Sunday, 6 July 2025
POLITICS

‘ป.ป.ช.’ ร่อน!! ข้อกล่าวหา ยัน!! มีพยานหลักฐาน เพียงพอว่า ‘มีมูลความผิด’ ‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เจ้าตัวเดือด!! จัดฟาดกลับ หลังเห็นคำขวัญของ ป.ป.ช.

(15 ก.พ. 68) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. พรรคก้าวไกล และหนึ่งใน 44 สส. ที่ถูกกล่าวหาว่าผิดจริยธรรมร้ายแรงในกรณีร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทันทีหลังได้รับเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งระบุว่า “มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหาว่ามีมูลความผิด”

นางอมรัตน์ แสดงความไม่พอใจ ว่า 1.การประกันตัวผู้ต้องหาคดี 112 จะทำได้ศาลต้องเป็นผู้อนุมัติ นั่นหมายถึงศาลสมรู้ร่วมคิดกับดิฉันเซาะกร่อนบ่อนทำลายและล้มล้างการปกครองใช่หรือไม่ แล้วป.ป.ช.ส่งหมายเรียกให้ศาลมารับทราบข้อกล่าวหาหรือยัง

ยังมีนักวิชาการหลาย ๆ ท่านไปร่วมประกันตัวเพื่อให้ลูกศิษย์ได้กลับมาเรียนหนังสือในระหว่างต่อสู้คดีด้วย พวกเขามีความผิดด้วยหรือไม่
2.อำนาจหน้าที่เสนอกฎหมายใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ล้าสมัยยังเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่

3.มีบทบัญญัติหรือข้อห้ามใดบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าห้ามเสนอแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 และในอดีตก็เคยมีการแก้ไขมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง

4.กกต.เป็นผู้อนุญาตให้ใช้นโยบายแก้ไขมาตรา 112 เป็น 1 ใน 300 นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล แสดงว่า กกต. ก็สุมหัวร่วมทำความผิดนี้ด้วยหรือไม่

ทำไมไม่เรียกกกต.ไปรับทราบข้อกล่าวหาพร้อม ๆ กัน

ท้ายที่สุด นางอมรัตน์ ยังกล่าวถึงปัญหามโนธรรมของ ป.ป.ช. ที่ไม่ได้รักษาหลักการที่ถูกต้อง และเสียดสีว่า “เห็นคำขวัญบรรทัดสุดท้ายแล้วอยากอาเจียน”

‘มะม่วงแช่อิ่ม’ จิ้ม!! ‘วาซาบิ’ จากร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ สิงหนคร ถูกคัดเลือกขึ้นโต๊ะ!! เสิร์ฟ ครม.สัญจร ‘สงขลา’ อร่อยละมุนลิ้น

(15 ก.พ. 68) พิเศษ…มะม่วงเบาแช่อิ่ม สูตรพิเศษคิดเอง ทำเอง จิ้มวาซาบิ จากร้านมะม่วงเบา คาเฟ่ สิงหนคร ได้รับการคัดเลือกให้นำไปเสิร์ฟเป็นอาหารว่างเลี้ยงคณะรัฐมนตรีช่วงสัญจรไปประชุมที่สงขลา ช่วงวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์นี้

“มะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิ เป็นสูตรพิเศษไม่เหมือนใคร ทางร้านคิดขึ้นมาเอง ไม่มีที่ร้านอื่น รสชาติก็จะละมุนลิ้นขึ้น อร่อยในแบบที่แตกต่างกันออกไป” พงศ์ศักดิ์ มากสุวรรณ เจ้าของร้านสาธยาย

พงศ์ศักดิ์ บอกว่า เราจะคัดมะม่วงอย่างดี ไม่อ่อน ไม่แก่จนเกินไปทางมาหั่น ล้างก่อนจะแช่อิ่มตามสูตรของร้าน เราสามารถเลือกมะม่วงได้ เนื่องจากสิงหนครเป็นแหล่งปลูกมะม่วงเบาที่ใหญ่ที่สุด เป็นผลิตผลที่มีจีไอ“

พงศ์ศักดิ์ บอกว่า ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โชตินรินทร์ เกิดสม เป็นคนตัดสินใจให้เอามะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิจากทางร้านไปขึ้นโต๊ะเสิร์ฟ ครม. เพราะผมเคยนำไปฝากท่านผู้ว่าฯให้ได้ชิมมาแล้ว ท่านผู้ว่าฯให้นายเอกสิทธิ์ สองเมือง นายอำเภอสิงหนคร คัดเลือกของว่างไปเลี้ยง ครม.นายอำเภอก็เสนอมะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิจากทางร้าน ผู้ว่าฯเคยชิมมาแล้ว จึงตัดสินใจเลย

“ทางร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ เราจะคิดสูตรอาหารใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น เส้นบีหุ้นผัดเคย ล่าสุดเราลองทำปลาช่อนทะเลนึ่งด้วยมะม่วงเบา ไม่ต้องใช้มะนาว รสชาติก็จะนุ่มละมุนกว่า ไม่จี๊ดจ๊าดเหมือนมะนาว อร่อยกว่า”

พงศ์ศักดิ์ บอกอีกว่า ทางร้านจะเน้นอาหารประเภทปลา ปลาสดๆจากทะเลที่ชาวประมงในย่านนั้นนำมาขาย มีปลาเนื้ออ่อน (ทำได้หลายเมนู) จะฉู่ฉี่ หรือทอดกรอบ แกงส้มก็อร่อย แกงส้มเราก็มีแกงส้มมะม่วงเบาให้เป็นทางเลือกของลูกค้า นอกจากนี้เรายังมีหอยจ๊อปู เนื้อปูแน่น ๆ อีกด้วย

“รับรองว่ามารับประทานอาหารที่ร้านมะม่วงเบาแล้วจะไม่ผิดหวังกับบรรยากาศแนวลูกทุ่ง เมนูอาหารให้เลือกมากมาย เรากำลังทดลองทำเค้กจากมะม่วงเบาด้วย แต่สูตรยังไม่ลงตัวจึงยังไม่นำเสนอลูกค้า มีแต่เค้กรสชาติอื่นที่เราก็ผลิตเองเช่นกัน อีกไม่นานก็จะมีเค้กมะม่วงเบาให้บริการ”

กล่าวสำหรับร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ ตั้งแต่เปิดให้บริการมาก็ได้รับการผลักดันจาก “วิชาญ ช่วยชูใจ” นักจัดรายการวิทยุ และจัดทัวร์ทางไท เป็นทัวร์ท่องเที่ยวเชิงชุมชน วิชาญก็จะนำลูกทัวร์มาแวะที่ร้านมะม่วงเบาคาเฟ่ตลอด

พงศ์ศักดิ์ บอกว่า ดีใจและภูมิใจที่ทางร้านได้รับการคัดเลือกให้นำมะม่วงเบาแช่อิ่มจิ้มวาซาบิ ไปขึ้นโต๊ะเลี้ยงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ขอบคุณนายอำเภอสิงหนคร ขอบคุณท่านผู้ว่าฯ

‘อาจารย์อุ๋ย’ จี้!! ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ผลักดันนโยบาย ‘Thailand First’ ตามแบบ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ตั้งหน่วยงานเพิ่มประสิทธิภาพ ปราบทุจริต

(15 ก.พ. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า “หลายท่านที่ติดตามข่าวต่างประเทศโดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสไตล์การบริหารที่แปลกแหวกแนว มีสีสันไม่ค่อยเหมือนใคร โดยเฉพาะนโยบาย America First หรืออเมริกาต้องมาก่อน ซึ่งเป็นแคมเปญสั้น ๆ แต่ครอบคลุมทุกมิติของนโยบาย คือทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาและชาวอเมริกัน

ซึ่งผมมองว่าประเทศไทยก็สามารถใช้นโยบายในลักษณะนี้ได้เช่นเดียวกัน แม้เราจะไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ แต่ก็ไม่เล็กเกินไปที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศไทยต้องการที่จะปกป้องปผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย โดยไม่ให้ประเทศอื่นมาเอาเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานต่างด้าวหรือผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะมาได้รับสิทธิ์ทัดเทียมคนไทยนั้น ไม่ควรมีข่าวออกมาให้เห็น หรือถ้าการยกเลิก MOU44 จะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบในการถือกรรมสิทธิ์ในขุมพลังงานบริเวณน่านน้ำรอบเกาะกูด ก็ต้องรีบทำ เพราะ ผลประโยชน์ของประเทศไทยต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด หรือแม้แต่การกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักอยู่บริเวณชายแดน หากยึดถือหลักการ ประเทศไทยต้องมาก่อน แล้ว คงไม่ต้องรอให้ทางจีนเขาส่งคนใหญ่คนโตเอาแส้มาหวดจนก้นลายกันทั้ง ครม. ถึงจะขยับเขยื้อนกัน 

อีกอันหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจคือการที่ ปธน. ทรัมป์ตั้ง อีลอน มัสค์ มหาเศรษฐีชื่อดังผู้ก่อตั้ง SpaceX และ Tesla เข้ามานั่งหัวโต๊ะคุมหน่วยงานพิเศษที่เรียกว่ากระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ทำหน้าที่ลดขนาดรัฐ ขจัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่ามัสค์จะทำหน้าที่ได้สมกับที่คุยโวได้หรือไม่ จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า แต่ล่าสุดทาง DOGE ก็ทำผลงานโดยเตรียมตรวจสอบการใช้งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงกลาโหม และอ้างว่าตัดลดการใช้งบประมาณที่ไม่จำเป็นได้ถึงวันละหนึ่งพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะประหยัดงบให้ได้ถึง 3 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน

สุดท้ายนี้ผมมองว่าหากประเทศไทยจะนำหลักการ นโยบายแบบทรัมป์กับคู่หูอีลอน มัสค์ มาประยุกต์ใช้เสียบ้าง คงไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะประชาชนคนไทยกับประเทศไทยมีแต่ได้ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการและการปราบคอร์รัปชัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนขึ้นอีกหลายเท่าเพราะดัชนีเรื่องความโปร่งใสก็เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดที่สำคัญที่สากลโลกเขาใช้วัดกันว่าประเทศนี้ประเทศนั้นน่าไปลงทุนมากแค่ไหน ก็ขอฝากท่านนายกไปคิดดูครับ ด้วยความปรารถนาดี”

'วันนอร์' จับโกหกคำโต ’บิ๊กโจ๊ก‘ พา ‘สุชาติ’ พบถึงบ้าน ยันมีหลักฐานเพียบ แต่ที่ไม่ฟ้องเพราะยังเมตตา

'วันนอร์' เย้ย 'บิ๊กโจ๊ก' หนีความจริงไม่พ้นหรอก ยันมีหลักฐานพา 'สุชาติ' พบถึงบ้าน ใครเข้าออกบันทึกภาพตลอด ชี้ยังเมตตาไม่ดำเนินคดี

(14 ก.พ. 68) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปภาพและเสียงการสนทนา ระหว่างนายวันมูหะหมัดนอร์ กับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ปฏิเสธไม่ได้ไป และไม่ได้ถ่ายคลิป ว่า การที่ไปนั้นไม่ได้เป็นความลับ เพราะมีตำรวจอยู่ ซึ่งใครจะเข้าออกจะมีการถ่ายรูปไว้อยู่แล้ว แบบนี้จะปฏิเสธว่าไม่ได้ไปได้อย่างไร โดยคลิปวิดีโอหรือภาพตามโซเชียลที่มีเผยแพร่นั้น ชัดเจนว่าอยู่กัน 3 คน ไม่ใช่อยู่กัน 2 คน ฉะนั้นไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม ความจริงก็คือความจริงหนีไม่พ้น ซึ่งตนไม่อยากจะพูดต่อเมื่อถามว่า จะนำรูปภาพที่มีมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า มีการเผยแพร่ตามสื่อแล้ว ซึ่งภาพที่เผยแพร่นั้นก็รู้อยู่แล้วว่าใครจริงใครโกหก

ส่วนคลิปที่ปล่อยมานั้นไม่ใช่เป็นการเขย่าขาเก้าอี้ประธานใช่หรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนไม่เกี่ยวอะไร แต่เขาเอาคลิปมีวัตถุประสงค์นั้นก็ไม่ทราบนั้นต้องไปถามเขาเอง ซึ่งมีคลิปยืนยันว่ามีเขาหรือถ้าต้องการพยานบุคคลก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4-5 คนที่พร้อมจะเป็นพยานและมีตำรวจไซเบอร์เรียกไปสอบถามแล้ว จะมาเรื่อยทำไมเก้าอี้ประธานไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการดำเนินการทางคดีหรือไม่ นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ให้ความเมตตาดีกว่า แต่ถ้าหากเขาไปทำอะไรเพิ่มเติมให้ตนเสียหายหรือรัฐบาลเสียหาย เมื่อถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาใหม่ ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดที่บ้านนั้น วันที่เกิดเหตุเป็นช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งวงจรปิดที่บ้านจะบันทึกภาพได้แค่เดือนเดียว และจะบันทึกภาพทับใหม่แต่ละเดือน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะภาพถ่ายและพยานบุคคล ซึ่งจะไม่เชื่อถือได้อย่างไร เนื่องจากเป็นตำรวจท้องที่ และยังมีภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบอีก แต่ก็คงไม่ต้องถึงขั้นตรวจสอบอะไรมาก เพราะยังไม่เสียหาย

"ผมต้องป้องกันตัวเองว่า พูดจริง ไม่ได้โกหก และประธานสภาฯ โกหกไม่ได้ จริงคือจริง ไม่จริงคือไม่จริง 2 คนก็บอกว่า 3 คน เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และพยานบุคคล" นายวันมูหะมัดนอร์ ระบุ

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ เคลียร์ปมร้อนถูกพาดพิงกรณี ‘แตงโม’ ตกเรือเสียชีวิต ยอมรับ ‘ปอ’ ยกหูโทรหาในคืนเกิดเหตุจริง ยันไม่เคยยุ่งเกี่ยวคดี แต่แนะนำให้แจ้งความ

จากกรณีที่ นาย สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ไลฟ์ในรายการ 'สนธิเล่าเรื่อง' ในช่องยูทูบ 'sondhitalk' ตอนหนึ่งถึงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา หรือ นิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นิดา นักแสดงชื่อดังว่า โดยมีการกล่าวตอนหนึ่งว่า คุณปอได้โทรศัพท์ไปที่คน ๆ หนึ่ง อ้างว่าคือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และมีการพูดคุยกันประมาณ 10 นาทีนั้น

ล่าสุด นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนเป็นคนทำงานการเมืองที่ต้องดูแลประชาชน  จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนโทรหาตลอดเวลา ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นคนที่มีปัญหาเดือดร้อน เมื่อมีสายโทรศัพท์เข้ามา ตนก็รับตลอด แต่ถ้ารับไม่ทัน ก็โทรกลับไปเป็นเรื่องปกติ ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหานั้น ตนรู้จักในฐานะที่เขาเป็นคนทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์และเปิดอู่ซ่อม ในวันที่เกิดเหตุ เขาได้เล่าให้ฟังว่าเพื่อนของเขาประสบอุบัติเหตุตกน้ำและขอคำแนะนำว่าเขาต้องทำอะไร ตนจึงบอกให้ไปแจ้งตำรวจเป็นอันดับแรก  และหลังจากนั้นตนก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้อีกเลย

ประชุมร่วมรัฐสภา ถกวาระแก้รธน.เริ่มแล้ว ‘ไชยชนก’ แจ้งประธานฯ ‘ภท.’ ขอไม่ร่วมพิจารณา ด้าน ‘หมอเปรมศักดิ์’ เสนอญัตติด่วนขอสมาชิกโหวตส่งศาลรธน.ตีความอำนาจหน้าที่

เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ (13 ก.พ.68) ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปรายในฐานะตัวแทนพรรคว่า วาระที่กำลังจะพิจารณาค่อนข้างผิด และขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ พรรคภูมิใจไทยจึงขอไม่เข้าร่วมพิจารณา

จากนั้น ประธานรัฐสภา กล่าวว่า นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ได้เสนอญัตติด่วนขอให้รัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 250 วรรคหนึ่ง (2) ทำให้นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า แน่นอนว่าการเข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่น่าจะเป็นญัตติด่วนด้วยวาจา แต่ต้องเป็นการยื่นญัตติด่วนด้วยหนังสือ และมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 40 คน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครเห็นตัวญัตติ และหากมีการเสนอเพิ่มเติมหรือการบรรจุระเบียบวาระเพิ่มเติมเป็นอำนาจประธานรัฐสภา แต่ต้องแจ้งไม่น้อยกว่าวันประชุม 1 วัน ดังนั้น ระหว่างมีการแจกเอกสารให้สมาชิกพิจารณาเนื้อหา ขอให้พักการประชุม 15 นาที ได้หรือไม่เพื่อให้วิปแต่ละฝ่ายได้หารือกัน   

ขณะที่ นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ระเบียบของการเสนอญัตติด่วนตนทราบดี และได้รวบรวมรายชื่อของสมาชิกรัฐสภาทั้งสส.และสว. เนื่องจากเห็นความสำคัญว่าเป็นเรื่องใหญ่จึงควรมีสมาชิกทั้ง 2 สภา โดยรวมรายชื่อกันแล้วเกินกว่า 40 รายชื่อ และเอกสารนั้นเราดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง และท่านสมาชิกที่อภิปรายสักครู่ไม่ต้องห่วงใย ตนเป็นสมาชิกสภามานาน ท่านสมาชิกที่เพิ่งมาใหม่อาจจะมองว่าทำถูกระเบียบหรือไม่ ซึ่งตนเป็นคนมีวุฒิภาวะทำอย่างไรก็ต้องให้ถูกต้องตามระเบียบ รวมถึงตนได้เข้าหารือกับประธานก่อนที่จะเข้าประชุมวันนี้เพื่อทราบว่าการประชุมจะมีการดำเนินการอย่างไร และวันนี้ตนอยากให้การประชุมมีความเรียบร้อยเพราะประชาชนทั่วประเทศกำลังเฝ้ามองเราอยู่ว่าสมาชิกรัฐสภาจะมีแนวคิดในเรื่องนี้อย่างไร จึงขอให้สมาชิกอย่าได้กังวลเรื่องรายละเอียดญัตติ ตนคิดว่าได้บรรจงเขียนสุดยอดในชีวิตแล้วและคิดว่าขอให้มีการพิจารณาตามขั้นตอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวันมูหะมัดนอร์ จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่แจกเอกสารแก่สมาชิก จากนั้น เวลา 09.48 น. ได้สั่งพักการประชุม 15 นาที เพื่อให้วิป 3 ฝ่ายหารือร่วมกัน

‘สส.วิทยา แก้วภราดัย’ แสดงสปิริต ถอนแจ้งความ ไม่ติดใจเอาความทั้ง ‘แพ่ง-อาญา’ ที่ ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ ปราศรัยใส่ร้าย ด้วยข้อมูลเท็จ ล่าสุดเจ้าตัวยอมรับผิด โพสต์ขอโทษ

(12 ก.พ. 68) นายวิทยา แก้วภราดัย สส. บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ตัดสินใจถอนแจ้งความ ไม่ดำเนินคดีกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงและนักปราศรัยจากพรรคเพื่อไทย หลังเจ้าตัวยอมรับว่าให้ข้อมูลผิดพลาดบนเวทีปราศรัย และโพสต์ขอโทษผ่านโซเชียลมีเดีย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่ สนามหน้าเมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยพาดพิงว่านายวิทยาเป็นผู้คัดค้านโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเล เขาพลายดำ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อขัดขวางโครงการ ซึ่งนายวิทยา ยืนยันว่าเป็นข้อมูลเท็จ และส่งผลให้เขาตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2566

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ได้ติดต่อมาขอโทษเป็นการส่วนตัว และโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในวันนี้ ยอมรับว่าการกล่าวหานั้นเกิดจาก ความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากข้อมูลที่อ้างอิงมาจากรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต่อมาได้ตรวจสอบพบว่านายวิทยาไม่ได้คัดค้านหรือขัดขวางโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด

ในโพสต์ขอโทษ นายณัฐวุฒิระบุว่า “ผมขออภัยต่อนายวิทยา แก้วภราดัย ในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และคำปราศรัยที่ทำให้เกิดความเสียหายไว้ ณ ที่นี้”

ด้วยเหตุนี้ นายวิทยาจึงพิจารณาแล้วว่า ณัฐวุฒิได้แสดงความรับผิดชอบและสำนึกผิดอย่างจริงใจ จึงตัดสินใจ ถอนคำร้องทุกข์ และไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาอีกต่อไป

การตัดสินใจของนายวิทยาถือเป็น อีกหนึ่งกรณีที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการเมืองที่พร้อมเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับผิดและขอโทษโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันทางกฎหมาย ขณะเดียวกัน กรณีนี้ก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลบนเวทีปราศรัยที่ต้องรอบคอบและตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนจะกล่าวถึงบุคคลอื่น

‘เท่าพิภพ’ สนับสนุน!! ‘นายกฯ อิ๊งค์’ แก้กฎหมาย ยกเลิกวันห้ามขาย ‘เหล้า-เบียร์’ อธิบายละเอียด มีมาตรายกเลิก แต่ต้องเหนื่อย!! ตอนคุยกับข้าราชการสายสุขภาพ

(12 ก.พ. 68) นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมการจำหน่ายเเอลกอฮอล์ ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาข้อมูลการแก้กฎหมาย เรื่องการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ในช่วงเวลา 14.00 – 17.00 น. รวมทั้งเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระ
.
นายเท่าพิภพ ระบุว่า สนับสนุนครับ ประเทศเราต้องควบคุมเเอลกอฮอล์ด้วยการเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะเรื่องเยาวชนครับ แต่กฎหมายเราไปเข้มเรื่องอื่นออกทะเล จนทำให้กฎหมายดูไปเป็นสากลไปซะมาก ต้องแก้เเบบนายกฯ ว่าเเหละครับ
.
การศึกษาผลกระทบท่านก็ลองทำดู แต่เรื่องข้อกฎหมายผมศึกษาให้เเล้ว ไม่มีอะไรมากครับ
.
เรื่องเวลาขาย
.
1. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2515 เรื่องเวลาขายอันนี้ต้องยกเลิก ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กมธ.พิจารณาเสร็จ มีมาตรายกเลิกครับ
.
2. หลังจากยกเลิกตามข้อ 1 เเล้ว พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับปัจจุบัน) ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชงให้ รมต.สาธารณสุข เห็นชอบครับ ย้ำว่ารัฐมนตรีไม่มีอำนาจชงเอง คณะกรรมการจะมีข้าราชการสายหมอ สายสุขภาพเยอะหน่อย จะอนุรักษ์นิยมหน่อยครับ
.
3. ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมฯ ฉบับใหม่จะตัดอำนาจรัฐมนตรีออก เป็นอำนาจของคณะกรรมการโดยตรง ซึ่งเเม้ รมต.สาธารณสุข จะเป็นประธาน เเต่ก็จะตีโต้คัดค้านไม่เซ็นเห็นชอบได้เเบบเดิม
.
เรื่องวันพระ หรือห้ามขายออนไลน์ เป็นผลงานจากคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
.
ข้อเสนอที่สงวนไว้เป็นเสียงข้างน้อยนั้นเห็นว่าควรยกเลิก หรือลดอำนาจการออกกฎประกาศของคณะกรรมการดังกล่าวแล้วเปลี่ยนเป็นการออกกฎกระทวงด้วยอำนาจรัฐมนตรีแทนครับ ยังไงฝากท่านนายกในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ช่วยให้ สส.ฝ่ายรัฐบาลสนับสนุน คำสงวนของผมในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยด้วยครับ
.
สิ่งนี้จะทำให้ท่านนายกได้ทำตามที่อยากทำได้ครับ ไม่งั้นถึงเเม้เป็นนายกก็จะบังคับคณะกรรมการควบคุมให้แก้เเค่เรื่องวันเวลาขายเหล้านี้บอกเลยยากครับ

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ เตือน!! ‘สภาฯ ผู้ทรงเกียรติ’ ต้องมีมติส่ง สส.ที่ถูกหมายจับ ชี้!! คดีนี้ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ต้องให้ตำรวจ รีบดำเนินการ

(12 ก.พ. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘สภาซ่องโจร’ ระบุว่า …

หากสภาฯมีมติไม่ส่งตัว สส.ที่ถูกหมายจับ อยากส่งคำเตือนกับผู้ทรงเกียรติ อย่าให้สภาเป็นที่หลบซ่อนคนทำผิด

ครั้งนี้ไม่ใช่คดีกลั่นแกล้งทางการเมือง ผู้กล่าวหาเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ มิได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายใด หากต้องการรักษาชื่อเสียงสภาไทย ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดี ไปลุยไฟพิสูจน์ความจริง อย่าให้สมาชิกสภาทั้งหมดต้องแปดเปื้อน

เมื่อหนึ่งในผลิตผลของ ‘พรรคส้ม’ ล้มสถาบัน!! คือการเป็น สส. หื่นกาม กระทั่งข่มขืนหญิงสาวชาวต่างชาติ

(12 ก.พ. 68) ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วจริง ๆ หรือคุณภาพของนักการเมืองอยู่ในมาตรฐานที่สูงมากพอ หากถูกจับได้ว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องละเมิดจริยธรรม คุณธรรม ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนเอง รวมถึงพรรคการเมืองที่สังกัด นักการเมืองผู้นั้นจะต้องขอยุติบทบาท ลาออกจากการทำหน้าที่ทันที ไม่ต้องรอให้ใครมากดดัน หรือขับไล่

แต่เรื่องดี ๆ แบบนี้คงยากจะหาได้จาก ‘นักการเมืองขี้หมา’ ของประเทศไทยเรา 

ด้วยมาตรฐานของนักการเมืองไทย เน้นไปที่ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ มีมาตรฐานที่ค่อนข้างต่ำ สมัยยี่สิบปีก่อนก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูง แต่สมัยนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นับได้ไม่เกิน ‘นิ้วมือรวมนิ้วตีน’ ที่จะเรียกว่าเป็น ‘สส. คุณภาพ’ เข้ามาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริต มีอุดมการณ์ มีความรับผิดชอบอันแรงกล้าต่อสังคมส่วนรวม 

ส่วนใหญ่เป็นได้เพียง สส. ผู้หิวกระหายอำนาจ รวมหัวกันโกงบ้านกินเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยมีแต่ความต่ำทราม เลวร้าย ดูเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ เพราะอุดมไปด้วยกลุ่มคนที่มี DNA ในทางปลิ้นปล้อนเข้ามาอยู่รวมกันในสภาอันทรงเกียรติ 

ที่ชัดสุดคือ สส.จากพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายล้มล้างการปกครอง อ้างตนเป็น ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่หมายจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่ประชาชนจับได้ไล่ทันช่างเป็นสิ่งที่น่าอเนจอนาถใจ ตั้งแต่การแอบอ้างผลงานของคนอื่นเป็นผลงานของตัวเอง สร้างเรื่องโกหกรายวันให้ตนเองดูดี หนีการเกณฑ์ทหาร และพัวพันคดี 112 อีกไม่น้อย ยังมีคดีละเมิดทางเพศ ข่มขืนสาวชาวต่างชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยหมดคุณค่าลงสิ้น 

สส. หื่นกาม มีพฤติกรรมชั่ว ทำผิดในเรื่องซ้ำ ๆ รายหนึ่ง เป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของพรรคการเมืองที่เข้ามาเพื่อล้มล้างสถาบัน จึงยากที่จะเห็นนักการเมืองในพรรคนี้ก่นด่าให้เราได้ยิน ต่างพากันเงียบกริบ หันไปสายลมแสงแดดแทน 

คำกล่าวที่ว่า สส. โง่และชั่วในระดับใด ก็ให้ดูพรรคการเมืองที่สร้างจนมีตัวตน รวมถึงกลุ่มคนที่กาเลือกเข้ามา เพราะจะมีคุณสมบัติที่ไม่ต่างกัน

เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน!!

(12 ก.พ. 68) จากการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ในวันที่ 27 เมษายน ณ สนามหน้าเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช มีข้อความตอนหนึ่งในคำปราศรัยของผม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย ว่าเป็นผู้คัดค้านการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลเขาพลายดำ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขัดขวางโครงการดังกล่าว

ข้อมูลการปราศรัยผมอ้างอิงจากบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อน นายวิทยาไม่ได้คัดค้าน และล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขัดขวางโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด 
ผมจึงขออภัยต่อนายวิทยา แก้วภราดัย ในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และคำปราศรัยที่ทำให้เกิดความเสียหายไว้ ณ ที่นี้

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย

‘นิว จตุพร’ ผู้ต้องหาคดี 112 หนีไปนอก ‘ตั้ง อาชีวะ’ รอรับ!! ประเทศปลายทาง

(12 ก.พ. 68) นางสาวจตุพร แซ่อึง หรือ นิว นักกิจกรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์วัย 27 ปี ผู้ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ

ได้โพสต์เฟซบุ๊กเช็คอินที่เมืองออกแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นรูปนายเอกภพ เหลือราหรือ “ตั้ง อาชีวะ” เป็นผู้มารอรับที่สนามบิน ว่า

“ขอบคุณครับที่มารับถึงสนามบินเลยยยยยย แถวนี้ไม่มีฝุ่นเลยครับ ”

ด้านนายเอกภพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาชีวะ ได้แสดงความคิดเห็นด้วยว่า “พี่ช่วยได้เท่าที่ช่วยได้น้องเอ้ย ที่เหลือก็ต้องลุยเองแล้วนะ ขอให้สนุกกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ครับ เพราะ112ทำให้เราได้มาเจอกัน555” “รอดไปถึงฝั่งอีกคนละ ขอให้มีความสุขในการเริ่มต้นใหม่นะ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศที่มอบโอกาสที่มาพร้อมกับความเท่าเทียม และไม่มี112”

ทั้งนี้ คำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ของคดี น.ส.จตุพร นั้น ศาลได้พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย 

พระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ ยืนตามศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ในข้อหาตามมาตรา 112 และปรับ 1,000 บาท ในข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ต่อมาวันที่ 21 ส.ค. 2567 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจตุพร โดยเห็นว่า “พิเคราะห์ข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าโทษตามคำพิพากษาไม่สูงมากนัก จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวตลอดไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ตีราคาประกัน 200,000 บาท 

โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำหรือเข้าร่วมกิจกรรมซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะเดียวกับการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกัน แจ้งเงื่อนไข แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

‘ทักษิณ’ ดึง ‘นาโอมิ’ ที่ปรึกษาทีมซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนอุตฯแฟชั่น - ปั้นนางแบบไทยสู่เวทีโลก

เมื่อวันที่ (9 ก.พ.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีจดหมายเปิดผนึกกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม คัดค้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ว่า ยังไม่เห็นเนื้อหาที่ชัดเจน แต่รู้สึกว่าจะมีการตำหนิผู้นำ เท่าที่ได้สอบถามนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องการตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ คาดว่าอีก 2 วันคงจะลงตัว ซึ่งเป็นกลไกที่แบงก์ชาติ และกระทรวงการคลังเสนอ และให้คณะกรรมการสรรหาไปเลือก การเป็นประธานต้องมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความรู้ จึงไม่ทราบเหมือนกันว่านายพิชัยเสนอใคร

เมื่อถามว่า มองว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ นายทักษิณ กล่าวว่า พูดตรงๆ คนจะมาทำงานให้กับประเทศโดยส่วนรวมหายาก เพราะต้องมีความพร้อม และต้องมีความเสียสละ บางคนอาจจะพร้อม แต่ไม่เสียสละ บางคนอยากเสียสละ แต่ไม่พร้อมมาช่วยกันทำงานให้บ้านเมือง หรืออาจเพราะตนแก่ไปแล้ว ไม่รู้จักคน เพราะหายไป 17 ปี แต่ก็ช่วยกันมองอยู่

นายทักษิณ กล่าวกรณีเชิญ นาโอมิ แคมป์เบลล์ นางแบบระดับโลก หารือว่า เมื่อคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ได้พูดคุยเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ กับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ มี น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลเรื่องการพัฒนาชุมชนและกองทุนหมู่บ้าน จะให้เด็กรุ่นใหม่อยู่ในชนบท หรือครอบครัวคนที่ไม่ค่อยมีฐานะในการเปลี่ยนแปลง หรือไปศัลยกรรมได้มีโอกาสเข้ามา เท่าที่คุย นาโอมิเห็นด้วย เพราะเขาเองก็มาจากครอบครัวจาไมก้า และได้พูดคุยกันถึงแนวทางการจะคัดคนให้นางแบบประเทศไทยเทรนก่อน แล้วจะส่งไปเรียนต่างประเทศ เพื่อให้มีโอกาสมากขึ้น

“ส่วนจะเชิญนาโอมิมาเป็นทูตวัฒนธรรม หรือเป็นแค่ที่ปรึกษานั้น ผมเชิญมาเป็นที่ปรึกษาในฐานะที่รู้จัก และเขามีประสบการณ์เยอะ อยู่ในวงการนี้มานาน มีสายสัมพันธ์มาก เลยขอคำปรึกษา คำแนะนำ” นายทักษิณกล่าว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นาโอมิมีกำหนดการเข้าพบหารือนายกฯ เรื่องแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่น ในโอกาสเยือนประเทศไทยด้วย ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เวลา 15.00 น.

'เลขาสภาฯ' คาด 20 ก.พ. เปิดโหวตส่ง ‘ปูอัด’ ให้ตำรวจ ยืนยันไม่ล่าช้า เหตุสัปดาห์นี้มีประชุมร่วม 2 สภา

‘เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร’ คาดบรรจุวาระโหวตไฟเขียวจับ ‘สส. ปูอัด’ ข้อหาข่มขืนสาวไต้หวัน 20 ก.พ.นี้  ยันไม่ล่าช้า เหตุสัปดาห์นี้มีประชุมร่วม

(10 ก.พ.68) เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า หมายจับของนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. พรรคไทยก้าวหน้า ข้อหาข่มขืนนักท่องเที่ยวหญิงชาวไต้หวัน ยังมาไม่ถึงสภาฯ เพราะตามขั้นตอนสภ. เชียงใหม่จะส่ง หมายจับของศาลไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหนังสือเพิ่งถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จึงคาดว่ามาถึงสภาฯ ไม่วันที่ 10 ก.พ. ก็ 11 ก.พ. นี้ เพราะต้องผ่านขั้นตอนคือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือรองผบ.ตร. ก็จะทำหนังสือถึงประธานสภาฯ เพื่อขออนุญาต พิจารณาคดีระหว่างสมัยประชุม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรค 1 ทั้งนี้เมื่อหนังสือมาถึงทางสำนักประชุมก็จะนำเสนอประธานสภาฯ เพื่อขออนุญาตบรรจุวาระการประชุมในวันที่ 20 ก.พ.เป็นเรื่องด่วน เพราะวันพุธ เป็นวันพิจารณากฎหมาย 

เมื่อถามว่า หากนายไชยามพวานลาออก ไม่ต้องพิจารณาเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ กล่าวว่า ถ้าลาออกก็ถือว่าขาดสมาชิกภาพทางสภาฯก็ไม่ต้องพิจารณา การคุ้มกันต่าง ๆ จะหมดลง แต่ตอนนี้อยู่ในระหว่างชั้นการสอบสวนยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟ้องศาล แต่ทันทีที่สภาฯอนุมัติให้จับเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าควบคุมตัวนายไชยามพวาน ได้ทันที

เมื่อถามว่า มองว่าช้าไปหรือไม่ที่บรรจุวาระดังกล่าวในวันที่ 20 ก.พ. กล่าวว่า เป็นขบวนการตามปกติ เนื่องจากสัปดาห์นี้มีประชุมร่วม ยังไงก็บรรจุไม่ได้อยู่แล้ว ต้องรอสัปดาห์หน้า

‘ร.ต.อ.หญิง อัยรดา’ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ จี้!! ‘ปูอัด’ ลาออก สส. เร่ง!! หน่วยงานตรวจสอบโดยเร็ว ชี้!! ความยุติธรรมที่ล่าช้า ก็คือความไม่ยุติธรรม

(9 ก.พ. 68) ‘ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์’ รองโฆษกและผู้ช่วยผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีศาลเชียงใหม่ออกหมายจับ ‘นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์’ ถูกกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า

ตนในฐานะตัวแทน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะ ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม โดยเร่งดำเนินการ ดังนี้

1. นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ควรแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลาออก ไม่ใช้เอกสิทธิ์ สส. เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง

2. พรรคการเมืองในสังกัดปัจจุบันควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการออกมาแสดงจุดยืนและขอโทษประชาชน

นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากยึดตามสโลแกนที่ว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” สะท้อนถึงปัญหาระบบการคัดสรรผู้สมัคร สส. ของต้นสังกัดเดิม จะได้เห็นว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่บุคลากรของพรรคเดิม มีประวัติและการกระทำด่างพร้อย  ดังนั้น ต่อไปนี้อยากฝากพี่น้องประชาชนอย่าเลือกคนลงสมัคร สส.ที่พรรคอย่างเดียวควรพิจารณาถึงผลงาน ประวัติ ความเป็นมาของผู้สมัครเป็นหลัก ดังนั้น คำที่ว่า พรรคเลือกคนประชาชนเลือกพรรค จึงไม่สามารถใช้กับพรรคการเมืองในเมืองไทยได้อีกแล้วเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ซ้ำซากกับบุคคลากรของพรรคการเมืองดังกล่าว 

ทั้งนี้ ตนจึงอยากเรียกร้องให้ผู้บริหารอดีตพรรคก้าวไกลที่เป็นคนนำพา สส.คนกล่าวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยวหญิงต่างชาติเข้าสู่การเมืองและได้รับการเลือกตั้งเป็นสส.เพราะความนิยมของพรรค ได้ออกมาขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย เนื่องจาก ผู้บริหารพรรคก้าวไกลในอดีตมักพูดเสมอว่า เป็นเพราะกระแสความนิยมพรรรคจึงได้ สส.มาเป็นจำนวนมาก 

ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญของนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่จะยืดหยัดต่อผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยไม่เกรงกลัวกับอำนาจใดๆ และประเด็นที่สังคมควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ มาตรการเยียวยาผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ และยิ่งกว่านั้นในสังคมไทยควรจะร่วมมือกันรณรงค์ในการป้องกัน สอดส่องดูแลไม่ให้ผู้ใด โดยเฉพาะเด็กและสตรี ตกเป็นเหยื่อได้อีก #nomorevictims


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top