Saturday, 20 April 2024
POLITICS

‘เสกสกล’ ถก ฝ่ายกฎหมาย จ่อฟ้องกลับ ‘คุณหญิงหน่อย’ เป็นคดีที่ 2 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคไทยสร้างไทย และสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย นำ 7 แสนรายชื่อ ยื่นฟ้องต่อศาล กล่าวโทษรัฐบาลบริหารผิดพลาดบกพร่องในการแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า  

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข น่าจะเข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เป็นอย่างดี การจัดการวัคซีนต่างๆในขณะนี้ที่ประเทศทั่วโลกก็มีความต้องการเช่นเดียวกัน วัคซีนซิโนแวคได้รับรองจากองค์การอนามัยโลก หลายประเทศก็นำมาฉีดให้กับประชาชนเช่นเดียวกัน แม้รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนซิโนแวคเข้ามา แต่ยังมีวัคซีนยี่ห้ออื่นๆอีกหลายยี่ห้อรวมถึงวัคซีนชนิด mRNA เข้ามาด้วย อยากให้ประชาชนได้สิ่งที่ดีที่สุด

นายเสกสกล กล่าวว่า นายกฯและรัฐบาล ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 คุณหญิงสุดารัตน์ควรที่จะเข้าใจ ไม่ใช่แค่จะอาศัยโอกาส มาโจมตีนายกฯ และรัฐบาล เพื่อหวังว่าตนเองกับพรรคตนเองอาจจะได้เข้ามาทำงานแทน ซึ่งหากคิดเช่นนั้น ตนขอให้ย้อนมองดูตัวเองและพรรคตัวเองก่อนว่า มีศักยภาพหรือไม่ เพราะตั้งแต่คุณหญิงสุดารัตน์กลับมาเล่นการเมือง ตนยังไม่เคยเห็นว่าจะทำประโยชน์เพื่อบ้านเมืองและประชาชน มีแต่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น

นายเสกสกล กล่าวว่า คราวนี้ สิ่งที่คุณหญิงฯและพรรคไทยสร้างไทย เปิดแคมเปญและโพสต์ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่ามีเจตนาเพื่ออะไร หิวแสงอยากเป็นนายกฯ จนเนื้อตัวสั่นหรืออย่างไร ทำไมไม่อดทนรอให้ครบวาระ 4 ปีเลือกตั้งใหม่ จะมาตีกินการเมืองในช่วงวิกฤติความเดือดร้อนประชาชนทำไม เป็นถึงคุณหญิงสุดารัตน์ทำไมสมองคิดได้แค่นี้ ประชาชนจะฝากความหวังให้เป็นผู้นำบ้านเมืองคงไม่ได้ ถ้ายังมีหลักวิธีคิดได้เพียงแค่นี้ ถึงแม้จะเป็นนายกฯได้ ตนคิดว่า ประชาชนคงพึ่งพาฝากความหวังไม่ได้เลย มีแต่จะนำพาประเทศไทยลงเหว ลงทะเล ถ้าคุณหญิงสุดารัตน์ยังมีหลักวิธีคิดได้เพียงแค่นี้

นายเสกสกล กล่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์ คงหิวแสงมาก ตนกำลังให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบว่า ดำเนินคดีคุณหญิงว่ามีสิทธิที่จะฟ้องนายกฯได้หรือไม่ และถ้าเจตนาต้องการใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาทนายกฯ คงต้องแจ้งความกลับคุณหญิงฯหิวแสงเป็นคดีที่สอง หลังจากที่เคยกล่าวหารัฐบาลฆาตกร ที่ตนไปแจ้งความดำเนินคดีที่ตำรวจกองปราบปรามฯไว้แล้ว

รอลุ้น!! ‘เม็ด - ผง - ฉีดพ่น’ ทางเลือกใหม่ ‘วัคซีนพิชิตไวรัส’ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

รอลุ้น!! ‘เม็ด - ผง - ฉีดพ่น’
ทางเลือกใหม่ ‘วัคซีนพิชิตไวรัส’  

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ' ติดลมบน คนแห่ซื้ออย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นสังคมมี 2 ด้าน

ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ ติดลมบน คนแห่ซื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกสังคมล้วนมี 2 ด้าน แม้จะมีกลุ่มที่คอยไล่ด่า แต่ก็มีอีกกลุ่มที่คุณค่าและเห็นด้วยในตัว 'ป๋าเทพ' จนดันให้ยอดขายยิ่งพุ่งขึ้น ๆ

ทั้งนี้ หลังจาก “ป๋าเทพ” หรือ 'เทพ โพธิ์งาม' ต้องเผชิญมรสุมดราม่าจากการออกมาไลฟ์สดจวก “คนรุ่นใหม่” พร้อมชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ทำได้ดี” จนถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยเฉพาะโลกโซเชียล ถึงขั้นขึ้นเทรนด์หลายแพลตฟอร์ม ต่อเนื่องด้วยการที่ ป๋าเทพ ยังเจอเสียงวิจารณ์ปม “ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ” ธุรกิจล่าสุดมีกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน บางรายโจมตีถึงขั้น “สกปรก” ก่อนที่อดีตตลกชื่อดังจะตอบโต้มีใจความสำคัญว่า “ชาวบ้านเค้ามาทำกัน ไม่ได้เป็นบริษัท” พร้อมปิดท้ายสุดพีค “กูอ่ะเศรษฐกิจพอเพียง”

ล่าสุด ป๋าเทพ โพธิ์งาม เจ้าของแบรนด์ขนมเปี๊ยะยี่ห้อ “ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ” คุยฟุ้งเจอดราม่า แต่ยอดขายกลับพุ่งสูงทะลุเพดาน ยอดจองล่าสุดกว่า 5 แสนบาทต่อเดือน

สำหรับราคาขายขนมเปี๊ยะขั้นเทพในปัจจุบันนั้น แบ่งออกดังนี้...

แพ็คเก็จ 1 : กล่องสองลูก ราคากล่องละ 50 บาท ซื้อ 10 แถม 1

แพ็คเก็จ 2 : กล่องเก้าลูก ราคากล่องละ 250 บาท ซื้อ 2 แถม 1 กล่องเล็ก

และหากคำนวณจากยอดขาย 5 แสนบาทแล้ว ถ้าขายกล่องเล็ก ราคา 50 บาท จะขายได้ 10,000 กล่อง ขณะที่กล่องใหญ่ ราคา 250 บาท จะขายได้ทั้งสิ้น 2,000 กล่องเลยทีเดียว


ที่มา: https://www.topnews.co.th/news/65853

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_6557320


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศปก.ศบค. แจงยิบ ไฟเซอร์ ไม่หาย ไม่มีฉีดวีไอพี ทำบันทึกทุกขั้นตอน ยันโปร่งใส ระบุ ปม บุคลากรการแพทย์ เสียชีวิตหลังฉีดไฟเซอร์เข็ม3 นำผลชันสูตร เข้าคกก.ผู้เชี่ยวชาญอาการไม่พึงประสงค์

ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรค และภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน ร่วมแถลงข่าวประจำวันของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กรณีการเฝ้าระวัง และเหตุการณ์อาการไม่พึงประสงค์ภายหลังจากการฉีดวัคซีน โควิด-19 ว่า สำหรับการบริหารวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาค 1.5 ล้านโดส ขอย้ำว่านโยบายในการบริหารให้มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีล็อตไหนที่มีการสูญหาย ได้มีการแบ่งชัดเจนว่าจะไปในกลุ่มใดบ้าง และย้ำว่าไม่มีประเด็นของการฉีดวีไอพี หากประชาชน พบเห็นและมีข้อสงสัย สามารถแจ้งเข้ามาได้เพื่อที่จะได้มีการตรวจสอบ ยืนยันเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า วัคซีนดังกล่าวสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเสี่ยงที่จะสัมผัสผู้ป่วย จำนวน 700,000 โดส จัดสรรลงพื้นที่ที่มีการระบาด จำนวน 645,000 โดส ใช้สำหรับเพื่อการศึกษาวิจัยจำนวน 5,000 โดส ให้กลุ่มประชากรที่กระทรวงการต่างประเทศดูแล จำนวน 150,000 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การกระจายวัคซีนไปยัง 77 จังหวัด ส่งเป็นสองรอบโดยรอบแรกส่งไปแล้ว 442,800 โดส เริ่ม 4-5 ส.ค. ส่งรอบที่สอง เริ่มทยอยส่งมาตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. และมีการติดตามข้อมูลอยู่โดยตลอด เพื่อดูฐานข้อมูลและปริมาณการฉีดของแต่ละที่ที่ได้ไป พื้นที่ก็จะได้ใช้ตรวจสอบ ดังนั้นถ้าใครเข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคลากรมีความเสี่ยง แต่ยังไม่มีรายชื่อได้รับจัดสรรก็สามารถแจ้งต่อผู้บริหารเพื่อที่จะดูหลักเกณฑ์และส่งชื่อเข้ามาได้ หากตรงตามหลักเกณฑ์แล้วก็จะได้รับการฉีดครบถ้วนทุกคน ซึ่งคาดว่าการส่งในรอบที่สองนี้จะถึงพื้นที่ไม่เกินวันที่ 14 ส.ค. การทะยอยส่งวัคซีนเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ เรื่องการจัดเก็บ ดูแล การรักษาอุณหภูมิ 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในส่วนกลุ่ม608 คือกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 7กลุ่มโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป มีการจัดส่งไปแล้ว 320,880 โดส ใน 13 จังหวัด ซึ่งในส่วนที่เหลือก็จะจัดส่งในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งการแยกส่งอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการเพราะวัคซีนที่ส่งไปในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้นั้น เมื่อฉีดเข็มที่หนึ่ง 3 สัปดาห์ถัดไป จะต้องนัดฉีดเข็มที่สอง ซึ่งถ้าหากส่งไปล็อตเดียวกัน วัคซีนไปจัดเก็บในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ เป็นตู้เย็นปกติจะสามารถเก็บอยู่ได้เพียง 1 เดือน ดังนั้นอาจทำให้วัคซีนเสื่อมสภาพได้ การทยอยส่งจะได้ให้เกิดการบริหารการนัดหมายฉีด และอยู่ในระยะเวลาที่วัคซีนมีคุณภาพดี

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การฉีดวัคซีนในคนต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ในคนไทย หรือนักเรียนที่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ก็มีความก้าวหน้าในการฉีด โดยฉีดไปแล้ว 280,075 คน คิดเป็น 5.72% ของจำนวนประชากรต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย และมีที่ได้รับวัคซีนสองเข็มไปแล้ว 74,587 คน ผู้สูงอายุ 20,903 คนคิดเป็น 7.5 % ของกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยในประเทศไทย 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในส่วนของสัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ส่วนหนึ่งได้รับการฉีดในพื้นที่ระบาด เพื่อควบคุมการระบาด จำนวน 140,000 กว่าราย จีน โดยมีวัคซีนที่ได้รับบริจาคจากประเทศจีน ที่ฉีดให้ทั้งคนจีนและคนไทยด้วย 37,000 ราย กัมพูชา ลาว ญี่ปุ่น ลดหลั่นลงไป ในส่วนของนักเรียนไทยที่จะต้องเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ฉีดไปแล้ว 2,878 ราย 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การฉีดวัคซีนสะสมถึงเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมเวลา 18.00 น. ยอดฉีดสะสมทั้งสิ้น 22 ล้าน โดสแล้ว จำนวนผู้ได้รับบักซีนเข็มหนึ่ง 17 ล้านราย(23.9%) เข็มสอง 4.8 ล้านราย เข็มสาม ซึ่งเป็นการกระตุ้นในบุคลากรการแพทย์ 414,066 ราย ถ้าแยกเป็นยี่ห้อวัคซีนไม่ว่าจะเป็นเข็มใดก็ตาม ซิโนแวก 10.7 ล้านโดส แอสตร้าเซเนกา 9.6 ล้านโดส ซิโนฟาร์ม 1.7 ล้านโดส ไฟเซอร์ 286,000 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในช่วงนี้มีกรณีที่เป็นข่าวบุคลากรการแพทย์หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่สาม เป็นบุคลากรที่อยู่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางคลาน จังหวัดพิจิตร เพศชาย อายุ 44 ปี หลังจากฉีดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พบว่าเสียชีวิตในวันที่ 11 สิงหาคมซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติและครอบครัวกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ที่เสียสละทุ่มเทในการทำงานอาจจะด้วยความเสี่ยงด้านสุขภาพ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตขึ้นมา ทั้งนี้รายละเอียดการชันสูตร ได้รวบรวมข้อมูลนำเข้าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ต่อไป แล้วจะได้นำมารายงานให้ทราบ

ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ เตรียมเรียก ‘ผู้บัญชาการ คฝ.’ แจงเหตุสลายม็อบรุนแรง เตือน มีแต่รัฐเผด็จการเท่านั้นที่กระทำกับประชาชนเยี่ยงศัตรู ย้ำ การละเมิดสิทธิและก่ออาชญากรรมโดยรัฐ คือสิ่งไม่ปกติในสังคมประชาธิปไตย 

นายณัฐชา​  บุญไชยอินสวัสดิ์​ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล​ ในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและ​การมีส่วนร่วมของประชาชน​ แสดงความเห็นต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการชุมนุมช่วงที่ผ่านมาว่า ด้วยหลายปัจจัยสะสมตั้งแต่หลังการรัฐประหารจนถึงสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ที่ล้มเหลวและผิดพลาดร้ายแรง ปัญหาปากท้องข้าวยากหมากแพง คนตกงาน การบริหารราชการแผ่นดินด้วยความไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม รวมถึงการบังคับใช้อำนาจกฎหมายอย่างล้นเกิน ล้วนเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นในสังคม ซึ่งการชุมนุมเพื่อแสดงออกและการเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาถือเป็นสิทธิโดยชอบของประชาชนและเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย หากมีการกระทำใดที่ผิดกฎหมายก็ต้องมีมาตรการดำเนินการอย่างได้สัดส่วน แต่ที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากถึงการใช้ความรุนแรงอย่างไร้เหตุผลและไม่ได้สัดส่วนในการจัดการการชุมนุม จึงอยากเรียกร้องให้ตระหนักถึงสิทธิของประชาชนและใช้อำนาจอย่างพึงระวังและไม่ขัดต่อหลักการของกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่   

“นอกจากนี้ ผมอยากขอชวนพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันจับตาการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเย็นวันนี้ ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลไม่ใช่เพื่อปกป้องการใช้อำนาจด้วยคำสั่งอันไม่ชอบธรรม จะเห็นว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาและหลังจากนี้ไป การชุมนุมของพี่น้องประชาชนเกิดขึ้นติดต่อกันเกือบทุกวันและทุกครั้งจะได้ยินข่าวจากสื่อมวลชนถึงความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกินกว่าเหตุ​ หรือในสื่อโซเชียลมีเดียที่ปรากฏภาพความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำต่อพี่น้องประชาชนหรือสื่อมวลชน​จำนวนมาก ปัญหาของสังคมไทย ณ ขณะนี้คือ เมื่อพี่น้องประชาชนมีปัญหา เขาไม่รู้จะเรียกร้องความเป็นธรรมได้จากใคร​ เพราะรัฐบาลเองก็บริหารประเทศแบบไม่เห็นหัวประชาชนในทุกเรื่องแล้วยังปิดกั้นการแสดงออกด้วยความรุนแรงเช่นนี้อีก”

นายณัฐชา กล่าวต่อไปว่า สิทธิการชุมนุมเป็นหลักการสำคัญในสังคมประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องให้การรับรองและคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเป็นภาครัฐเองที่พยายามจะทำลายหลักการนี้ จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยกันปกป้อง สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือขอให้พี่น้องประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา รายงานข้อเท็จจริงออกมาให้มากที่สุด​ เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องชำระต่อไปในอนาคตและทำให้ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมโลก​ เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ประชาคมโลกต่างตั้งคำถามต่อรัฐไทยว่ายังเป็น​รัฐที่ทำหน้าที่ภายใต้ระบอบประชาธิไตยหรือไม่ และเหตุใดจึงปฏิบัติต่อประชานเยี่ยงอริราชศัตรู​ เพราะคงมีแต่รัฐเผด็จการเท่านั้นที่จะทำกระทำเยี่ยงประชาชนเป็นศัตรูเช่นนี้

“ในครั้งนี้ ผมขอสื่อสารไปยังเจ้าหน้าที่ประดับปฏิบัติการที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชุมนุมวันนี้เช่นกันว่า ​ก่อนกระทำการใด​ โปรดระลึกไว้ว่า คุณและผู้ชุมนุมก็คือประชาชนเหมือนกัน​ มีพ่อแม่ครอบครัวอยู่ข้างหลัง​ การออกมาเรียกร้องของผู้ชุมนุมเพราะเขาต้องการเห็นประเทศไทยที่พวกเราทุกคนรวมถึงคุณด้วยจะสามารถมีชีวิตได้อย่างมีความหวังและมีอนาคต​ พวกคุณสามารถเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งได้ด้วยความสามารถ ไม่ใช่ด้วยการเข้าหานายหรือมีเส้นสายเป็นเด็กฝากของใคร ผมเชื่อในตัวพวกคุณทุกคนว่าจะยังรักในเกียรติ ในศักดิ์ศรี และมีความรักต่อประชาชน ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่จะยินยอมกระทำตามในสิ่งที่ผิดอย่างปราศจากมโนสำนึกอย่างไรก็ตาม ผมในฐานะประธานกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ​ ได้แต่งตั้ง​ ส.ส.อมรัตน์​ โชคปมิตต์กุล​ กรรมาธิการฯเป็นประธานติดตามการชุมนุมเพื่อสังเกตการณ์และรวบรวมเหตุความรุนแรงและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งต่อพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน​ เพื่อรายงานต่อที่ประชุมกรรมาธิการใหญ่ และจะเรียก​ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการต่อไป​ และผมในฐานะตัวแทนของประชาชนที่ทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการ ยืนยันว่าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ยอมให้มีการละเมิดสิทธิหรือการก่ออาชญากรรมโดยรัฐกลายเป็นสิ่งปกติในสังคมประชาธิปไตยอย่างแน่นอน”

สุดท้าย นายณัฐชา ยังกล่าวต่อไปว่า อยากฝากไปยังรัฐบาลว่า​ การกระทำที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานที่ล้มเหลว​ในการจัดการโรคระบาดแล้วมองหาช่องทางนิรโทษกรรม​ รวมไปถึงการไล่ล่าจับกุมคุมขังและปิดปากประชาชน เพื่อยืดเวลาต่ออำนาจในการบริหารประเทศท่ามกลางความป่นปี้เช่นนี้​ ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอกที่ตะเกียกตะกายและกัดไปทั่วขอแค่มีชีวิตรอดโดยไม่สนใจว่าประเทศจะพังพินาศไปขนาดไหน การกระทำเช่นนี้ต่างหากที่สมควรต้องถูกจัดการเพราะถือเป็นศัตรูอันเป็นภัยสูงสุดต่อประเทศอย่างแท้จริง

"เพื่อไทย" ปัดตีเช็คเปล่าให้ กกต. กำหนดการเลือกตั้ง แจง หากยุบสภาใน 120 วันที่แก้กม.ลูกไม่แล้วเสร็จ จะเกิดปัญหา ยัน ไม่มีกระหนุงกระหนิงกมธ.ซีกรัฐบาล

ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ…. แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยพยายามนำร่างที่ถูกตีตกไปในวาระที่ 1 ของพรรคพลังประชารัฐกลับเข้ามาสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 อีก ว่า ในชั้นนี้เป็นการพิจารณาในชั้นกมธ.ของร่างรัฐสภาที่ผ่านขั้นตอนการรับหลักการมาแล้ว ขณะนี้จะไม่เรียกว่าร่างพรรคประชาธิปัตย์และต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นร่างของรัฐสภา โดยมีหลักในการแก้ไข 2 มาตราที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้ง ซึ่งคำว่าระบบไม่ได้มีเพียงแค่ 2 มาตราแน่นอน ยอมรับว่ากมธ.มีความหนักใจมากโดยเฉพาะการแก้มาตรา 83 เรื่องระบบบัตรเลือกตั้งจาก 1 ใบมาเป็น 2 ใบ 

เมื่อให้โจทย์มาแบบนี้ทางเสียงข้างมากใน กมธ. มีมติชัดเจนว่าเป็นการแก้ไขจากบัตรเลือกตั้ง 1 ใบเป็น 2 ใบ โดยมีการเลือก ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งรัฐธรรมนูญเดิมเขียนไว้ว่ามาตรา 84 , 85 , 86 ,87 , 88 , 89 , 90 , 91 , 92 ,93 และ 94 เขียนรองรับเรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียว แต่ที่รัฐสภารับหลักการมา คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 83 และมาตรา 91 ว่าด้วยเรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถือว่าเป็นโจทย์ยากที่เรารับมา ทั้งนี้ ต้องมาดูรัฐธรรมนูญที่เหลืออยู่ และแก้ไขให้สอดรับกับมาตรา 83 และมาตรา 91 โดยเฉพาะมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รองรับและสอดรับกัน จึงจำเป็นต้องแก้มาตราอื่นด้วย และยืนยันว่ารัฐสภามีข้อบังคับอนุญาตให้สามารถดำเนินการได้ แต่ห้ามแก้ไขหลักการ เว้นแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับหลักการ 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นปัญหาและเป็นประเด็นในสังคมกล่าวหาว่ากมธ.พรรคเพื่อไทยเขียนเช็คเปล่าให้กกต.ในเรื่องบทเฉพาะกาล และบอกว่าเป็นการพิจารณาเกินหลักการด้วยนั้น ยืนยันว่าบทเฉพาะกาลเขียนไป 2 มาตรา เพราะหากเราแก้รัฐธรรมนูญได้และมีการประการใช้ เกิดมีการเลือกตั้งซ่อมขึ้นมา ก็มีคำถามว่าเราใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่แก้แล้วในการเลือกตั้งหรือจะใช้รัฐธรรมนูญเดิม ซึ่งตนเห็นว่าถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขมีการประกาศใช้แล้ว ก็ยังไม่ควรนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปใช้ เพราะจะมีผลใช้กับการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น หากมีการเลือกตั้งซ่อมในช่วงนี้ห้ามนำมาใช้ เพราะจะมีปัญหาในสภาว่า ส.ส.สภาเดียวกันจะมาจาก 2 ระบบ และเกิดการตีความทำให้สภาทำงานไม่ได้ และอาจทำให้สภาล่มได้ จึงเป็นที่มาของการเขียนบทเฉพาะกาลเพื่อป้องกันการตีความว่ายังไม่ควรนำรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้ และหลังจากฉบับรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขประกาศใช้แล้ว รัฐสภาต้องไปทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการประกอบการเลือกตั้งให้เสร็จภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ 

เพื่อนำมาใช้ในการเลือกตั้ง และเราเป็นห่วงว่าหากภายใน 120 วันนี้เกิดการประกาศยุบสภาโดยที่กฎหมายลูกยังไม่เสร็จแต่รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว กกต.ก็จะต้องจัดการเลือกตั้งภายใต้การออกประกาศข้อกำหนดของ กกต. ได้ โดยยึดสิ่งที่รัฐธรรมนูญแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปประกาศเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานได้ แต่พรรคเพื่อไทยกลับถูกหาว่ายัดไส้และทำเกินหลักการ ไปมอบอำนาจให้ กกต. ตนถามว่าหากไม่มอบอำนาจให้ กกต. จะเกิดการเลือกตั้งได้หรือ หรือจะให้ฝ่ายบริหารออกพระราชกำหนดประกาศให้มีการเลือกตั้ง ถามว่าจะเอาแบบนั้นหรือ ซึ่งเราก็ไม่เอา ระหว่างเลือกกกต.กับฝ่ายบริหาร เราเลือกกกต.มากกว่า

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเขียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ใช้โอกาสยุบสภาเร็วขึ้นนั้น คนพูดไล่พล.อ.ประยุทธ์ทุกวันให้ออกไป แต่พอมาสู้กันในมุมกฎหมายกลับย้อนแย้งเสียเอง ซึ่งตนก็อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาโดยเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่คนต้องการมากที่สุดคือให้พล.อ.ประยุทธ์ออกไป อย่างไรก็ตามยืนยันว่าในกมธ.ไม่มีความขัดแย้งและไม่มีการกระหนุงกระหนิง เพราะทุกความคิดเห็นที่เสนอโดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ใช่ความคิดเห็นของตนเพียงคนเดียว แต่เราผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากพรรคมาเพื่อเสนอให้เป็นไปในด้านที่ดีที่สุด ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะให้รัฐสภาตีความเรื่องข้อบังคับที่เราใช้นั้นใช้ไม่ได้ ก็สามารถทำได้ หรือจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาหลักผ่านวาระที่ 3 ก็ทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็ต้องรอจังหวะเวลา ยืนยันว่าทุกอย่างไม่ได้พิจารณาอย่างร้อนรน เพราะมีเพียงแค่ 2 มาตรา
 

สภาฯยกระดับคุมเข้มการแพร่ระบาโควิด เตรียมพร้อมถกงบ 18-20 ส.ค.ตรวจ ATK ผู้เกี่ยวข้องทุกคน 16-17 ส.ค.ส่วน ส.ส.ไม่บังคับหากคิดว่าเสี่ยงก็ตรวจเลย กักบริเวณคนติดตามส.ส.-คนขับรถ ให้อยู่เฉพาะที่  

นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงการประชุมสภาฯในวันที่ 18-20 ส.ค.นี้ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประะจำปีงบประมาณ 2565  ว่า เนื่องจากติดเรื่องเคอร์ฟิว นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จึงได้มอบหมายให้ นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 หารือร่วมกับวิปทั้ง 2 ฝ่าย ในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 10.30 น. ซึ่งจะทราบว่าการพิจารณางบฯในแต่ละวันต้องเลิกกี่โมง นอกจากนั้นในขณะนี้มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 อย่างมาก ทางสภาฯจึงต้องมีมาตราเข้ม และเหมาะสม  โดยในวันที่ 16 -17 ส.ค.นี้ จะมีการตรวจ Antigen Test Kit  (ATK)ให้กับเจ้าหน้าที่สภาฯที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับการประชุม รวมทั้งพนักงานทำความสะอาด  ผู้ประกอบการร้านอาหาร และสื่อมวลชน ทุกคนที่จะเข้ามายังสภาฯในช่วงการพิจารณางบฯ
  
นพ.สุกิจ กล่าวต่อว่า ส่วน ส.ส.จะจัดให้มีการตรวจ ATK ในวันทั้ 18 ส.ค. ซึ่งแล้วแต่ความสมัครใจ จะไม่มีการบังคับ เป็นการให้เกียรติกับส.ส. แต่เชื่ออว่าส.ส.ต้องระวังดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่หากใครสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อหรือไม่ เนื่องจากส.ส.ลงพื้นที่พบปะประชาชน ก็สามารถขอรับการตรวจหาเชื้อได้ นอกจากนี้ทางสภาฯจะประสานขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆที่จะเข้าร่วมประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่าขอความร่วมมือจำกัดจำนวนให้เข้ามาน้อยที่สุด โดยให้หน่วยงานนั้นๆ เป็นผู้รับผิดชอบตรวจคัดกรองเจ้าหน้าที่ และขอให้ส่งรายชื่อผู้ที่จะเข้ามาร่วมชี้แจงมาล่วงหน้า ซึ่งสภาฯจะจำกัดพื้นที่ให้อยู่เฉพาะ รวมทั้งทางเข้าทางออกด้วย 

นพ.สุกิจ กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ติดตามส.ส. ขอให้ต้องไม่เกิน 1 คน และจำกัดบริเวณให้อยู่เฉพาะในห้องทำงานส่วนตัวส.ส.ของแต่ละคน ซึ่งส.ส.ต้องรับผิดชอบในการคัดกรองคนของตัวเองว่าต้องปลอดเชื้อโควิด เช่นเดียวกับกรณีของคนขับรถ ทางสภาฯก็จะมีการจำกัดบริเวณให้อยู่เช่นเดียวกัน ส่วนมาตรการป้องกันพื้นฐานเรายังทำเข้มงวดแบบเดิม เช่น วัดอุณหภูมิ การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดแบบ และการกรอกแบบคัดกรองทุกวัน จึงต้องขอความร่วมมือทุกคนกรองแบบคัดกรองตามความเป็นจริง

“บิ๊กป้อม” ถก “กอนช.” เร่งขับเคลื่อน 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน -น้ำป่าไหลหลาก-ดินโคลนถล่ม-กักเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้งหน้า 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564  ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยพล.อ.ประวิตร  รับทราบสถานการณ์ฝนและการคาดการณ์ ช่วงสิงหาคม-กันยายน 64 ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุก หนาแน่นที่สุด และมีโอกาสสูงที่จะเกิดพายุหมุนเขตร้อน เคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน จำนวน 2-3 ลูก และอาจทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุก และปริมาณน้ำมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอุทกภัยได้ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำ สำหรับพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมจากการประเมิน พบว่า ช่วงสิงหาคม64-มกราคม65 มีพื้นที่เสี่ยงจำนวน 2,988 ตำบล  630 อำเภอ 71 จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้ สทนช.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก ได้แก่ กรมชลประทาน,กรมเจ้าท่า,กทม.,กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ได้บูรณาการทำงานร่วมกันแก้ปัญหา มาอย่างต่อเนื่อง และมีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ อาทิ การเตรียมความพร้อมอาคารควบคุมน้ำ คันกั้นน้ำ เครื่องสูบน้ำ และอุโมงค์ระบายน้ำ เป็นต้น รวมถึงการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ การจัดเก็บผักตบชวา และการกำจัดขยะในคลอง ซึ่งในห้วงปี63-64 ภาพรวมการเก็บผักตบชวาได้มากถึง 4,944,363 ตัน คิดเป็นร้อยละ 96.09 ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนข้อมูล ปริมาณผักตบชวา จากภาพถ่ายดาวเทียม GISTDA ในการเตรียมรับมือกับฤดูฝนปี64 ปี ซึ่งได้ดำเนินการเก็บผักตบชวาไปแล้ว จำนวน 680,288 ตัน 

พล.อ.ประวิตร  กล่าวกำชับสทนช.,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กทม.,ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเร่งดำเนินการ ตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี64 ให้ทันตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ฤดูแล้งหน้า ได้อีกด้วย รวมทั้ง ต้องมีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วม และสามารถแจ้งเตือนประชาชนให้ทันเวลา ตลอดจน เตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ให้มีความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ไว้ตลอดเวลา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ให้รวดเร็วที่สุด และให้ระมัดระวังการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วย

"เติมกำลังใจ อันดามัน" นิพนธ์ ลุย 5 จังหวัดฝั่งอันดามัน เยี่ยมขอบคุณ ด่านหน้าป้องกันโควิด ย้ำ รัฐบาลพร้อมบริหารจัดการทุกมิติเพื่อดูแลทุกชีวิตให้ผ่านพ้นโควิดอย่างดีที่สุด  

นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานประจำจุดคัดกรองป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตลอดจนบำรุงขวัญกำลังใจในการทำหน้าที่เฝ้าระวังประจำด่านฯ ตั้งแต่ จังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ตรัง และจังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ 10 ส.ค - 12 ส.ค 2564 นั้น

โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ได้เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่จังหวัดระนอง ที่ด่านกรองบุคคลเข้า - ออก ศิลาสลัก จปร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง โดยมีนายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผวจ.ระนอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข  อสม. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้รายงานสถานการณ์ให้รับทราบ ซึ่งระหว่างลงพื้นที่ นายนิพนธ์  ได้กำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และมาตรการของทางรัฐบาล ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทางสัญจร ให้คำแนะนำข้อควรรู้ควรปฏิบัติ เน้นย้ำใช้กลไกท้องที่ ท้องถิ่น ในการดำเนินงาน พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อส่วนรวมภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ และหวังว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว

จากนั้นในช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ค.ที่ด่านตรวจคัดกรอง อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นด่านตรวจคัดกรองบุคคลที่เดินทางมาจากพื้นที่จังหวัดพังงา เข้ามายังจังหวัดระนอง รมช.มท.และคณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และรับรับฟังการรายงานการปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมกันนี้นายนิพนธ์ได้กล่าวให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งสอบถามปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ตลอดจนให้คำแนะนำ และกำชับให้ดำเนินการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น บันทึกข้อมูลผู้ที่ผ่านเข้าพื้นที่โดยละเอียด เพื่อให้การป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมโรคได้โดยเร็ว 

จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดพังงา เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านตรวจบริเวณหน้ารพ.สต.เตรียม ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดระนอง  โดยมีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นางกัณตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส.ส.พังงา หัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับพร้อมรายงานสรุปข้อมูลดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่ โดยนายนิพนธ์ได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ และของใช้จำเป็นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจฯ เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย พร้อมกำชับให้ปฏิบัติตามแนวทาง ข้อกำหนด ข้อบังคับตามประกาศของ ศบค. และประกาศของจังหวัดพังงา อย่างเคร่งครัด

ต่อมาในภาคบ่าย ที่จังหวัดกระบี่ ณ ด่านเขาคราม ตำบลเขาคราม อำเภอเมืองกระบี่ ได่เยี่ยมขอบคุณเจ้าหน้าที่ ซึ่งด่านตรวจคัดกรองดังกล่าว นั้น มีการบูรณาการทำงานหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง โดยมีพ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายสาคร เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ น.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานสถานการณ์ให้ทราบ พร้อมกันนี้ นายนิพนธ์ได้กล่าวพบปะเพื่อให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และขอขอบคุณทุกท่านช่วยกันซึ่งเป็นผู้เสียสละปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเทอย่างเต็มกำลังความสามารถ  และในช่วงเย็น นายนิพนธ์ รมช.มท. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านจุดตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกจังหวัดตรัง ณ จุดตรวจคลองปาง ตำบลคลองปาง อำเภอรัษฎา จังหวัดตรัง โดยมีนายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ โดยรมช.มท.ได้ขอบคุณรวมทั้งให้กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจ สำรวจปัญหาข้อจำกัดมาปรับแก้และขอความร่วมมือ แนะนำแนวทางการปฎิบัติต่อประชาชนผู้เดินทางผ่าน ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกด้วย

ในวันที่12 ส.ค. นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่จังหวัดสตูลโดยมีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรายงานข้อมูลใน 3 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 ด่านความมั่นคงคีรีวง หมู่ที่ 7 บ้านคีรีวง ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดตรัง-สตูล จุดที่ 2 โรงพยาบาลสตูล อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล โดยมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 2,000 ชิ้น และชุด PPE จำนวน 20 ชุด ให้แก่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสตูล เพื่อนำไปบริหารจัดการดูแลประชาชนในสถานการณ์โควิด-19  พร้อมกับเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย และประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน ณ จุดฉีดวัคซีนโควิด-19 บริเวณใต้ตึก 100 ปี โรงพยาบาลสตูล โดยกล่าวพบปะประชาชนด้วยว่า "รัฐบาลพยายามที่จะจัดหาวัคซีนมาให้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งการบริหารจัดการทุกมิติเพื่อดูแลรักษาทุกชีวิตคนไทยให้ผ่านพ้นจากโควิดอย่างดีที่สุด ตลอดจนการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพราะเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่รัฐบาล โดยท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรีทุกคน ยังคงทำงานเพื่อดูแลจัดการควบคู่กันไป และขอส่งกำลังใจให้เราทุกคนผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน"

จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังจุดที่ 3 ที่ด่านคัดกรองโควิด19 ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง รอยต่อจังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ใช้สำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ก่อนจะเดินทางไปยังจังหวัดสงขลาต่อไป

‘ราเมศ’ ย้ำ แก้ รธน.ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ ปชป ตรงไปตรงมา ยึด รธน. และข้อบังคับ 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวถึงเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า การพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่… พ.ศ. … (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) เป็นเรื่องปกติที่จะมีการถกเถียงกัน มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ทั้งหมดก็ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับอย่างเคร่งครัดตรงไปตรงมา

การที่รัฐสภารับหลักการมาในร่างดังกล่าวซึ่งเป็นร่างที่มีหลักการและเหตุผลคือการแก้มาตรา 83 และมาตรา 91 มีหลักการและเหตุผลเป็นเรื่องการแก้เรื่องระบบการเลือกตั้ง เมื่อร่างดังกล่าวสมาชิกรัฐสภามีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง 
เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สองคือในชั้นคณะกรรมาธิการ ก็ต้องมีการพิจารณาให้มีความละเอียดรอบคอบ หากมีมาตราใดที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้งหากต้องการปรับแก้ในมาตราใดข้อความใดเพื่อให้สอดคล้องต้องกันกับหลักการและเหตุผลคือในส่วนของระบบเลือกตั้งก็สามารถทำได้ ทั้งในส่วนของกรรมาธิการและในส่วนของสมาชิกรัฐสภาที่ยื่นแปรญัตติไว้

ซึ่งข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 124 ได้ระบุไว้ชัดว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นคณะกรรมาธิการสมาชิกรัฐสภาสามารถที่จะแปรญัตติได้และในวรรคที่สามได้ระบุไว้ชัดอีกว่าการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีเจตนารมณ์ชัดว่าสมาชิกสามารถดำเนินการได้ และข้อบังคับก็ไม่ได้ห้ามสมาชิกรัฐสภาผู้เสนอร่างไม่ให้ยื่นคำแปรญัตติ ทั้งหมดคือหลักการที่สำคัญในการให้สมาชิกรัฐสภาได้ตรวจตราในมาตราอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับหลักการได้ด้วย เพื่อให้รัฐธรรมนูญเมื่อแก้ไขแล้วสามารถบังคับใช้ได้โดยไม่ขัดหรือแย้งกัน 

แต่จะไปแก้ในมาตราอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักการและเหตุผลก็ไม่สามารถทำได้ เช่นจะไปแก้เรื่องที่มา สว อำนาจ สว อำนาจองค์กรอิสระหรือเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ประเด็นดังกล่าวนี้มีแนวทางของกฤษฎีกาและฝ่ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานนิติบัญญัติ รวมถึงกรรมาธิการที่ยกร่างข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ก็ได้ให้ความเห็นไว้ชัดเจนถึงเจตนารมณ์ว่าสามารถดำเนินการได้

นายราเมศ กล่าวต่อว่า เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และเชื่อว่านายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ ท่านเป็นคนละเอียดและได้ดูเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว สิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับท่านไม่ทำแน่นอน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ได้ดำเนินการตามข้อบังคับในการยื่นคำแปรญัตติโดยอาศัยสิทธิอันชอบตามข้อบังคับ หากจะกล่าวหาว่าไม่สามารถยื่นคำแปรญัตติได้แสดงว่าสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันลงชื่อรวมถึงสมาชิกที่รับหลักการไม่มีใครสามารถยื่นคำแปรญัตติได้แม้แต่คนเดียว ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องพื้นฐานในเรื่องหลักการในการร่างกฎหมาย ผู้เสนอร่างอาจจะลงมติในวาระแรกอย่างไรก็ได้ เมื่อเข้าสู่วาระที่สองในชั้นคณะกรรมาธิการสมาชิกผู้เสนอร่างและสมาชิกผู้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง สามารถยื่นคำแปรญัตติได้ เพื่อให้กฎหมายเกิดความสมบูรณ์

นายราเมศกล่าวตอนท้ายว่า ทุกกระบวนการเดินตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ เคารพในความเห็นต่างแต่ไม่อยากให้มองว่าเป็นความแตกแยกเพราะถ้าแตกแยกแสดงว่าเจตนาตั้งต้นไม่ได้เกิดจากความตรงไปตรงมาในความเห็นแต่อย่างใด

ถึงเวลา ‘ปฏิรูปตำรวจ’ ขนานใหญ่ ‘สุพิศาล’ จี้ คฝ. ถามตัวเอง ปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมและหลักสากลที่นานาอารยประเทศทำกันแล้วหรือยัง

พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และอดีตผู้บังคับการกองปราบปรามแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวต่อการบริหารจัดการผู้ชุมนุมช่วงที่ผ่านมาว่า หลังได้เห็นคลิปวีดีโอตำรวจกองกำลังควบคุมฝูงชน (คฝ.) กรูกันเข้ารุมกระทืบประชาชนมือเปล่าแล้วรับไม่ได้จริงๆ และอีกคลิปที่ตะโกนสั่งด้วยอารมณ์เดือดดาลให้นักข่าวมาเก็บภาพตำรวจที่โดนยิงอ้างว่าประชาชนทำนั้นแย่มาก สื่อมวลชนทำหน้าที่ของเขาตามหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ ต้องไม่ก้าวก่ายกัน ถามตัวเองก่อน เราตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมตำรวจ ตามหลักสากลที่นานาอารยประเทศเขาทำกันแล้วหรือยัง
นอกจากนี้ อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ยังระบุว่า การชุมนุม ถือเป็นสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญ และการชุมนุมที่กระทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ยิ่งย่อมเป็นสิทธิอันพึงมีของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ไม่มีกฎหมายใดที่จะมาห้ามการชุมนุมดังกล่าว ถึงแม้รัฐเองจะอ้าง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.ใดๆ ก็ตาม แต่รัฐจะต้องใช้ในการควบคุมเท่านั้นมิใช่ใช้ในการปราบปราม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบ จะต้องอำนวยความสะดวก และจัดให้มีพื้นที่การชุมนุม ตามที่ผู้ชุมนุมร้องขอ จากเหตุการณ์หรือคำร้องต่างๆ ซึ่งความผิดถ้าจะมี ก็คือต้องเกิดจากการที่การชุมนุมนั้นไม่เป็นอย่างที่ขอ

“แต่ในการชุมนุม 2 ครั้งล่าสุด เรากลับพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้มาตรการหนัก ห้ามไม่ให้เกิดการชุมนุมโดยเด็ดขาด กองกำลังควบคุมฝูงชนของรัฐได้ใช้ยุทธวิธีตำรวจเปิดฉากปิดและยึดคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสารพัด ยิ่งในการสลายผู้ชุมนุม ก็มีอาวุธปืนลูกยาง ปืนยิงแก๊สน้ำตา ซึ่งใช้อย่างผิดหลักสากล มิหนำซ้ำยังเปิดฝ่ายเปิดฉากยั่วยุให้มวลชนปะทะ นี่คือความผิดพลาดอย่างยิ่งของการทำหน้าที่ตำรวจ

“เท่าที่ติดตามการชุมนุม ผมได้พบว่า ตำรวจจะทำเพียงการประกาศเตือนว่าผู้ชุมนุมได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและจะมีการปราบปรามจับกุม จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการทันที โดยที่มิได้มีการเข้าเจรจาพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมในรูปแบบอื่น กรณีดังกล่าวนี้ ในฐานะที่เคยเป็นทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ควบคุมฝูงชนมาก่อน ตลอดจนเคยเป็นผู้ฝึกสอนในวิชาดังกล่าวด้วย เห็นว่าเป็นการลัดขั้นตอนการปฏิบัติของชุดควบคุมฝูงชน มิได้ดำเนินการจากเบาไปสู่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อันน่าจะขัดต่อหลักการสากล ตลอดจนในเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย” 

พล.ต.ต.สุพิศาล  ระบุอีกว่า การชุมนุมโดยปราศจากอาวุธคือหลักการพื้นฐานที่ทั่วทั้งโลกมีให้การรับรอง และประชาชนผู้มาชุมนุมนั้นบริสุทธิ์ เป็นผู้ทรงสิทธิ นี่คือหลักแรกที่รัฐจะต้องเข้าใจและบริการอำนวยการจัดการ หากรัฐบาลจะยังใช้อำนาจในการจัดการกับการชุมนุมที่เห็นต่างและทุกข์ร้อนจากการบริหารจัดการของรัฐ ตำรวจควรจะต้องดูแลผู้ชุมนุมเพื่อตอบสนองความต้องการในข้อเรียกร้องและมีการเจรจาเท่านั้น แต่ที่ผ่านมามิได้กระทำตามตามนั้น เช่นที่ปรากฏ ทั้ง 2 ครั้ง กลับใช้ความรุนแรงด้วยการมีอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าเข้าปราบปรามโดยอ้างว่าชอบธรรม และเหตุเช่นนี้เองที่จะทำให้ผู้ชุมนุมซึ่งมาด้วยความบริสุทธิ์ระบายอารมณ์ และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ดังที่ปรากฏ เช่น ป้ายสีชื่อองค์กร การเผาตู้ยาม และอาจจะถึงการเผาสถานีตำรวจอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา และอันนี้ถือได้ว่า เป็นการทำลายประเทศชาติด้วยน้ำมือของรัฐบาลเองใช่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เผาทรัพย์สินของทางราชการที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลเองโดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล ควรจะดำเนินการสืบสวนให้ได้ความแน่ชัด ว่ากลุ่มผู้กระทำผิดดังกล่าวเป็นใครกันแน่ เพราะการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ มิใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญอย่างแน่นอน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สามารถเรียนรู้ได้ว่า ผู้กระทำการที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างไรเกิดขึ้น นี่ยังไม่นับการตอบโต้กลับของผู้ชุมนุมจากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ดังที่กล่าวมาแล้ว และในการหากลุ่มผู้กระทำผิดก็ต้องแยกให้ชัดในสองเหตุนี้ด้วย
“ในฐานะอดีตข้าราชการตำรวจผู้เคยปฏิบัติงาน เห็นว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ควรที่จะทบทวนการทำงานให้เป็นไปด้วยหลักการสากล การใช้ข้อกฏหมายระเบียบที่ชอบด้วยกฏหมาย หลักสิทธิมนุษยชนรวมถึงมนุษยธรรม โดยต้องเจรจาก่อนเป็นสำคัญ จะได้รู้ความต้องการของประชาชน อันเป็นผู้ทรงสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องบริการ

“ถึงเวลาแล้วที่ต้อง ‘ปฏิรูปตำรวจ’ ขนานใหญ่ ให้เป็นตำรวจที่มีหัวใจประชาธิปไตย อำนวยความสะดวกให้ประชาชน มิใช่ขัดขวางสิทธิที่ประชาชนมี อย่างการปราบปราม จับกุม ใช้กฎหมายสารพัดจัดการเหมือนเห็นประชาชนเป็นศัตรูแบบที่ทำอยู่ในเวลานี้ เกียรติยศศักดิ์ศรีของตำรวจควรได้รับการฟื้นฟู ออกมาเดินดู มารับฟังประชาชนบ้างว่า วันนี้ ประชาชนเขามอง เขารู้สึกอย่างไรกับตำรวจ” พล.ต.ต.สุพิศาล ระบุ

สุดท้ายแล้ว!! ศัตรูของศัตรู ก็เท่ากับ มิตรดี ๆ​ นี่เอง!! | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

ชวนคิด!! ว่ากันว่าเหตุผลที่กลุ่มประเทศ ‘ยี้’ และไม่เอาสหรัฐอเมริกา​ เช่น​ บางประเทศในอาเซียน​ และรวมถึงยุโรปบางประเทศ​ เช่น เยอรมนี​ กลับหันมาคบหาแนบชิดกับสหรัฐฯ​ อีกครั้ง​ เพราะต้องการได้​ สหรัฐฯ​ เป็นขุมพลังในการคานอำนาจของจีน​ ที่ช่วงหลังเริ่มแผ่อิทธิพลในหลาย ๆ​ มิติเข้ามายังประเทศเหล่านั้น

การคบหาแบบ ‘กัดได้กัด - กอดได้กอด’ จึงเริ่มก่อตัวชัดให้เห็นเด่นชัด​ กลายเป็นเกมการเมืองใหม่ของโลกบนพิกัด​ 'อาเซียน'​

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“จุรินทร์”นำทีมปชป.ให้กำลังใจชุมชนไฟไหม้ ที่เย็นอากาศ2 พร้อมส่ง ”ถุงน้ำใจ ปชป.” ถึงบ้านผู้กักตัวโควิด เขตยานนาวา

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานมูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พร้อมด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล นายอภิมุข ฉันทวาณิชย์ และนายอมรเทพ เศตะพราหมณ์ ส.ก.เขตยานนาวา เดินทางไปให้กำลังใจชาวบ้านร่วม 45 ครัวเรือน ที่บริเวณชุมชนเย็นอากาศ 2 ซอยพระรามสาม 77 ซึ่งประสบเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา นอกเหนือจากประสบปัญหาโควิด-19 ซึ่งเป็นปัญหาในภาพรวมอยู่แล้ว พร้อมนำ “ถุงน้ำใจ ปชป.” และข้าวกล่อง มามอบให้ประธานชุมชนเพื่อกระจายแจกจ่ายต่อไป


สำหรับโครงการ “ถุงน้ำใจ ปชป.” และข้าวกล่องเดลิเวอรี่ ถือเป็นโครงการสำคัญของมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ริเริ่มดำเนินการโดยจัดรถรวม 50 คัน เพื่อบรรทุก “ถุงน้ำใจ ปชป.” กว่า 2,000 ชุด ให้ ส.ส.ของพรรค อดีต ส.ส. ส.ก. ส.ข. สาขาพรรค ตัวแทนพรรคทั่วประเทศ และยุวประชาธิปัตย์ ร่วมกันจัดส่งถุงยังชีพไปให้พี่น้องประชาชนที่รอเตียง และผู้ที่ถูกกักตัวในแต่ละเขตทั่วกรุงเทพฯ จนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการจัดส่งไปแล้วร่วม 2 หมื่นชุด


 

The Change Maker จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนไอเดียกับ “พี่โทนี่” หัวข้อ “นายกฯ รุ่นเก๋า พบ 6 ไอเดียจากคนรุ่นใหม่” ร่วมออกแบบอนาคตประเทศ

นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ ผอ.สถาบัน Think คิดเพื่อไทย กล่าวว่า ทางสถาบัน Think ร่วมกับกลุ่ม Care ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจทุกท่าน ร่วมรับชมการถ่ายทอดสดการแลกเปลี่ยนหาไอเดียเพื่อออกแบบอนาคตประเทศ ระหว่างพี่โทนี่ วู้ดซัม หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับสมาชิกของ 6 ทีมที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันในโครงการ The Change Maker ภายใต้ชื่อกิจกรรม “Think เคลื่อน ไทย” 

โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นการปิดท้ายโครงการ The Change Maker รุ่นที่ 1 ภายใต้คอนเซปต์  “1 นายกฯ รุ่นเก๋า พบ 6 ไอเดียจากคนรุ่นใหม่” โดยเปิดโอกาสให้ 6 ทีมที่ชนะการแข่งขัน นำเสนอไอเดียการแก้ไขปัญหาและออกแบบอนาคตของประเทศ ซึ่งมาจากการตัดสินของคณะกรรมการ จำนวน 5 ทีม และมาจากผล popular vote จำนวน 1 ทีม ได้ร่วมแลกเปลี่ยนไอเดียกับพี่โทนี่ เพื่อให้แต่ละทีมนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ไปพัฒนาไอเดียสำหรับออกแบบอนาคตประเทศต่อไป ทั้งนี้ กิจกรรม “Think เคลื่อน ไทย” จะจัดขึ้นผ่านรูปแบบออนไลน์ ในวันที่ 14 ส.ค. สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรับชมกิจกรรมดังกล่าวได้ผ่าน live บนเพจของ Think คิดเพื่อไทย เพจของกลุ่ม Care และเพจของVoice TV ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป

“ธนกร” ชี้ ม็อบชุมนุมไม่เลิก หวั่น ทำล็อกดาวน์กทม.ไร้ผล ซัด ซ้ำเติมเศรษฐกิจ-ทำโควิดระบาด เชื่อ “บิ๊กตู่” ไม่หวั่น “ไทยสร้างไทย”จ่อฟ้อง เย้ย อย่าใช้เด็กบังหน้าเรียกคะแนนตัวเอง

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงว่า การประกาศล็อกดาวน์ ในพื้นที่กทม.อาจจะไม่ได้ผลตามเป้าหมาย ทั้งที่วันนี้ยอดผู้ป่วยที่รักษาหายกลับบ้านเริ่มสูงกว่าจำนวนยอดผู้ติดเชื้อ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่วันละสองหมื่นกว่าคน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและสะท้อนความสำเร็จ แต่เนื่องจากมีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มต่างๆเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจ และอาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอยากเตือนน้องเยาวชน ที่ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม คิดให้ดี มีสติ เพราะการชุมนุมไม่ได้สันติ มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เผาทำลายทรัพย์สินราชการ สุดท้ายถูกดำเนินคดีต้องติดคุก อย่าไปเชื่อพวกแกนนำ และให้ลองคิดดูว่าคนเหล่านั้นเคยทำความดีอะไรให้ประเทศ เคยประสบความสำเร็จอะไรบ้าง บางคนยังไม่มีงานทำแต่มีเงินหลายล้านบาทอยู่ในบัญชี เป็นแกนนำเป็นประเภทสู้แล้วรวยหรือไม่ อยากให้ผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์ คิดให้ดีอย่างมีเหตุมีผลหรือคุยกับผู้ปกครองก่อน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคไทยสร้างไทย จะยื่นฟ้องดำเนินคดีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถือเป็นสิทธิตามกฎหมายที่ทำได้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลเร่งแก้ปัญหา ควบคุมและป้องกันโรค นำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน ทุกอย่างดำเนินการไปตามขั้นตอน แม้แต่ส.ส.บางพรรค ยังรีบไปขอฉีดวัคซีนก่อนประชาชน และรัฐบาลจะบริหารจัดการได้เร็วกว่านี้ถ้าไม่ต้องคอยดูแลผู้ชุมนุม ที่ออกมาชุมนุมกันตอนนี้ตามคำปลุกปั่นของนักการเมืองบางคน จนสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ได้ ส่วนที่นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ไม่ใช้การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และไม่ได้ใช้เพื่อควบคุมม็อบ อย่างที่นักการเมืองบางคนพยายามบิดเบือนด้วย เพราะถ้านำมาใช้อย่างเข้มงวดกับผู้ชุมนุมจริง สถานการณ์หลายอย่างคงไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้แน่นอน

"หากพรรคไทยสร้างไทยคิดที่จะโหนกระแสม็อบ เพื่อเพิ่มคะแนนนิยมให้ตัวเอง ก็เปิดหน้าฟ้องรัฐบาลด้วยตัวเอง ไม่ต้องเอาประชาชนมาบังหน้า และอ้างว่าเป็นความเห็นของประชาชน ถ้าอยากจะเป็นข่าวก็ควรออกแรงทำเอง ไม่ใช่เกาะกระแสคนนู้นคนนี้ เพื่อแย่งพื้นที่สื่อให้ขายขี้หน้าเด็กเปล่าๆ "นายธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top