Saturday, 22 June 2024
POLITICS NEWS

จากกรณีศาลอาญา ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา หรือ ผอ.ศาลอาญา กล่าวหา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยคดี ม.112 และความผิดฐานชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีละเมิดอำนาจศาล

กรณีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาได้นัดตรวจพยาน หลักฐานคดีชุมนุมที่ท้องสนามหลวงวันที่ 19-20 ก.ย.63 และอัยการขอให้รวมสำนวนคดี ปรากฏว่ามีรายงานว่านายพริษฐ์ปฏิบัติตัวไม่เรียบร้อย โต้ตอบผู้พิพากษาในขณะปฏิบัติหน้าที่ ขออ่านแถลงการณ์ แม้ถูกคัดค้านก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันอ่านแถลงการณ์โดยลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ จนเกิดเหตุการณ์วุ่นวายมีคนเขวี้ยงขวดน้ำลงพื้น โดย นายพริษฐ์ สารภาพเปลี่ยนเป็นกักขัง 15 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานเพจ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้โพสต์ข้อความการเปลี่ยนสถานที่คุมของ เพนกวิน จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ไปยัง สถานกักขังจังหวัดปทุมธานี

โดยระบุข้อความว่า ศาลพิพากษา จำคุก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ 1 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล (ลดโทษเหลือ 15 วันเนื่องจากรับสารภาพ) โดยขณะนี้ เพนกวินถูกย้ายตัวมากักขังที่สถานกักขังจังหวัดปทุมธานีแล้ว ตั้งแต่เวลาประมาณ 20:00 น. โดยไม่แจ้งให้ญาติและทนายทราบ


ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/crime/news_2636831

ผอ.ซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจส่วนใหญ่เชื่อเปิดประเทศพ้นวิกฤต มั่นใจเปิดได้หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องการใช้ กฏหมายทุกมาตราจัดการม็อบทำลายชาติ ชี้รัฐบาลต่างชาติอย่าหนุนชุมนุมทำลายสถาบันหลักของไทย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง เปิดประเทศ พ้นวิกฤต กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,600 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 17 - 20 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.3 เชื่อว่า เปิดประเทศ พ้นวิกฤต เพราะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว และห่วงโซ่ธุรกิจอื่นๆ ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.5 ระบุ ประเทศไทยเปิดประเทศได้ เพราะมีวัคซีนแล้ว และเป็นหน้าที่ของทุกคน คนไทยอยู่กับโควิด ให้เป็นบุคลากรการแพทย์ไทยเก่งเครื่องมือทันสมัยติดโควิดก็รักษาได้ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

ในขณะที่ร้อยละ 88.5 มั่นใจว่า เปิดประเทศแล้ว รัฐบาลและประชาชนช่วยกันทำเศรษฐกิจฐานราก เดินหน้าต่อได้ดีขึ้น

ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.4 มีความสุข มีความหวัง ที่รัฐบาลจะเปิดประเทศ ช่วงโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจ คนต้องการทำมาหากิน

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.3 ทุกข์ใจ และต้องการให้ใช้กฎหมายทุกมาตรา จัดการพวกม็อบ พวกท่อน้ำเลี้ยงและนักการเมือง นักวิชาการบางคนยุยงปลุกปั่น ม็อบละเมิดกฎหมาย ก้าวล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ เผาบ้านตนเอง ชักศึกเข้าบ้าน ทำลายภาษีของประชาชน แกนนำม็อบละเมิดศาล ม็อบละเมิดผู้อื่น คุกคามผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ทำลายชาติบ้านเมืองของตนเองด้วยการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงบานปลาย

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.1 ต้องการเห็น รัฐบาลต่างชาติ หนุนประเทศไทยเปิดประเทศช่วงโควิด กระตุ้นเศรษฐกิจ ขอรัฐบาลต่างชาติอย่าหนุนม็อบทำลายสถาบันหลักของชาติ สร้างความแตกแยกของคนไทยในชาติ

ในขณะที่ ร้อยละ 89.6 ระบุ รัฐบาลต่างชาติ ควรหนุนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเดินทางทั่วโลกอย่างปลอดภัย ปลอดโควิด

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.5 ต้องการค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุด ต่อรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมาตรการใหม่ๆ ช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SME) ล่วงหน้ารองรับการเปิดประเทศ

ในขณะที่ ร้อยละ 22.4 ระบุปานกลาง และร้อยละ 4.1 ต้องการค่อนข้างน้อย ถึง ไม่เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “พวกเราต้องทำหน้าที่” เปิดประเทศ พ้นวิกฤต เพิ่มเงินในกระเป๋าของคนไทยถ้วนหน้า ดึงรัฐบาลต่างชาติมาเสริมสร้างการเปิดประเทศอย่างปลอดภัยสร้างผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างชาติ โดยชี้ให้ตรงจุดไปว่า ขอรัฐบาลต่างชาติอย่าร่วมมือกับนักการเมือง นักวิชาการ นักธุรกิจคนไทยบางคนที่พบปะกันบ่อยๆ วางแผนหนุนหลังม็อบ 3 นิ้ว ที่เห็นกันชัดเจนว่า แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และนักการเมือง นักธุรกิจ และนักวิชาการบางคน ก้าวล่วงละเมิดสถาบันหลักของชาติ ละเมิดศาล ฝ่าฝืนกฎหมาย เผาทำลายเงินภาษีของประชาชน เบียดเบียนคุกคามผู้อื่น นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายของคนไทยในชาติ

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เปิดประเทศ พ้นวิกฤต จะเป็นจริงได้ เมื่อคนไทยทุกคนทำหน้าที่ พลเมืองที่ดี มีความรับผิดชอบ ไม่ชักศึกเข้าบ้าน ไม่เผาชาติบ้านเมืองของตนเอง และรัฐบาลออกมาตรการใหม่ๆ หนุนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม รองรับการเปิดประเทศจะช่วยทำความสุข ความหวังของประชาชนเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อประชาชนทุกกลุ่มมีความสุข สมหวังที่ตั้งเป้าไว้ ผลที่ตามมาคือ ม็อบต่างๆ จะจุดติดได้ยาก เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย


แหล่งข่าว

https://mgronline.com/politics/detail/9640000027004

‘พริษฐ์ วัชรสินธุ’ หลานอภิสิทธิ์ แจงกระแสข่าวร่วมงาน ‘พรรคก้าวไกล’ ชี้มีจุดยืนการเมืองคล้ายกัน แต่ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ดูแลสตาร์ทอัพการศึกษาก่อน

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลานชายของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พริษฐ์ วัชรสิทธุ - ไอติม – Parit Wacharasindhu’ชี้แจงถึงกระแสข่าวว่า เตรียมเข้าร่วมงานกับพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า...

ตามกระแสข่าวที่ออกมา ผมขอชี้แจงว่าได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพรรคก้าวไกลจริง เนื่องจากมีจุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม คล้ายกัน และที่ผ่านมา ได้ร่วมงานกับพรรคในกิจกรรมต่างๆ เช่น การรณรงค์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องนโยบายที่พรรคเชิญคนนอกไปร่วมวงคุย และล่าสุดคือการไปบรรยายเรื่องการวิเคราะห์นโยบายที่กิจกรรมพัฒนาบุคลากรของพรรค

ปัจจุบัน งานหลักของผมคือการบริหารสตาร์ทอัพด้านการศึกษา ส่วนบทบาททางการเมืองในฐานะผู้สมัคร ยังคงเป็นเป้าหมายของผมในอนาคต และเมื่อถึงวันนั้น จะแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจนครับ

สำหรับ นายพริษฐ์ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2561 และลาออกในปี 2562 หลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จากการสนับสนุนของพรรคพลังประชารัฐ


ที่มา: https://www.facebook.com/254171817929906/posts/5759775110702855/

หวั่น ‘แท็กซี่’ ส่งมือเผาให้ตำรวจได้รับอันตราย หลังมีข่าวสะพัด ‘อั้งยี่3กีบ’ ตามระราน ฝาก ‘หมอวรงค์’ ช่วยดูแล เหตุประกาศตามหา พร้อมตบรางวัล ‘ทำดี’ 20,000 บาท

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุเนื้อหาว่า “#ตามหาแท็กซี่ พี่คนขับแท็กซี่ในภาพ ที่เป็นผู้นำมือเผา พระบรมฉายาลักษณ์ #ม็อบ 20มีนา ไปส่งตำรวจ พี่สุดยอดมากครับ มีผู้หวังดี ที่นับถือใน หัวใจของความเป็นคนไทยของพี่ มอบเงินผ่านผมมา 20,000 บาท เพื่อมอบต่อให้พี่ ถ้าพี่หรือท่านใดทราบ ชื่อ-สกุล พร้อมเบอร์โทร ติดต่อผ่าน inbox ผมด้วยครับ ผมจะได้มอบกำลังใจนี้ให้พี่ต่อไปครับ”

ภายหลังมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไปได้มีผู้เข้ามาแชร์จำนวนมาก พร้อมแสดงความคิดเห็นชื่นชมแท็กซี่รายดังกล่าว และแจ้งเตือนด้วยว่าแท็กซี่รายดังกล่าวอาจจะไม่ปลอดภัย โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นรายหนึ่งแจ้งว่า “คุณหมอวรงค์ ครับ ข่าวว่า พวกอั้งยี่ 3 กีบ ตาม ระรานรังควาน พี่แท็กซี่ เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยแก ครับ ช่วยดูแลแกด้วยครับ พฤติการณ์อั้งยี่ 3 กีบ เช่นนี้ คือ พฤติการณ์ผู้ก่อการร้ายในประเทศที่จะตามกำจัดผู้อยู่ฝ่ายตรงข้ามเหมือนไอร์แลนด์ กลุ่มไอซิส..ด้วยความนับถือ”


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/560819

ธุรกิจร้านอาหาร MK และในเครือ ดูท่าจะงานเข้า!!

หลังจากนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล หรือ ‘ส.ส.เจี๊ยบ’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Amarat Chokepamitkul ประกาศชวนเชิญชวนเลิกกินร้านดัง หลังเป็นสปอนเซอร์ให้กับรายการ Top News ว่า…

“เลิกกิน MK และ Yayoi แม้จะเป็นร้านโปรดจนกว่าจะเลิกเป็นสปอนเซ่อร์ให้ช่อง Top News”

[หากเป็นการเข้าใจผิดขอให้ทาง MK เร่งชี้แจงข้อเท็จจริง]


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=489770832429119&id=100563224683217

ทัวร์ลง ‘แคน ก้าวไกล’ ปกป้อง ‘ฝ้าย’ อดีต BNK48 ที่เพิ่งโดนปลด บอกแอบโพสต์บัญชีให้แฟนคลับโอนเงินเข้าโดยตรง เป็นจำนวนเงินไม่มาก อีกทั้งบริษัทไม่เคยตักเตือน ถือว่าไม่ผิด เจ้าตัวรีบแจงไม่หนุนคอร์รัปชัน พร้อมรับคำติ เพื่อพัฒนาตัวเอง

น.ส.นายิกา ศรีเนียน หรือ แคน อดีตสมาชิกวงไอดอล BNK48 ได้ไลฟ์สดร่วมกับ น.ส.สุมิตรา ดวงแก้ว หรือ ฝ้าย อดีตสมาชิก BNK48 ที่เพิ่งถูกให้พ้นสถานะจากวง BNK48 กะทันหันเมื่อวันก่อน (19 มี.ค.) เนื่องจากทำผิดกฎของวง จากการโพสต์เลขบัญชีตัวเองเพื่อให้แฟนคลับโอนเงินเข้าโดยตรง

จากการไลฟ์สดในครั้งนี้ มีคำพูดหนึ่งของ แคน ที่ทำให้แฟนคลับหลายคนผิดหวัง เนื่องจากบอกว่า ‘เงิน’ เป็นจำนวนไม่มาก แล้วการอยู่ในวงค่าตอบแทนไม่คุ้มกับค่าเดินทางด้วยซ้ำ อีกทั้งบริษัท ‘ไม่เคยเรียกไปตักเตือน’ แสดงว่าเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ผิด’

คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดกระแสตำหนิอย่างมากในทวิตเตอร์ เพราะแคนเองก็ได้ร่วมทำงานการเมืองกับพรรคก้าวไกล สะท้อนถึงทัศนคติที่เห็นว่าการคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงไม่เหมาะสมที่จะเล่นการเมือง ด้านเจ้าตัวก็ได้ลบคลิปไลฟ์ดังกล่าวไปแล้ว พร้อมกับยอมรับผิด และเน้นย้ำว่า ไม่ได้สนับสนุนการคอร์รัปชัน พร้อมรับฟังทุกความคิดเห็น เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป

สำหรับ แคน นายิกา ภายหลังจากที่ลาออกจาก BNK48 เคยเข้าร่วมชุมนุมกับม็อบราษฎร และร่วมงานกับพรรคก้าวไกล อยู่ในทีมประชาสัมพันธ์ว่าที่ผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตบึงกุ่ม และ คันนายาว ขณะที่ จ.เจตน์-ภูวกร ศรีเนียน บิดาของ แคน ก็เป็น 1 ในทีมผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และเคยลงสมัคร ส.ส.พะเยา ของพรรค ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันเป็นผู้ประสานงานคณะก้าวหน้า จ.พะเยา


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000026966?fbclid=IwAR2eOqXKFrsQ-OgWroWqWRaKCLBazetjrcIE_vwKwqlnAK--77xgjSx1eGY

ที่จังหวัดร้อยเอ็ด นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เดินทางมาพบปะพูดคุยและร่วมหาเสียงให้กับ นายร่วมภูมิศักดิ์ พลเยี่ยม ผู้สมัครนายกเทศมนตรีโพนทอง เบอร์ 3 และผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลในนามคณะก้าวหน้า

สำหรับโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาล ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม นี้

ที่ตลาดเทศบาลโพนทอง อ.โพนทอง นายปิยบุตร ได้กล่าวตอนหนึ่งในการพบปะประชาชนว่า คณะก้าวหน้าออกแบบนโยบายโดยดูจากงบประมาณที่เทศบาลมี ใช้มันสมองของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมกับความเป็นคนพี้นที่โพนทองของ ร่วมภูมิศักดิ์ พลเยี่ยม ผู้สมัครนายกเทศมนตรี และรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชน คิดค้นออกมาเป็นนโยบายก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการและบริการสาธารณะ เศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน สิ่งแวดล้อม พัฒนาพื้นที่สาธารณะ การเดินทางเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมการบริหารงานเทศบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้

“นโยบายดี ๆ เพื่อเทศบาลก้าวหน้าจะเกิดขึ้นได้ต้องให้โอกาสคนใหม่ๆ เข้าไปทำงาน ผมเข้าใจดีว่าการเมืองท้องถิ่นที่ผ่านมายึดโยงกันด้วยความเป็นครอบครัว ความสนิทชิดเชื้อ พี่น้องอาจคิดว่าต้องกากบาทให้คนนั้นคนนี้ เพราะเคยช่วยเหลือมาเยอะ แต่หลักการที่ถูกต้องของการเมืองท้องถิ่น คือต้องสัมพันธ์กันด้วยสิทธิและหน้าที่ มิใช่บุญคุณที่ต้องทดแทน ใครก็ตามที่เข้าไปมีอำนาจรัฐ มีหน้าที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน และพี่น้องมีสิทธิเรียกร้องให้เขามาทำงานให้เราแบบที่เราต้องการ ที่สำคัญที่สุดเงินที่จ้างเขามาทำงานในเทศบาลเงินที่เขาเอามาพัฒนาบ้านของเรา แท้จริงแล้วก็คือเงินภาษีของพี่น้องเอง คือทุกบาททุกสตางค์ของเราที่จับจ่ายซี้อของไป ภาษีเหล่านั้นถูกจัดสรรกลับมาเป็นงบประมาณเทศบาล” ปิยบุตร กล่าว

จากนั้นนายปิยบุตรและคณะผู้สมัครนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล ได้ทักทายพี่น้องทั่วตลาดมีแม่ค้าพ่อค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของเข้ามาขอถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก หลายคนบอกว่าเป็นกำลังใจให้ต่อสู้กับเผด็จการต่อไป อีกกี่สิบปีก็จะรอ ขณะที่ นายปิยบุตร บอกว่าไม่ต้องรอถึงสิบปี 28 มีนาคมนี้ เลือกผู้สมัครนายกเทศมนตรีคณะก้าวหน้า ก็ได้มันสมองของธนาธรมาทำนโยบายดี ๆ ให้พี่น้อง เห็นผลทันตา เทศบาลก้าวหน้าอย่างแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น ทั้งหมดเดินทางไปพบปะกับกลุ่มอาชีพจักรสานบ้านคำแข้ ณ ศูนย์อาชีพ บ้านคำแข้ จ.ร้อยเอ็ด “ครูสวย” ผู้ริเริ่มการฝึกอบรมงานจักรสานให้กับแม่ ๆ ในพื้นที่บ้านแข้เล่าว่า พอเกษียณอายุก็จัดอบรมฝึกอาชีพจักรสานกระเป๋ากันมาตั้งแต่ปี 2561 ใครอยากเรียนก็มาฝึกกันและตั้งขายที่หน้าศูนย์ บางครั้งมีลูกค้ามารับไปขายต่อ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีช่องทางส่งสินค้าที่แน่นอน

ด้าน ร่วมภูมิศักดิ์ กล่าวว่า ตนเองมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน โดยนำงบประมาณของเทศบาลมาจัดสรรปันส่วนให้เป็นทุนสนับสนุนกลุ่มอาชีพทุกหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 100,000 บาท เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่ริเริ่มมาแล้ว แต่ยังไม่มีช่องทางในการเพิ่มกำไร ขณะที่ นายปิยบุตร กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า การเลือกตั้ง 28 มีนาคมนี้ เรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยที่กินได้อยู่หน้าบ้านของพี่น้อง หากได้นายกเทศมนตรีมีความสามารถ บริหารงบประมาณเป็นสักคนชีวิตในบ้านของพี่น้องจะเปลี่ยนไปได้ชั่วข้ามคืน จึงอยากชวนออกไปใช้สิทธิ์กันให้มาก ๆ ถ้าไม่ใช้สิทธิใช้เสียง แปลว่าปล่อยให้งบประมาณปีละหลายล้านบาท เอาไปให้ใครไม่รู้บริหาร

สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ต่อกรณี แม่ 3 แกนนำม็อบเข้าพบ

คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พร้อม 'แม่เพนกวิน' 1 ในแม่ของแกนนำผู้ชุมนุมราษฎร เข้ายื่นหนังสือต่อองค์กรนานาชาติ และ นายไมเคิล ฮีท อุปทูตรักษาราชการสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย

โดยใจความเนื้อหาในจดหมายบางส่วน อ้างถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกรณีการชุมนุมที่นำโดยนิสิตนักศึกษาในปี 2563 ที่ผ่านมาที่มีการขัดขวางและสลายการชุมนุมอย่างผิดหลักการและขั้นตอนสากล มีการใช้กำลังอย่างไม่ได้สัดส่วนกับการชุมนุม มีการขู่คุกคามผู้ชุมนุมทั้งในสถานศึกษาและที่พักอาศัย รวมถึงมีการตั้งข้อหาและดำเนินคดีแกนนำและผู้ชุมนุมด้วยกฎหมายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ฯลฯ

เนื้อหาในจดหมายยังระบุอีกว่า ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 ถึงกลางเดือนมีนาคม 2564 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตามมาตรา 112 อย่างน้อย 73 คน ใน 63 คดี โดยในจำนวนของผู้ถูกจับกุม 18 คน มีเพียง 6 คนที่ได้รับสิทธิประกันตัว ส่วนที่เหลืออีก 12 คนไม่ได้รับสิทธิประกันตัว แม้บางคนจะเป็นนักศึกษาและอยู่ระหว่างการศึกษาเล่าเรียน เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ไม่นับรวมผู้ต้องหาคนอื่นที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะหลบหนีหรือก่อความยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นนายอานนท์ นำภา นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หรือนายภาณุพงศ์ จาดนอก

นอกจากนี้ ยังมีการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การพาตัวผู้ต้องหาจากศาลไปยังเรือนจำก่อนที่ผู้ต้องหาจะลงนามรับทราบคำสั่งศาลในคำขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่มีแนวโน้มว่านักศึกษาและประชาชนในส่วนที่เหลือจะถูกจับกุมตามหมายแล้วไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวในลักษณะเดียวกัน

การปฏิเสธคำขอปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาโดยอ้างเหตุผลว่าผู้ต้องหาจะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันถือว่าขัดหลักการพื้นฐานทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั้งในระดับสากลและที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด เพราะเป็นการตัดสินล่วงหน้าว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดทั้งที่กระบวนการไต่สวนพิจารณาคดียังไม่ได้เริ่ม

เครือข่ายนักวิชาการ นักศึกษา ประชาชน รวมถึงผู้ต้องหาและญาติ จึงเดินทางมายังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเพื่อให้ประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะประเทศที่ส่งเสริมประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมถึงผดุงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม ได้ตระหนักในสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยเฉพาะที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และสื่อสารไปยังรัฐบาลไทยให้ยุติการกระทำดังกล่าวในทันที

ขณะที่ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เมื่อได้รับทราบข้อความ ก็ได้ออกแถลงการณ์ ความว่า...

"ในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต ไมเคิล ฮีธ พบกับมารดาของนักเคลื่อนไหว 3 คนที่กำลังถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ โดยเป็นการพบปะกันตามคำขอของพวกเธอ ซึ่งได้แสดงความเป็นกังวลเกี่ยวกับบุตรของพวกเธอ

อุปทูตฮีธ และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนอื่นๆ ได้พบปะกับชาวไทยในหลากหลายภาคส่วนอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล เจ้าหน้าที่ทหาร นักธุรกิจ นักวิชาการ หรือผู้นำเยาวชน ทั้งนี้เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมาย ความกังวล และประเด็นที่ชาวไทยให้ความสำคัญ การพบปะกันเช่นนี้สะท้อนถึงงานหลักของเจ้าหน้าที่การทูต อันได้แก่ การแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมองที่กว้างขวางในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง และอื่นๆ ของพลเมืองในประเทศที่ประจำการอยู่


ที่มา: https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/144038?utm_campaign=%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87&utm_source=line&utm_medium=oa


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top