Saturday, 12 October 2024
TEA TIMES

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับบทความ 'การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน' ของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

บทความของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่เขียนไว้สองปีแล้ว แต่ก็ดูน่าจะเป็นจริงขึ้นมาเรื่อย ๆ

การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน

30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

(1) ช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้...ใครก็ไม่รู้? ได้ไปเอาคำพูดของนักเขียน นักปรัชญาชาวอิตาลีรายหนึ่ง ชื่อว่า อุมแบร์โต เอโค (Umberto Eco) ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อซัก 3 ปีที่แล้ว มาเผยแพร่เอาไว้ในช่องทางการสื่อสารที่เรียก ๆ กันว่า ไลน์ อะไรประมาณนั้น และแม้ว่า อันตัวข้าพเจ้าเอง จะไม่รู้เรื่อง รู้ราว ไม่เคยได้สัมผัสกับช่องทางการสื่อสารประเภทนี้ แต่เมื่อน้อง ๆ เขางัดมาโชว์ให้เห็น ก็ต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นคำพูดที่น่าคิด สะกิดใจ มิใช่น้อย...

(2) คือว่ากันตามสำนวนภาษาปะกิต...ที่ว่าเอาไว้ว่า Social media gives legions of idiots the right to speak when they once only spoke at a bar after a glass of wine, without harming the community. Then they were quickly silenced, but now they have the same right to speak as a Nobel Prize winner. It’s the invasion of the idiots. ก็คงประมาณว่า...แต่ก่อนนั้นพวกคนประเภทปัญญาอ่อน ได้แต่พูดอะไรโง่ ๆ ในบาร์หลังจากที่เมาไวน์กันไปพอสมควร แล้วเป็นอันต้องหุบปาก โดยไม่ได้ก่อให้เกิดพิษภัยร้ายแรงอะไรมากมายต่อผู้คน แต่หลัง ๆ นี้...ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย นั่นเอง ที่ทำให้บรรดาคนเหล่านี้มีสิทธิ์จะพูดอะไรต่อมิอะไรได้เท่ากับผู้ที่มีชื่อ มีเสียง ระดับนักคิด นักปราชญ์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์ เอาเลยก็ว่าได้ และนี่ก็คงแทบไม่ต่างไปจาก การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อนทั้งหลาย...

(3) โดยคำพูดที่ว่านี้...ถูก-ไม่ถูก เข้าท่า-ไม่เข้าท่า อันนั้นคงต้องไปพิจารณากันเอาเอง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ออกจะเป็นเรื่อง จริง ไม่ใช่อิงนิยายโดยเด็ดขาด สำหรับยุคนี้ สมัยนี้ เพราะอะไรที่มันเคยถูกพูด ๆ อยู่ในแวดวงผู้คนแค่ไม่กี่คน หรือในหมู่ผู้คนที่ระดับวาสนาใกล้เคียงกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น มธุรสวาจา หรือ มทุเรศวาจา ประเภทขึ้นมึง-ขึ้นกู แจกกล้วย และแจกผลไม้รวม ทั้งหลาย ที่ถ้าหากฟังกันในหมู่เพื่อนฝูง หรือในหมู่คนปัญญาอ่อนด้วยกัน ก็ไม่ถึงกับเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง มากมาย ถ้าเข้าหูซ้ายแล้วไม่ทะลุออกไปทางหูขวา ก็แกะออกได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

(4) แต่ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า โซเชียล มีเดีย นั่นเอง...ที่มันมีส่วนช่วยให้ กล้วย ธรรมดา ๆ กระจอก ๆ ของบรรดาพวกปัญญาอ่อนในแต่ละราย กลายสภาพเป็น อภิมหากล้วย ใหญ่โต มโหฬาร ขมึงทึง ยิ่งกว่าศิวลึงค์พระอิศวรเอาเลยก็ไม่แน่ คือสามารถด่าทอ กล่าวหา โจมตี ตอบโต้เล่นงานใครต่อใคร ในระดับไม่ใช่แค่คำพูดหลังบาร์ หลังแก้วเหล้า หลังจากไม่เหลือสติสัมปชัญญะอยู่ภายในสมอง ในร่างกาย แต่เพียงเท่านั้น แต่สามารถแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ระดับผู้คนนับเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ หรืออาจเป็นล้าน ๆ ต้องคอยแงะ คอยแกะ คอยเตรียมน้ำเอาไว้ล้างหู ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เอาเลยก็ว่าได้...

(5) การที่เทคโนโลยีอันสุดแสนจะก้าวหน้า ทันสมัย อย่าง โซเชียลมีเดีย มันได้เปิดพื้นที่ สร้างพื้นที่ ให้กับคนโง่ คนปัญญาอ่อน คนหยาบ ๆ คาย ๆ อย่างชนิดกว้างขวางใหญ่โตไม่น้อยไปกว่านักคิด นักปราชญ์ ผู้ที่มีสติปัญญา มีความสามารถระดับรางวัลโนเบล ไพรซ์ อย่างที่นาย อุมแบร์โต เอโค แกได้อุปมา-อุปมัยเอาไว้ทำนองนี้ มันก็เลยน่าจะส่งผลให้เกิดฉากสถานการณ์ในแบบที่แกเรียก ๆ เอาไว้ว่า การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน อุบัติขึ้นมาในสังคมต่าง ๆ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และถือเป็นฉากสถานการณ์ที่ออกจะท้าทาย ต่อบรรดาผู้ที่คิดดี ใฝ่ดี หรือผู้ที่ต้องการให้สังคมเป็นไปในทางที่ดีทั้งหลาย ว่าจะหาทางรับมือกับ กองทัพคนปัญญาอ่อน เหล่านี้อย่างไรดี มันถึงจะเหมาะสม สอดคล้อง กับ ข้อเท็จจริงทางสังคม...

(6) คือจะไปปิดกั้น ปิดช่อง ปิดทาง ปิดประตู ปิดหน้าต่างในแต่ละบาน ๆ นั้น...คงแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าในทาง เทคโนโลยี หรือแม้แต่ในทาง กฎหมาย ก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากปล่อยเลยตามเลย ปล่อยให้วันแมน-วันโหวต ถือว่าเสียงทุกเสียงย่อมต้องมีความเสมอภาค มีสิทธิ์แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันทั้งสิ้น ไม่ว่าระหว่างเปล่งเสียงมันจะออกอาการอ้วกแตก เมาแล้ว เมาเล่า แทบไม่เหลือสติสัมปชัญญะ ไม่เหลือสาระประโยชน์ใด ๆ อยู่ในคำพูด ในเสียงแต่ละเสียงเอาเลยแม้แต่น้อย ตามหลักเสรีภาพหรือหลักประชาธิปไตยใด ๆ ก็แล้วแต่ อันนี้...มันก็ออกจะยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า อยู่พอสมควร เพราะการคุยกับคนบ้า การว่ากับคนเมานั้น ไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใด ๆ เผลอ ๆ อาจก่อให้เกิดโทษหนักบ้าง เบาบ้าง ไปตามสภาพ...

(7) มันก็เลยดูเหมือนจะมีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้น...อย่างที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ท่านเคยออกมาชี้แนะ ชี้นำเอาไว้ ว่าจะต้องหาทางทำให้ผู้คนในสังคม มีความเจริญทางสติปัญญา ทางศีลธรรม คุณธรรม ให้มาก ๆ เข้าไว้ อันอาจพอช่วยให้ เสรีภาพ ที่เปิดกว้างอย่างแทบปราศจากขอบเขต ถูกนำใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์กับสังคมนั้น ๆ ได้จริง ๆ และอาจจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร คงต้องเก็บไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน ที่ทำให้สิ่งที่เรียก ๆ กันว่า ประชาธิปไตยนั้น ยังไง ๆ ...คงต้องหาทางทำให้มันมีความผนึกแนบแน่นไปกับศีลธรรม คุณธรรม ให้มาก ๆ เข้าไว้ แม้แต่จะต้อง ควบคุม หรือกำกับ ก็อาจถือเป็นความจำเป็นอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

ทรรศนะ ชัชรินทร์-ไชยวัฒน์

การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน

 

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10218733401917425&id=1570777112

https://www.thaipost.net/main/detail/39767


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วิเคราะห์ ‘พลังประชารัฐ’ แก้รัฐธรรมนูญ ผลลัพธ์ ‘เพื่อไทย’ อาจชนะถล่มทลาย

ผลลัพธ์จากการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม รวม 13 ฉบับ ที่เกิดขึ้นตลอด 2 วัน (วันที่ 23-24 มิ.ย. 2564) ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ‘ร่วงเกือบหมด’ โดยเหลือรอดเพียงวาระแรกฉบับเดียว ซึ่งเป็นบทแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83, 91 (แก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ) ที่ถูกเสนอโดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับคณะ ที่เรียกว่า ‘ร่างที่ 13’ และได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 552 ไม่เห็นชอบ 24 งดออกเสียง 130 และไม่ลงคะแนนเสียง 27

แม้จะผ่านแค่เพียงร่างเดียว แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นประเด็นให้ต้องขยายกันต่อ เพราะบ้างก็อาจจะมองว่าเกมของพลังประชารัฐกับการแก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบนั้น จะเป็นการชิงความได้เปรียบให้พรรคกลับมาได้อย่างท่วมท้น หากมีการการเลือกตั้งหนหน้า จากข้อได้เปรียบที่ยังเป็นรัฐบาล สามารถกำหนดทิศทาง หาจังหวะในการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ในช่วงที่มีความพร้อม และคะแนนนิยมดี ภายใต้ฐานเสียงที่ต้องยอมรับว่า พลังประชารัฐ ยิ่งทวีฐานได้แน่นขึ้น ในจังหวะที่พรรคต่างๆ เสียงเบาลง ยิ่งมีนโยบายต่างๆ ที่นำเสนอออกมา แม้จะมีถูกใจบ้างหรือไม่ถูกใจบ้างผสมโรงด้วยแล้ว คงต้องยอมรับว่าชื่อ พลังประชารัฐ น่าจะเป็นแค่ทางเลือกเดียว เหมือน ‘ไทยรักไทย’ ในยุคหนึ่งกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลังจากร่างฉบับดังกล่าวได้ผ่านการเห็นชอบ ด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence, สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้ออกมาให้ทรรศนะที่น่าคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจจะไม่เป็นไปตามหวังของพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ว่า…

ผมขอทำนายว่าทั้ง พลังประชารัฐ และ ประชาธิปัตย์ จะพ่ายแพ้ พรรคเพื่อไทย เพราะกติกานี้ที่แก้กลับไปเหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเพื่อไทยเก่งกว่า เจนเวทีกว่า ทำไมจึงได้หลงเชื่อว่ากติกาที่ตนพ่ายแพ้ยับเยินมาแล้วจะทำให้ตนชนะได้ เพราะ Albert Einstein ได้กล่าวไว้ว่า “Insanity is doing the same thing over and over and expecting different results. ความโง่เง่าบัดซบคือการทำเช่นเดิมและคาดหวังผลที่แตกต่างไป

ผศ.ดร.อานนท์ เปรียบเทียบเหตุการณ์ดังกล่าวกับหนังจีนกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก ซึ่งช่วงหนึ่ง ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ บิดาของ ‘เตียบ่อกี้’ มีเหตุต้องประลองฝีมือกับราชสีห์ขนทอง ‘เจี่ยซุ่น’ 1 ใน 4 ผู้คุมกฎของนิกายเม้งก่าอันเป็นผู้อาวุโสระดับต้นๆ ในยุทธภพและมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน

ราชสีห์ขนทองมีฝีมือสูงส่ง แต่ก็มีความทะนงตนสูงอย่างมาก ‘เจี่ยซุ่น’ จึงถึงขนาดกำหนดแต้มต่อยอมให้ ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ กำหนดกติกาในการแข่งขันประลองได้ตามที่ต้องการ

‘เตี่ยชุ่ยซัว’ จึงได้กำหนดกติกาที่ทำให้ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในยุทธภพระดับต้นๆ อย่างเจี่ยซุ่น ต้องยอมพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ประลองแต่อย่างใด โดย ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ ขอประลองแข่งขันในการใช้กำลังภายในจารึกอักษรด้วยกระบี่ลงบนแผ่นหินบนหน้าผา ซึ่ง ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ นั้นทำได้ดีมาก เนื่องจากเป็นผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ทั้งด้านบู๊และด้านบุ๋นแบบผสมผสาน

พูดง่ายๆ ก็คือ ‘เตี่ยชุ่ยซัว’ ทราบดีว่าหากจะต้องประลองในวิชาที่ใช้แต่ฝ่ายบู๊อย่างเดียวโดยปราศจากสายบุ๋นนั้น ตนเองย่อมไม่มีทางต่อสู้กับราชสีห์ขนทองได้เลย

>> การกำหนดกติกาในการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!!

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ราชสีห์ขนทองจะมีฝีมือสูงส่งปานใดก็ตาม แต่ก็ย่อมมีจุดอ่อนที่ตนเองไม่ถนัด ผนวกกับความทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตนเอง ถึงขนาดที่ยอมเปิดโอกาสให้คู่ประลองแข่งขันกำหนดกติกาได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะเชื่อมั่นมากเกินไปว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้

ฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาในการทำศึกนั้น หาได้ใช้กำลังแต่ฝ่ายเดียวในการชนะศึกไม่ หากแต่จะเลือกใช้ปัญญาในการวิเคราะห์จุดอ่อนของคู่แข่ง แล้วนำจุดอ่อนเหล่านั้นมาแปรผันเป็นกติกาในการประลองเพื่อให้ตนเองนั้นชนะได้อย่างง่ายดาย โดยเลือกประลองในสิ่งที่คู่แข่งนั้นมีจุดอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

ย้อนกลับมาที่เรื่องของความพยายามในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง 2 ประการคือ...

>> ประเด็นแรก ต้องการมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ จากเดิมที่มีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหมายความว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแยกออกจากกัน ซึ่งแน่นอนว่าวิธีการนี้ จะมีคะแนนจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกทิ้งน้ำและไม่ได้เป็นการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่าปันส่วนผสมอีกต่อไป

>> ประเด็นที่สอง คือ การลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คนลงเป็น 100 คนและเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตจาก 350 คนเป็น 400 คน

กติกาทั้งสองนี้สำคัญมาก เพราะหากลองตั้งข้อสังเกตดูแล้ว ต่อให้ใช้กติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งได้แบบขาดลอย หากแต่การที่พลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มาจากการปัดเศษในการนับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งอาจจะเป็นที่กังขาว่า กกต. ใช้วิจารณญาณอย่างไรในการตีความวิธีการปัดเศษดังกล่าว จนสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและอ้างว่าได้ Popular Vote สูงที่สุด

ขณะที่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้นส่งลงสมัครน้อยมาก เพราะหลีกทางให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ แต่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติมีอันเป็นไปจากการถูกยุบพรรคการเมืองไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นหากรวมจำนวน ส.ส.ที่พรรคไทยรักษาชาติไม่ถูกยุบ ก็อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติรวมตัวกันได้คะแนนเป็นที่ 1 ก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและเกิดการย้ายข้างจำนวนมากมายเรียกว่ามี ‘งูเห่าสีส้ม’ และงูเห่าอีกหลายสีย้ายเข้าไปอยู่ในพรรคการเมือง อื่นๆ เช่น พรรคการเมืองแถวอีสานใต้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงสามารถกล่าวได้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ชนะเลือกตั้งในกติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 แต่อย่างใด

ฉะนั้น แม้ว่ารัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 จะกำหนดกติกาการเลือกตั้งที่น่าจะเอื้อต่อชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐอยู่พอสมควร โดยกติกาดังกล่าว ได้แก่ การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและมีจำนวน ส.ส.เขตเพียง 350 คนและมี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน ตลอดจนการที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้อีกจำนวน 250 เสียง ซึ่งเป็นกติกาที่เอื้อต่อชัยชนะในการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่ แต่ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะขาดลอยด้วยกติกาที่ตนเองเป็นผู้กำหนดไว้แต่อย่างใด

กลับกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ กลับนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่มีกติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐหรือกติกาในการเลือกตั้งเฉกเช่นรัฐธรรมนูญในปี 2540 หรือมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบและมีจำนวน ส.ส.เขตถึง 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียง 100 คน โดยเป็นกติกาที่เอื้อให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่และเกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองหรือที่เราเรียกกันในทางวิชาการว่า Political Polarization ซึ่งจะทำให้ ‘พรรคเล็กพรรคน้อย’ หรือ ‘พรรคปัดเศษ’ ไม่มีโอกาสได้เกิด และก็ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบบปันส่วนผสมอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ เป็นการเอาคะแนนเล็กคะแนนน้อยนั้นเททิ้งน้ำไปให้หมด

ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐ ถึงเสนอร่างรัฐธรรมนูญกลับไปเป็นกติกาการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมีข้อพิสูจน์แล้วว่าระบอบทักษิณจะชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย และเข้ามาคุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนอาจจะเกิดเผด็จการรัฐสภาอีกรอบก็เป็นได้

พูดกันตามตรงรัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะเอื้ออำนวยให้พรรคพลังประชารัฐเข้าสู่อำนาจรัฐอย่างได้เปรียบพรรคการเมืองฝ่ายค้านมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาแต่อย่างใดการลงคะแนนมติต่างๆ ต้องใช้กำลังและการล็อบบี้อย่างหนัก

น่าสงสัยว่าพรรคพลังประชารัฐเอาความมั่นใจและความทะนงองอาจหรือความประมาทเลินเล่อใดมาตัดสินและคิดว่าการกำหนดกติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทักษิณชินวัตรหรือระบอบทักษิณเคยเอาชนะมาได้อย่างถล่มทลายนั้น จะทำให้ตนเองชนะหรือเข้าสู่อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันกับที่ระบอบทักษิณได้เคยกระทำมา

การที่พรรคพลังประชารัฐเป็นผู้กุมอำนาจรัฐและอาจจะมีทุนเพียงพอ เรียกว่าอาจจะมีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืนในการเลือกตั้ง เลือกวิธีการนี้ อาจจะเป็นเหตุให้พรรคพลังประชารัฐประมาทเลินเล่อหรือทะนงองอาจในตนมากเกินไปหรือไม่ เปรียบเหมือนกับ ‘ราชสีห์ขนทอง’ ที่หันไปเลือกกติกาศัตรูอย่าง ‘เตียชุ่ยซัว’ และปราชัย ทั้งๆ ที่ตนเองได้เปรียบกว่าแทบทุกประการ

พรรคพลังประชารัฐไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่า เหตุใดศัตรูในทางการเมืองของตนหรืออาจจะไม่ใช่ศัตรูแล้ว จึงหันมาร่วมมือและต้องการกำหนดกติกาแบบเดียวกัน โดยที่เห็นดีเห็นงามด้วย แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยคิดว่าตนเองจะได้เปรียบในการเลือกตั้งและเข้าสู่อำนาจรัฐได้ง่ายหากเรื่องตั้งด้วยกติกาการเลือกตั้งเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะแก้ไขให้เป็นไปตามนี้

>> การลงไปเล่นในเกมที่เป็นกติกาหรือพื้นที่ที่เขาชำนาญกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก!!

หากมีการเลือกตั้งจริงแล้วด้วยกติกาซึ่งเป็นการเลือกตั้งมากถึง 400 เขตเลือกตั้ง ที่เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลงไปมากและเป็นเขตเลือกตั้ง 1 คน 1 เขตที่เลือกส.ส.ได้เพียง 1 คนก็จะทำให้อิทธิพลทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบหัวคะแนนหรือการจัดตั้ง ตลอดจนการใช้กระสุนเงินหรือการซื้อเสียงเลือกตั้งสามารถทำได้โดยง่ายขึ้น

ผมไม่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีฝีมือและความสามารถในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 400 เขตได้เก่งเท่ากับพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยนั้นมีระบบหัวคะแนนที่แน่นหนามากและดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดมีฐานเสียงที่มั่นคงและมีลูกค้าขาประจำที่มีความรักต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณไม่เสื่อมคลาย

ด้วยการกำหนดกติกาที่เอื้อกับศัตรูเช่นนี้ อาจจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและระบบทักษิณก็จะกลับคืนมาครอบงำปกครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์

 

 

อ้างอิง: https://mgronline.com/daily/detail/9640000061302


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Somkiat Osotsapa ว่า...

สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Somkiat Osotsapa ว่า

พวกเราคือคนรุ่น Limited Edition

# เราเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่เชื่อฟังพ่อแม่ และเป็นคนรุ่นแรก ที่รับฟังลูกหลาน พวกเราคือคนรุ่น Limited Edition

⭕️หลานถามปู่ว่า ในสมัยปู่นั้น คนใช้ชีวิตกันอย่างไรโดยที่... 
⭕️ไม่มีเทคโนโลยี
⭕️ไม่มีเครื่องบินพาณิชย์
⭕️ไม่มีอินเตอร์เน็ต
⭕️ไม่มีคอมพิวเตอร์
⭕️ไม่มีโรงหนัง
⭕️ไม่มีโทรทัศน์
⭕️ไม่มีเครื่องปรับอากาศ
⭕️ไม่มีรถหรู
⭕️ไม่มีโทรศัพท์มือถือ

????คุณปู่ตอบหลานว่า “เราไม่ใช้ชีวิตอย่างคนรุ่นหลานที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้” นั่นคือ... 
????ไม่มีการสวดมนต์
????ไม่มีน้ำใจให้กัน
????ไม่มีการให้เกียรติกัน
????ไม่มีมารยาท
????ไม่รู้จักละอาย
????ไม่นอบน้อมถ่อมตน
????คนรุ่นปู่ที่เกิดระหว่างปี 2490 ถึง 2510 นั้นช่างโชคดี เพราะการใช้ชีวิตของพวกเราคือของจริงที่พิสูจน์ได้
????เราขี่จักรยานกันโดยไม่สวมหมวกกันน็อก
????หลังเลิกเรียนเราเล่นกันจนค่ำมืดโดยไม่เคยดูโทรทัศน์
????เราเล่นกับเพื่อนตัวเป็นๆ ไม่ใช่เพื่อนทางอินเตอร์เน็ต
????เรากระหายน้ำเราก็ดื่มน้ำจากก๊อกไม่ใช่น้ำบรรจุขวด
????เราไม่เคยป่วย แม้เราจะดื่มน้ำร่วมแก้วเดียวกับเพื่อนถึงสี่คน
????เรากินข้าวเป็นจานๆ ทุกวันโดยไม่มีปัญหาเรื่องอ้วน
????เท้าเราไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเดินด้วยเท้าเปล่า
????เราไม่เคยกินอาหารเสริมเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง
????เราประดิษฐ์ของเล่นเอามาเล่นเอง
????พ่อแม่เราไม่ร่ำรวย ท่านจึงให้เราได้แต่ความรัก ไม่ใช่วัตถุ
เราไม่เคยมีมือถือเครื่องเล่น DVD วิดีโอเกมส์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เรามีแต่เพื่อนที่มีตัวตน
????เราไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านโดยไม่ต้องนัดหมาย แล้วเราก็หาอะไรกินกันอย่างสนุกสนาน
????ญาติพี่น้องอยู่ใกล้ชิดกัน เราจึงมีเวลาให้กันมาก
????ภาพถ่ายเราอาจเป็นขาวดำ แต่ความทรงจำของมันช่างหลากสีสัน
????คนรุ่นเรามีเอกลักษณ์ และเข้าใจกัน เพราะเราเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่เชื่อฟังพ่อแม่ และเป็นคนรุ่นแรกที่รับฟังลูกหลาน
????พวกเรา คือ คนรุ่น Limited Edition จงสนุกไปกับเรื่องราวของเรา เรียนรู้จากเรา และ เก็บเราไว้เป็นสมบัติอันทรงคุณค่าตลอดไป อีกไม่นานเราก็จะจากไป

 

ที่มา: https://www.facebook.com/100001380665898/posts/4239119296144051/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ถอดรหัส ‘พรรคกล้า’ ต้นแบบ ‘กล้าทำ’ เรื่องที่ควรทำ ในห้วงเวลาที่คนไทยโหยหาคนช่วย ส่วนใครจะไม่จำ ไม่รู้!!

ในระหว่างที่โลกการเมืองภายในประเทศตอนนี้ ยังคงมีวาทกรรมให้โต้ตอบจากการขุดประเด็นอะไรก็ไม่รู้มาพ่นน้ำลายในแต่ละวัน คู่ขนานไปกับการทำงานของคนการเมืองที่ต้องมีส่วนเอี่ยว แบบเดินไป สะดุดไป

พลันหลงให้ต้องเหลือบไปมองดูพรรคการเมืองอื่น ๆ เพื่อพักสายตา ซึ่งช่วงนี้ชื่อ ‘พรรคกล้า’ ก็ลอดเล็ดเข้ามาเป็นระยะ ๆ เพราะดันอดสงสัยไม่ได้ว่า แคมเปญสารพัดที่พรรคนี้งัดออกมาในช่วงประชาชนโหยหาความรักความเมตตาอยู่เนี่ย มันควรเป็นหน้าที่ของใคร?

จริง ๆ แล้ว พรรคกล้า เป็นพรรคหนึ่งที่เชื่อว่าคนไทยบางส่วน คงมีแอบตามติดอยู่เบา ๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะหัวหน้าพรรคชื่อดัง ไม่ใช่ว่าเพราะเบื่อลุง หรือเซ็ง 3 นิ้วใด ๆ

แต่แค่รู้สึกว่า ในหัวชาวบ้านทั่ว ๆ ไป อยากได้ความช่วยเหลืออะไร พรรคนี้ก็ดันทะลึ่งมีไอเดียคลอดออกมาซัพพอร์ตในวันที่ภาคส่วนซึ่งเกี่ยวข้องยังงง ๆ หรือมึนกับบทบาทตัวเองอยู่เลย (แต่บางคนทำงานดี ๆ ก็มีเยอะนะ)

เพราะตั้งแต่เกิดการระบาดระลอก 3 มานี้ ‘พรรคกล้า’ มีเส้นทางในการทำงานการเมืองนอกสภา ที่ดู OK ไม่น้อย

แถมสิ่งที่เห็นชัด คือ ไม่ใช่แค่การคิด หรือ คุย หรือ วาทกรรมไปเรื่อย แต่คนในพรรคดูจะ ‘เน้นลงมือทำ’ เลยเฮ้ย!! (อันนี้อยากให้นักการเมืองไทยมองเป็นแบบอย่าง)

อย่างเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พรรคกล้ามีการตั้งทีมช่วยประสานหาเตียงผู้ป่วย มีการตั้งโครงการ ‘กล้าเติมอิ่ม’ ดูแลคนที่จะเดือดร้อน มีการพาทีมไปบริจาคเลือดให้กับสภากาชาด มีการช่วยรณรงค์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนโดยการทำแคมเปญเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ ‘กล้า ฉีดวัคซีน’ ทุกกิจกรรมมันแอบกระแทกใจคน แม้จะเฉย ๆ กับพรรคนี้

เท่าที่จำได้ บรรดาคนในพรรคนี้ตั้งแต่ หัวหน้า / เลขาธิการพรรค ยันลูกพรรคแต่ละเขต ระดมแรงลงไปไล่เร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ น่าจะตั้งแต่ช่วงวันที่ 25 เมษายน 2564 ที่โควิดระลอก 3 เริ่มหนัก

ขอไล่เรียงเท่าที่พอรู้ พรรคนี้เริ่มโครงการ ‘กล้าสู้โควิด’ โดยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานสำหรับผู้ที่ติดเชื้อโควิดและมีปัญหาเรื่องประสานหาเตียง มีอาสาสมัคร ประมาณ 10 ท่าน ช่วยในการโทรประสานเตียง ให้กำลังใจและคำแนะนำ โดยสามารถช่วยไปได้หลายร้อยราย

‘กล้าเติมอิ่ม’ เป็นโครงการที่หัวหน้าพรรคเขาริเริ่ม โดยการนำข้าวอิ่ม เกษตรอินทรีย์ ที่ปลูกโดยชาวบ้าน จังหวัด มหาสารคาม มาร่วมกับเชฟหลายท่าน ทำข้าวกล่อง ‘กล้าเติมอิ่ม’ นำแจกตามชุมชนทั่วกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงนำข้าวสาร อาหารแห้งไปบริจาคเพิ่มเติมอีกด้วย นอกจากนี้มีการตั้งครัวอาสาทำข้าวกล่องทั่วกรุงเทพหลายจุดมอบให้ประชาชนหลายหมื่นกล่อง

‘กล้าบริจาคเลือด’ ตามที่ สภากาชาดไทยได้แจ้งว่ามีการขาดเลือดจำนวนมาก คนของพรรคกล้าก็โร่ไปบริจาคเลือดกันหลายสิบชีวิต นำโดยคุณเอ๋-อรรถวิชช์ สุวรรณภักดีที่เป็นเลขาธิการพรรค

‘กล้าฉีดวัคซีน’ แคมเปญรณรงค์ล่าสุดของพรรคกระตุ้นให้คนไทยออกมาฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ ช่วยฟื้นเศรษฐกิจโดยเป็นการทำแคมเปญเปลี่ยน รูปโพรไฟล์ในช่องทางโซเชี่ยลมีเดีย ‘กล้าฉีดวัคซีน พร้อมมากพูดเลย’ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากโลกโซเชี่ยลเป็นอย่างมาก

ล่าสุดก็ ‘กล้าหางาน’ ที่ช่วยประชาชนหางาน และช่วยผู้ประกอบการหาคน เป็นการช่วยสู้วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 เพราะมองว่าแค่รับเงินแจกคงไม่พอแดก ซึ่งพรรคกล้าก็ได้เปิดเพจ-ทำงานเชิงรุกพื้นที่ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หวังช่วยคนไทยนับล้านมีงานทำ

แน่นอนว่าสิ่งที่พรรคนี้กำลังทำ อาจจะไม่ใช่กิจกรรมที่ช่วยคนได้ทั้งประเทศหรอก แต่ถ้านักการเมืองที่เกี่ยวข้องในกระบวนการด้านสังคม สุขภาพ และเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งมีอำนาจล้นพ้นได้ทำ ประโยชน์จะเกิดกับคนไทยได้มากแค่ไหน และควรเป็นบทบาทของใคร? อันนี้ไม่พูด

อย่างไรเสีย คนช่างอคติแบบเรา ก็มองกิจกรรมที่พรรคนี้ได้ทำ เป็นเหมือนกับการหาเสียง หาฐานประชาชนทั่วไปให้รักให้หลง ตามกระบวนการทางการเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่มันเป็นความปกติที่ส่วนตัวแล้วอยากให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แบบ New Normal (ทันสมัยซะด้วย) เพราะสาระสำคัญของสิ่งที่ทำ มันแลดูเป็น ‘การเมืองเชิงสร้างสรรค์’ ที่เหมือนจะห่างหายจากสังคมไทยไปช้านาน

แต่คิดไปคิดมา เอาจริง ๆ พรรคกล้านี่ ถ้าไม่นับหัวหน้าพรรคนี่ คนอื่น ๆ ในพรรค ก็อาจจะไม่ได้มีใครคุ้นตาประชาชนเลย คนในพรรคส่วนใหญ่นี่เรียกว่าใหม่หมดจดในวงการเมืองแทบจะยกแผง ตั้งแต่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. / ส.ส. ทำไปจะได้ใจ จะมีใครจดจำ หรือได้เสียงในวันข้างหน้าแค่ไหนก็บอกยาก

ทว่าการเมืองแบบนี้ เป็นการเมืองภาคประชาชนของโลกยุคใหม่ ยุคที่คนไทยอยากเห็นการเมืองสร้างสรรค์ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้หลังวันคืนหมาหอน แต่ก็น่าจะเป็นประกายเล็ก ๆ ให้คนในประเทศยังรู้สึกมีความหวังกับคนที่อยากมานักการเมืองไทย

ถึงกระนั้น!! อนาคตก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก​ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้กับอนาคตที่จะมาถึง ยังคงสม่ำเสมอได้...

ตราตรึงจิตคนไทยไม่ยาก!!


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ชูวิทย์’ สวนกลับ ‘ธนกร’ เปรียบเช่น เด็กชงกาแฟให้นาย เอาไว้เรียกใช้ซื้อข้าวมันไก่ เก่งแต่ปาก เลียแข้งเลียขานายไปวัน ๆ แล้วหวังเติบโตทางการเมือง ส่วนตน ขอเป็น ‘โจรโรบินฮู้ด ปล้นคนโง่ เสริมปัญญาคนเดินดิน’ 

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความบนเพจเฟซบุ๊ก ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ระบุว่า

โจรโรบินฮู้ด ปล้นคนโง่ เสริมปัญญาคนเดินดิน
-
‘ธนกร’ อัด ‘ชูวิทย์’ เก่งแต่ปาก แนะ ทำตัวเป็นองคุลีมาล อย่าเป็นโจรป่า
https://www.thairath.co.th/news/politic/2087675
-
ขอขอบคุณที่ชมผมว่าเป็น ‘โจรป่า’ แต่อยากให้ทำตัวเหมือน ‘องคุลีมาล’ 

จากเด็กเมื่อวานซืนอย่าง นายธนกร วังบุญคงชนะ ตำแหน่งแค่เลขาหน้าห้องรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

หากชาวบ้านไม่ทราบ ว่าตำแหน่งนี้ทำหน้าที่อะไร ก็เสมือนเด็กชงกาแฟให้นาย เอาไว้เรียกใช้ซื้อข้าวมันไก่ อะไรทำนองนั้น

แล้วได้แต่รอ ‘หวังบุญหล่นทับตีนบวมในอนาคต’

ผมทำงานมามาก เห็นคนมาหลากหลาย ไม่ว่าในโรงนวด ในโรงเหล้า ในเลานจ์ ในคุก หรือแม้แต่การเมืองในสภา

เด็กพวกนี้อยากเกิดอยากโตทางการเมืองอย่างนายธนกรกันทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากเป็นเด็กซื้อโอเลี้ยงยันแก่ 

จึงต้องคอยปกป้องนายให้ได้เห็นหัว อย่างนายสามารถที่เป็นถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ดันเรียนหนังสือเองไม่เป็น ให้คนอื่นไปเรียนไปสอบแทน

พวกนี้มีกิเลสการเมืองบังตา อยากเกิดแต่ไม่รู้จะเอาอะไรเกิด ยกเว้นตอบโต้ไปตามเรื่องตามราวให้นายเห็นว่ามีบทบาท แท้จริงยังหาตัวตนไม่เจอ นับประสาอะไรจะไปช่วยชาวบ้านได้ 

สิ่งที่ผมพูดวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เป็นเรื่องที่คนไทยเห็นด้วยกับผม ไม่ว่าวัคซีนที่มาช้า ไม่วางแผนล่วงหน้า รวบอำนาจทุกอย่างไว้กับตัวเอง แถลงสเปะสปะ ทำงานเชื่องช้าไม่ทันโลก ทั้ง ๆ ที่โควิดไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่ระบาดมาเป็นปี 

ชาวบ้านทุกคนจะมารอเศษเงินจากสารพัดโครงการของรัฐบาลแบบนี้ มันไม่ใช่ ต้องมุ่งเน้นเรื่องวัคซีน และใช่ครับ รัฐบาลได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ แต่ถามจริง ๆ มันไม่ช้าไปหรือไงท่าน?

คนเขาพูดปากเปียกปากแฉะกันมาตั้งนาน เพิ่งจะมาขึงขังเอาตอนวายป่วงไปทั่วประเทศ

หากท่านทันโลก ป่านนี้ประชาชนคนไทยคงได้ยิ้มแย้มแจ่มใส การค้าการขายครึกครื้น

มันเป็นความผิดผมที่ไปกระทุ้งรัฐบาลทุกเช้าเย็นหรือ?

สงสัยผมต้องคอยเอาใจนายกฯ ว่าท่านทำถูกแล้วคร้าบ เหมือนเด็กฟันน้ำนมการเมืองยังไม่ขึ้นอย่างนายธนกร อย่างนั้นหรือ? 

นี่ผมว่ากำลังจะเงียบ เพราะท่านนายกฯ เพิ่งปรับกระบวนทัศน์ยุทธศาสตร์เรื่องโควิดมาถูกทาง แม้จะช้าไป 

แต่ดันมาร่ำร้องไม่ดูฤกษ์ดูยาม ต้องให้นายเรียกไปด่าว่า อยากดังผิดเวลา 

สงสัยคงต้องพูดต่อ เช้า สาย บ่าย เย็น เพราะเรื่องวัคซีนเป็นเรื่องของชาติ ไม่ใช่เอามาใช้โจมตีกันทางการเมือง 

และที่เปรียบชูวิทย์ว่าเป็น ‘โจรป่า’ ผมยอมเป็น ‘โจรโรบินฮู้ด’ ปล้นคนโง่ที่อยากเสวยอำนาจนาน ๆ เอามาเสริมสมองให้ชาวบ้านเขารู้ทัน

ไม่ใช่เก่งแต่ปาก เลียแข้งเลียขานาย แล้วหวังเติบโตทางการเมือง

ลีลานี้ควรเลิกได้แล้วครับ คนเขารู้ทันหมดแล้ว

เดินหลง...ในดงโซเชียล By รัตนา & โกสินทร์

วันนี้มีเรื่องบ่นเยอะ!! เริ่มละนะ

1.) แปลกมั้ย!! มาวันนี้ ร้องระงมกัน ว่าอยากให้ล็อกดาวน์ แต่ก็มีเสียงแย้งว่า ถ้าล็อกแล้วไม่มีกินจะทำไง พอจะแจกเงินอีก ก็มีคนว่า ใช้ภาษีมั่วซั่วอีกแล้ว ไม่ต้องแจก หาวัคซีนมาเร็ว ๆ จะตายกันหมดแล้ว แต่ต้องเยียวยาด้วย!!!

2.) ใครเดินทางไปเยี่ยมญาติ โดนบังคับให้กักตัวก็อารมณ์เสีย กักตัวอยู่บ้านไม่สะดวก ลำบากมาก (เอียงคอ...งง) ต้องออกจากบ้านได้สิ ยอมเจ็บแต่จบ? (จบอะไร จบชีวิตเหรอ?)

3.) พอเค้าบอกยาขาด ก็บอกไม่รู้จักสต็อก...จ้า!!! พ่อคุณ!!! เล่นแรดกันไม่ระวังตัว 'ระบาด' เพิ่มเป็นหมื่น ในไม่กี่วัน ใครจะรับมือไหว หันไปมองต่างบ้านต่างเมืองเถอะ เค้าให้นอนดูอาการตัวเองที่บ้าน แต่คนไทยเราตรวจเชื้อตอนเช้า ตกบ่ายตกค่ำไปแดนซ์ไปเที่ยวกินดื่มเหมือนไม่มีอะไร

4.) รัฐบาลประกาศอะไรออกมา ก็บอกไม่ชัดเจน ฟังแล้วสับสน? ตรงนี้อาจจะจริง บ่นกันขรมทั้งเมืองเสมอ ไม่รู้ 7 ปีที่ผ่านไป เอาแต่แต่งเพลงหรือเปล่า จริง ๆ อย่าแถลงเลย แต่งเป็นเพลงดูสิ เผื่อจะช่วยให้คนเข้าใจอะไรง่ายขึ้น

5.) ตอนที่ ตัวเลข คนติดเชื้อน้อยก็บอกปิดบัง พอตัวเลขเยอะ ก็บอกไร้ประสิทธิภาพล้มเหลวในการทำงาน เหมือนเด็ก ๆ ที่ร้องหาประชาธิปไตยบอกว่า ต้องทำอย่างอังกฤษ ที่ตอนนี้มีชุดตรวจโควิด-19 ด้วยตัวเองส่งมาถึงบ้าน แต่อยากได้ความเด็ดขาดแบบจีน (คอมมิวนิสต์) มาจัดการ พวกคนไม่รับผิดชอบต่อสังคม

6.) ตอนหน้ากากไม่พอ ก็บอกว่าไม่จัดหาให้ไว แต่พอมีเพียงพอก็ไม่ใส่ไม่สวม หรือ เห็นกันทั่วไปว่าเอาหน้ากากมาแปะใต้คาง คนไทยเข้าใจยากจริง ๆ ด่าว่าทุกอย่างแต่ไม่สำรวจตัวเอง

7.) ล่าสุดบ่นกันเรื่องเตียงไม่พอ ทั้ง ๆ ที่มีเตียง “รพ.สนาม” ว่าง อยู่อีกเยอะ แต่เอาเข้าจริง อยากนอน รพ. จริง ๆ แบบผู้ป่วยหนัก แถมออกมาขอความช่วยเหลือทางโซเชียล ออกคลิปออกไลฟ์สดกัน

จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้อยากแยกย่อยให้เข้าใจปัญหาตรงนี้สักหน่อยว่า จำนวนรถพยาบาลขนส่งที่มีมาตรฐาน ปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ลำเลียง มันไม่เพียงพอ เพราะถ้าอยากให้ไว เกิดเค้าเอารถเมล์มาวิ่งรับ ถามตรง ๆ จะอยากขึ้นกันไหม ขนาด รพ.สนาม ยังไม่อยากนอน

เช่นเดียวกัน จะว่าไป คนไทยเราใช้โซเชียลกันเกินขอบเขต อย่างเคสนักเล่นเกมส์ ที่เสียชีวิต แล้วทางเพื่อน ๆ ต่างออกมาโทษการทำงานของรัฐ เพราะรัฐไม่รีบรับตัวมารักษาปล่อยให้เพื่อนเค้าตาย เลยไปดูไทม์ไลน์ ที่เหลือในเฟซบุ๊ก คือเค้าไปเที่ยวที่ทองหล่อ อยู่ในคลัสเตอร์ รัฐเค้าก็ประกาศให้รีบออกมาตรวจหาเชื้อกันตั้งแต่ต้นเดือน ตรงนี้ก็ไม่มีการออกมาบอกว่าได้ไปตรวจตามที่เค้าเรียกไหม?

จะด้วยอะไรก็ตาม พอทราบว่าคนที่เค้าใกล้ชิดติดเชื้อ ก็ทำการกักตัวเองตั้งแต่ วันที่ 12-17 เมษายน โดยบอกว่าไม่มีโควต้า รพ.ไหนให้เค้าเข้าตรวจ? พอวันที่ 21 เข้าแอดมิด พบว่าเชื้อลงปอดแล้ว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จนมาถึงวันที่ 24 เค้าก็ได้เสียชีวิตลง

จากไทม์ไลน์ดังกล่าว ถ้าคิดเป็นนะ!! คนเป็นเพื่อนไม่ควรใช้การตายของเพื่อนออกมาโหนบ่นด่าโทษการทำงานของรัฐเลยจริง ๆ !!!

แต่อย่างไรเสีย ก็ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต มา ณ ที่นี้ด้วย

ทั้ง 7 เรื่องที่นำมาเล่าทั้งหมดยืดยาวในช่วงเวลาคาบเกี่ยว 2-3 วันนี้ ก็แค่อยากให้มองความจริง มองเหตุผล ก่อนใช้อารมณ์ความรู้สึก เพราะปัจจุบัน มีการโทรแจ้งเข้ามาเรื่องรอการมารับ หลายร้อยรายต่อวัน แต่จงเชื่อเหอะว่าเจ้าหน้าที่เค้าทำดีที่สุดแล้ว

อีกเรื่องสำคัญ คือ คุณจะชอบรัฐหรือไม่ แต่ความร่วมมือนั้นสำคัญ รัฐประกาศอะไร เมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงควรรีบให้ไปตรวจโดยไว

สุดท้าย อย่าหลงเชื่ออะไรง่าย ๆ ในโลกโซเชียล เหมือนนักข่าวไทยพีบีเอสที่รายงานข่าวเครื่องบินเช่าเหมาลำจากอินเดีย กระโดดลอดห่วง งับข่าวปลอมเสียจมเขี้ยว...

เฟคนิวส์เริ่มเยอะ!!

เดินหลง...ในดงโซเชียล​ By​ รัตนา​ &​ โกสินทร์

ไม่อยากนั่งรอดู ความล่มสลายของระบบสาธารณสุขไทย แต่ปัญหาความไม่พอเพียงของบุคลากร​ และเวชภัณฑ์​ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในการรักษามันเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน

ตรงนี้ก็ไม่ทราบว่า ท่านอนุทิน ชาญวีระกุล จะจัดการอย่างไร ?

ถึงแม้ว่าจะเร่งจัดหาวัคซีนมาให้คนไทย​ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเราไม่มีการบริหารจัดการทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ​ กว่าที่เราจะได้วัคซีนที่คนแย่งกันทั้งโลก ก็คงเป็นตอนที่เราเหลือกันอยู่น่อยคนเอานะท่าน​ ยังไงๆ​ ทุกอย่างมันต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ​ กัน จะเน้นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้น้อ!! 

ว่ากันเรื่องวัคซีน ไถหน้าจอ ไปเจอเกรียนลาว แล้วอยากตบกะโหลก  มาหยามเราว่า สปป.ลาว เริ่มฉีดวัคซีนแล้ว 

ไม่เชื่อไปดู #สปปลาว ได้ เห็นคอมเมนต์เกรียนๆแล้วนั่งขำ ต้นเรื่องบอกว่าลาวได้รับ 2​ พันโดส ไทยเราตามหลังลาว

ส่วนพวกลูกกระจ๊อกก็คอมเมนต์เหยียดไทยไปอีก...

ฮัลโหล!!!! ไม่เกินพรุ่งนี้ เราจะฉีดทะลุ 1 ล้านโดสแล้วจ๊ะหนู.....

ส่วนประเด็นเรื่องวัคซีน​สุดฮือฮาจากปาก​ คุณโทนี่ วูดซัม ที่ออกมาเจื้อยแจ้วฉอเลาะในแอปพลิเคชันคลับเฮ้าส์​เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่บอกจะคุยกับปูติน เรื่องวัคซีนสปุกนิคให้นั้น!! 

ขำก๊ากเลย​ ก็ตรงนี้มันตลกฝืด ออกมาพูดเหมือนอยากตีกิน เอาใจแฟนคลับ ทั้งๆ​ ที่รัฐบาลออกมาพูดว่า จะจัดหาวัคซีน ทั้งของรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาไว้ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนแล้ว 

ล่าสุดทางเคลมลิน ก็บอกมาแล้วว่าจะรีบส่งมาให้ ส่วนของอเมริกาก็ตกลงเบื้องต้นจะขายและส่งมาให้ 10 ล้านโดส

ตรงนี้พูดเลยว่า คุณูปการของ ชื่อเสียงหมอไทย ที่ทำให้ทุกชาติ อยากให้เราใช้วัคซีนของเค้า จนเมืองไทยของเรา แทบจะเป็นชาติแรกๆ​ ในโลกที่มีการใช้วัคซีนจากหลายเจ้า 

แต่พูดแบบนี้​ ก็อย่าตีความต่อว่าเค้าเอาเรามาเป็นหนูทดลอง เพราะเราไม่ได้ให้ข้อมูลผู้รับวัคซีนแลกเปลี่ยนเหมือนที่หลายๆ​ ประเทศทำหรอกวุ้ย​ เพราะรู้ไหมว่า​ ต่างแดนน่ะเค้าอยากได้การรับรองจากหมอไทยเพื่อความน่าเชื่อถือเสียมากกว่า​ ไม่ได้โม้!! 

แต่ไอ้ส่วนเรื่องทำไมไม่รีบซื้อมาก่อนหน้านี้ ก็อย่าริเก่งกว่าหมออีกละ เพราะการวิจัยผลการทดสอบ มันค่อยๆ​ ออกมาให้ได้วิเคราะห์
นี่อนุมัติเพื่อชีวิตคนนะ ไม่ใช่อนุมัติยาทาสิว​ เบาๆ​ กันหน่อย!! 

เพราะดูได้เลยว่า หลายประเทศเค้าดำเนินการตามอย่างที่ไทยเราทำ เรื่องนี้ควรภูมิใจ มากกว่าคิดเล็กคิดน้อยเป็นสมองมด ดูแคลนประเทศตัวเอง

อ้อ!! อีกเรื่องนึงที่ไม่อยากข้าม​ คือ​ เรื่องสายด่วนต่างๆ มีข่าวคุณยาย รอรถพยาบาล จนเสียชีวิต ตรงนี้อ่านฟีดแล้วสลด ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว​ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารสายด่วนต่างๆ จะเริ่มตื่นตัว ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา หรือ จะปล่อยให้เกิดขึ้นต่อ​ เพราะทำอะไรไม่เป็น​ เก่งแต่รับตำแหน่งมาแล้วปล่อยไว้แบบนี้ ประจานภาพเจ้าหน้าที่ทำงานรับสายโดยไม่มีคอมพิวเตอร์​ ทำงานแบบ 'อนาล็อก'​ ไม่เป็น 4.0​ ห่วยเหลือคณา

ส่วนตัวแปลกใจตั้งแต่การแตกเบอร์ 1422 กรมควบคุมโรคแล้ว​ เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าเราจำกันได้​ 1422 นี่เทพยังกะเบอร์ฉุกเฉิน 191 สายด่วนในตำนาน ที่ปีก่อน ตอนโควิดระบาด ทุกภาคส่วนต่าง ให้การซูฮก 1422 ถามได้ตอบได้​ และ "ประสานงานให้การช่วยเหลือ" ได้แบบอับดุล ครอบจักรวาล แม้แต่สายด่วน 1111 ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชนหรือ 191 สายด่วนฉุกเฉิน ยังต้องส่งไม้ต่อมาให้ 1422 เป็นแม่ข่าย 

แต่ตอนนี้พูดถึงเบอร์ใหม่​ (1668-1668) มันน่าฉงน ไม่รู้ว่ากลการเมืองเข้าไป​ 'แย่งชื่อ -​ แย่งแสง'​ หาผลงาน จนต้องแตกสายด่วนออกมาหลายเบอร์ สร้างความสับสนให้ประชาชนกันทำไมไม่รู้ เอาซะจนตอนนี้ 1422 ไม่ต่างอะไรกับสายโทรให้ความรู้ ทั้งๆ​ ที่คนจำได้ทั้งเมืองว่า เอาไว้โทรขอความช่วยเหลือเรื่องโควิด
บอกให้ก็ได้​ การแตกสายด่วน มันทำให้เห็นว่า การประสานงานภายในไม่มีเอกภาพ แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งและแย่งกันทำงาน

รู้ถึงตรงนี้ แล้วน่าสงสารประชาชนพวกเรากันเอง กับการประสานงานที่ล่าช้ายิ่งกว่าสั่งพิซซ่ามากิน

งงจริงๆ กับระบบงานดีๆ ไม่พัฒนา ให้ดีขึ้น แต่เอามาแยกย่อยเอาไว้สร้างผลงาน ฉงนงงงวยกับ กระทรวงหมอวันนี้จริงๆ

พับผ่าเถอะ!! 

เดินหลง...ในดงโซเชียล By รัตนา & โกสินทร์

ไม่รู้ว่า Work From Home แล้วว่างกันมากหรือไง ถึงมีข่าวหลอกข่าวปลอม ว่าจะมีเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ห้ามออกจากบ้าน หลัง 4 ทุ่ม ถึง ตี 4 สนุกกันมากสินะ ในการปล่อยเฟคนิวส์ กันเต็มโลกทวิตเตอร์ ขอทีเถอะ เจ้ากระทรวงดีอีเอส คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รับตำแหน่งมาตั้งแต่ วันที่ 22 มีนาคม มาวันนี้จะครบเดือนแล้ว ยังมีข่าวปลอมข่าวลวง ที่เงียบไปสงสัยไปคุมงานต่อสายอินเตอร์เน็ตที่ไหนหรือเปล่า?

อุ้ย! เน็ตหลุด ต้องไปเช็คไวเลสเราเตอร์เน็ต พบสัญญาณกระตุก โถถังกะละมังหม้อ ไม่น่าทักท่านไปเลยพับผ่าสิ วันก่อนน้องรัตนาเอาแคปซูลฟ้าทลายโจรมาให้กิน เพราะบ่นว่ารู้สึกจะเป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ก็ดีใจที่มีติดบ้านเพราะได้ข่าวว่า ของเริ่มขาดตลาด ตรงนี้ถ้าชาวบ้านซื้อไปจริงถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าขาดตลาดเพราะพ่อค้าแอบเก็บสุ่ม ตรงนี้ขอแช่งคนที่กักตุน เวลาแบบนี้ ควรช่วยกันให้คนไทยได้มียาดีไว้ติดบ้าน

กระเดือกยาเทพ ดื่มน้ำตาม ก็เหลือบไปเห็น เด็กน้อยหน้าสามขีด บ่นกันขม เต็มทวิต เรื่องวัคซีน ทำไมอิสราเอลถึงได้ฉีดวัคซีนถึง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว แถมได้ฉีดวัคซีน ของ Pfizer อีก ล่าสุดเค้าประกาศว่าไม่ต้องสวมหน้ากากออกจากบ้านแล้วนะ จะปารตี้รื่นเริงทำได้หมด ชีวิตดีไม่เหมือนอยู่ในกะลาแลนด์!!! คร้าบ ที่อิจฉาคืออยากเที่ยวอยากร่านกันละสิ

ถึงจะแรดจะร่านมันก็เป็นสิทธิส่วนตัว แต่ก่อนว่าอะไรก็ขอให้มีความรู้ มาพี่จะเปิดกะลาน้อย ๆ ให้...

รู้ไหมว่า ประเทศเค้ามีคนแค่ 9 ล้านคน แต่เอามาเทียบคนบ้านเราที่มีถึง 66 ล้านคนก็ได้เหรอ แถมเจ้าของ Pfizer ก็เป็นคนยิว แม่เค้าก็อยู่ในอิสราเอล ทำไมถึงจะช่วยคนยิวกันเองไม่ได้ แถมนายกเนธันยาฮู ยังไปตกลงกับ Pfizer อีกว่ายอมจ่ายค่าวัคซีนแพงสองสามเท่าของราคาตลาด แถมข้อมูลผู้ได้ฉีดวัคซีนทุกคนจากดาต้าเบส โอนให้ Pfizer ไปวิจัยต่อ โดยไม่ต้องถามใจถามสิทธิคนฉีดเลยแต่น้อย ไงล่ะสิทธิส่วนบุคคลที่จะเป็นหนูลองยาแลกวัคซีนป้องกันโรคร้าย หนูสามขีดคงชอบกันสินะ

ส่วนเรื่องวัคซีนของบ้านเรา ตอนนี้ลุงตู่ จ่ายเงินซื้อไปแล้ว 61 ล้านโดส สำหรับฉีด 30 ล้านคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และจนถึงปลายปี จะต้องได้ร่วมกันให้ได้ 100 ล้านโดส โดยจะเริ่มฉีดให้คนทั่วไปเดือนมิถุนายน แบบฟรี ไม่เสียเงิน !!! ฟังไม่ผิดหรอก “ฟรี” จากภาษีที่เราจ่ายกันไปแล้วนั้นแหละ

ส่วนใครกลัวของรัฐ อยากเก๋อยากเดิ้น อยากเสียตังค์ เค้าไม่ได้ห้าม รพ.เอกชน นำเข้านะจ๊ะ แต่ตอนนี้ใครมันจะหาได้ ถ้าไม่ได้รับการ “ประกัน” จากรัฐบาลล่ะ เพราะถ้าเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ รพ.เอกชนที่ว่าแน่ก็ต้องจอด เชื่อเลยก่อนฉีด เค้าจะให้คุณเซ็นยินยอมไม่เอาผิดเอาโทษกับ รพ. ถ้าเกิดคุณตาย จากการฉีดวัคซีนจากเขา...

ที่สำคัญ จะฉีดวัคซีน อายุต่ำกว่า 18 เจอเรท ฉ. ด้วยละ เพราะเค้าไม่ให้ฉีด เนื่องจากผลการวิจัยยังไม่แน่นอน เข้าใจกันด้วยล่ะ อย่าเอาแต่ทำตัวเป็นนกกระจอกในทวิตเตอร์

ส่วนเรื่องข่าว ประชาชน 6 คน โดยทั้ง 6 คนเป็นผู้หญิง ที่ระยอง ได้รับวัคซีน ซิโนแวค แล้วเป็นอัมพฤกษ์ ตรงนี้ ศบค. และ สธ. แถลงชี้แจงแล้วว่า เป็นอาการคล้ายอัมพฤกษ์ เป็นอาการชั่วคราว ซึ่งคาดว่าเกิดจากลิ่มเลือด เวลานี้ทั้ง 6 ท่านที่เกิดผลข้างเคียง ต่างก็มีอาการดีขึ้น แถมวัคซีนล็อตนี้ที่ได้รับมากว่า 5 แสนโดส ตอนนี้ฉีดจะหมดล็อตอยู่แล้ว อย่ากลัวอย่าตระหนก

ข่าวฝากจากสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) และสถาบันบำราศนราดูร สำหรับท่านที่ได้รับการตรวจที่รถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยแล้ว ให้จำรหัสประจำตัวในการรับการตรวจให้ดี ซึ่งจะมีข้อมูล รหัสตรวจ : TCN no. ชื่อ-สกุล : เลขบัตรประชาชน : เบอร์โทรศัพท์ : จะท่องจำหรือจดใส่กระดาษ ถ้าจะให้ดีพกติดตัว หากมีความสงสัย หรืออยากสอบถาม สามารถโทรได้ที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค และถ้าได้รับแจ้งว่าผลเป็น Positive หรือเป็นบวก จงกักตัวเองอยู่ที่บ้าน แล้วโทรแจ้งประสานงานหาเตียงไปยังสายด่วน 1668, 1669, 1330 ทันที สำหรับพื้นที่กรุงเทพ โทร 1646 ศูนย์นเรนทร นะ

หากเริ่มมีไข้ แต่ยังไม่มีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก หากมีฟ้าทลายโจร ก็สามารถทานได้ แต่ขอย้ำตรงนี้ หากทานแล้วภายใน 2 วัน อาการไม่ดีขึ้น หรืออาการป่วยเริ่มแย่ลง อย่ารอช้า ให้รีบโทรติดต่อทางการทันที

ด้วยรักและห่วงใย จากคนที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน และอาศัยเมียหาข้าวหาปลาให้ ใจอยากจะหนีออกไปกินนอกบ้านก็ไม่ได้ แต่ทำไม่ได้เดี๋ยวกระบาลแยก!!


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'กรณ์' วิเคราะห์ ทีมยักษ์ใหญ่ยุโรปถอนตัว Super League ส่อล่ม อย่าดูถูกพลังของคนตัวเล็ก เจ้าของสโมสรต้องคำนึงถึงแฟนบอลด้วย เทียบการเมืองไทย ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรม มี ‘สัญญาประชาคม’ ใหม่ ความเป็นธรรมมากขึ้น เชื่อว่ากติกาที่ดี จะทำให้สังคมดีได้

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลง Facebook ถึงกรณีหลายทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่ในยุโรปถอนตัวจาก Super League เนื่องจากแฟนบอลออกมาต่อต้านว่า...

Super League ส่อล่ม อย่าดูถูกพลังของคนตัวเล็ก

แฟน ๆ ฟุตบอลไม่มีใคร ไม่ติดตามข่าวความพยายามที่จะตั้ง Super League โดยทีมชื่อดังในยุโรป ซึ่งต้องการแยกตัวออกมาเล่นกันเอง เพราะคิดผิดว่านั่นคือสิ่งที่แฟนบอลต้องการ

ทันทีที่มีการลงนามเบื้องต้นไปแล้ว ปรากฏว่าแฟนบอลออกมาประท้วงกันอย่างหนัก ทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก (ผมเองยังเตรียมล่ารายชื่อแฟนบอลในไทยเพื่อส่งไปร่วมประท้วงด้วย)

กระแสคัดค้านแผนนี้ของทีมใหญ่ชัดเจนและรุนแรงจนทำให้ทั้ง 6 ทีมของอังกฤษที่ร่วมลงนามต้องรีบถอนชื่อกันแทบไม่ทัน

บทเรียนคืออะไร? (ผมคิดเองนะ...)

1.) ผู้ถือหุ้นแต่ละทีมเข้าใจผิด คิดว่าการ ‘การถือหุ้น’ ทำให้ผูกขาดความเป็น ‘เจ้าของ’ ลืมไปว่าแฟนบอลของแต่ละทีมเขาก็คิดว่าเขาเป็นเจ้าของเหมือนกัน

2.) เช่นเดียวกัน เจ้าหนี้ของแต่ละสโมสรก็คิดผิด นึกว่าทีมฟุตบอลเหมือนบริษัททั่วไป

3.) ปัญหาสำคัญมาจากการที่ผู้ถือหุ้น (และเจ้าหนี้) หลายรายเป็นต่างชาติ (โดยเฉพาะอเมริกัน) ที่มาจากคนละวัฒนธรรมการกีฬา ตรงนี้สะท้อนความไม่เข้าใจในความต่างในความคิดและการยอมรับ

4.) ฟุตบอลยุโรปมีเสน่ห์เพราะความเสมอภาค ใครเก่งก็ขึ้น ใครอ่อนก็ลง (แค่นี้ความเสมอภาคก็หายไปเยอะแล้ว เพราะสายป่านแต่ละทีมต่างกัน)

5.) และทีมฟุตบอลยุโรปแต่ละทีมมีที่มาและความผูกพันกับเมืองอย่างลึกซึ้ง (ต่างกับอเมริกาที่ทีมฟุตบอลเรียกว่าเป็น franchise ย้ายเมืองได้) ซึ่งความผูกพันกับเมืองมีค่าเพียงเพราะเมื่อมีการแข่งขันกับเมืองอื่นอย่างจริงจัง

6.) ระยะหลังแฟนบอลยุโรปมีอยู่ทั่วโลก (รวมถึงเมืองไทย) ซึ่งผู้ถือหุ้นเองอาจจะเข้าใจผิด มองคนเอเชียเราเป็น ‘ลูกค้า’ มากกว่า ‘แฟน’ และคิดว่า ‘เฮ้ย! คนไทยดูหงส์เตะกับผีมากกว่าดูนักบุญเตะกับช่างปั้นหม้อ งั้นเราก็เอาแต่หงส์กับผีมาเตะกันบ่อย ๆ เอามั้ย’ คำตอบคือ ‘ไม่เอา’ เพราะก๋วยเตี๋ยวยังต้องมีถั่วงอกมีเส้นมีนํ้าซุป จะกินแต่ลูกชิ้นมันก็ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว

7.) สำคัญที่สุดคือผู้ถือหุ้นไม่เข้าใจ ‘brand’ ตัวเอง ไม่เข้าใจว่าพลังของ brand ทีมฟุตบอลมาจากอะไร และพลาดไปมอง ‘แฟน’ เสมือนเป็นแค่ ‘ลูกค้า’ แทนที่จะเข้าใจว่าเขาคือ ‘เจ้าของตัวจริง’

ผมนั่งคิดเปรียบเทียบกับการเมืองไทย ผมมองว่าวัฒนธรรม ‘ใครมือยาวสาวได้สาวเอา’ เป็นวัฒนธรรมที่ต้องเปลี่ยน จะเปลี่ยนได้ต้องมี ‘สัญญาประชาคม’ ใหม่ เป็นสัญญาว่าประเทศเราจะมีความเป็นธรรมมากขึ้น ต่างคนต่างทำหน้าที่ อำนาจมาจากหน้าที่ แต่เป็นอำนาจที่ตรวจสอบได้เสมอ

ผมถึงมาทำพรรคกล้า เพราะผมมองตัวเองว่าเป็นคนที่ไม่เอาเปรียบใคร และไม่ชอบใครที่เอาเปรียบคนอื่น ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการให้โอกาสทุกคน ให้ความสำคัญกับกติกา และเชื่อว่ากติกาที่ดีเท่านั้นที่จะทำให้สังคมดีได้

ปล. ลืมตัวไปนิด เพราะตอนแรกว่าจะคุยแต่เรื่องฟุตบอลเท่านั้น

ที่มา: https://www.facebook.com/71254499739/posts/10159568043349740/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top