวมไปถึงพื้นที่ป่าชายเลนจังหวัดระนอง และพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญทางฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย 3 นิเวศภูมิภาค (Ecoregion) ที่สำคัญ คือ นิเวศภูมิภาคป่าชายเลนและกลุ่มเกาะชายฝั่งนิเวศภูมิภาคหมู่เกาะทะเลลึก และนิเวศภูมิภาคชายหาดและป่าสันทรายชายฝั่ง

‘โทนี่’ ชี้พิษหมูแพงเหตุจาก ‘ห้องเย็น’ กักตุน จี้รัฐนำเข้าหมู - ช่วยเกษตรกรรายย่อย

"โทนี่ วู้ดซัม" อดีตนายกรัฐมนตรี ชี้ทางสว่าง ซัดปัญหา "หมูแพง" พิษห้องเย็นกักตุนเนื้อหมู 3-4 แสนกิโลกรัม จี้ภาครัฐขอให้ปล่อยของ พร้อมนำเข้าหมูต่างประเทศ ก่อนเดินเครื่องส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยเลี้ยงดูแม่พันธุ์-หาทางลดต้นทุน

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. นายทักษิณ ชินวัตร หรือ “โทนี่ วู้ดซัม” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมวงสนทนาใน CareTalk x CareClubHouse หัวข้อ หมูแพง ของแพง ค่าแรงถูก : ตู่บ้งเกินคาด พินาศทั้งประเทศ โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ปัญหาหมูแพง วันนี้หมูเป็นโรค แม่หมูตาย ฉะนั้นไม่มีหมูที่จะขุนให้พอตามตลาดบริโภคในเมืองไทย ตอนนี้ในเมืองไทย มี 2 อย่างคือ ระยะสั้นต้องยอมนำเข้าหมูจากต่างประเทศ ระยะยาวคือเร่งเอาแม่พันธุ์หมูมาให้รายเล็ก รายกลาง มาทำเป็นเรื่องราว ลดต้นทุน ให้เงินอุดหนุน ของเก่าที่ตายไปก็ให้เขาซะ ธุรกิจจะได้เดินต่อไปได้

“กรณ์” เผยภาพชาวบ้านปลื้มผลงาน 'อรรถวิชช์'  10 ปี สภาพยังดีใช้งานได้จริง ชี้การเมืองไม่ใช่แค่ออกกฎหมาย แต่ต้องลงมือทำ 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนเขต 9 หลักสี่ จตุจักร เพื่อช่วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัคร ส.ส.หมายเลข 2 พรรคกล้า หาเสียง ที่หมู่บ้านโสสุนคร งามวงศ์วาน ลูกบ้านคนหนึ่งบอกว่า “ตั้งใจเลือกอยู่แล้ว เขาทำลานออกกำลังกายของหมู่บ้านให้เรา” ซึ่งจริงๆ ผู้ทำคือการเคหะฯ แต่นายอรรถวิชช์เป็นบุรุษไปรษณีย์สมานความต้องการของประชาชนในพื้นที่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนงานสำเร็จ เช่นเดียวกับที่วันก่อน ตนได้ลงลงพื้นที่ลาดพร้าว 41 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร มีชาวบ้านออกมาบอกว่า สมัยที่นายอรรถวิชช์ เป็น ส.ส.ครั้งก่อน เข้าถึงซอกซอย ถนนเล็กใหญ่ตลอด รวมถึงถนนในหมู่บ้านนายอรรถวิชช์ ก็ผลักดันจนโครงการสำเร็จได้ จนถึงวันนี้ 10 ปีแล้ว สภาพยังดีอยู่เลย 

“คนที่ใหม่กับการเมืองบางทีจะมองข้ามเรื่องแบบนี้ และคิดว่าการเมืองเป็นเพียงเรื่องกฎหมาย เรื่องหลักการ ซึ่งก็มีความสำคัญ เพราะหากเขาไม่ชอบเรา ไม่ชอบพรรคเรา ไม่ชอบอุดมการณ์เรา ทำถนนกี่เส้นเขาก็ไม่เลือก เราต้องการทำงานการเมืองด้วยการนำเสนอเรื่อง "ผล" ของการ "ลงมือทำ" แบบนี้ล่ะครับ เพราะสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าที่แท้จริงต่อประชาชน จับต้องได้ เห็นผลระยะยาว และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม” หัวหน้าพรรคกล้า 

“โฆษกรัฐบาล” โว โพลชี้ปชช.หนุน ”บิ๊กตู่” บริหารประเทศ  

ที่ทำเนียบนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบผลสำรวจความเห็นของประชาชนที่มีต่อนายกรัฐมนตรี จากสำนักวิจัยซูเปอร์โพล ที่ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทุกสาขาอาชีพกระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ระหว่างวันที่ 10 - 15 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.0 ยังต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ถือธงนำ เพราะกล้าเปลี่ยนแปลงการเมืองใหม่ การบริหารงานใหม่ ๆ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง หลุดออกจากการบริหารประเทศแบบรัฐราชการ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.3 ยังระบุว่า ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เลือกประชาชนมากกว่าผลประโยชน์ และการเกรงใจทางการเมือง รวมทั้งการเกี้ยเซียะผลประโยชน์กับข้าราชการ ซึ่งส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.9 ระบุด้วยว่า ในเวลานี้ยังไม่เห็นใครที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ 

นายธนกร กล่าวว่า ที่สำคัญผลโพลยังชี้ให้เห็นด้วยว่า เสียงส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.3 นั้น ทราบถึงการบริหารประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ว่า นายกรัฐมนตรีกล้าที่จะออกมารับผิดชอบทุกเรื่องวิกฤตในนามของรัฐบาล แม้ว่าจะเป็นเพราะหน่วยงานในหน้าที่อาจจะปล่อยปละละเลยจนมีการสะสมปัญหา ซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ประชาชนยังให้การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะยังคงทำงานหนักเพื่อประชาชน เดินหน้าช่วยเหลือประชาชนเพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกันโดยไม่สนเกมส์การเมือง จะขอเดินหน้าทำงานเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนเท่านั้น

'รัฐบาล' อวด ตัวเลข บริหารจัดการหนี้สาธารณะ โชว์ ผลงานเป็นที่น่าเชื่อถือระดับสากล

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้ทำการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นส่งความสุข วงเงิน 30,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเฉลี่ยร้อยละ 1.90 ต่อปี เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน ซึ่งเริ่มจำหน่ายวันแรก เมื่อ17 ม.ค. เป็นการจำหน่ายให้กับประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก สามารถจำหน่ายได้หมดใน 2 วัน โดยวันแรกจำหน่าย 27,000 ล้านบาท และวันที่สอง 3,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นคนไทยให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ทำให้รัฐบาลใช้ช่องทางในการระดมทุนหรือกู้เงินในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยดอกเบี้ยก็จะไหลกลับเข้าสู่ประชาชนคนไทยภายในประเทศ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงการคลัง โดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ได้รายงานด้วยว่า ในการจำหน่ายพันธบัตรครั้งนี้มีการลงทุนผ่าน Internet และ Mobile Banking เพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดและวิถีการทำธุรกรรมทางการเงินที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ณ ปัจจุบัน “ต่อข้อกังวลเรื่องระดับหนี้สาธารณะนั้น กระทรวงการคลังให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ ซึ่งหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2564 มีจำนวน 9.62 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 59.58% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) โดยติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด 

ครม.ไฟเขียว งบ 1,480 ล้านบาท ให้พาณิชย์ เดินหน้าโครงการลดราคาช่วยประชาชน ปี 2565

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,480 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 เพิ่มช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าที่ จำเป็นต่อการดำรงชีพในราคาประหยัดให้แก่ประชาชนได้ทั่วถึง และเกิดการ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการบริโภค ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

นายธนกร กล่าวว่า สำหรับรูปแบบของโครงการฯ จะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพให้แก่ประชาชนในราคาประหยัด ระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน มีรายละเอียด ดังนี้ 

1.กิจกรรมบริหารจัดการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่าย โดยจัดหา สถานที่จำหน่ายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อจำหน่ายสินค้าที่ จำเป็นต่อการครองชีพ ผ่านช่องทาง อาทิ การจำหน่ายผ่านบริเวณร้านสะดวกซื้อ ห้างท้องถิ่น หรือตลาด พื้นที่สาธารณะหรือลานอเนกประสงค์และสถานีบริการน้ำมัน รวมจำนวนไม่น้อยกว่า 3,000 จุด ตามแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาค 76 จังหวัด และการจำหน่ายผ่านรถ Mobile จำนวนไม่น้อยกว่า 50 คัน ตามแหล่ง ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 2.กิจกรรมการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ เพื่อ จัดหาและจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตามชนิด ปริมาณและราคาตามที่กรมฯ กำหนด เช่น สินค้าเกษตร เนื้อไก่ ไข่ไก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น จากสมาคม ผู้ค้าปลีก ค้าส่ง ในพื้นที่ เพื่อจำหน่ายในจุดจำหน่าย

ครม. ไฟเขียว เทงบ “โครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต กว่า 14,670 ล้านบาท พัฒนาคมนาคม-ลดอุบัติเหตุ- เพิ่มเส้นทางอพยพภัยพิบัติ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.อนุมัติโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จ.ภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งจะดำเนินการภายใต้รูปแบบคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เงินลงทุนเริ่มต้น 14,670.57 ล้านบาท ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร โดยเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้าง วงเงิน 5,792.24 ล้านบาท โดยคาดว่า กทพ. จะประกาศเชิญชวนเอกชน ในเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ จะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนก.ค 2570 

สำหรับโครงการทางพิเศษสายกะทู้ - ป่าตอง จ.ภูเก็ต มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มเส้นทางการเดินทางระหว่างตัวเมืองฝั่งตะวันออกของภูเก็ต ไปหาดป่าตอง ให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และนักท่องเที่ยว  ลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้น เนื่องจากสภาพเส้นทางที่ลาดชันและคดเคี้ยว และใช้เป็นเส้นทางอพยพ กรณีเกิดภัยพิบัติ (เช่น กรณีเกิดสึนามิ) มีลักษณะ รูปแบบ เป็นโครงการก่อสร้างทางยกระดับ มีอุโมงค์อยู่ในช่วงกลาง ของแนวเส้นทาง ระยะทางรวม 3.98 กม. เป็นทางพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจรต่อทิศทาง

มีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมกับ ถ.พระเมตตา ในพื้นที่ ต.ป่าตอง อ.กะทู้จนถึงจุดสิ้นสุดโครงการฯ ในพื้นที่ ต.กะทู้ อ.กะทู้ มีทางขึ้น -ลง 2 แห่ง และมีด่านเก็บค่าผ่านทางตั้งอยู่บริเวณ ต.กะทู้ 1 ด่าน สำหรับรูปแบบการลงทุน เป็นลักษณะการร่วมลงทุน ระหว่าง รัฐและเอกชน (PPP) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน  และภาคเอกชนรับผิดชอบงานส่วนที่เหลือทั้งหมด ได้แก่ การออกแบบ รายละเอียดและการก่อสร้าง และการดำเนินงานและบำรุงรักษา โดยเอกชนจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ลงทุนทั้งหมดให้แก่ภาครัฐก่อนเริ่ม ดำเนินงานพร้อมทั้งให้เอกชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รายได้ค่าผ่านทาง ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี 

ครม. เห็นชอบ แผนงานกมธ.อาเซียนคุ้มครองสตรีและเด็กฯ ตั้งเป้า จัดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ หาแนวทางแก้ปัญหาในภูมิภาค 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบร่างแผนงานคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก พ.ศ. 2564 - 2568 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ซึ่งแผนงานฉบับนี้ มีวิสัยทัศน์ คือ การเป็นผู้นำการดำเนินการที่สำคัญระดับภูมิภาค ขับเคลื่อนวาระและการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการดำเนินนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางในการส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็กในอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ วิเคราะห์ ศึกษา และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก การจัดพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ การเสวนา และการเรียนรู้ระหว่างประเทศอาเซียน และการมีส่วนร่วมในกลไกระดับภูมิภาคในการดึงดูดการมีส่วนร่วมของเสาหลักของประชาคมอาเซียน เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสตรีและเด็กในภูมิภาค 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ อาทิ เชื่อมโยงกับเป้าหมายของอาเซียนที่ชัดเจนและการมีส่วนร่วมต่อแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. 2568  สอดคล้องกับข้อตกลงสากลเช่นอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรีปฏิญญาเวียดนาม โดยจะขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติผ่าน 4 รูปแบบ คือ 1. การมีส่วนร่วมและความร่วมมือกับอาเซียน 2.การเสริมสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือและการระดมทรัพยากร 3. โครงสร้างเชิงสถาบันและบทบาท และ 4.การประเมินโครงการ  ซึ่งการติดตามประเมินผลนั้น จะยึดกรอบผลลัพธ์และดัชนีชี้วัดความสำเร็จ เช่น จำนวนหน่วยงานและหุ้นส่วนที่จัดตั้งขึ้น  2. จำนวนข้อคิดริเริ่มและโครงการที่เพิ่มขึ้น 3.จำนวนกิจกรรมการเข้าถึงสื่อออฟไลน์ ออนไลน์ และโซเชียลมีเดียของอาเซียนด้านสิทธิสตรีและสิทธิเด็กเพิ่มขึ้น

ครม.เคาะงบกลาง 1,480 ล้านบาท ให้พาณิชย์แก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,480 ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้แก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง ผ่านโครงการพาณิชย์ ลดราคา ช่วยประชาชน ปี 65 มีระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและเพิ่มช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในราคาประหยัด 

สำหรับรูปแบบของโครงการฯ จะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพให้แก่ประชาชนในราคาประหยัด คือ 1.จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่าย ทั้งบริเวณร้านสะดวกซื้อ ห้างท้องถิ่น หรือตลาด พื้นที่สาธารณะหรือลานอเนกประสงค์และสถานีบริการน้ำมัน รวมจำนวนไม่น้อยกว่า 3,000 จุด ตามแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูมิภาค รวมถึงการจำหน่ายผ่านรถโมบายไม่น้อยกว่า 50 คัน ตามแหล่ง ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเปิดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น สินค้าเกษตร เนื้อไก่ ไข่ไก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น จากสมาคม/ผู้ค้าปลีก/ค้าส่ง/ซัพพลายเออร์ในพื้นที่ เพื่อจำหน่ายในจุดจำหน่าย

'แอมเนสตี้' หนาว!! 'แรมโบ้' ล่าครบ 1 ล้านชื่อ เตรียมชง 'กรมการปกครอง' เพิกถอนใบอนุญาต

18 ม.ค. 65 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นด้วยกับ "นิด้าโพล” ที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง การควบคุม NGO โดยประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.36 เห็นด้วยที่หากออกกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินทุน และร้อยละ 58.14 เห็นว่าที่รับเงินจากต่างประเทศต้องเปิดเผยจำนวนเงินและวัตถุประสงค์การใช้เงิน ขณะเดียวกันประชาชนร้อยละ 34.70 ยังอยากให้การออกกฎหมาย NGO ห้ามทำกิจกรรมที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม

นายเสกสกล กล่าวว่า แสดงให้เห็นถึงประชาชนส่วนใหญ่มองว่ายังมี NGO บางองค์กรอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง หรือสนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบกลุ่มต่างๆ อยู่ ประชาชนจึงอยากให้ออกกฎหมายเพื่อควบคุมกลุ่ม NGO เหล่านี้ เพราะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและประเทศชาติ

นายเสกสกล ยังมองว่า NGO ที่ช่วยเหลือประเทศชาติ และประชาชนที่แท้จริงก็ยังมีอยู่ และ NGO ที่มาจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อสร้างความเดือดร้อนในประเทศก็มี ส่วนตัวจึงมองว่าการออกกฎหมายควบคุมถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งหาก NGO ไม่ได้ทำผิดอะไรก็ไม่ต้องกลัวกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

‘สงคราม’ อัด ‘บิ๊กตู่’ ทุบให้จนแล้วแจก ชี้ รัฐอุ้มแต่นายทุน ทำของแพงทั้งแผ่นดิน

วันที่ 18 มกราคม 2565 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองในปี 2565 เชื่อว่าคงร้อนแรงกว่าปี 2564 ปัจจัยมาจากปัญหาที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้เจ้าสัวปรับขึ้นราคาสินค้าไร้มาตรการควบคุม ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแสนสาหัส

นอกจากนี้ที่น่าละอายใจ คือการจงใจที่จะปกปิดข้อมูล การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ทำให้หมูเสียชีวิตจำนวนมาก คาดกันว่าอาจมากถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนหมูในประเทศเลย กรมปศุสัตว์ออกมายอมรับว่าราคาหมูจะแพงไป 1 ปี สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมาก ทั้งๆ ที่รัฐบาลรับทราบมาตั้งแต่ปี 2562 ว่าตรวจพบเจอโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมรับ ที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้าน แสดงความห่วงใยมาตลอด ถึงแนวทางแก้ปัญหา เรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ แสดงรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพี่น้องเกษตรกรและประชาชน รวมทั้งสร้างภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนอีกมาก

“บิ๊กตู่” ถกครม.ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เงียบเหงา ด้าน รมต.ประชาธิปัตย์ ร่วมประชุมออนไลน์จากบ้านพักด้วยพิษโอมิครอน เผย "บิ๊กป้อม” ไม่สบายใจ ลูกพรรคแสดงความเห็นส่วนตัว ทำเสียชื่อพรรค พร้ออม จับตาแก้ปัญหาราคาสินค้าพุ่ง

ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีกครั้ง หลังโควิด-19 โดยเฉพาะเชื้อโอมิครอนแพร่ระบาดหนักทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยมีรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากกระทรวงที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมาตรการ Work from home ยกเว้นในส่วนของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ที่วิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากบ้านพัก เนื่องจากอยู่ระหว่างการกักตัว ภายหลังเป็นกลุ่มเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกับ นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 รวมถึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่เข้ารับการกักตัวเช่นเดียวกัน

ในส่วนของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ( พปชร.)ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอลเฟอเรนซ์จากมูลนิธิป่ารอยต่อ โดยมีรายงานข่าวจากคนใกล้ชิด เปิดเผยว่า  พล.อ.ประวิตร แสดงความรู้สึกไม่สบายใจ กรณีลูกพรรค พปชร.แสดงความเห็นส่วนตัว โดยการโพสต์ในโซเชียลไม่เหมาะสม หรือการแสดงความคิดเห็นอื่นๆทำให้พรรคเสียหายชื่อเสียง ทั้งนี้ ได้ตักเตือนลูกพรรคคนดังกล่าวและสั่งให้ลบโพสต์ออกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ระบุว่าหากเจอกับนายจุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์  รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมจะแสดงความยินดี ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั้งสองเขต ที่ จ.สงขลา และ จ.ชุมพร เพราะถือว่า การแข่งขันในสนามได้ตั้งจบไปแล้ว จากนี้ไปก็พร้อมร่วมมือเดินหน้าทำงาน ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลไทย

'ศรีสุวรรณ' จี้ มส. จัดการพระนอกรีต ลงยันต์-นะหน้าทอง ชี้ ขัดพรบ.สงฆ์

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีพระชั้นผู้ใหญ่ระดับพระครู หรือเจ้าอาวาสวัดหลายวัด ได้กระทำการเผยแผ่พระศาสนาที่อาจขัดต่อพระธรรมะวินัยเป็นจำนวนมาก โดยอาศัยความโง่เขลา เบาปัญญาของพุทธบริษัท เป็นเครื่องมือในการแสวงหาลาภปัจจัย ซึ่งมหาเถรสมาคมควรที่จะต้องออกมากำหลาบหรือจัดการพระนอกรีตเหล่านี้เสีย เพื่อมิให้ศาสนาแปดเปื้อนและถูกเข้าใจผิดว่า การกระทำดังกล่าวเป็นกิจของสงฆ์

พฤติการณ์ดังกล่าว อาทิ การเขียนยันต์ต่าง ๆ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการเตือนสติผู้คนให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตด้วยสติสัมปชัญญะ ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมและรักษาศีล 5 รวมทั้งที่กำลังเป็นกระแสฮิตกันมากคือ การเจิมหน้าผากด้วยแผ่นทองคำเปลว การเขียนยันต์หัวใจมหาเศรษฐีลงบนฝ่ามือ และการลงนะหน้าทองแบบเต็มใบหน้า โดยอ้างว่าจะช่วยเสริมสร้างสิริมงคล หนุนดวง เสริมดวงชะตาในด้านเมตตา มหาเสน่ห์ เสริมบารมี และเพิ่มโชคลาภ ลงแล้วจะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ซึ่งถ้าทำแล้วทำให้ร่ำรวยจริง คงไม่มีคนยากคนจนเต็มแผ่นดินอยู่ในขณะนี้

การกระทำดังกล่าวไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่เคยปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก และหรือไม่อยู่ในคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า หากแต่เป็น “โลกวัชชะ” เป็นอวิชชา หรือเดรัจฉานวิชา ที่พวกหมอผี หรือผู้ที่นิยมทางไสยศาสตร์เขาทำกัน ซึ่งขัดต่อความเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา ที่มุ่งสอนให้พุทธบริษัทหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร มุ่งสู่ศีล สมาธิ และปัญญา มากกว่าการเผยแพร่พระศาสนาโดยใช้อวิชชาทางไสยศาสตร์เป็นธงนำ และการกระทำดังกล่าวอาจจะผิดศีลอาบัติขั้นสังฆาทิเสสได้ เนื่องจากเสี่ยงที่จะแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงหรืออุบาสิกาได้ หรือถึงขั้นอาบัติปาราชิกได้ เพราะอาจถือได้ว่าเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม หรือการอวดอ้างคุณวิเศษที่ไม่มีในตน

“สงคราม” ชี้ ฝ่ายค้านจัดหนักอภิปรายนโยบาย “บิ๊กตู่” ทุบให้จนแล้วแจก อัดรัฐบาลอุ้มนายทุนทำของแพงทั้งแผ่นดินคนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนหนัก


นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองในปี 2565 เชื่อว่าคงร้อนแรงกว่าปี 2564 ปัจจัยมาจากปัญหาที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ปล่อยให้เจ้าสัวปรับขึ้นราคาสินค้าไร้มาตรการควบคุม ซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแสนสาหัส

นอกจากนี้ที่น่าละอายใจ คือการจงใจที่จะปกปิดข้อมูล การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ทำให้หมูเสียชีวิตจำนวนมาก คาดกันว่าอาจมากถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนหมูในประเทศเลย กรมปศุสัตว์ออกมายอมรับว่าราคาหมูจะแพงไป 1 ปี สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมาก ทั้ง ๆที่รัฐบาลรับทราบมาตั้งแต่ปี 2562 ว่าตรวจพบเจอโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมรับ ที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้าน แสดงความห่วงใยมาตลอด ถึงแนวทางแก้ปัญหา เรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ แสดงรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพี่น้องเกษตรกรและประชาชน รวมทั้งสร้างภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนอีกมาก

เริ่มแล้ว! มาตรการลดค่าจดทะเบียนโอน-จำนองอสังหาฯ เหลือ 0.01% มีผลบังคับใช้วันนี้ คลังประเมินช่วยกระตุ้นการซื้อขายที่อยู่อาศัยกว่า 2.91 แสนล้านบาท เพิ่มจีดีพี 0.58%    

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงมหาดไทย รวม 4 ฉบับ  ซึ่งกำหนดให้มีการลดค่าการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% และค่าจดทะเบียนจำนองจาก 1% เหลือ 0.01%  ซึ่งจะช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 รักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ตลอดจนสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ช่วยเหลือให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องและผู้ประกอบการกลับมาประกอบธุรกิจได้เร็วขึ้น

สำหรับการปรับลดค่าจดทะเบียนโอนและจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งผ่านการอนุมัติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 กรณี  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  กรณีแรก เพื่อลดภาระให้กับประชาชนที่มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยออกประกาศ 2 ฉบับ มีผลเป็นการลดค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดินกรณีอาคารที่อยู่อาศัย (บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและบ้านแถว) หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว และห้องชุดในอาคารชุดซึ่งจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด โดยราคาซื้อขายและประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท วงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท และมีการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกันโดยในส่วนนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2565 

“มาตรการในส่วนนี้จะช่วยบรรเทาภาระให้ผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงมาก รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาฯ ในสถานการณ์โควิด-19 โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายอสังหาฯ มูลค่าประมาณ 2.91 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มการบริโภคในประเทศได้ 7.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มการลงทุนประมาณ 1.35 แสนล้านบาท และส่งผลให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 0.58%” น.ส.ไตรศุลี กล่าว  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top