Tuesday, 1 July 2025
POLITICS

‘ทักษิณ’ สิ้นมนต์ขลัง!! ‘ฝั่งน้ำเงิน’ ขึ้นผงาด ‘ผู้กองธรรมนัส’ เดินเกมพลาด!! ปรากฏการณ์!! สมานฉันท์การเมือง ‘สิงห์บุรีโมเดล’ ด้วยท่าที ‘ถ้อยทีถ้อยอาศัย’

(3 ก.พ. 68) ณ เวลานี้ ถึงแม้ว่า ผลการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ นายกฯ อบจ. 2568 ทางกกต. ยังไม่ประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ แต่จากการนับคะแนนนั้น ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ‘ใครแชมป์ – ใครชวด’ 

การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นที่จับตามองของทางหลายๆ ฝ่าย เรียกได้ว่าเป็นการวัดพลังกัน ระหว่าง บ้านใหญ่,บ้านใหม่,กระแสพรรค,ความกว้างขวางของตัวผู้สมัคร ฯลฯ 

แน่นอนว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น แต่ก็ย่อมจะส่งผลไปยัง การเมืองในระดับชาติ เพราะพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งในฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ก็ส่งผู้สมัครกันหลายคน ทั้งแบบอิสระไม่ระบุพรรค แต่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งจังหวัดก็รู้ดีว่า ‘คนนี้ เป็นคนของใคร’ 

และอีกแบบที่ ลงในนามพรรค เปิดหน้าสนับสนุน ถึงขั้นลงทุนเดินทางไปปราศรัยด้วยตัวเอง อย่างเช่นกรณีของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขึ้นเดินสายขึ้นเวที ปลุกกระแสมวลชน หวังโกยคะแนน ให้เพื่อไทย แลนด์ไสด์ ในศึกครั้งนี้

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น ดูเหมือนว่า ‘ทักษิณ’ จะสิ้นมนต์ขลังเสียแล้ว

จากข้อมูลที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รวบรวมไว้ ในจังหวัดที่ ทักษิณ ได้ไปขึ้นเวทีจับไมค์ ปรากฏว่า  

1. เชียงราย   แพ้ (แพ้ตระกูลวันไชยธนวงศ์)

2. เชียงใหม่  ชนะ (ฉิวเฉียด)

3. ลำปาง  ชนะ (เครดิต ตระกูลโล่ห์สุนทร)

4. ลำพูน แพ้ (ส้ม ชนะ ตระกูล วงศ์วรรณ)

5. นครพนม  ชนะ (ชนะตระกูล โพธิ์สุ)

6. บึงกาฬ  แพ้ (แพ้ตระกูล ทองศรี)

7. หนองคาย  ชนะ (ล้มแชมป์เก่าได้)

8. มหาสารคาม  ชนะ (เครดิต ตระกูล จรัสเสถียร ล้มแชมป์เก่า)

9. ศรีสะเกษ  แพ้ (ไล่หนู ตีงูเห่า แต่แพ้ตระกูล ไตรสรณกุล)

10. มุกดาหาร แพ้ (มีกำหนดการหาเสียงแต่ไม่ไป)

สรุป 10 จังหวัด แพ้ 5 จังหวัด ในจังหวัดที่ชนะ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องบารมีนักการเมืองในพื้นที่และบ้านใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดลำพูน ซึ่งติดกับเชียงใหม่ ฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่ง ‘ทักษิณ’ เองก็หมายมั่นปั้นมือที่จะให้ นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตนายกฯ อบจ. ตัวแทนบ้านใหญ่ จากพรรคเพื่อไทย เข้าครองเก้าอี้นี้ อีกหนึ่งสมัย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินให้กับ นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ผู้สมัครนายกฯ อบจ. จากพรรคประชาชน

ส่วนที่ ‘เชียงใหม่’ แม้ชนะ  แต่ ‘ส้ม’ ไล่จี้!! หลักสามแสน ‘ชนะแค่สองหมื่น’ ไม่ถือว่าสำเร็จ!! 

ส่วนทางฝั่ง ‘สีน้ำเงิน’ นั้น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการปฏิบัติงานด้วยการสวมหมวก ‘มท.1’ นั้น ‘มท.หนู’ ย่อมต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่สามารถออกไปสนับสนุนผู้สมัครคนใดได้ เนื่องจากการปกครองส่วนท้องถิ่น ตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินแบบกระจายอำนาจนั้น กระทรวงมหาดไทย จะต้องมีส่วนเข้าไปกำกับดูแล ‘องค์การบริหารส่วนจังหวัด’ หรือพูดกันง่ายๆ ก็คือ ‘มท.หนู’ นั้นจะต้องมีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับ นายกฯ อบจ. ฉะนั้นการวางตัวเป็นกลางของ ‘มท.หนู’ ย่อมเหมาะสมแล้ว

แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ออกตัวสนับสนุนผู้สมัคร แต่ด้วยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเครือข่ายมากมาย ในคอนเน็คชั่นบ้านใหญ่หลายจังหวัด จึงทำให้ครองแชมป์ได้ในหลายพื้นที่ ทั้ง บึงกาฬ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ สตูล เชียงราย ลพบุรี พังงา พัทลุง เป็นต้น ทั้งที่พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคก็ตาม

ส่วน ‘พรรคกล้าธรรม’ ของ ‘ผู้กองธรรมนัส’ ที่อุตส่าห์ ไปดึงนายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว หรือ กำนันศักดิ์ อดีตนายกฯ อบจ.สุราษฎร์ธานี สมัยที่ผ่านมา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ งานนี้ เพราะผู้กองมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีจาก ‘คดีแป้ง’ จึงทำให้ไม่กล้าเปิดหน้า ว่าส่งในนาม ‘พรรคกล้าธรรม’ ซึ่งสุดท้ายแล้ว นายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว ก็พ่ายแพ้ให้กับ ‘ป้าโส’ นางโสภา กาญจนะ ภรรยานายชุมพล กาญจนะ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติภาคใต้ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ หลายสมัย ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นกว่า 205,000 คะแนน 

ซึ่งงานนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ก็ยังมีฐานเสียงที่เหนียวแน่นในภาคใต้ โดยนอกจากที่จ.สุราษฎร์ธานี จะชนะขาดแล้ว ที่จ.พัทลุง นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร ก็ยังคว้าแชมป์ ไม่เสียแรงที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นเวทีให้กำลังใจ คล้องพวงมาลัย ให้แก่นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร และลูกทีมผู้สมัครสมาชิก อบจ.พัทลุง

มาที่จังหวัดนราธิวาส กับความผิดหวังอีกครั้งของ ‘พรรคกล้าธรรม’ นายอับดุลลักษณ์ สะอิ นักธุรกิจชื่อดัง ที่ได้รับแรงหนุนจาก สองสส.นราธิวาส ‘พรรคกล้าธรรม’ คือสองพี่น้องนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ และ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ก็พ่ายแพ้ให้กับ นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน อดีตนายกฯ อบจ.ห้าสมัย ไปอย่างขาดลอย ทำให้พรรคกล้าธรรม ผิดหวังไปอีกจังหวัด

มาถึงจังหวัด ‘สิงห์บุรี’ ที่จังหวัดนี้ไม่เน้นบ้านใหญ่ แต่เน้นการเมืองใหม่ สส.หนึ่งเดียวของจังหวัดนี้ได้แก่ นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีพี่ชายเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั่นก็คือ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ หรือ ‘พี่โอ๋’ นักการเมืองผู้มากด้วยน้ำใจ เข้าถึงได้กับคนทุกกลุ่ม ด้วยท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นที่พึ่งให้ประชาชนได้เสมอ 

นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร คือบุคคลที่นายชัยวุฒิ ให้การสนับสนุน ให้ลงเลือกตั้งนายกฯ อบจ. ในครั้งนี้ เพื่อเข้ามารับใช้พ่อแม่พี่น้องชาวจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้  นายศุภวัฒน์ ก็ได้รับโอกาสเข้ามาทำงาน ในฐานะนายกฯ อบจ. เป็นที่น่าจับตามองว่า การเมืองในจังหวัดสิงห์บุรีนั้น เป็นการเมืองในรูปแบบใหม่ เป็นการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่ใช้ความรุนแรง ไร้ซึ่งความขัดแย้ง โดย ‘โอ๋ ชัยวุฒิ’ เป็นผู้เดินหน้าสร้างความสามัคคีในการเมือง สร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่ ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีผู้สมัครเพียงคนเดียว คือ นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร หมายเลข 1 หรือ ‘ตุ้ม’ อดีตนายกฯ อบจ.สิงห์บุรี สมัยที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้สมัครรายอื่นลงสมัครร่วมชิงชัย

ซึ่งตามกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 111 นั้น ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้ง ก็ต่อเมื่อได้รับคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าคะแนนเสียงไม่เลือกผู้ใด หากผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือไม่มากกว่าคะแนนเสียงไม่เลือกผู้ใด ให้ ผอ.กกต.จังหวัดดำเนินการให้มีการเลือกตั้งใหม่ 

แต่จากผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้น นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร ก็ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้น จากชาวสิงห์บุรี โดยจะปฏิบัติหน้าที่ได้นั้น ก็ต้องรอทางกกต. ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการเสียก่อน 

การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในครั้งนี้ ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่การปฏิบัติหน้าที่ ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ของนายกฯ อบจ. คนใหม่ (ทั้งหน้าเก่าและหน้าเดิม) เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น 

จับตาดูกันต่อไป!! ว่าพวกเขา จะทำงานได้ดี สมกับที่ได้รับความไว้วางใจหรือไม่

ประเทศไทย...ยังคงห่างไกลจากความเป็น ‘รัฐล้มเหลว’ ชี้ การเมือง – เศรษฐกิจ – สังคม ยังมั่นคงแข็งแรง

(3 ก.พ. 68) เร็ว ๆ นี้มีบทความเศรษฐกิจของสื่อแห่งหนึ่งได้ตั้งประเด็นว่า “ประเทศไทยใกล้จะเป็น Failed State ?” โดยมีการหยิบยกเอาเกณฑ์หรือตัววัดความเป็นรัฐล้มเหลว 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) การเมือง (2) เศรษฐกิจ และ (3) สังคม แล้ว ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์เช่นที่ว่า “จริงหรือไม่”

นิยามความหมายของ ‘รัฐล้มเหลว’ คือ ประเทศที่สูญเสียการควบคุมตนเอง อันเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความไม่มั่นคงทางการเมือง ความไม่สงบทางการเมือง และไม่มีการปกครอง ทั้งนี้ “รัฐล้มเหลว” ไม่ใช่คำศัพท์อย่างเป็นทางการที่ใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่ได้หมายความว่า “รัฐบาลที่มีสภาพดังกล่าวได้ล่มสลายโดยสมบูรณ์”

อย่างไรก็ตาม คำว่า "รัฐล้มเหลว" บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า “รัฐนั้นกำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความไม่มั่นคงอย่างรุนแรง และมีความเสี่ยงที่จะปกครองไม่ได้เลย” ซึ่งในบางกรณีมีการใช้คำว่า “รัฐเปราะบาง” โดยทั่วไป คำว่า “รัฐล้มเหลว” หมายความถึง “รัฐชาติที่มีอำนาจอธิปไตย แต่สูญเสียความสามารถหลักสองประการ ได้แก่ ความสามารถในการรักษาอำนาจเหนือประชาชนและดินแดนของตนเอง และความสามารถในการปกป้องพรมแดนของประเทศตนเอง”

ในหลาย ๆ กรณีที่รัฐบาลของ “รัฐล้มเหลว” สูญเสียความสามารถในการให้บริการสาธารณะพื้นฐาน บังคับใช้กฎหมาย หรือปกป้องพลเมืองจากความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก กรณีร้ายแรงของ “รัฐล้มเหลว” อาจประสบกับสงครามกลางเมือง ความอดอยาก หรือการอพยพประชาชนจำนวนมาก โดย “รัฐที่ล้มเหลว” มักตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเครือข่ายอาชญากร องค์กรก่อการร้าย และมหาอำนาจระหว่างประเทศ ซึ่งใช้ประโยชน์จากความไม่มั่นคงของรัฐเหล่านี้

มีสาเหตุที่เป็นไปได้หลายประการของรัฐที่ล้มเหลว ตั้งแต่ความไม่มั่นคงทางการเมือง ไปจนถึงการละเลยทางเศรษฐกิจและการขาดการปกครอง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดบางประการของรัฐที่ล้มเหลว ได้แก่ :

1. ความไม่มั่นคงทางการเมือง : การขาดรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจปกครองที่มีประสิทธิภาพอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองและความวุ่นวาย ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นได้จากการทุจริต การบริหารจัดการทรัพยากรที่ไม่เหมาะสม หรือความขัดแย้งภายใน

2. การบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาด : รัฐที่ล้มเหลวมักมีประวัติการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและการละเลย ส่งผลให้เกิดความยากจน การว่างงาน และปัญหาอื่น ๆ

3. ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม : การเข้าถึงทรัพยากร การศึกษา และสุขภาพที่ไม่เท่าเทียมกันกระทั่งสร้างความแตกแยกอย่างมากมายขึ้นภายในประเทศ และนำไปสู่ความขัดแย้งจนเกิดความไม่สงบขึ้น

4. ความขัดแย้งในภูมิภาค : สงคราม การก่อความไม่สงบ และความขัดแย้งอื่น ๆ ระหว่างรัฐหรือกลุ่มต่างๆ สามารถทำให้ภูมิภาคไม่มั่นคงและนำไปสู่รัฐที่ล้มเหลว เกิดสงครามกลางเมืองที่ร้ายแรงมาก จนกระทั่งสามารถทำลายรัฐบาลและโครงสร้างทางสังคมของประเทศได้

5. การแทรกแซงจากต่างประเทศ : บางครั้งรัฐที่ล้มเหลวอาจเป็นผลจากการแทรกแซงจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งอาจรวมถึงการแทรกแซงทางทหาร การคว่ำบาตร และการแทรกแซงทางการเมืองภายในประเทศในรูปแบบอื่น ๆ

6. แรงกดดันจากต่างประเทศ : การแทรกแซงจากต่างประเทศในวงกว้าง เช่น การคว่ำบาตรทางการค้าหรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อาจทำให้เกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจและนำไปสู่ความไม่มั่นคงในประเทศ

7. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : ประเทศที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากในการดำรงชีพอาจมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง

ทั้งนี้ ด้วยเกณฑ์หรือตัววัดที่บทความ “ประเทศไทยใกล้จะเป็น Failed State ?” ได้หยิบยกมานั้น แม้จะเป็นไปตามสาเหตุข้อ 1 -3 ของการนำไปสู่ความเป็น “รัฐล้มเหลว” ก็ตาม แต่ก็สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยนั้น ยังคงห่างไกลจากความเป็น “รัฐล้มเหลว” อย่างมากมาย สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องแรกคือ “การพ้นจากตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 30” ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567 จากกรณีทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่นายพิชิตเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี 

สำหรับการตรวจสอบและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายนั้น ยังคงมีการดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องตามอำนาจหน้าที่และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่คดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้ส่วนหนึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยากกว่าในอดีตมาก ทั้งหลายคดียังเกี่ยวข้องกับบุคคลและองค์กรนอกประเทศอีกด้วย การดำเนินการจึงเป็นไปด้วยความล่าช้า แต่ไม่ใช่ว่า ไม่มีการดำเนินการใด ๆ เลย สำหรับ สาเหตุจากการบริหารจัดการเศรษฐกิจที่ผิดพลาดนั้น ที่สุดแล้วหลังจากความจริงปรากฎจะต้องมีผู้รับผิดชอบ ดังเช่น “กรณีการรับจำนำข้าว ซึ่งแม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี และอดีตข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องต้องถูกตัดสินจำคุก” สำหรับสาเหตุจากความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมนั้น เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกับบริบททางสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง ไทยเราเป็นประเทศแรก ๆ ของทวีปเอเชียที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีระบบดูแลสุขภาพที่ดีติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก แต่การกระทำความผิดตามกฎหมายอย่างชัดเจน แล้วอ้างความชอบธรรมว่าเป็นสิทธิเสรีภาพนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง และตลอด 93 ปีในระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้น รัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ไม่ครบเทอม และด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผู้ที่ประพฤติหรือมีพฤติการณ์ทุจริตและประพฤติมิชอบนั้นจะอยู่ในตำแหน่งได้ยาก เพราะในที่สุดแล้วจะต้องถูกตรวจสอบและดำเนินคดีตามโทษานุโทษที่ได้ก่อกรรมทำขี้น

‘เจือ ราชสีห์’ เผย ปี 69 ‘กรมทางหลวงชนบท’ เตรียมตั้งงบฯ ศึกษาความเป็นไปได้สร้างสะพานเชื่อมเมืองสขลา - สงหนคร

(3 ก.พ. 68) คืบหน้า…ปีหน้าทางหลวงชนบทตั้งงบศึกษาความเป็นไปได้สร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา

นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค) อดีต สส.สงขลา ผู้ผลักดันเต็มที่ และต่อเนื่องให้มีการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา บริเวณหัวเขาแดง เพื่อเชื่อม อ.สิงหนครกับ อ.เมือง เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงชนบทว่า ได้ข้อสรุป กรมทางหลวงชนบท จะตั้งงบประมาณ ปี 69 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้การก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพื่อเชื่อม อ.เมืองสงขลา กับ อ.สิงหนคร จ.สงขลา และมีความน่าจะเป็นการสร้างในรูปแบบ ‘สะพานเปิดปิด’ ซึ่งจะรองรับการข้ามผ่านของเรือและยังสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัดในพื้นที่ได้สะดวก 

ทั้งนี้ปัจจุบันผู้ที่สัญจรไปมาระหว่าง อ.สิงหนคร และอำเภออื่นๆ เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองสงขลา มีทางเลือกอยู่สองทาง คือ ข้ามด้วยแพขนานยนต์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ซึ่งมีแพอยู่ 4 ลำ มีท่าเทียบแพฝั่งละสองท่า ในช่วงเช้าๆ การจราจรจะหนาแน่น บางครั้งรถติดยาวเป็นกิโล เพราะมีทั้งคนเดินทางไปทำงาน และนักเรียนเข้ามาเรียนหนังสือ นายเจือจึงเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบ หรือจะสร้างเป็นอุโมงค์ก็ได้

อีกทางเลือกหนึ่งคือ อ้อมไปขึ้นสะพานติณสูลานนท์ ผ่านเกาะยอ แล้วอ้อมสี่แยกเกาะยอมาเข้าเมือง เส้นทางสายนี้ก็สะดวก แต่อ้อมไกลไปประมาณ 20 กิโลเมตร

สมัยนายไพเจน มากสุวรรณ์ เป็นนายกฯอบจ.สงขลา ก็พยายามแก้ปัญหาความคับคั่งของรถข้ามแพ ด้วยการเพิ่มจำนวนแพขนานยนต์ และเพิ่มท่าเทียบแพ ก็พอจะบรรเทาการจราจรไปได้บ้าง

นายไพเจนเคยให้สัมภาษณ์ว่า ยินดีถ้าจะมีการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา เพราะการให้บริการแพขนานยนต์ ก็เป็นการให้บริการที่ขาดทุนอยู่แล้ว แต่ถือว่าเป็นภารกิจในการให้บริการสาธารณะ จึงต้องตั้งงบสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงการให้บริการมาโดยตลอด เช่นล่าสุดการติดตั้งระบบแพขนานยนต์อัจฉริยะ เป็นต้น

‘สาธิต’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกคะแนนเสียง ที่สนับสนุน ‘อาช้าง ปิยะ ปิตุเตชะ’ ลั่น!! เดินหน้าทำงาน ให้เป็นรูปธรรม ก่อประโยชน์ ให้เกิดกับ ‘คนระยองบ้านเรา’

(2 ก.พ. 68) นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระยอง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ขอบคุณ ‘คนระยอง’ ที่ลงคะแนนให้ ‘อาช้าง ปิยะ ปิตุเตชะ’ กว่า 1.6 แสนคะแนน โดยได้ระบุว่า …

ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องชาวจังหวัดระยอง

ทุกท่านที่ออกมาใช้สิทธิ เลือกตั้ง นายก อบจ. และ ส.อบจ. เมื่อวานนี้ 1 ก.พ. 68 

ทุกท่านที่ลงคะแนนให้ อาช้าง ปิยะ ปิตุเตชะ กว่า 1.6 แสนคะแนน ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

ทุกท่านที่สนับสนุนช่วยเหลือบอกต่อในสิ่งที่เป็นจริง และเชื่อในในการทำงานทางการเมือง และผลงานที่เป็นรูปธรรม ที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับ คนระยองบ้านเรา มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ด้านเดียว แต่ยังไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ 

ขอบคุณพรรคประชาชน(ก้าวไกล) ที่เน้นตั้งความหวังให้ความสำคัญจังหวัดระยองเป็นพิเศษ เพราะผมเชื่อในหลักการ แข่งขันเสรี และมีมาตรฐาน สร้างประโยชน์ผู้ได้รับประโยชน์คือประชาชนคนระยอง 

ขอขอบคุณนักวิชาการ นักวิเคราะห์วิจารณ์ที่ฟันธงให้พรรคประชาชนชนะในจังหวัดระยอง รวมทั้งอีกหลายจังหวัด ทำให้ทีมงานเราทำงานแบบไม่หยุดไม่หย่อน ในการนำผลงานความจริงเข้าสู้กับการด้อยค่า ทางเดียว

และที่สำคัญ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำงานอย่างหนักทั้ง ออนไลน์ ออฟไลน์ เพื่อข้อมูลที่เป็นจริงไปสู่ประชาชนคนระยอง 

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ปชช. ที่เลือก ‘ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ’ ให้นั่งนายกฯ อบจ. ย้ำ!! ประสาน ‘การเมืองท้องถิ่น’ สู่ ‘การเมืองระดับประเทศ’ เพื่อประโยชน์ของคนไทย

(2 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ซึ่งถือเป็น การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มีความสำคัญอย่างมาก

โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีบุคลากรของพรรครวมไทยสร้างชาติ และผู้สมัครที่เป็นกลุ่มแนวร่วมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สุราษฎร์ธานี, พัทลุง, สมุทรสงคราม, ภูเก็ต และนราธิวาส ในศึกการเลือกตั้งนายก อบจ. 2568  และพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับผู้สมัครของพรรคทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งให้เข้าไปทำหน้าที่ในนามสมาชิกอบจ. ซึ่งพรรคยืนยันว่า บุคลากรในนามตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งมั่นทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนเองอย่างเต็มที่ ให้เกิดการพัฒนา อันมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนในจังหวัด

ทั้งนี้ การทำงานจะประสานการทำงานเชื่อมโยงการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศในทุกมิติ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องร่วมกัน เพื่อให้สามารถพัฒนาทั้งจังหวัดและประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยพัฒนาอย่างมีระบบตามความต้องการของพ่อแม่พี่น้องประชาชน

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องที่มอบให้กับผู้แทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งนายก อบจ.  ที่ทำให้บุคลากรของพรรคได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องในหลายพื้นที่ และพรรคขอให้คำมั่นว่าจะประสานการทำงานระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

เปิด 14 นายกฯ อบจ.ภาคใต้ ผลการเลือกตั้งออกแล้ว ปชน. ยังปักธงไม่ลง!! ผมทายพลาดไปสองจังหวัด

(2 ก.พ. 68) ผ่านพ้นไปสำหรับศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.47 จังหวัด ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว มีทั้งคนที่ผิดหวังและสมหวัง ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง การเลือกตั้ง

กล่าวสำหรับภาคใต้เลือกตั้งไปแล้ว 3 จังหวัดคือ ชุมพร ระนอง นครศรีฯ เหลือต้องเลือกตั้งแค่ 13 จังหวัด พรรคประชาชนยังไม่สามารถปักธงส้มได้แม้แต่ยังหวัดเดียว

สุราษฏร์ธานี เมืองคนดี ป้าโสแก้แค้นแทนสามีได้สำเร็จ ยึดเก้าอี้นายกฯอบจ.จากกำนันศักดิ์มานั่งแทน “หมอมุดสัง”แห่งพรรคประชาชน พลาดคะแนนต่างอำเภอ พ่ายไปอย่างน่าเสียดาย

พัทลุง นายกพร วิสุทธ์ ธรรมเพ็ชร ยังเหนียว รักษาแชมป์ไว้ได้ เอาใหม่นะ ‘สาโรจน์ สามารถ’ มนต์ขลังของ ‘พิพัฒน์’ยังไม่พอ ต้องกลับไปนอนเคลียร์กับ ดร.นทีก่อน

สงขลา ‘สุพิศ’ เข้าวินตามคาด แต่น่าสนใจว่าทำไมคะแนน ‘โนโหวต-โหวตโน’ จึงพุ่งแรงที่สงขลา ฝากให้ช่วยกันคิดครับ

ปัตตานี เศรษฐ์ ยังเหนียว รักษาเก้าอี้เอาไว้ได้อีกสมัย เป็นสมัยที่ห้า แม้จะถูกพลพรรคภูมิใจไทยโจมตีอย่างหนักก็ตาม

นราธิวาส กูเซ็ง กับการถูกรุมกินโต๊ะ ทั้งจากพรรคกล้าธรรม และพรรคภูมิใจไทย ‘ธรรมนัส-ชาดา’ นำทัพลุยเอง แต่ผู้เฒ่าจอมยุทธ์แก้กล้า รักษาฐานไว้ได้ สมัยหน้าสงสัยต้องเปลี่ยนตัวเล่นแล้วกับอายุ 85 อีก 4 ปีก็ 89 แล้ว

ยะลา ชื่อชั้นของ ‘มะทา’ ยังขายได้ มุขตาร์ ยังคงนั่งบริหารต่ออีก 4 ปี สมัยหน้าว่ากันใหม่

สตูล สัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ เดิมตั้งใจว่าจะไม่ลงสมัครแล้ว แต่ท้ายสุดหาตัวแทนไม่ได้ก็ต้องลงเอง คู่แข่งยังไม่แกร่งพอ เหนื่อยอีกสัก 4 ปีนะ แล้วค่อยพักผ่อน แต่บ้านใหญ่ต้องหาตัวแทนให้ได้นะ

ตรัง บุนเล้ง โล่สถาพาพิพิธ บ้านใหญ่สายชวนไม่พลาด เมื่อคู่แข่งที่คู่ควร ‘สาทิตย์’ ถอยในนาทีสุดท้าย บุนเล้งก็สบายตัวไป

กระบี่ คุณปูสมศักดิ์ ยังรักษาแชมป์ที่ครองมายาวนานได้สบายๆ ยังครองใจขาวกระบี่ไม่เสื่อมคลาย สมัยหน้าคุณปู่จะไหวไหมเนี่ย

พังงา จังหวัดนี้น่าสนใจ เนื่องจากผลออกมาพลิกความคาดหมาย ‘บำรุง’ กลับมาทวงเก้าอีคืนได้สำเร็จ หลังจากพรรคพวกนักการเมืองมาออกแรงช่วยกันรุม ‘ธนาธิป’ กระเด็นตกเก้าอี้

ภูเก็ต ไข่มุกอันดามัน แหม…ตอนแรกคิดว่า เรวัตหยัดได้ จะพลาดท่าเสียแล้ว เมื่อถูกพรรคประชาชนบดขยี้หนัก กับ สส.เต็มจังหวัด 3 คน ช่วย ‘หมอเลอสันต์’ แต่คุณงามความดีอาจจะยังไม่พอนะ หรือคนภูเก็ตคิดได้แล้ว ไม่เอา มา.112

การเมืองมีโอกาสเปลี่ยนได้ตลอดเวลา พลาดนิดเดียวก็เปลี่ยนได้ทันที คงจำกันได้กับวลี ‘สินค้าแบกะดิน’ ของ ‘พิชัย รัตตกุล’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ ‘ชนะ รุ่งแสง’ พ่ายแพ้ ‘พล.ต.จำลอง ศรีเมือง’ ได้เป็นผู้ว่าฯกทม.คนแรกจากการเลือกตั้งตามกฎหมายใหม่มาแล้ว ทั้งๆที่กระแสชนะดีมากๆ

ขออนุญาตเขียนชื่อ 14 นายกฯ อบจ.ในจังหวัดภาคใต้ไว้ก่อน รอดูว่า กกต.จะรับรองผลทั้งหมดหรือไม่ จะมีใบแดง ใบเหลืองหรือเปล่า

สำหรับ #นายหัวไทร ทำนายผิดไปสองจังหวัด คือ สุราษฏร์ธานี ที่คาดว่า หมอมุดสังจะมา แต่กลับเป็นป้าโสมาแทน และพังงาที่คาดว่า ธราธิป จะรักษาเก้าอี้ไว้ได้ แต่กลับถูกบำรุงพาพวกมารุมกระชากจนตกเก้าอี้

สำหรับ 14 นายกฯ อบจ.ภาคใต้ ประกอบด้วย
1.นายนพพร อุสิทธิ์ จากค่ายบ้านใหญ่ (เลือกตั้งแล้ว ไม่มีคู่แข่ง)

2.สีหราช สรรพกุล” คว้าชัยเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ระนอง (เลือกตั้งแล้วล้มแชมป์เก่า)

3.น้ำ-วาริน ชิณวงค์ เลือกตั้งแล้ว ล้มแชปม์เก่า ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’

4.ป้าโส โสภา กาญจนะ (เลือกตั้ง 1 ก.พ.นี้)

5.วิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกฯ อบจ.พัทลุง (เลือกตั้ง 1 ก.พ.)

6.สุพิศ พิทักษ์ธรรม นายกฯ อบจ.สงขลา (เลือกตั้ง 1 ก.พ.)

7.เศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกฯ อบจ.ปัตตานี แชมป์เก่า 4 สมัย

8.กูเซ็ง ยาวอหะซัน นายกฯ อบจ.นราธิวาส แชมป์เก่า 5 สมัย

9.มุขตาร์ มะทา นายกฯ อบจ.ยาลา แชมป์เก่า น้องชายวันนอร์

10.สัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายกฯ อบจ.สตูล อดีตแชมป์เก่า

11.เรวัต อารีรอบ นายกฯ อบจ.ภูเก็ต แชมป์เก่า เจ้าของสโลแกน ‘เรวัติหยุดได้’

12.บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิศ นายกฯ อบจ.ตรัง บ้านใหญ่ค่ายนายหัวชวน

13.สมศักดิ์ กิตติธรกุล นายกฯ อบจ.กระบี่ แชมป์เก่าหลายสมัย

14.นายบำรุง ปิยะนามวนิช นายกฯ อบจ.พังงา กลับมาทวงแชมป์คืน

‘ค่ายน้ำเงิน - บ้านใหญ่’ คว้าชัยพรึ่บ!! ผลเลือกตั้งนายกฯ อบจ. อย่างไม่เป็นทางการ ‘เพื่อไทย’ ไม่แลนด์สไลด์ ‘ปชน.’ปักธงลำพูน ‘ชาติไทยพัฒนา’ คว้าสุพรรณบุรี

(2 ก.พ. 68) ผลการเลือกนายก อบจ.อย่างไม่เป็นทางการ เบื้องต้นพบว่าพรรคประชาชนซึ่งส่งผู้สมัครมากถึง 17 จังหวัด กลับได้มาเพียง 1 จังหวัดคือ จังหวัดลำพูน นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ส่วนพรรคเพื่อไทย ส่ง 14 จังหวัด ได้รับเลือก 9 จังหวัด, พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ไป 1 เก้าอี้ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า ส่วนที่เหลือเป็นบ้านใหญ่และผู้สมัครที่พรรคภูมิใจไทยให้การสนับสนุน

เป็นที่น่าสังเกตว่า จังหวัดที่นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยลงไปปราศรัยนั้น หลายจังหวัดผู้สมัครของพรรคสอบตก เช่น ที่จังหวัดเชียงราย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช พ่ายให้กับนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน ที่จังหวัดศรีสะเกษ นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ พ่ายให้กับนายวิชิต ไตรสรณกุล กลุ่มฅนท้องถิ่น ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน เป็นต้น

มีรายงานว่า ในหลายพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นเป้าหมายของเครือข่ายสีน้ำเงินของพรรคภูมิใจไทย พบว่าหลายพื้นที่มีแนวโน้มชนะ เช่น ที่ จ.บึงกาฬ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ สตูล เชียงราย ลพบุรี พังงา พัทลุง เป็นต้น ทั้งที่พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคก็ตาม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ภายหลังทราบผลคะแนนว่า 

“เป็นความต้องการของประชาชน ที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ลงไปช่วยใครหาเสียง เพราะด้วยตำแหน่ง หน้าที่ มันทำไม่ได้ เลยต้องวางตัวเป็นกลาง จะชนะหรือแพ้ก็เป็นการตัดสินใจของประชาชนเอง”

‘สุพิศ’ ผู้สมัครเบอร์ 5 คว้าชัย!! นายกฯ อบจ.สงขลา ยัน!! พร้อมทำงานทันที หลัง ‘กกต.’ ประกาศรับรอง

(2 ก.พ. 68) ที่จ.สงขลา สำหรับผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ปรากฏว่า ผู้ที่มีคะแนนนำสูงสุด คือ นายสุพิศ  พิทักษ์ธรรม ผู้สมัครเบอร์ 5 ที่ได้รับการสนับสนุน จากสองแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ คือนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรมช.มท.  และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สธ. ผู้ที่มีคะแนนอันดับ 2 คือ นายประสงค์  บริรักษ์  ผู้สมัครเบอร์ 3 และอันดับ 3 คือนายนิรันดร์  จินดานาค ผู้สมัครจากพรรคประชาชน เบอร์ 2  

นายสุพิศ  พิทักษ์ธรรม อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงฯพร้อมทีมบริหารได้กล่าว ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนชาวสงขลามอบให้ และไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้นายก อบจ.สงขลาและทุกคะแนนเสียงที่มอบให้ทีมผู้สมัครส.อบจ.ของทีมเราทุกคะแนนโดยทันทีที่ กกต.ประกาศรับรองก็จะเดินหน้าทำงานทันทีตามแนวทางที่ได้เคยประกาศไว้ขอบคุณครอบครัวและทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

โดยในวันนี้ (2 ก.พ.) ‘ทีมสงขลาพลังใหม่’ มีกำหนดการขึ้นรถแห่ขอบคุณชาวสงขลาโดยเริ่มจากอำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมืองสงขลาและอำเภออื่นๆ

ตำรวจ รวบ!! หนุ่มเชียงราย ฉีกบัตรเลือกตั้ง อบจ. อ้าง!! ไม่อยากเลือกใคร ไม่รู้ผิดกฎหมาย

(1 ก.พ. 68) ที่ศูนย์กีฬาเทศบาลเมืองบางแก้ว ซึ่งเป็นหน่วยเลือกตั้ง อบจ. บรรยากาศการเลือกตั้ง เป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนทยอยเดินทางมารอใช้สิทธิ ตั้งแต่ก่อนเปิดหีบเลือกตั้ง

โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เปิดเผยว่า อยากเห็นนายก อบจ. คนใหม่เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ การเข้าถึงสถานพยาบาลของรัฐที่ยากลำบาก พร้อมสะท้อนถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ชาวสมุทรปราการได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเป็นพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม โดยขอให้ผู้ที่จะมาเป็นนายกอบจ.คนใหม่ ทำงานให้เต็มที่

ทั้งนี้ นายนพดล สมยานนทนากุล ผู้สมัคร นายก อบจ.สมุทรปราการ ได้เดินทางมาใช้สิทธิ และเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง

จากนั้นเวลา 11.30 น. นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เดินทางมาที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อสังเกตการณ์การเลือกตั้ง และดูความเรียบร้อยในภาพรวมของพื้นที่ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ตนมาติดตามว่า ขณะนี้ตัวเลขผู้ใช้สิทธิ์เป็นอย่างไร และกลุ่มแรงงานต่างๆ ได้รับการอำนวยความสะดวกจากนายจ้างหรือไม่

สำหรับบรรยากาศการเลือกตั้ง นายก อบจ.เชียงราย และส.อบจ.เชียงราย ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 24 ต.บ้านดู่ จ.เชียงราย ประชาชนทยอยมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยบรรยากาศทั่วไปเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

ขณะที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 7 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน นำโดย พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตรประสาร ผกก.สภ.แม่จัน ได้ทำการควบคุมตัว นายณัฐกิต อายุ 27 ปี ชาว ต.ป่าซาง หลังจากที่ได้ฉีกบัตรเลือกตั้งภายในคูหาเลือกตั้ง

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายณัฐกิต ได้ให้การว่า ตนไม่ต้องการเลือกใคร จึงต้องการทำให้เป็นบัตรเสีย จึงได้ฉีกบัตรเลือกตั้ง แต่ไม่ทราบว่า การฉีกบัตรเลือกตั้งนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หลังจากที่ได้ทำการสอบสวนเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวส่งไปพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘อนุทิน’ หย่อนบัตรเลือกตั้ง อบจ. ที่บุรีรัมย์ ย้ำ!! เจ้าหน้าที่วางตัวเป็นกลาง ยัน!! ตัวเองมีพรรคพวก ลงหลายที่ ยังไม่เคยไปช่วยหาเสียง แม้แต่ที่เดียว

(1 ก.พ. 68) ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 7 เขตเลือกตั้งที่ 2 บริเวณศาลากลางหมู่บ้านไทยเจริญ หมู่ 4 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหน่วยเลือกตั้งที่มีรายชื่อของ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และครอบครัว รวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อยู่ในหน่วยเลือกตั้งนี้ด้วย

หลังจากนายเนวินและครอบครัวได้เดินทางมาลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้งเสร็จสิ้น นายอนุทินก็เดินทางมาถึงหน่วยเลือกตั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และลงคะแนนเลือกตั้งในเวลาประมาณ 10.30 น.

นายอนุทิน เปิดเผยหลังใช้สิทธิ ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะวางตัวให้เป็นกลางมากน้อยแค่ไหน โดยระบุว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ ทั้ง กกต. เจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เขารู้ว่านี่คือภารกิจหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้จะมีความรักความชอบผู้สมัครบ้างก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องการปฏิบัติหน้าที่แล้วเป็นกลางแน่นอน แม้แต่ตัวเองตนไม่เคยไปยุ่ง

นายอนุทินกล่าวว่า มีพรรคพวกสมัครรับเลือกตั้งในหลายพื้นที่ก็ไม่เคยไปหาเสียงช่วย ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยได้ออกเป็นหนังสือไปแล้ว ให้ทุกส่วนทำตัวเป็นกลาง เท่าที่เห็นภาพแล้วเรียบร้อยดี รับรองไม่มีการซื้อเสียงหน้าหน่วยเลือกตั้ง

นายอนุทินกล่าวด้วยว่า กรณีที่มี สส.ของพรรคบางคนไปหาเสียงช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับพรรค

‘สุพิศ’ ปราศรัยทิ้งทวนชิงเก้าอี้ นายกอบจ. สงขลา ลั่น ดันหาดใหญ่ศูนย์กลาง ศก.ภาคใต้ - เร่งสร้างรายได้ให้ชาวสงขลา

สงขลา – ‘สุพิศ’ ปราศรัยเวทีสุดท้ายทิ้งทวนประกาศกร้าวดันหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ดึงนักท่องเที่ยวมาเลเซียเพิ่มเม็ดเงินสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชาวสงขลาจัดเทศกาลท่องเที่ยวทุกอำเภอ หากชาวสงขลาเชื่อมั่นจะทำให้เห็นภายใน 4 ปีแน่นอน

เมื่อวันที่ (30 ม.ค.68) ที่สี่แยกสะพานดำ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ทีมสงขลาพลังใหม่ พร้อม นายสมพร ใช้บางยาง ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ นายอับดลรอหมาน กาเหย็มและทีมบริหาร ผู้สมัครสมาชิก อบจ.ทีมสงขลาพลังใหม่  ขณะที่มวลชนนับหมื่นหลั่งไหลมาให้กำลังใจเวทีสุดท้ายของการเลือกตั้งในครั้งนี้ 

โดยนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม กล่าวบางช่วงบนเวทีว่า วันนี้ตนมีความตั้งใจมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมาสร้างเมืองสงขลาอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจของภาคใต้ก็ว่าได้ วันนี้เราอยากดึงนักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสงขลาโดยเฉพาะพื้นที่อำเภอหาดใหญ่เพื่อกระจายเม็ดเงินให้ทั่วทุกพื้นที่สร้างรายได้ให้ภาคธุรกิจทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ขับเคลื่อนเรื่องการจัดงานเทศกาลเฟสติวัลตลอดทั้งปี ดึงนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดเข้าสงขลาให้มากที่สุด และการส่งเสริมการลงทุนสร้างงาน สร้างรายได้ ให้ประชาชน นอกจากนี้เราจะให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดการขยะ ลดมลพิษอากาศ นำสายไฟฟ้าลงดิน

นอกจากนี้นายสุพิศ  พิทักษ์ธรรม ยังกล่าวเปิดใจบนเวทีอีกว่า วันนี้ตนเองลาออกจากอธิบดีกรมฝนหลวงการบินเกษตรเพื่อมาลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ก็เพื่ออยากใช้ความรู้ความสามารถที่สั่งสมมาตลอดช่วงที่ผ่านมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับสงขลาบ้านเกิดจริง ๆ ไม่เคยมีอะไรแอบแฝงขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นในตัวผม 

ขณะที่ในวันที่ 31 ม.ค. จะเป็นวันหาเสียงวันสุดท้ายเหล่าบรรดาผู้สมัครจากทั้ง 9 ทีมก็จะมีกำหนดการขึ้นรถแห่เพื่อเชิญชวนประชาชนชาวสงขลาออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้ได้มากที่สุด….

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิฯ UN เรียกร้องไทยยกเลิกมาตรา 112 อ้างทำให้เกิดบรรยากาศความกลัวในการแสดงออกทางการเมือง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิฯ จาก UN เรียกร้องไทย ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิฯ สากล ลั่น‘กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ ต้องไม่มีที่ยืนในประเทศประชาธิปไตย’

เมื่อวันที่ (29 ม.ค. 68) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เผยแพร่ข่าวกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนจากสหประชาชาติ ประกอบด้วย ผู้รายงานพิเศษด้านต่าง ๆ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติตั้งขึ้น แสดงความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ยังคงใช้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์อย่างต่อเนื่อง จนไปสู่การคุมขังนักกิจกรรม และผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน และเรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิก หรือทบทวนประมวลกฎหมายอาญา ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน

“ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ บุคคลต้องมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ รวมถึงพระมหากษัตริย์ และเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันสาธารณะ รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์”

“กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ของไทยมีทั้งโทษที่รุนแรง และกำกวม ส่งผลให้ศาลและเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจตีความผิดได้อย่างกว้างขวาง จนนำไปสู่การคุมขัง ดำเนินคดี และลงโทษ จำนวนกว่า 270 คนตั้งแต่ปี 2563 หลายรายได้รับโทษคุมขังติดต่อกันหลายคดี” ผู้เชี่ยวชาญระบุ

สำหรับมาตรา 112 ระบุว่าผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ซึ่งกฎหมายดังกล่าวถูกวิจารณ์จากหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติหลายครั้ง เนื่องจากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล 

“เราพบบ่อยครั้งว่า การคุมขังภายใต้กฎหมาย 112 ต่อบุคคลใดก็ตามที่ออกมาใช้เสรีภาพการแสดงออก ถือเป็นการกระทำโดยพลการ” กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าวย้ำ

ย้อนไปเมื่อ ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญา ตัดสินให้อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ถูกมีความผิดในมาตรา 112 และมาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) จากการปราศรัยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุมประท้วงเมื่อ ส.ค. 2563 ศาลพิเคราะห์ว่า อานนท์ กล่าวหาพระมหากษัตริย์ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี

นี่เป็นคดี 112 ของอานนท์ คดีที่ 6 ที่ศาลมีคำตัดสินลงโทษจำคุก ปัจจุบัน อานนท์ มีโทษจำคุกสูงสุดกว่า 18 ปี และยังมีคดี 112 ที่รอมีคำตัดสินอีก 8 คดี

คณะทำงานว่าด้วยการควบคุมโดยพลการแห่งสหประชาชาติ (UNWGAD) เคยให้ความเห็นก่อนหน้านี้ว่า การคุมขังอานนท์ นำภา ถือเป็นการคุมขังโดยพลการ และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหลายคน ยังคงแสดงความกังวลต่อการดำเนินคดีอาญากับอานนท์ นำภา และคนอื่นๆ ในประเทศไทย 

“กฎหมายหมิ่นประมาทต้องไม่มีพื้นที่ในประเทศประชาธิปไตย” ผู้เชี่ยวชาญ กล่าว

“การบังคับใช้กฎหมายอย่างกว้างขวาง เพื่อลงโทษนักปกป้องสิทธิมนุษยชน สมาชิกของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน นักกิจกรรมทางสังคม นักข่าว และบุคคลทั่วไปที่ออกมาแสดงออกอย่างสันติ ทำให้เกิดบรรยากาศของความกลัวในการแสดงออกทางการเมือง”

"รัฐบาลไทยต้องทำให้ประมวลกฎหมายอาญาสอดคล้องกับกฎหมายนานาชาติ และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน" ผู้เชี่ยวชาญ กล่าว และเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและการคุมขังภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยทันที

ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บันทึกไว้ว่า ตั้งแต่ปลายปี 2563 จนถึงปัจจุบัน (30 ม.ค.) มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 อย่างน้อย 277 คน จากจำนวน 309 คดี

ขณะที่แกนนำนักกิจกรรมการเมืองถูกดำเนินคดี เป็นจำนวนทั้งหมด ดังนี้ 

‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักกิจกรรมการเมือง 25 คดี
อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 14 คดี
ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นักกิจกรรมการเมือง 10 คดี
ภาณุพงศ์ จาดนอก นักกิจกรรมการเมือง 9 คดี
ชินวัตร จันทร์กระจ่าง นักกิจกรรมการเมือง 9 คดี
เบนจา อะปัญ นักกิจกรรมการเมือง 8 คดี
ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา นักกิจกรรมการเมือง 6 คดี
พรหมศร วีระธรรมจารี นักกิจกรรมการเมือง 6 คดี
ชูเกียรติ แสงวงค์, วรรณวลี ธรรมสัตยา, เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ, มงคล ถิระโคตร 4 คดี

ขณะที่ข้อมูลศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุด้วยว่า ปัจจุบัน (30 ม.ค.) มีผู้ถูกคุมขังทางการเมืองทั้งคดีเด็ดขาด และที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาคดี จำนวนอย่างน้อย 42 คน เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 28 คน 

‘ทนายเชาว์’ แฉเงินสะพัด ‘ร่อนพิบูลย์’ หัวละ 500 บาท แบ่งสายเดินแจกเงินโจ๋งครึ่ม อย่างไม่เกรงกฎหมายบ้านเมือง

'เชาว์' แฉเงินสะพัด 'ร่อนพิบูลย์' แบ่งสายเดินแจกเงินโจ๋งครึ่ม สงสัย กกต.หายไปไหน ปลุกคนคอนกำจัดวงจรอุบาทว์ รับเงินไม่กา สกัดกาฝากดูดเลือด ปชช.

(31 ม.ค.68) นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง โค้งสุดท้าย 'ร่อนพิบูลย์' เมืองคอน เงินสะพัดแจกหัวละ 500! มีเนื้อหาระบุว่า 

ขณะนี้ผมทราบว่ามีขบวนการทุจริตการเลือกตั้ง สจ. เขตเลือกตั้งที่ 2 อำเภอร่อนพิบูลย์ มีการล่ารายชื่อประชาชนมาหลายวันแล้ว ทำกันโจ่งแจ้ง ใช้หัวคะแนนซึ่งเป็นผู้นำท้องที่ผู้นำชุมชน วันนี้เริ่มแบ่งสายเดินแจกเงินชาวบ้านคนละ 500 บาท โดยไม่เกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง

ผมไม่ทราบว่า กกต. ซึ่งมีหน้าที่จับทุจริตเลือกตั้ง หายหัวไปไหนกันหมด เพราะมีการกระทำกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่พวกท่านใส่เกียร์ว่าง หรือ พวกท่านรู้เห็นเป็นใจ เพราะผมทราบมาว่ามีนักการเมืองระดับชาติเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการซื้อเสียง

เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากที่เกิดขึ้นกับอำเภอร่อนพิบูลย์ เห็นประชาชนเป็นผักเป็นปลาตีค่าแค่คนละ 500 บาท เพื่อเป็นบันไดเข้าสู่อำนาจ แล้วถอนทุนโกงกินงบประมาณภาษีของพี่น้องประชาชน คือวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ทำให้ภาพพจน์ของอำเภอร่อนพิบูลย์เสียหาย ถ้าทำสำเร็จ ต่อไปอำเภอร่อนพิบูลย์อาจจะถูกเรียกอำเภอร่อนพิบูลย์ 500 

“เรื่องนี้ผมจึงรับไม่ได้และขอเรียกร้องไปที่พี่น้องประชาชนที่รับเงินจากนักการเมืองที่ใช้เงินซื้อเสียง อย่าไปกาคะแนนให้ เพราะถ้าการคะแนนให้ เท่ากับ สนับสนุนให้เขาเข้าไปโกง เป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองไม่รู้จักจบสิ้น อยากได้ตัวแทนประชาชน สุดท้ายอาจได้แค่กาฝากเข้าไปดูดเลือดชาวบ้านกลายเป็นห่วงโซ่แห่งความชั่วร้าย ฉุดรั้งไม่ให้บ้านเกิดของเราพัฒนา ทุกท่านสามารถกำจัดวงจรอุบาทว์ได้ด้วยการไม่เลือกคนที่ทุจริตเลือกตั้ง”

‘ทักษิณ’ เซ็ง ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ เยอะ ทำงานได้ช้า ลั่น เลือกตั้งครั้งหน้า เอาพรรคอื่นน้อย ๆ ขอเพื่อไทยเยอะๆ มี รมต.พรรคเดียวกัน งานเร็ว พูดรู้เรื่อง ไม่มีเลศนัย ไร้เล่ห์เหลี่ยม

(30 ม.ค.) ที่จ.ลำพูน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ช่วยนายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน ในนามพรรคเพื่อไทย หาเสียง โดยนายทักษิณ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้เห็นลำพูนเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อน ดูแล้วมีคนอยู่สองกลุ่มคือกลุ่มค้าขายกับกลุ่มเกษตรกรรม แม่บ้าน เราจะต้องทำให้ลำพูนเป็นเมืองแฝดกับเชียงใหม่ เพราะหากประชาสัมพันธ์ร่วมกันในเรื่องของวัฒนธรรมด้วยกันได้เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น

นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหาคือบ้านเราไม่ค่อยมีเงินใช้ แต่ปีนี้รัฐบาลจะสร้างโอกาสหลายอย่างเพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนให้มีรายได้ที่ดีขึ้นและปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้มากที่สุด การบริหารประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องให้รัฐบาลกลางได้เชื่อมกับท้องถิ่นให้ได้ ไม่เช่นนั้นงบประมาณจะลงไม่ถึงประชาชน มาที่นี่ก็อยากขอให้นายอนุสรณ์เป็นนายก อบจ.ลำพูน อีกครั้ง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ

“เลือกตั้งครั้งหน้าก็ขอให้เลือกเพื่อไทยให้หมด เพราะคราวที่แล้วได้น้อยไปหน่อย มีพรรคร่วมรัฐบาลเยอะ ทำงานได้ แต่ช้า คราวหน้าให้มีพรรคร่วมน้อยๆ เอาเพื่อไทยเยอะๆ รับรองว่าทำงานแล้วจะรวยเหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย พรรคมันใหญ่ ทำงานได้เร็ว เพราะรัฐมนตรีทุกคนอยู่สังกัดพรรคเดียวกันหมด พูดรู้เรื่อง ไม่มีเลศนัย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก พูดตรงไปตรงมามันง่ายดี คราวหน้ามั่นใจเพื่อไทยจะมาที่หนึ่ง 200กว่าเสียง“ นายทักษิณ กล่าว

‘สส. สมบัติ’ จับมือ อปท. - 3 อำเภอแม่ฮ่องสอน เดินหน้าผลักดันแก้ปัญหาขยายถนน ‘สายฮอด-แม่ฮ่องสอน’

(30 ม.ค. 68) ‘สส. สมบัติ’ จับมือ อปท. 3 อำเภอ แม่ฮ่องสอน โซนใต้ แก้ปัญหา ถนน 108 สายฮอด-แม่ฮ่องสอน เพื่อเร่งผลักดันขยายถนน หลังรอแผนพัฒนาเก้อ ย้ำ!! รัฐ อย่าทิ้งชาวบ้าน

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2568 ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลเมืองยวมใต้ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายสมบัติ ยะสินธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดแม่ฮ่องสอน พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 3 อำเภอโซนใต้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ อำเภอแม่สะเรียง อำเภอแม่ลาน้อย และอำเภอสบเมย เพื่อหารือและสนับสนุนโครงการพัฒนาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ช่วงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

นายสมบัติ กล่าวในที่ประชุมว่า “ในฐานะ สส. ตนยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนและผลักดันโครงการพัฒนาถนนสาย 108 นี้ โดยเฉพาะการขยายไหล่ทางเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรของพี่น้องประชาชนแม่ฮ่องสอน ซึ่งส่วนตัวผมเองใช้เส้นทางนี้เดินทางเข้า-ออกพื้นที่ เพื่อมาพบปะประชาชนทุกสัปดาห์  จึงเข้าใจปัญหาและอุปสรรคของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ตนจะนำปัญหาดังกล่าว เข้าหารือต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนจะเขียนกระทู้ สอบถามไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้า  ให้เร่งพัฒนาอย่างจริงจัง” 

นายสมบัติฯกล่าวต่อว่า….สำหรับโครงการพัฒนาถนนสาย 108 หากทางหน่วยงานในพื้นที่หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหนังสือหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อม ตนยินดีที่จะประสานงานเพื่อผลักดันติดตามโครงการอย่างเต็มที่ โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่าง อปท. และผู้แทนราษฎร เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มความปลอดภัย และเชื่อมโยงเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายสมบัติฯกล่าว…

ด้านนายวิชา  ประเสริฐศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่เหาะ เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนตำบลแม่เหาะได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ขอให้พิจารณาสนับสนุนโครงการพัฒนาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ช่วงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะทางรวมประมาณ 264.9 กิโลเมตร เพื่อสร้างศักยภาพมาตรฐานและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประชาชน เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุในการคมนาคมของประชาชน เนื่องจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 เป็นเส้นทางหลักที่ประชาชนทั้ง 2 จังหวัดต้องใช้ร่วมกัน ทั้งในด้านการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าทางการเกษตร รวมถึงประโยชน์ทางกายภาพและความปลอดภัยในชีวิต การรักษาพยาบาลของประชาชนที่ต้องส่งไปรักษายังโรงพยาบาลที่จังหวัดเชียงใหม่

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติจะร้องทุกข์โครงการพัฒนาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ช่วงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ถึงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งไปยังอำเภอแม่สะเรียง อำเภอแม่ลาน้อย และอำเภอสบเมย และส่งเรื่องไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อนำเข้าแผนพัฒนาจังหวัด โดยนายสมบัติ  ยะสินธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแม่ฮ่องสอน เขต 2 จะมีการติดตามเพื่อนำเรื่องเข้าสู่สภา ให้เกิดการเดินหน้าและการพัฒนาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top