Wednesday, 2 July 2025
POLITICS NEWS

หรือประเทศไทยจะเป็น “แผ่นดินแห่งการคอร์รัปชัน” ไม่เว้นแม้แต่องค์กรที่เป็น “ผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของแผ่นดิน”

(17 เม.ย. 68) มีผู้คนจำนวนมากพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ถ้าแผ่นดินไม่ไหวหนักเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศก็จะไม่ทราบว่าตึก 30 ชั้นซึ่งเป็นที่ทำการใหม่ของ “สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน” ที่กำลังก่อสร้างอยู่ และได้ถล่มลงมาราบคาบในไม่กี่นาที มีความไม่ชอบมาพากลซุกซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย  

เงินภาษีของประชาชนเกิน 2,000 ล้านบาท ลอยหายไปในอากาศพร้อมฝุ่นควันแห่งความสงสัย

ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติ คงไม่มีใครไปตั้งคำถาม แต่การที่ทั้งประเทศไทยกลับมีตึกใหญ่สร้างใหม่อยู่เพียงตึกเดียวล้มครืนลงมาทับผู้คนจนล้มตาย จึงเป็นเรื่องที่ชวนสงสัยถึงมาตรฐานการสร้าง เป็นไปได้อย่างไรที่การใช้งบประมาณมากมายขนาดนี้ ยังไร้คุณภาพ ที่สำคัญนี่คือตึกสำนักงานของ “นักตรวจสอบกลโกง” โดยตรง ถ้าสืบค้นลึกลงไปแล้วพบว่าเบื้องหลังมี “ผู้ใหญ่แห่ง สตง.” บางคนทุจริต หรือรู้เห็นเป็นใจกับผู้รับเหมาให้มีการลดสเปควัสดุในการสร้าง ตึกถล่มครั้งนี้ก็จะกลายเป็นตึกแห่งการโกงกินของ "ผู้พิทักษ์ทรัพย์สินของแผ่นดิน" เสียเอง

แม้ส่วนลึกจะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ก็ยากเหลือเกินที่จะหาคำตอบอื่นได้

แต่ไม่ว่าจะมีการโกงกินภายในหรือไม่ คนไทยตาดำ ๆ แบบเราก็ยากจะหวังพึ่งพิงองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบทั้งหน่วยงานเพื่อให้เกิดความโปร่งใสแห่งนี้ได้อีกต่อไป เพราะเห็นชัดว่าขาดความละเอียดรอบคอบในการใช้เงินภาษีของประชาชน

หลังตึกถล่มนอกจากจะช้าเป็นเต่าในการออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังเต็มไปด้วยคำพูดที่ฟอกตนเอง หนีปัญหา และไร้คำขอโทษใด ๆ ทำราวกับว่าประชาชนคนไทยรับประทานหญ้าเป็นอาหาร การที่บอกไม่รู้ ไม่เห็น ก็เท่ากับเป็นการสะท้อนคุณภาพ ศักยภาพ นิสัย และตัวตนของ "ผู้ใหญ่แห่ง สตง." อย่างหมดเปลือก

ผมเชื่อว่า "คน สตง." ระดับอื่นมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพ มีอุดมการณ์ มีมาตรฐานในการทำงานตรวจสอบที่สูง คนเหล่านี้จะพลอยเสียหายและหมดกำลังใจจากคำพูดของ "ผู้ใหญ่แห่ง สตง." ไม่กี่คน ช่างไม่แฟร์กับคนเหล่านี้เลย

คนระดับ "หัวหน้าขององค์กรอิสระของชาติ" ที่ประชาชนจะฝากชีวิตและความหวังไว้ กลับชักช้า ตื้นเขิน ไร้ความกล้าหาญ และจริงใจ ท่านหาอาชีพอื่นทำเถอะครับ 

วิเคราะห์เชิงตัวเลข ศึกชิง สส.เขต 8 นครศรีฯ นับถอยหลังโค้งสุดท้ายใครจะเข้าวิน อีก 7 วันรู้ผล

(21 เม.ย. 68) ศึกชิงเก้าอี้ สส.เขต 8 นครศรีฯเกิดจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 นครศรีฯ พรรคภูมิใจไทย ตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดง่ายๆคือให้ใบแดงนั้นเอง

กกต.กำหนดให้เลือกตั้งวันที่ 27 เมษายน 2568 มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 6 คน จาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย
หมายเลข 1 : ไสว เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย สามีของมุกดาวรรณนั้นเอง
หมายเลข 2 : ชินวรณ์ บุณยเกียรติ จากพรรคประชาธิปัตย์ อดีต สส.เขตนี้ 9 สมัย
หมายเลข 3 : ณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง จากพรรคประชาชน
หมายเลข 4 : ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง จากพรรคพร้อม
หมายเลข 5 : ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ลูกเขยของชินวรณ์
หมายเลข 6 : พิษณุ รสมาลี จากพรรคทางเลือกใหม่

อาจกล่าวได้ว่า สนามเลือกตั้งนี้ สูสีกันมาก ไม่มีใครกล้าฟันธงว่า ใครจะเข้าวิน มีแต่พูดกันในแวดวง หรือโต๊ะกาแฟ แต่ภาพกว้างๆ คือ มีผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ กล้าธรรม และภูมิใจไทย และซีกฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ส่วนพรรคพร้อม และพรรคทางเลือกใหม่ ยังไม่มี สส.ในสภา บางคนอาจจะมองว่า พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคแย่งคะแนนกันเอง อาจจะกอดคอกันแพ้ และทำให้ตาอยู่อย่างพรรคประชาชนคว้าพุงปลามันไปกิน แต่ในทางการเมืองไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า คนใต้ยังไม่ให้โอกาสกับพรรคประชาชนในทุกสนามเลือกตั้ง ยังติดภาพของ ม.112 และการหาเสียงครั้งนี้การพยายามสร้างกระแสนั้น กระแสยังไม่ขึ้น ไม่เหมือนครั้งการเลือกตั้งที่ราชบุรี หรือพิษณุโลก

ส่วนพรรคซีกรัฐบาล 3 พรรค น่าจะคนละฐานเสียงกัน ต่างพรรคต่างคนต่างก็มีฐานของตัวเอง งานนี้ใครจัดตั้งได้ดี มีเครือข่ายเหนียวแน่นจึงมีโอกาสชนะ ผมคงไม่วิเคราะห์ในเชิงของการใช้ปัจจัยชี้นำ

ขออนุญาตที่จะวิเคราะห์ในเชิงตัวเลข โดยภาพรวมประชากร 150,000 คน จะมี สส.ได้ 1 คน กล่าวสำหรับเขต 8 นครศรีฯ อันประกอบด้วย ฉวาง ช้างกลาง นาบอน และพิปูน และฐานใหญ่อยู่ที่ฉวาง

อ.ฉวาง ถิ่นของชินวรณ์ และก้องเกียรติ มีประชากร 64,749 คน อ.ช้างกลาง ถิ่นของไสว มีประชากร 28133 คน พิปูน ถิ่นของณัฐกิตติ์ มีประชากร 28808 และนาบอน มีประชากร 26046 คน โดยรวมแล้วมีประชากร 147,735 คน น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ 2265 คน

ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เอาตัวเลขกลมๆ ประมาณ 120,000 คน สมมุติว่า มาใช้สิทธิ์ 60% ก็น่าจะมีตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ 72,000 กว่าคน ประมาณการณ์ได้ว่า ผู้สมัครคนใดทำคะแนนได้เกิน 20,000 ต้นๆ ก็จะมีสิทธิ์คว้าชัยชนะ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” ที่เคยชนะก็มีคะแนน 20,000 ต้นๆ ตามด้วย สุนทร รักษ์รงค์ จากพรรคพลังประชารัฐ เกือบ 18.000 คะแนน

ชินวรณ์ ก้องเกียรติ และไสว มีโอกาสที่จะทำคะแนนถึง 20.000 ใกล้เคียงกัน ส่วนฐานเดิมของพรรคประชาชน ก็อยู่ในหลักหมื่นต้นๆ ด้วยชินวรณ์เคยเป็น สส.เขตนี้มายาวนานโครงสร้างเครือข่ายยังมีอยู่ แต่ประมาทไสวไม่ได้กับการเป็น สส.มาสองปีของภรรยา และยังเคยเป็น ส.อบจ.มาก่อนด้วย ย่อมจะสร้างเครือข่าย สร้างฐานมวลชนไว้ไม่น้อย ประกอบกับไสวเคยเป็นครูในย่านนี้ลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับก้องเกียรติ ที่เคยเป็น ส.อบจ.ฉวางมาก่อน ย่อมจะมีเครือข่าย ฐานมวลชนอยู่ในมือเป็นกอบเป็นกรรม เพียงแต่ว่าช่วง 20 กว่าวันของการหาเสียงกับอีก 7 วันสุดท้าย ใครจะทำอะไรได้มากกว่ากัน มากกว่าการที่ใจถึงควักจ่ายมากกว่ากัน

พรรคภูมิใจไทยอย่าได้คิดว่า จะเอาคะแนนของมุกดาวรรณ กับคะแนนของสุนทรมารวมกันแล้ว มีคะแนนเกือบ 40,000 แล้วจะชนะ เพราะไม่ควรลืมว่า คราวนี้สุนทรไม่ได้ลงสมัครเอง คะแนนเดิมของสุนทรอาจจะแกว่งไปไหนก็ได้ เช่นกันคะแนนที่เคยเลือกมุกดาวรรณ อาจจะแปลเปลี่ยนไปเลือกใครก็ไม่รู้ กับบาดแผล “ใบแดง” หรือว่าใบแดงอาจจะแปรเป็นคะแนนสงสารก็ได้

โค้งสุดท้ายแล้ว หรือมวยยกสุดท้าย สำหรับศึกเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ เขาจึงได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคลงไปเต็มพื้นที่แล้ว 27 เมษายน วันพิพากษาของประชาชน ใครจะเดินเข้าวิน กองเชียร์ระทึกครับ

‘พีระพันธุ์’แจงปมสัญญาซื้อไฟ 5,200 MW ลั่น!! พบผิด‘ยกเลิกสัญญา’ได้ทันที

(20 เม.ย. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า เรื่อง การเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านได้ตั้งกระทู้ถามในสภาเมื่อเดือนที่ผ่านมา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบไปอย่างครบถ้วนแล้ว

Lesiy[โครงการประมูลดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2565 ในรัฐบาลที่ผ่านมา ในรอบแรกมีการประมูลขนาด 5,200 เมกะวัตต์ ซึ่งหลังจากการประมูลเสร็จสิ้น ผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ แต่ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยยกฟ้องทุกกรณีแล้ว จึงไม่มีข้อกฎหมายใดเป็นอุปสรรคต่อการลงนามในสัญญาอีกต่อไป และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจึงเริ่มทยอยดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขกำหนดให้ กฟผ.ต้องลงนามในสัญญาภายในสอง 2 ปี โดยในส่วนของไฟฟ้าจากแสงแดดจะครบกำหนดในวันที่ 18 เมษายน 2568 ส่วนพลังลมครบกำหนดภายในปี 2569

สำหรับการซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 5,200 เมกกะวัตต์ในเฟสแรกนั้น มีการประมูลที่ 4,852 เมกกะวัตต์ มีสัญญาทั้งสิ้น 175 ฉบับ มีโครงการ  ที่ กฟผ.เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ โดยเป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565  และทางกฤษฎีกาได้ให้ข้อเสนอแนะว่า เนื่องจากมีการเซ็นลงนามสัญญาไปแล้วหากยกเลิกหรือชะลอการเซ็นลงนามสัญญาส่วนที่เหลืออาจจะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย

ในส่วนของ 16 โครงการที่ยังไม่ได้ลงนามนั้น หากจะหยุดกระบวนการทันที จะทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมาย  เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนที่มีการดำเนินการล่วงหน้าแล้ว และ กฤษฎีกาได้แนะนำให้ กฟผ. ใส่เงื่อนไขในสัญญาเพิ่มเติมว่า หากภายหลังพบว่าการประมูลมีปัญหาทางกฎหมายหรือผิดขั้นตอนใด ๆ ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ต้องรอให้ครบสัญญา 25 ปี  ดังนั้น ทั้ง 3 สัญญาที่ลงนามไปเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา จึงได้มีการดำเนินการตามเงื่อนไขที่ต้องลงนามในสัญญาภายใน 2 ปีและมีการปรับเงื่อนไขของสัญญาตามคำแนะนำของกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ขอให้วางใจได้

ขณะเดียวกัน สำหรับ 16 สัญญาที่เหลือ นายพีระพันธุ์ได้หารือกับผู้ว่าการ กฟผ.เพื่อหาช่องทางทางกฎหมายในการชะลอการลงนามเพื่อให้มีเวลาตรวจสอบประเด็นที่สังคมกังวลอย่างรอบคอบ โดยส่วนใหญ่เป้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยจะครบกำหนดในปี 2569 ซึ่งขณะนี้ ผู้ว่าฯ กฟผ. กำลังตรวจสอบข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางดำเนินการให้สอดคล้องกับกรอบอำนาจที่มี จึงขอให้มั่นใจว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้จะไม่เป็นข้อผูกมัดไป 25 ปี เพราะสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที หากพบว่ามีการกระทำผิด

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดย กกพ. ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565   และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย  ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในเชิงโครงสร้างที่ต้องมีการแก้ไข  ซึ่งนายพีระพันธุ์ระบุชัดว่า หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการปฏิรูปพลังงานคือ ปัญหากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกฎหมายพลังงานที่มีอยู่จำกัดอำนาจรัฐมนตรีในการกำกับดูแลอย่างแท้จริง รัฐบาลจึงอยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่เปิดช่องให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนใด ๆ ในอนาคต

“ขอยืนยันว่า หากมีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าโครงการใดผิดกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยขั้นตอน ก็สามารถดำเนินการยกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบอายุสัญญา 25 ปี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย”

ทั้งนี้  รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกเสียงของประชาชนและฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ แต่ขอให้การนำเสนอข้อกล่าวหาเป็นไปอย่างรอบคอบและยึดข้อเท็จจริง มิใช่การบิดเบือนเพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว อ้างว่า การลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,200 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่ควรเป็นกว่า 1 แสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 25 ปี

สมรภูมิเขต 1 นครศรีฯ คึกคักเตรียมพร้อมรับเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคการเมืองเข้าสู่โหมดสร้างฐาน หลายตัวเต็งเริ่มขยับสับเปลี่ยน

จับตาเขต 1 นครศรีฯ ‘ดร.รงค์’ ย้ายไปรวมไทยสร้างชาติ ‘สส.หนึ่ง’ โยกมาลงชน ขณะที่ ‘ราชิต’ ขอพัก ส่วน ‘หมอผึ้ง’ ผันมาเขต 2 

เขต 1 นครศรีธรรมราช เป็นเขตเลือกตั้งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการเลือกตั้งปี 70 เพราะเป็นเขตเมือง ประชากรมีความรู้ ตื่นตัวทางการเมืองสูง 
 
น่าสนใจมากยิ่งขึ้นถ้า ‘ราชิต สุดพุ่ม’ สส.พรรคประชาธิปัตย์เขตนี้ไม่ไปต่อตามที่เป็นข่าว เพราะมีปัญหาด้านสุขภาพในห้วงเวลาที่อายุมากขึ้นตามลำดับ เขตเลือกตั้งที่ 1 ของนครศรีฯก็จะเหลือตัวเต็ง ‘ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ’ อดีต สส.พลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 64 ตามด้วย ‘จรัญ ขุนอินทร์ จากพรรคภูมิใจไทย ที่คราวที่แล้วแพ้ให้กับผู้ว่าฯราชิต แต่ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานการเมืองในเขตนี้อยู่ 

ยังมี ‘แมน-ปกรณ์ อารีกุล’ จากพรรคประชาชน ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นทำงานการเมือง เลือกตั้งคราวที่แล้วแมนมีคะแนนมาอันดับสอง ถีบ ดร.รงค์ลงไปอยู่อันดับสาม และสำหรับเขตนี้ยังมี ‘มนตรี เฉียบแหลม’ จากพรรคเพื่อไทย ที่ยังประสงค์จะลงเขตนี้ เมื่อ ‘บุณฑริกา ยอดสุรางค์’ อาจจะถอยไปเล่นการเมืองท้องถิ่น เพื่อเริ่มบันไดขั้นแรกของเวทีการเมือง 

กล่าวสำหรับ ดร.รงค์ แม้จะดูเป็นตัวเด่น แต่ก็ไม่ได้ปลอดโปร่งเสียทีเดียว เมื่อ ดร.รงค์ได้ตัดสินใจเดินออกจากพลังประชารัฐแล้ว เมื่อพรรคตัดสินใจเลือก ‘ฮูวัยดีย๊ะ อูเซ็ง พิศสุวรรณ’ น้องสาวของ ดร.สุรินทร์ ลงสมัครแทน ดร.รงค์แม้จะยังมุ่งมั่นทำงานด้านนิติบัญญัติ แต่ก็ต้องหาพรรคใหม่สังกัด 

ดร.รงค์ มีทางเลือกอยู่ 3 พรรค คือภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และพรรคกล้าธรรม สำหรับพรรคภูมิใจไทย ดร.รงค์ไม่น่าจะเลือก เพราะต้องไปเบียด จรัญ ขุนอินทร์ คนรู้จักกันอีก พรรคกล้าธรรม เข้าใจว่าสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าจะรุกภาคใต้หนัก ทำลายฐานภูมิใจไทย ยิ่ง ‘วันนอร์-วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ ประกาศวางมือทางการเมือง โอกาสของพรรคกล้าธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีอยู่สูง อย่าลืมว่า รอ.ธรรมนัส แม้จะเป็นคนพะเยา แต่ไปโตอยู่นราธิวาส ดร.รงค์ก็รู้จักมักคุ้นกับ รอ.ธรรมนัสดี ตั้งแต่สมัยอยู่พรรคพลังประชารัฐมาด้วยกันแล้ว น่าจะคุยกันเข้าใจง่ายกว่า 

พรรครวมไทยสร้างชาติ น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของ ดร.รงค์ เพราะระดับผู้นำส่วนใหญ่ก็เคยร่วมงานกันมาในพรรคพลังประชารัฐ จึงรู้จักกันดี ตั้งแต่ชุมพร สุราษฎร์ นครศรีฯ และพัทลุง ซึ่งอาจจะคุ้นเคยกันมากกว่าสายกล้าธรรมอีก 

ผม #นายหัวไทร ค่อนข้างมั่นใจว่า ดร.รงค์จะเลือกร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ เคยส่ง พูม แก้วภราดัย ลูกชายของวิทยา แก้วภราดัย มาก่อน ก็ไม่ยาก พรรคจะส่งใคร เมื่อมีคนเสนอตัวมากกว่าหนึ่งคน ก็ใช้วิธีการทำโพลล์ ซึ่งถ้าทำโพลล์ ดร.รงค์ก็น่าจะผ่าน 

แต่ให้จับตา ‘สส.หนึ่ง-ทรงศักดิ์ มุสิกอง’ สส.ประชาธิปัตย์ เขต 2 อาจจะย้ายเขตมาลงเขต 1 แทนผู้ว่าฯราชิตที่อาจจะขอพัก ซึ่งเขต 1 ดร.รงค์ก็จะชนตรงกับ สส.ทรงศักดิ์ 

เขต 2 ก็จะว่างจาก สส.เก่า ประชาธิปัตย์เจ้าของพื้นที่เดิมจะส่งใครมาลงแทน ก็มีข่าวแว่วๆให้ได้ยินว่า อาจจะโยก 'โกเท่-พิทักษ์เดช เดชเดโช' จากเขต 3 มาลงเขต 2 ก็ต้องหาคนใหม่ไปลงเขต 3 อีก 

กล่าวสำหรับเขต 2 ข่าวที่ยืนยันได้ ‘หมอผึ้ง-นันทวัน วิเชียร’ จากพรรคภูมิใจไทย จะโยกจากเขต 9 มาลงเขต 2 เปิดทางให้ ‘สายัณห์ ยุติธรรม’ ย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย และลงสมัคร เขต 9 แทน เพราะสายัณห์เป็น สส.เขต 9 มาก่อน 

การเมืองเริ่มเข้าสู่โหมดสร้างฐาน มีการสับเปลี่ยน โยกตัวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ 

‘วิชัย ทองแตง’ เชื่อมั่นคนไทยรับมือสงครามการค้าได้ ยก ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ ของในหลวง ร.9 คือหนทางพ้นวิกฤต

เมื่อวันที่ (16 เม.ย. 68) นายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจและนักลงทุนชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมการเตรียมรับมือ TRUMP WAR ว่า…  
ผมติดตามข่าวสารการเมืองในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ Donald Trump สามารถช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มาครองได้เป็นครั้งที่ 2 คนทั่วไปเรียกปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่า เป็น Trump 2.0 

ทว่า ปรากฎการณ์ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก เมื่อ Trump ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ให้ขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จนช็อคไปทั้งโลก ครอบคลุม 185 ประเทศทั่วโลกจาก 193 ประเทศ กล่าวขานกันว่ากลายเป็น TRADE WAR ที่เข้มข้นรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้ตลาดหุ้น รวมทั้งตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกร่วงอย่างหนัก ทุกประเทศต้องปรับตัวและปรับกลยุทธเพื่อความอยู่รอด ที่กระทบุรุนแรงที่สุดน่าจะเป็น ประเทศจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ แม้ Trump จะมีประกาศเลื่อนเวลาออกไป 90 วัน นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2568 สะท้อนให้เกิดการปรับตัวขึ้นของตลาดฯ แต่ก็ยังไม่สามารถคลายกังวลได้ว่า สถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำถามที่ดังที่สุดที่ทั่วโลกกังวลคือ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือไม่ และสภาวะเช่นนี้จะดำรงอยู่ยาวนานขนาดไหน "บางคนคิดเลยเถิดไปถึงว่า สงครามการค้านี้จะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ 

ในฐานะที่เคยเป็นนักธุรกิจ ที่คร่ำหวอดในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้มายาวนานปัจจุบันแม้จะล้างมือไปแล้วเมื่อตอนอายุครบ 70 ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงประเทศชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ผมจึงได้สั่งให้ทีมงานติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้มันน่าห่วงจริง ๆไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อ Trump เพียงคนเดียว จะสามารถสร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้เกิดขึ้นกับโลกทั้งใบได้เพียงคำกล่าวไม่กี่ประโยค 

คนไทยพร้อมรับมือมั้ยครับ ? ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า คนไทยยังขาดความพร้อมหลายด้านโลกการเงินมันซับซ้อนครับ ยิ่งเราเป็นประเทศเล็ก อำนาจต่อรองมีไม่มาก ความสามามารถในการแข่งขัน(Competitiveness) ของเรายังไม่แกร่งพอ ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอยู่ไม่ใช่น้อย ในท่ามกลางโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ AI กำลังมา Disrupt เกือบทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ เมื่อมาประจวบเหมาะกับ TRUMP WAR จะยิ่งทำให้เราป้องกันตัวได้ยากขึ้นในการวางแผนเผชิญวิกฤติ 

ทุกท่านอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะครับ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งบางอย่างที่ทำให้เราหลุดพ้นวังวนที่เชี่ยวกรากเหล่านั้นได้ ขอเพียงมี "สติ" 

ยังพอจำกันได้มั๊ยครับ ในช่วงวิกฤติการเงินในเอเชีย เมื่อปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยได้น้อมนำเอา "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ในการแก้ปัญหา ทำให้เราผ่านวิกฤตินั้นมาได้ อันที่จริงพระองค์ท่านตรัสไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 แล้วครับ ปรัชญานี้ยังคงดำรงอยู่ เป็นแก่นแกนอยู่กลางใจพสกนิกรชาวไทยทุกคน ลองไปหาอ่านกันดูอีกครั้งนะครับ เป็นหลักปรัชญาที่ทำให้พวกเราเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางโดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้นกันกันที่ดีความสนใจของผม ทำให้ผมยอมรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ "มูลนิธิครอบครัวพอเพียง" เพื่อสนับสนุนส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจปรัชญานี้ และประพฤติปฏิบัติตนตามครรลองอย่างเหมาะสม จนท่านดร.จงรักษ์ วัชรินทร์รักษ์ อดีตอธิการบดี แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ผู้ล่วงลับ) ได้ให้เกียรติเรียนเชิญเป็นผู้บรรยายวิชา "ศาสตร์แห่งแผ่นดิน" ในช่วงปฐมนิทศนักศึกษา 

ผมและครอบครัวยึดถือ และนำเอาหลักปฏิบัติของปรัชญานี้ มาใช้อย่างต่อเนื่องและยาวนานแล้วครับ อยากให้รัฐบาลน้อมนำมาสื่อสาร ถ่ายทอดอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการดีมากอย่างน้อยฉุดรั้งและตักเตือนให้คนไทยมีสติ มีความหวัง ไม่ตื่นตระหนก หวาดกลัวต่อสงครามอารยะแบบไร้อารยะ ที่มนุษย์บางประเภทกำลังเบ่งพองซึ่งอำนาจของตน

พี่น้องครับ ลูกหลานครับ การประกาศ TRUMP WAR ครั้งนี้ ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ หรือ สนามการค้า ทุกอย่างล้วนมาจากเป้าหมายเรื่อง เงินและผลประโยชน์ ถามว่า ประเทศไทย และปวงชนชาวไทย ปรารถนาเช่นเดียวกันนี้หรือเปล่า อย่าลืมว่าเรามี"ภูมิคุ้มกัน" ที่พ่อหลวงทรงสังสอนเป็นแนวปฏิบัติที่ส่งผลต่อความผาสุกและยังยืน เชื่อหรือไม่ครับ ลูกชายคนเล็กของผมเรียนจบด้านธุรกิจากมหาวิทยาลัย ABAC แต่เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง ด้วยการมาขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ว่า เขาขอเป็นเกษตรกร... เน้นด้วยว่า บนแนวทาง "ศาสตร์พระราชา" คุณแม่เขาบอกว่า เราต้องยอมเขาเลยนะพ่อ เชื่อได้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะเขาจะอยู่กับธรรมชาติและความพอเพียง โดยเหตุนี้ "สวนสมดุล" จึงก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.พ.ศ. 2562 เขาทุ่มเทใส่ใจต่อแปลงวนเกษตร ที่ปลอดจากสารเคมีทั้งปวง พร้อมเปิดร้านกาแฟ ออแกนิก เล็ก ๆ อยู่อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ริมแม่น้ำแม่กลอง โดยขอย้ายสำมะโนครัวจากการเป็นคนคนกรุงเทพ ไปเป็นคนแม่กลอง และเปิดวิสาหกิจชุมชนเล็ก ๆ ร่วมกับชาวบ้านที่นั่น 

วันนี้เขาค้นพบว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" คือ ปรัชญาที่ดีที่สุดที่จะช่วยจรรโลง และผดุงสังคมไทยให้ปลอดภัย และเป็นสุข ไม่ว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นสักกี่ครั้งก็ตาม 

ฝากทุกท่านให้ศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นะครับ

‘เทพไท’ มองท่าที ‘ไชยชนก’ อาจนำไปสู่ การเอาคืน!! หลังฉีกหน้ารัฐบาล กลางสภาฯ ทำ ‘เพื่อไทย’ เสียรังวัด!! อาจมีการปรับครม. ตัดพรรคร่วม ยุบสภาฯ หลังสงกรานต์

(12 เม.ย. 68) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส. นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘ทักษิณเอาคืนเนวิน’ ระบุ …

การที่นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศจุดยืนไม่เอากาสิโนกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นการฉีกหน้านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แบบชัดๆ เต็มๆ ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียรังวัด และโกรธเคืองเป็นอย่างมาก

เห็นจากท่าทีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาถามว่า ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคจะเชื่อใคร และการที่นายไชยชนกบอกว่า เป็นลูกนายเนวิน นางกรุณาต้องการสื่ออะไร นายอดิศร เพียงเกษ สส.อาวุโส ได้เขียนกลอนไล่ส่งพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าต้องรักษามารยาททางการเมืองบ้าง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนนายใหญ่ ที่เก็บตัวเงียบไม่แสดงท่าทีใดๆ

แม้ว่านายอนุทินได้ออกมาขอโทษต่อนางสาวแพทองธารแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจ เป็นรอยร้าวระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ยากที่จะประสาน เหมือนกับคำโบราณที่กล่าวว่าอันถ้วยโถโอร้าวเอากาวติด ถึงสนิทก็ยังเห็นว่าเป็นแผล เชื่อว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์นี้ผ่านพ้นไปแล้ว จะมีการเอาคืนจากนายทักษิณอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะมีปรากฏการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น คือ

1.นายทักษิณต้องความเข้าใจกับหัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้ชัดเจนว่า จะทำงานทางการเมืองร่วมกัน และประสานประโยชน์กันอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากัน

2.จะมีการปรับครม. หรือ ปรับพรรคร่วมรัฐบาลออก ยึดกระทรวงหลักกลับมาเป็นโควต้าของพรรคเพื่อไทย เพื่อกระชับอำนาจ เตรียมการรับมือกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

3.ถ้าหากสถานการณ์ทางการเมืองเดินมาถึงทางตัน จำเป็นต้องยุบสภา คืนอำนาจกับประชาชน เป็นการล้มกระดาน หรือล้างไพ่ใหม่

ขอให้จับตาดูปรากฏการณ์ทางการเมืองหลังสงกรานต์นี้ให้ดีว่า จะเดินไปสู่ 3 ขั้นตอนนี้หรือไม่ และนายทักษิณจะเอาคืนพรรคภูมิใจไทยอย่างไร

‘สรรเพชญ’ ชี้ เหตุตึกสตง. ถล่ม เป็นบทเรียนราคาแพง ลั่น การใช้งบประมาณ ต้องคุ้มค่า - ปลอดภัย

เมื่อวันที่ (10 เม.ย.68) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา ในฐานะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมีวาระสำคัญในการติดตามความคืบหน้าและตรวจสอบการใช้งบประมาณในโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ ที่เกิดเหตุพังถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568

การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน อาทิ ผู้แทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อธิบดีกรมบัญชีกลาง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายกสภาวิศวกร นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

นายสรรเพชญ ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า 'ความคุ้มค่า' จากการใช้งบประมาณ ต้องไม่ละเลย 'ความปลอดภัย' ในทุกขั้นตอนของกระบวนการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การควบคุมมาตรฐานทางวิศวกรรม การตรวจสอบคุณภาพวัสดุ การควบคุมผู้รับจ้าง รวมถึงการบริหารจัดการโครงการโดยรวม ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อความมั่นคงของโครงสร้างและความปลอดภัยของประชาชน

“บทเรียนจากการใช้งบประมาณครั้งนี้ คือเสียงเตือนสำคัญถึงทุกภาคส่วนว่า ความคุ้มค่าและความปลอดภัย ต้องเดินเคียงข้างกันเสมอ ตนในฐานะกรรมาธิการฯ ยืนยันว่าจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และผลักดันให้เกิดการปรับปรุงแนวทางการบริหารโครงการภาครัฐในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับทั้งประสิทธิภาพของงบประมาณและมาตรการความปลอดภัยอย่างแท้จริง” นายสรรเพชญกล่าว

‘ดร.ไชยันต์’ โยนโจทย์ถึง ‘ดันแคน แมคคาร์โก’ กับแนวคิด 'เครือข่ายกษัตริย์' ขอคำอธิบายและการประยุกต์ใช้ หลัง ‘พอล แชมเบอร์’ - นักวิชาการไทย นำไปอ้างอิง

ศาสตราจารย์ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ต่อกรณี งานของ ดร พอล แชมเบอร์ และนักวิชาการไทยท่านอื่นๆที่ชอบใช้กรอบแนวคิดเรื่อง Network Monarchy (เครือข่ายกษัตริย์/NM) ในการวิเคราะห์การเมืองไทย

1. อยากให้ ศาสตราจารย์ Duncan McCargo (เจ้าของ NM). ช่วยอธิบายความหมายและการประยุกต์ใช้ กรอบแนวคิด Network Monarchy (NM)หน่อยครับ (ท่านอาจารย์ดันแคนอ่านภาษาไทยได้)

2 เพราะผมได้ไปอ่านบทความที่เขียนวิพากษ์ NM ของอาจารย์ดันแคนมา พบว่า 
“แม้ว่าแนวคิด ‘เครือข่ายกษัตริย์’ ที่มีอิทธิพลของดันแคน แมคคาร์โกจะถูกอ้างถึงบ่อยครั้งในวรรณกรรมเกี่ยวกับการเมืองไทยในช่วงไม่นานมานี้ 
แต่ก็ยังมีการพัฒนาไม่เพียงพอ”

ด้วยเหตุนี้ แนวคิดนี้จึงถูกตั้งคำถามและท้าทายโดยนักวิชาการหลายคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

ในบทความ Pacific Affairs ของเขาในปี 2021 แมคคาร์โกได้โต้แย้งข้อโต้แย้งของนักวิชาการเหล่านี้หลายคนและปกป้องแนวคิดของเขา 
อย่างไรก็ตาม การปกป้องของเขานั้นไม่น่าเชื่อถือ 

เนื่องจากไม่ได้ขยายความถึงขอบเขต องค์ประกอบ และรูปแบบการดำเนินงานของเครือข่ายกษัตริย์ ทำให้ข้อบกพร่องของแนวคิดดั้งเดิมของเขายังไม่ได้รับการแก้ไข 

ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้แมคคาร์โกเน้นย้ำถึงคุณสมบัติ 'ที่คลุมเครือ' ของเครือข่ายกษัตริย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เขาไม่ได้เน้นในตอนแรก เพื่อรองรับความผิดปกติเชิงประจักษ์ใหม่ๆ และโต้แย้งกับผู้วิจารณ์ของเขา การทำเช่นนี้ทำให้ข้อโต้แย้งของเขาไม่สามารถหักล้างได้ 

บทความนี้ใช้แนวคิดของ Robert Cribb เป็นพื้นฐาน เพื่ออธิบายว่าทำไมแนวคิดเครือข่ายกษัตริย์ซึ่งพัฒนาไม่เพียงพอจึงแพร่หลายไปทั่วในตอนแรก”

(ส่วนหนึ่งจาก Nishizaki, Yoshinori, “ ‘Ambitious’ Network Monarchy as Problematic Euphoric Couplet,” September 2023Pacific Affairs 96(3):553-568.)

ปล.
ท่านอาจารย์ดันแคนเพิ่งมาสัมภาษณ์ผมไม่นานมานี้ ผมเลยถามท่านว่า “อาจารย์คิดว่า อย่างตัวผมนี่ อยู่ใน Network Monarchy ไหมครับ และเพราะอะไร ?”
ท่านตอบครับ
อยากให้ผู้อ่านลองเดาว่า ท่านตอบอย่างไร

‘เอกนัฏ’ ลั่น ไม่ว่าผลสอบตึกถล่มจะออกมาอย่างไร แต่เหล็กของซิน เคอ หยวน ถือว่าสอบตก พร้อมปรับแผนส่งทีมสุดซอย ร่วมเจ้าหน้าที่ DSI เข้าตรวจสอบเก็บข้อมูลบริษัทฯแล้ว

(11 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอปรับแผน ให้ชุดสุดซอยนำหมายศาลเข้าค้นบริษัท ซิน เคอ หยวน (SKY) พร้อม DSI และตำรวจสอบสวนกลาง

“สำหรับผม ไม่ว่าผลสอบสาเหตุของตึกถล่มโดยคณะกรรมการสอบสวนจะออกมาเป็นอย่างไร ผลทดสอบของเหล็ก SKY หรือ ซิน เคอ หยวน ถือว่าสอบตกไปแล้ว”

1. ตัวอย่างเหล็กใหม่ที่เก็บจากโรงงานที่ถูกปิดช่วงธันวาคม(จนถึงวันนี้) สอบตกไปสองรอบ และไม่อนุญาตให้ทดสอบใหม่อีกเป็นรอบที่สาม

2. ตัวอย่างที่ผมได้นำทีมไปเก็บจากบริเวณตึกถล่ม ท่ามกลางสื่อฯ ซึ่งในวันนั้น ผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่าจะเจอเหล็กยี่ห้ออะไร ตัดเหล็กด้วยอุปกรณ์จากเหล็กท่อนยาวที่ประเมินว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการถล่ม (ได้ถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย) ปรากฏว่าเหล็กข้ออ้อยของ SKY สอบตกไปสองรายการ ในขณะที่เหล็กของยี่ห้ออื่นผ่าน

สอบตกก็คือตก แม้ผลสอบสาเหตุตึกถล่มจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ผลทดสอบของเหล็ก SKY ก็ไม่ผ่านอยู่ดี 

แต่หากทางเจ้าพนักงานจะประสานเจ้าหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมไปร่วมเก็บหลักฐานเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ก็ยินดีให้ความร่วมมือครับ

อย่างไรก็ตาม จะต้องเร่งสืบค้นข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเหล็กที่ถูกนำออกสู่ตลาดไปก่อนหน้าที่โรงงานจะถูกปิดในช่วงธันวาคมที่ผ่านมา ให้ปรากฏต่อสาธารณะโดยเร็วที่สุด ระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อไป

ซึ่งก่อนหน้า ทีมสุดซอยได้เข้าไปที่บริษัท SKY เพื่อตรวจสอบโรงงาน และได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับเหล็กที่ถูกจำหน่ายออกไป 

แต่กลับพบความผิดปกติเกี่ยวกับกาก 'ฝุ่นแดง' ที่ปรากฏอยู่ในปริมาณมาก ราว ๆ 40,000-50,000 ตัน เกินปริมาณที่เคยได้แจ้งไว้ในระบบไปหลายเท่า จึงได้มีคำสั่งให้ทางบริษัทชี้แจง

แต่จนถึงวันนี้ ข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทเกี่ยวกับการจำหน่ายเหล็กกลับไม่เป็นประโยชน์ ส่วนเรื่องฝุ่นแดง ก็ไม่ได้รับคำชี้แจงภายในระยะเวลาที่กำหนด

ผมจึงให้ชุดสุดซอยปรับภารกิจในวันนี้ จากเดิมจะไปร่วมเก็บหลักฐานที่บริเวณตึกถล่ม 

แต่เปลี่ยนให้นำหมายศาล ไปเข้าค้นบริษัท SKY พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง และ DSI เพื่อนำคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด มาสืบค้นหาข้อมูลให้ได้

ซึ่งในขณะนี้ ทีมงานได้อยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการแล้วครับ

'อนุทิน' แจงลูกเนวินโพล่งความในใจค้านกาสิโน ย้ำ เป็นความเห็นส่วนตัวไม่ใช่มติพรรค แต่ต่อไปต้องแจ้งพรรคก่อน

'อนุทิน' รับ 'ไชยชนก' ผิดคิว ยัน ไม่รับกาสิโน เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่มติ 'ภูมิใจไทย' พร้อมขออภัยในความไม่สะดวก บอก หลังเวลาราชการ เตรียมแจงนายกฯ ปัด ไม่ได้คุย 'เนวิน' 

เมื่อวานนี้ (9 เม.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ประกาศกลางสภาฯว่าจะไม่มีวันยกมือโหวตร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ว่า ตนได้ฟังการอภิปรายอยู่ ซึ่งตนติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัด ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขอยืนยันว่าที่นายไชยชนก ได้พูดไปนั้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ในฐานะสส.คนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ซึ่งเขาสามารถให้ความคิดเห็นส่วนตัวได้ แต่ในสถานะของสมาชิกพรรคภูมิใจไทย และเป็นเลขาธิการของพรรคภูมิใจนั้น เขาต้องทำตามมติของพรรค ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และเมื่อวันที่ 8 เม.ย. มีการแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลแล้ว ซึ่งมติของพรรคร่วม ทางพรรคภูมิใจไทยพร้อมและยินดีให้การสนับสนุน

เมื่อถามย้ำว่าถือเป็นความในใจของนายไชยชนก ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถือเป็นความในใจ แต่คงต้องมีการจัดระเบียบอีกเล็กน้อย เพราะก่อนที่จะมีการประชุมสภาฯ ต้องมีการประชุมพรรคก่อนทุกครั้ง และในครั้งนี้นายไชยชนก ยังไม่ได้แจ้งและได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมพรรคว่าจะให้ลุกขึ้นชี้แจงในเรื่องเหล่านี้ในฐานะส่วนตัว แต่ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ต้องแจ้งทางพรรคก่อน ดังนั้น ตนจึงขออภัยในความไม่สะดวกด้วย 

เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะเรื่องกาสิโนหรือไม่ นานอนุทิน กล่าวว่า ตนพยายามติดต่อนายกรัฐมนตรีอยู่ เนื่องจากเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด ซึ่งเรื่องนี้ต้องเรียนชี้แจงนายกฯว่าสิ่งที่พูดนั้นไม่ใช่ในนามพรรคภูมิใจไทย แต่สิ่งที่นายไชยชนก พูดนั้นก็มีความชัดเจน ซึ่งการพูดในวันนี้พูดในนามของนายไชยชนก ลูกของนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และที่ระบุว่าเป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้พูดในนามของพรรค ซึ่งได้พูดด้วยว่า ไม่ได้ไม่สนับสนุนกาสิโน เพียงแต่บอกว่าไม่สนับสนุนกฎหมายกาสิโนในช่วงนี้ เพราะเชื่อว่ายังมีเหตุการณ์อื่นที่สำคัญกว่า และที่บอกว่ายังไม่สามารถสนับสนุนร่างดังกล่าวได้นั้น หรือแม้แต่กฎหมายของพรรคภูมิใจไทย เรื่องบ้านเกิดเมืองนอน และกฎหมายอื่นๆ ของพรรคไหนก็จะไม่พิจารณา ซึ่งถือว่าคือความเป็นสส.ของเขา แต่ขอยืนยันว่า ไม่ใช่มติของพรรคภูมิใจไทย 

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างความไม่สบายใจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “ไม่หรอกครับ ที่ผมมาพูดตรงนี้ เพื่อให้ทุกคนสบายใจ” เมื่อถามย้ำว่าเบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับนายเนวินแล้วหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุย และยังไม่มีการคุยกับใครด้วย ซึ่งหลังจากหมดเวลาราชการ ตนจะขอติดต่อชี้แจงกับนายกฯ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้ทราบเรื่อง 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า “ผิดคิวนิดหน่อย แต่เขามีสิทธิ์ ในฐานะที่เป็นสส. ซึ่งความเป็นสส. มีเอกสิทธิ์ล้วน ๆ ไม่สามารถห้ามได้ แต่ความเป็นนักการเมืองในอนาคต จะต้องแจ้งให้พรรคทราบก่อน”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top