Monday, 6 May 2024
POLITICS NEWS

ก่อน 'ก้าวไกล-อนาคตใหม่' จะไปปฏิรูปใคร ต้องรู้จัก 'ปฏิรูป' ตัวเองอย่างถ่องแท้ก่อน

ในยุคที่ผู้คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งเข้าใจเพียงแค่ว่า 'ประชาธิปไตย' คือ 'การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' นั้น... พวกเขากลับไม่สามารถแยกแยะบทบาทหน้าที่ของพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ ไม่รับรู้ว่า ทุก ๆ อารยประเทศประชาธิปไตยบนโลกใบนี้ 'สิทธิ' และ 'เสรีภาพ' ว่าล้วนแล้วแต่มีขอบเขตและข้อจำกัดตามที่กฎหมายของแต่ละประเทศนั้น ๆ กำหนดเอาไว้ทั้งแล้วทั้งสิ้น 

...และนั่นก็ทำให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง มักจะอาศัยช่องโหว่นี้ นำเอาความไม่รู้ไม่เข้าใจของคนไทยส่วนหนึ่งในเรื่องของระบอบการเมืองการปกครองมาหาประโยชน์ ด้วยหวังผลในการแสวงหาอำนาจทางการเมือง จากนิสัยขี้เบื่อง่ายของคนไทย และความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ามาจากเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ 4 ปีหลังนั้นเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามกติกาที่ใช้กับทุกพรรคการเมืองเหมือนกันหมด 

บรรดาความคาดหวัง (ฝัน) ที่คนเหล่านั้นนำมาขายให้ผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้เท่าทัน หากลองตรองด้วยสติสัมปชัญญะเยี่ยงเช่นวิญญูชนปกติ และได้ลองพิจารณาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วจะพบว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ในเร็ววันเลย ด้วยเพราะพฤติการณ์และพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งในสังคมไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการแยกแยะ ถูก ผิด ชอบ ชั่ว ดี อยู่ 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องของวินัยจราจร บรรดาผู้ที่ใช้รถใช้ถนนต่างเพิกเฉย ละเลย ต่อการปฏิบัติตามกฎจราจร...เรายังพบเห็นผู้ที่ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก ขับขี่รถย้อนศร ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ไม่ข้ามถนนตรงทางข้ามหรือสะพานลอย ไม่ยอมหยุดรถ ให้คนข้ามถนน ฯลฯ 

เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงการปฏิบัติตนตามกฎหมายอันเป็นกติกาพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมอย่างสงบสุข ที่ยังมีคนจำนวนมากไม่ปฏิบัติตาม!!

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นกฎหมายอื่น ๆ อันเป็นกติกาที่มีความสำคัญและจำเป็นในการอยู่ร่วมกันในสังคม ถูกเพิกเฉย ละเลย และฝ่าฝืน รวมทั้งยังมีการด้อยคุณค่าต่อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อปั่นทอนความเข้มแข็งของสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านกลุ่มที่มักหยิบยกเอาคำว่า 'ปฏิรูป' มาใช้เป็นเครื่องมือจากช่องโหว่ของสังคม

ความหมายของคำว่า 'ปฏิรูป' (Reform) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง...

(1) [-รูปะ-] ว. สมควร, เหมาะสม, เช่น ปฏิรูปเทส คือ ถิ่นที่สมควร หรือ ถิ่นที่เหมาะสม (ป.).
(2) ว. เทียม, ไม่แท้, เช่น มิตรปฏิรูป. (ป.).
(3) [-รูปะ-] ก. ปรับปรุงให้สมควร เช่น ปฏิรูปบ้านเมือง. (ป.).

พรรคก้าวหน้า หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคการเมืองที่มักจะนำเอาคำว่า 'ปฏิรูป' มาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรม ทั้ง ๆ ที่บรรดาแกนนำของพรรคของกลุ่มเองก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ชอบธรรมให้เห็นจนกระทั่งกลายเป็นคดีความมากมาย หนัก ๆ ก็ถึงขั้นถูกยุบพรรค บรรดาแกนนำถูกตัดสิทธิทางการเมือง ซ้ำยังมีการกระทำความผิดจนเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนการกระทำผิดดังกล่าวถูกส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 2

ดังนั้น สิ่งที่บรรดาแกนนำของพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้าซึ่งเป็นอดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ควรต้องทำก่อน คือ ต้องนำคำว่า 'ปฏิรูป' ซึ่งหมายความว่า 'ปรับปรุงให้สมควร' มาทบทวนปรับใช้กับพรรคการเมืองของตนเองอย่างจริงจัง ด้วยเหตุที่เคยถูกยุบพรรคไปแล้วครั้งหนึ่ง และถูกยื่นยุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 2 

คำถาม? ทำไมบรรดาแกนนำของพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า จึงมิได้ทำการ 'ปรับปรุง' พรรคการเมืองของตนเองให้สมควร หากแต่ยังหมั่นสร้างเหตุให้ถูกยื่นยุบพรรคได้สม่ำเสมอ...เรื่องนี้ยังคิดไม่ตก!!

บ้านเมืองเรา จำเป็นต้องมีกฎหมายอันเป็นกติกา กฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติที่ทำให้สังคมซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถขับเคลื่อนและดำรงคงอยู่ได้อย่างสงบสุข  โดยไม่ควรมีใครมาอ้างว่า กฎหมายนั้นไม่มีความชอบ แล้วไม่ยอมปฏิบัติตาม เพราะหากสังคมส่วนใหญ่คิดเช่นนั้นแล้ว โลกใบนี้ย่อมจะไม่สามารถแสวงหาความสุขสงบได้อย่างแน่นอน

ในวันนี้ พรรคก้าวหน้า หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ อาจจะยังไม่เข้าใจในนิยามความหมายของคำว่า 'ปฏิรูป' หรือ 'การปรับปรุงให้สมควร' อย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนี้แล้วสมควรต้องพยายามทำความรู้จักและหัด 'ปฏิรูป' ตัวเองก่อนจะไปปฏิรูปคนอื่น ๆ ต่อไป 

หากยังคงดื้อดึง หรือ ดึงดันที่จะใช้คำว่า 'ปฏิรูป' ต่อ โดยไม่ใส่ใจที่จะปรับปรุงแก้ไขตน ก็คงต้องเตรียมรับผลกรรมที่จะเกิดขึ้นกับทั้งกับแกนนำ สมาชิก และตัวพรรคเอง ชนิดที่หนีไม่ออก เลี่ยงไม่ได้ และหลบไม่พ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

ยุบแล้ว ยุบอีก ยุบต่อ!!

‘รัดเกล้า’ เผย ‘รทสช.’ ยินดี ร่าง กม.สมรสเท่าเทียม ฉลุย!! ดีใจที่ได้เป็นส่วนผลักดัน ความเท่าเทียมทางเพศในสังคม

(27 มี.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … เปิดเผยว่า ที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ (27 มี.ค.) ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวาระที่ 2 และ 3 ด้วย 400 เสียงต่อ 10 เสียง หลังจากนี้คือการนำเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบแล้ว จึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยจะมีผลบังคับใช้ 120 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว

สำหรับร่างกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญในการให้สิทธิแก่ผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น การให้บุคคลสองคนไม่ว่าเพศใดก็ตามสามารถสมรสกันได้ การเรียกค่าทดแทนและเหตุฟ้องหย่าระหว่างคู่สมรส การให้สิทธิคู่สมรสตามกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขอายุของผู้มีสิทธิหมั้นหรือสมรสต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งจากเดิมกำหนดไว้ที่ 17 ปี 

พรรครวมไทยสร้างชาติมีความยินดีที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นกฎหมายที่สำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มในการสร้างครอบครัวที่แข็งแรง สร้างความสมดุลระหว่างสิทธิและศักดิ์ศรี และยังเป็นการปกป้องค่านิยม ความเชื่อ ความศรัทธา และวัฒนธรรมของไทย และยังเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของการสมรสของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะได้รับสิทธิและสวัสดิการอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นด้วยและผลักดันมาโดยตลอด

“จากที่ได้เจอตัวแทนทูตหลาย ๆ ประเทศในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย จะเห็นได้เลยว่าทั่วโลกจับตาดูประเทศไทยอยู่ การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีภาคประชาชนและภาคการเมืองเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญ

ขอแสดงความยินดีกับ LGBTQIA+ ในประเทศไทยทุกคน ที่ใกล้ที่จะสามารถสมรสกันได้อย่างเท่าเทียมแล้ว การผ่านกฎหมายนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การผ่านกฎหมาย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยพร้อมที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายซึ่งเป็นเสน่ห์ของค่านิยมที่ถูกปลูกฝังในวัฒนธรรมของคนไทย นอกเหนือจากเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านกฎหมายและสังคมแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยนำไปสู่ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้ในอนาคต” นางรัดเกล้ากล่าว

สภาฯ ฉลุย 400 เสียงผ่านร่าง ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ฟากโซเชียลเฮ ติด #สมรสเท่าเทียม ลุ้นต่อในชั้น สว. 

(27 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แพ่งและพาณิชย์ หรือ กฎหมายสมรสเท่าเทียม ภายหลังใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ได้มีมติโหวตเห็นชอบ 400 ไม่เห็นด้วย 10 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 3

ทั้งนี้ในการพิจารณากฎหมาย มีกรรมาธิการอภิปรายสงวนความเห็น โดยเฉพาะเสียงข้างน้อย จากพรรคก้าวไกล และภาคประชาชนที่มีความเห็นเพิ่มมาตราเกี่ยวกับกรณีบุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดามารดา หรือบุพการีลำดับแรก รวมถึงการอุปการะเลี้ยงดูให้เติบโต อำนาจปกครองบุตร

นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร กรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และเรื่องบุพการีลำดับแรก ยังไม่มีผลศึกษาผลกระทบอย่างเป็นทางการมารองรับ จึงกังวลว่ายังไม่ได้รับฟังความคิด เห็นจากทุกภาคส่วนตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และกระทบต่อกระบวนการตรากฎหมายฉบับนี้อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญทำให้กฎหมายตกไปทั้งฉบับ

อีกทั้ง ‘บุพการีลำดับแรก’ เป็นคำใหม่ยังไม่มีในระบบกฎหมายไทย ยังไม่มีนิยามถ้อยคำในกฎหมายไทย อาจเกิดปัญหาในการตีความว่าเป็นใคร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกฎหมายทั้งประเทศ ที่เกี่ยวกับบิดามารดาหากเพิ่มเติมถ้อยคำลงไปก็จะต้องกระทบกับกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย เชื่อว่าน่าจะมีอยู่มากกว่าหลาย 100 ฉบับ ซึ่งเป็นผลกระทบที่รุนแรงพอสมควร

พร้อมแนะแนวทางออกว่าสามารถแก้ไขได้ โดยไปติดตามแก้ไขในกฎหมายที่จำเป็นแก้ไขเพื่อรองรับสิทธิ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกฎหมายการรับบุตรบุญธรรม กฎหมายการแก้ไขกฎหมายการคุ้มครองเด็ก ที่อาศัยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์

สำหรับสาระสำคัญกฎหมายฉบับนี้ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมมี 68 มาตรา เช่น กำหนดให้บุคคล 2 คน ไม่ว่าเพศใดหมั้นหรือสมรสกันได้ ให้การหมั้นจะทำได้เมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว, เพิ่มเหตุเรียกค่าทดแทนเหตุฟ้องหย่าให้ครอบคลุมเมื่อฝ่ายหนึ่งไปมีสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับนี้เมื่อมีผลบังคับใช้ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 47 ฉบับ

ขณะที่โซเชียลเคลื่อนไหวพากันติด #สมรสเท่าเทียม จนติดอันดับ 1 ในแอปพลิเคชัน X โดยพรรคก้าวไกล โพสต์ภาพคะแนนโหวตในสภา #สมรสเท่าเทียม ผ่านแล้ว!! ที่ประชุมสภาฯ โหวตผ่านวาระ 3 ด้วยคะแนนท่วมท้น เห็นด้วย 399 (+1) ไม่เห็นด้วย 10 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 3

นายซูการ์โน มะทา เลขาธิการพรรคประชาชาติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดยะลา เขต 2 พรรคประชาชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุส่วนหนึ่งว่า ขอยืนหยัดจุดยืนทางการเมืองของผมและพรรคประชาชาติ ผมและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ ขอชี้แจงให้ผู้ที่ให้การสนับสนุนพวกเรา และพรรคประชาชาติว่า ‘จุดยืนทางเมือง’ ของพวกเราคือ ไม่เห็นด้วย ตั้งแต่วาระที่ 1 คือ ไม่รับหลักการของร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ…

เพราะเราเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ กระทบกับวิถีชีวิตของคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม เพราะกฎหมายฉบับนี้ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม และขัดแย้งกับคำสอนของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน อันเป็นธรรมนูญชีวิตของพวกเรา

ดังนั้นวันนี้ผม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชาติ ก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่พวกเรามีมติของพวกเราว่า “พวกเราจะไม่ขอเป็นองค์ประชุมของกฎหมายฉบับนี้ทุกมาตรา และจะไม่ลงมติในวาระที่ 2 ทุกมาตรา แต่พวกเราจะลงมติในวาระที่ 3 คือ ไม่เห็นด้วย”

‘อัครเดช-รทสช.’ วอน ‘ตร.’ แก้ระเบียบให้ตำรวจชั้นผู้น้อย เบิกค่าเช่าบ้านในภูมิลำเนาตนได้ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ

(27 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้หารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตอำเภอบ้านโป่ง โดยเรื่องแรกตนได้รับการร้องเรียนจากตำรวจชั้นผู้น้อยในเขตจังหวัดราชบุรีว่า ค่าเช่าบ้านตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่สามารถเบิกจ่ายให้กับตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด และเลือกมาลงที่โรงพักที่ตามภูมิลำเนาได้

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ตรงนี้เป็นความเดือดร้อนของตำรวจชั้นผู้น้อย ที่มีรายได้ไม่ค่อยเพียงพอต่อการดำรงชีพอยู่แล้ว ดังนั้นทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือรัฐควรจะดูแลผู้ปฏิบัติหน้าที่

“ผมจึงขอให้ประธานสภาฯ ได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทบทวน กฎระเบียบดังกล่าว เพื่อให้ตำรวจชั้นผู้น้อยสามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้” นายอัครเดช กล่าว

สำหรับ ปัญหาเรื่องที่สอง ขอให้กรมทางหลวงได้ทำโครงการต่อเนื่อง จากที่ตนได้เคยเสนอทำโครงการถนน 4 ช่องจราจรสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่ง รมว.คมนาคมสมัยนั้น ได้รับปากดำเนินการให้ ซึ่งปัจจุบันโครงการถนน 4 เลน จากตำบลเบิกไพร อำเภอบ้านโป่งมาที่หนองปลาหมอกำลังก่อสร้างอยู่ เป็นสิ่งที่ประชาชนในอำเภอบ้านโป่งดีใจเป็นอย่างมากเพราะรอคอยถนนเส้นนี้มาเป็นหลายสิบปี

“ผมจึงขอให้ทางกรมทางหลวงได้ทำโครงการต่อเนื่องจากหนองปลาหมอ ผ่านตำบลเขาขลุงไปออกที่ท่าม่วงจะได้เป็นถนน 4 เลนตลอดสาย เพื่อลดอุบัติเหตุให้กับประชาชนชาวอำเภอบ้านโป่งด้วย” นายอัครเดช กล่าวย้ำ

‘ปกรณ์วุฒิ’ ป้อง!! ‘ธิษะณา-รักชนก’ อ่านเลขผิด-อภิปรายผิดมาตรา ชี้!! ทั้งคู่เพิ่งเป็น สส.หน้าใหม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ควรผิด

(26 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการประชุมวิปฯ ในวันนี้ว่า ในวาระการประชุมวันนี้เป็นการเตรียมประชุมกฎหมายสำคัญที่เข้าสู่สภา โดยพรุ่งนี้ (27 มี.ค.67) ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมรสเท่าเทียมจะเข้าสู่สภาพิจารณารายมาตรา วาระ 2 และ 3 คาดว่าจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาดว่าจะผ่านสภาได้ทั้ง 4 ร่าง ซึ่งอยากให้ประชาชนจับตามอง เนื่องจากร่างของคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคก้าวไกลยังมองว่ามีปัญหาอยู่บ้าง เนื้อหาในบางประเด็นเข้มงวดเกินธิษะณาพอดี

นอกจากนี้ วิปฝ่ายค้านยังประชุมถึงกรอบระยะเวลาการอภิปรายทั่วไปรัฐบาลแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะให้งดประชุมสัปดาห์หน้า เพื่อให้ทุกพรรคฝ่ายค้านเตรียมตัวอภิปรายอย่างเต็มที่

ส่วนการจัดกำลังพลในการอภิปราย นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า ของพรรคอื่นตนยังทราบไม่มาก แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกล จำนวนผู้อภิปรายอยู่ที่ประมาณ 30 คน ซึ่งจะแบ่งหมวดหมู่ในเรื่องประเด็นเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชัน ซีรีส์การเมือง การศึกษา สิ่งแวดล้อม สังคม ส่วนการเรียงลำดับอภิปราย ขอไปพูดคุยกันอีกครั้งก่อน

เมื่อถามว่าเห็นวุฒิสภา (ส.ว.) อภิปรายแล้ว จะต้องนำมาปรับเกมฝั่ง สส.อย่างไร นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ติดตามอยู่ มีบางส่วนที่หยิบยกมาใช้ได้ สส. แต่ละคนที่มีประเด็นของตัวเองอยู่แล้ว ก็ได้ติดตาม ส.ว. อภิปราย รวมถึงฟังคำตอบที่รัฐมนตรีแต่ละคนชี้แจงด้วย ซึ่งก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนหรือมีคำถามเพิ่มเติม

“ฟังรัฐมนตรีบางท่านตอบแล้ว อาจจะต้องหยิบยกมาถามอีกรอบในสภาผู้แทนราษฎร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

เมื่อถามว่าแม้จะไม่มีการลงมติ แต่จะสามารถเขย่าคณะรัฐมนตรีจนปรับ ครม. ได้หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ในบางประเด็นเราก็คาดหวัง เพราะรัฐมนตรีอาจทำหน้าที่บกพร่อง ซึ่งคาดหวังว่ารัฐบาลคงจะหยิบไป อย่างน้อย ๆ นายกรัฐมนตรีก็คงจะมีการกำชับรัฐมนตรีบางท่านให้ปรับปรุงการทำงาน โดยการปรับ ครม. ก็จะเป็นวิธีการที่ดีก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาล

“บางกระทรวงอาจจะมีผลงานที่ไม่ดี มีข้อครหาใด ๆ การปรับ ครม. ก็เป็นทางออก” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านเองก็ถูกจับตามอง อย่างนางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ และนางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายผิดมาตรา และมีการอ่านเลขงบผิดด้วย จะต้องมีการกำชับหรือตักเตือนหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ตนไปพูดคุยแล้ว มองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถามว่าควรผิดหรือไม่ ตนก็ยอมรับว่าไม่ควรผิด

“ผมคิดว่าใช้คำว่าตักเตือนแรงไปเลยนะ มันก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่เราก็ให้คำแนะนำแล้วกันว่าควรจะทำอย่างไร ผมรู้นะว่าตัวเลขหลายหลัก ถ้าเราไม่มีอยู่ในสคริปต์ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องดูทีละตัว ผมก็แนะนำไปว่าทำอย่างไร แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้ ผมก็คิดว่าสามารถปรับปรุงตัวเองได้ ทั้งคู่ก็เป็น สส. สมัยแรก ปีแรกด้วยซ้ำ ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวอีกเยอะ ผมคิดว่าประเด็นที่มันเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ ถ้าเรามองย้อนกลับไป 10 กว่าปีที่แล้ว ประเด็นการพูดผิดแล้วตะกุกตะกัก แล้วนำมาโจมตีกันว่าไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง ผมว่ามันพอได้แล้ว มันคงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

เมื่อถามว่ามีเรื่องนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เต้นออกนอกห้องประชุมด้วย นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า “ก็ประท้วงกันไปครับ” ตนคิดว่าถ้าพรุ่งนี้ฝั่งรัฐบาลหารือในสภา แล้วนายวิโรจน์ลุกขึ้นชี้แจง ก็เป็นสิทธิ์ของนายวิโรจน์

เมื่อถามย้ำว่าไม่ได้ห้ามใช่หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ไม่ได้มีอะไร ส่วนจะกระทบภาพลักษณ์หรือไม่ ตนคิดว่าก็วิพากษ์วิจารณ์กันได้

ส่วนที่วิจารณ์ว่าการเมืองใหม่แต่ยังทำเหมือนเดิมอยู่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ตนยังไม่เคยเห็นว่า 10 ปีที่แล้ว เขาเต้นกันในสภาเลย อาจจะใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตนจะไปพูดคุยกับนายวิโรจน์อีกครั้ง

ส่วนการอภิปรายงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา ตัวเลขคนที่ไม่ได้มาโหวต จะสะท้อนอะไรหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จากที่สอบถามไปหลายคนก็มีความผิดพลาดจริง ๆ บางคนกำลังเตรียมอภิปราย ม.152 อยู่ แต่ไม่ได้ยินเสียงออด ส่วนที่เหลือก็สามารถชี้แจงได้

‘บิ๊กโจ๊ก’ ฮึดสู้ครั้งใหญ่!! หลังถูกเด้งแพ็กคู่เข้ากรุ ‘บิ๊กต่อ’ เละเทะ ส่วน ‘บิ๊กต่าย’ ย่องจันทร์ส่องหล้า

ต้องเรียกว่า เปิดสัปดาห์ใหม่สัปดาห์นี้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่ถูกเด้งคู่ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ฮึดสู้ จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบ

1) ยกเลิกการเดินทางไปอังกฤษระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-1 เม.ย. 67 พร้อมอ้างว่านายกรัฐมนตรี และรองนายกฯ (ภูมิธรรม เวชยชัย) มอบหมายภารกิจพิเศษให้ทำด่วน

2) ให้ทนายความไปยื่นฟ้องผู้มีคำสั่งแต่งตั้งและพนักงานสอบสวน สน.เตาปูนในคดีเว็บพนัน BNK Master รวม 30 นาย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

3) ให้ทนายยื่นหนังสือต่อรักษาการ ผบ.ตร.พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ขอให้ดำเนินการตามคำสั่งของ ผบ.ตร. (พล.ต.อ.ต่อศักดิ์) ที่เคยแถลงร่วมกับบิ๊กโจ๊กเมื่อ 20 มี.ค. โดยสั่งการให้พนักงานสอบสวนรวบรวมสำนวนทั้งหมดส่งให้ ป.ป.ช. เป็นผู้พิจารณา  

4) นายษิธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายคนดังและเป็นที่รู้กันว่าสนิทสนมกับบิ๊กโจ๊กได้ออกมาแถลงถึงเส้นเงินจากเว็บพนัน ซึ่งเป็นการขยายผลเพิ่มเติมจากที่ทีมทนายเคยแถลงมาครั้งหนึ่งแล้ว

ต้องยอมรับการว่าการแถลงของทนายตั้ม แม้จะเป็นบริบทเดียวกับที่ ‘ผู้การนำเกียรติ’ ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก 1 ใน 8 ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ แต่ทนายตั้มก็มีตัวละครใหม่ ๆ อย่าง ‘ดาบยาว’ ,'รองฟาง' นายตำรวจคนของบิ๊กต่อ มาขับเน้นสีสัน และกล่าวหาว่าเส้นเงิน ‘พิมพ์วิไล’ แห่งเว็บ BNK Master นั้น มุ่งตรงไปที่ภรรยา พี่ชายของบิ๊กต่อ แบบเต็ม ๆ

ในมุมวิเคราะห์ก็ต้องบอกว่างานนี้…จริง ๆ ทั้งต่อ ทั้งโจ๊ก ก็เสียหายหลายแสน เสียชื่อเสียงอยู่แล้ว จากกรณีถูกเด้งเข้ากรุ แต่ปฏิบัติการของบิ๊กโจ๊กล่าสุดนี้ ยิ่งทำให้ทั้งคู่กอดคอกันจมน้ำนานขึ้น บิ๊กโจ๊กหวานเจี๊ยบนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะเป็นแมวสิบชีวิต ต้นทุนไม่สูงมาก แต่บิ๊กต่อหวานแหวว คำก็น้อง สองคำก็พี่นี่สิ…งานนี้ขาดทุนย่อยยับ…

เชื่อกันว่าด้วยชื่อชั้น 2-3 เดือนบิ๊กต่อก็คงได้กลับ สตช. เกษียณที่ตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ก็จะเป็นการเกษียณภายใต้สภาพของ ผบ.ตร. ที่บาดเจ็บ บาดแผลพุพอง

ส่วนตำแหน่ง ผบ.ตร. หากวันนี้ (26 มี.ค.) การประชุม ก.ตร. ไม่มีการพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อกำหนดการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2566 โดยอนุโลม ก็แปลว่า...จะไม่มีการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่ง รองผบ.ตร. แทน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ที่ไปเป็นเลขาธิการสมช. โอกาสที่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร.คนเมืองแพร่ จะขยับเป็น รองผบ.ตร. ในเดือนเม.ย. แล้วผงาดขึ้น ผบ.ตร. เดือนต.ค.2567 ก็ปิดฉาก…

ผบ.ตร.ที่ 15 ‘บิ๊กต่าย’ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ก็แบเบอร์ ข่าวว่าก่อน 20 มี.ค. บิ๊กต่ายได้ไปจันทร์ (ส่องหล้า) มาแล้ว..!!

แต่ตรงข้าม…ถ้าหากมีการอนุโลมข้อกำหนดฯ ก็แปลว่าบิ๊กจวบจะบินเร็วเหนือเสียงเข้าป้าย…

ป่านนี้ก็รู้กันแล้ว หวยออกทางไหน!! ‘เล็ก เลียบด่วน’ นำเสนอเป็นข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้แต่เพียงเท่านี้

2 รองนายกฯ ลั่น!! ไม่มีวันเอาเขตแดนไปแลกผลประโยชน์ อาณาเขตของประเทศไทยเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาการอภิปรายทั่วไป เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 นั้น

ต่อมา เวลา 20.10 น. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ชี้แจงว่า ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นมาช้านานแล้ว มีการแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างไทยและกัมพูชาเริ่มมาตั้งแต่ปี 2513 จนกระทั่งทั้งสองประเทศไม่สามารถตกลงเรื่องไล่ทวีปได้ เพราะต่างคนต่างไปกำหนดเขตไหล่ทวีปกันเอง โดยกัมพูชาเริ่มก่อน โดยกำหนดเมื่อ พ.ศ. 2515 ส่วนประเทศไทยได้กำหนดในปี 2516 ต่อมาในปี 2544 ได้มีการลงนามบันทึกความตกลง (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทย และกัมพูชา และได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกัมพูชาด้านเทคนิคหรือเจทีซี ในปี 2557 รัฐบาลได้อนุมัติการเจรจาบนพื้นฐานเอ็มโอยู 2544 ซึ่งเอ็มโอยูยังคงดำรงต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และทำไมการเจรจาไม่เสร็จสิ้นใช้เวลายาวนานมาก ซึ่งนายคำนูณพูดว่าตรงนี้เป็นขุมทรัพย์ทางทะเลที่มีมูลค่ามหาศาล อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาในการเจรจามีประเด็นที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน และอ่อนไหวทั้งทางการเมืองภายในและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องดินแดนและผลประโยชน์ของชาติ

นายปานปรีย์ กล่าวต่อว่า ตนทราบมาว่า ภายหลังปี 2544 มีการเจรจาที่เป็นทางการเพียง 4 ครั้ง และไม่เป็นทางการอีก 8 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นโอกาสที่นายกฯ กัมพูชา มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้มีการหารือเจรจาในเรื่องของทวิภาคีหลายเรื่องระหว่างประเทศ ในเรื่องโอซีเอ ก็ได้มีการพูดคุยกันและสองฝ่ายก็มีการตกลงกันว่าเห็นพ้องที่จะประสานการหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเล ในพื้นที่ทับซ้อน โดยหารือควบคู่กับการแบ่งเขตทะเล ซึ่งคิดว่า มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิคที่จะต้องพิจารณาว่าการเดินต่อตามเอ็มโอยูจะเดินต่อหรือไม่ ส่วนเรื่องแบ่งเขตแดน จะต้องเจรจาควบคู่กับการแบ่งผลประโยชน์หรือไม่ ตนคิดว่าควรจะเจรจาควบคู่กันไป ซึ่งเวลานี้กระทรวงการต่างประเทศไม่มีอำนาจในการที่จะเข้าไปตัดสินใจหรือจะให้ความเห็นใด ๆ เนื่องจากคณะกรรมการเจรจายังไม่ได้รับการแต่งตั้งเพราะต้องผ่าน ครม.

รมว.ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า ส่วนเขตหลักทะเลเส้นลาดผ่านทับเกาะกูดนั้น ไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้ว เนื่องจากหนังสือยืนยันระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศส ค.ศ.​1907 ข้อ 2 ระบุชัดเจนว่ารัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนด้านซ้ายและเมืองตราด เกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูดนั้น ตนคิดว่าจึงไม่มีประเด็นโต้แย้งใด ๆ เหนือเกาะกูดของไทย ดังนั้นเกาะกูดเป็นของไทยแน่นอน และคงต้องแบ่งเขตไล่ทวีปให้ชัดแน่นอน เพราะถ้าแบ่งไม่ชัดก็จะไม่มีใครทราบว่า พื้นที่ของของกัมพูชาหรือของไทย ส่วนที่เป็นห่วงว่า จะมีขายชาติ เสียดินแดน ละเมิดอธิปไตย สิ่งเหล่านี้ตนเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน รักชาติเท่ากันหมด ไม่มีใครคิดที่จะเอาชาติไทย หรือดินแดนของไทยไปยกให้ใครทั้งสิ้น และการที่เราจะใช้พลังงานที่อยู่ใต้ทะเลนำขึ้นมาใช้คงต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี ในเวลานี้เรื่องพลังงานเราก็กำลังมีปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้นการเจรจาจะต้องเร่งดำเนินการภายใต้ความรอบคอบ ไม่ให้เราเสียผลประโยชน์ของชาติต่อไป

ด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า ขอยืนยันไม่ว่าจะเป็นตนหรือนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เราทุกคนรักประเทศไทยและเราก็หวงดินแดนไทย โดยเฉพาะตน วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่ต้องห่วงตน จะไม่มีวันเอาทรัพยากรของชาติมาแลกกับเส้นเขตแดน ผลประโยชน์ของชาติ ความเป็นไทย เขตแดน อาณาเขตของประเทศไทยเป็นอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ตนทราบว่า ปัญหาเรื่องพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับประเทศ การต้องเตรียมพร้อมเรื่องความพร้อมของพลังงาน แก๊ส เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ว่าจะสำคัญอย่างไร ขอให้ท่านมั่นใจว่า ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความเป็นไทย เอกราชและอาณาเขตของประเทศไทย 

หลอกใช้ ‘เด็ก-เยาวชน’ ทำลายสังคม-ทำผิดกฎหมาย ความโหดร้าย และชั่วช้าของพวก ‘สามานย์’

ทุก ๆ ประเทศในโลก มักจะมีบรรดาพวกชั่วช้าสามานย์ นำเด็กและเยาวชนมากระทำความผิด ซึ่งทำกันมานานมากแล้ว ตั้งแต่การบังคับเด็กให้เป็นขอทาน หลอกล่อเด็กให้กระทำความผิดต่าง ๆ ปล้น ชิง วิ่งราว ล้วงกระเป๋า ขายของ กระทั่งขนและขายยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ ฯลฯ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่า พฤติกรรม ลักษณะนิสัย ที่เปลี่ยนไป เกิดผลกระทบด้านจิตใจอย่างมากมาย 

ผลลัพธ์สุดท้าย คือ เด็ก ๆ ต้องถูกจับกุมและดำเนินคดี ภายใต้ตัวเองและครอบครัวที่ต้องเผชิญต่อชะตากรรมจากการถูกล่อลวงให้กระทำความผิดนั้นตามลำพัง และโดดเดี่ยว จึงไม่ผิดนักที่จะประณามเหล่าผู้ที่หลอกลวงและอยู่เบื้องหลังนี้ว่า เป็นพวกที่เลว ชั่ว เป็นพวกสามานย์อย่างแท้จริง

ในประเทศไทยก็เช่นกัน เรา ๆ ท่าน ๆ ต่างรู้กันดีว่าหลายปีที่ผ่านมาสังคมไทยต้องพบกับความแตกแยกทางสังคมมากมาย ตั้งแต่เหตุการณ์สร้างความเชื่อทางการเมืองที่นำไปสู่การแบ่งแยกฝักฝ่ายด้วยสี ต่อมาก็ยังมีกลุ่มคนที่ปรารถนาร้ายต่อชาติบ้านเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามความแตกแยกด้วยการหยิบยกเรื่องเท็จและไร้ความจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องของ 3 สถาบันหลักของชาติมาปั่นหัวเยาวชน 

บรรดาผู้ซึ่งมีเจตนาไม่ดีเหล่านี้ มักจะนำวาทกรรมที่เอ่ยอ้างถึงความเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจ แยแส ระลึกนึกถึงตัวตนที่เกิดมาจนเป็นผู้เป็นคนได้ ด้วยเพราะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สถาบันหลักทั้ง 3 ของประเทศอันได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ได้พัฒนา ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง ความสะดวกสบายของสาธารณูปโภคในการอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบสื่อสาร กระทั่งถนนหนทาง แม้แต่การบริการทางแพทย์ที่เพียบพร้อมและทันสมัย 

กว่า 50 ปีมาแล้วที่สังคมไทยเสพสื่อและความเชื่อผิด ๆ ของสังคมตะวันตกผ่านภาพยนตร์ Hollywood โดยไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการแยกแยะ ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี ว่าเป็นอย่างไร จนทำให้เด็กและเยาวชนค่อย ๆ ซึมซับรับเอาด้านมืดของโลกตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งความไม่ถูกต้องชอบธรรมเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องปกติวิสัยธรรมดาที่ค่อย ๆ กล่อมให้สังคมส่วนหนึ่งเริ่มยอมรับได้ไปซะงั้น 

เมื่อเด็กและเยาวชนซึ่งเกิดมาพร้อมกับความเจริญที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่กลับขาดความรู้ในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ จึงทำให้เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งซึ่งไม่เคยสัมผัสและไม่รู้จักความทุกข์ยากลำบากของคนรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย แต่เก่าก่อน พฤติการณ์และพฤติกรรม ตลอดจนระบบความคิด จึงมีแต่เรื่องราวและคาดหวังในการมีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยความสะดวกสบาย

พวกชั่วช้าสามานย์ที่มุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อประเทศชาติ ซึ่งรับงานมาจากประเทศตะวันตก ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนทั้งเงินทองและเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงสร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากความขัดแย้งแตกแยกในชาติ โดยเฉพาะในทางการเมือง มีการกล่าวร้ายให้โทษสังคมไทยด้วยการนำโยงเอาสถาบันหลักของชาติทั้งสามให้มายุ่งเกี่ยวพัวพันอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังนำไปเรื่องราวอันเป็นบริบทของชาติบ้านเมืองที่มีมาอย่างยาวนานไปเปรียบเทียบกับสังคมตะวันตก ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกก็ไม่ได้มีน้อยไปกว่าที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเราเลย หลายอย่างบางเรื่องกลับจะรุนแรงมากกว่าในบ้านเมืองเราเสียด้วยซ้ำ 

แน่นอนว่า ระบบการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนที่ผู้คนรับข้อมูลข่าวสารจากการอ่าน การฟัง และการรับชม ผ่านสื่อที่สามารถตรวจสอบจับต้องได้ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ วิทยุ และโทรทัศน์ มาเป็นการเสพสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้คนยุคนี้เชื่อข้อมูลข่าวสารโดยไม่สนใจถึงความถูกต้องชอบธรรม ภายใต้กระบวนการจากผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองที่หยิบยกเอาเรื่องราวประเด็นต่าง ๆ มาสร้างกระแสความนิยมและครอบงำผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยที่ไม่เคยและไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพินิจ วิเคราะห์ พิจารณา ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยหลักตรรกะ เหตุผล และสติสัมปชัญญะ ฯลฯ ต่างก็พากันหลงเชื่อ เห็นผิดเป็นถูก เรื่องที่ชั่วร้ายกลายเป็นความดีงาม เป็นจำนวนมาก

การขาดซึ่งวิจารณญาณในการพินิจ วิเคราะห์ พิจารณา ปัญหาต่าง ๆ ที่ควรเกิดขึ้นด้วยหลักตรรกะ เหตุผล และสติสัมปชัญญะ ฯลฯ ของคนรุ่นใหม่ จึงมีส่วนที่ทำให้สังคมเกิดความเสื่อมถอยอย่างร้ายแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งความเป็นจริงของทุก ๆ อารยประเทศนั้น เรื่องของประชาธิปไตยจะต้องเริ่มต้นจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ ภายใต้ ‘กฎหมาย’ หรือ กติกาสังคมที่กำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติที่ทำให้ทุก ๆ คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข  

ทว่า เมื่อคนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งได้เสพเรื่องราวผิด ๆ จนติด และเสพเรื่องราวเหล่านั้นจนกลายเป็นความเชื่อ กระทั่งกลายเป็นความบ้าคลั่ง จึงกล้าที่ทำความผิดต่าง ๆ เยอะแยะมากมายเกินกว่าที่บรรดากลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองที่ทำตัวเป็นศาสดาและยุยงจะกล้าทำเสียเองด้วยซ้ำไป คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลายเป็นผู้ต้องหาในความผิดอันเกิดจากความเชื่อที่ผิดกฎหมาย ซ้ำร้ายยังไม่ยอมรับในความผิดตามกฎหมายที่พวกตนกระทำทั้ง ๆ ที่กฎหมายเหล่านั้นทำให้ประเทศชาติสงบร่มเย็นมายาวนานจนถึงทุกวันนี้ 

พฤติการณ์และพฤติกรรมของพวกชั่วช้าสามานย์ที่มุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อประเทศชาติที่ได้หลอกให้เด็กและเยาวชนทำผิดกฎหมาย จนเด็กและเยาวชนเหล่านั้นถูกจับกุมและดำเนินคดีส่งผลต่อชีวิตในอนาคต ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกชั่วช้าสามานย์ที่บังคับเอาเด็กมาปล้นจี้ผู้อื่นเลย เพราะการบังคับหรือล่อลวงเด็กให้กระทำผิดภายใต้คำเป่าหูที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’ นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่เหี้ยมโหดและชั่วช้าสามานย์ยิ่ง 

...มีแต่คนที่อุบาทว์ชาติชั่วเลวทรามจริง ๆ เท่านั้นถึงทำได้!! 

เด็ก ๆ ยังไร้เดียงสา ขาดความเข้าใจ ไม่มีวุฒิภาวะพอ เมื่อถูกหลอกลวงด้วยคำพูด ถ้อยคำ โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงหลงเชื่อ แต่เมื่อได้กระทำการจนกลายเป็นความผิดสำเร็จไปแล้ว จึงต้องรับโทษตามกฎหมายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งสังคมไทยต้องร่วมกันประณามหยามเหยียดคนเหล่านี้อย่างเต็มที่จนถึงที่สุด 

นี่คืออีกเรื่องใหญ่ที่น่าห่วงที่สุดของสังคมไทยในปัจจุบัน ครอบครัวอันเป็นสถาบันสำคัญพื้นฐานเบื้องต้น จึงต้องทุ่มเทใส่ใจ โดยไม่คิดที่จะฝากเรื่องการเรียนรู้ทั้งวิชาการและการใช้ชีวิตไว้กับโรงเรียนหรือบุคคลอื่น เพราะหากเด็กและเยาวชนหลงเชื่อทำตามคำยุยงปลุกปั่นพวกชั่วช้าสามานย์เหล่านี้แล้ว เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราจะต้องเสียอนาคตไปจนตลอดชีวิต โดยที่พวกชั่วช้าสามานย์เหล่านั้นไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบลูกหลานของเราแต่อย่างใดเลย

‘ธรรมนัส’ บอกไม่รู้ สส.ก้าวไกล ดอดพบ ‘บิ๊กป้อม’ เคลียร์ปมหากจะขอเข้าพรรค ต้องให้ กก.บห.ตัดสินใจ

(25 มี.ค. 67) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสข่าว สส.พรรคก้าวไกล เข้าพบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่บ้านมีนบุรีว่า ถ้าพูดตามตรง ตนเองไม่ทราบในเรื่องนี้

ถามว่าหากมีเหตุในอนาคตที่ทำให้ สส. ของพรรคก้าวไกลต้องไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องใหญ่ เราจะรับใครเข้าพรรคเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค จะต้องมีการประชุมร่วมกัน เราจะไม่ทำอะไรที่เคยเป็นบทเรียนในอดีตที่ทำให้เกิดความหมางใจกัน เราเคยเป็นผู้ถูกกระทำ เราอย่าเอาสิ่งที่เคยถูกกระทำนั้นมาทำเอง ฉะนั้น จะต้องมีการคุยกัน

เมื่อถามว่า มีการติดต่อจากกลุ่ม สส.ของพรรคก้าวไกล มาที่เครือข่ายของ ร.อ.ธรรมนัสหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเองไม่มีเครือข่าย มีแต่เครือข่ายภาคเกษตรฯ

ซักว่าที่ สส.ของพรรคก้าวไกลมีคนใดพอที่จะมีคุณสมบัติมาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนเห็นการทำงานของฝ่ายค้านก็เข้มข้น เพราะเราเป็น สส. เป็นถึงรัฐมนตรี เราก็เห็นการทำงานของเขาในการตรวจสอบการทำงานของเราอย่างเข้มข้น

เมื่อถามถึงในส่วนของ สส.พรรคก้าวไกลบางคน ที่มีทัศนคติที่ดีต่อพรรคพลังประชารัฐ จะมีการปิดประตูรับหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า จะต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการของพรรคก่อน จะตัดสินใจเองไม่ได้

‘ก้าวไกล’ เตรียมผุดทายาท ‘ก้าวใหม่’ หากโดนยุบพรรค ขณะที่บรรยากาศภายในลุยวางแนวทางของการทำงานแล้ว

(24 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถึงการเตรียมการตั้งชื่อพรรคใหม่ หากกรณีถูกยุบพรรคเกิดขึ้นจริงว่า ก่อนหน้านี้แกนนำพรรคมองไว้หลายชื่อ แต่ชื่อที่โดดเด่นขึ้นมามีอยู่ 2 ชื่อ ได้แก่ ‘อนาคตไกล’ และ ‘ก้าวใหม่’ แต่ล่าสุดชื่อ ‘อนาคตไกล’ มีผู้นำไปจดแจ้งตั้งเป็นพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างเป็นทางการไปแล้ว

โดย พรรคอนาคตไกล ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ พรรคก้าวไกล ดังนั้น ณ ขณะนี้มีความเป็นไปได้สูงที่สุดที่ ‘ก้าวใหม่’ จะถูกนำไปตั้งเป็นพรรคทายาทของพรรคก้าวไกล

ขณะที่บรรยากาศในพรรคก้าวไกล ระดับแกนนำมีการพูดคุยกันว่าการยุบพรรคก้าวไกลค่อนข้างแน่นอนแล้ว ขอให้ไปทำงานร่วมกับพรรคใหม่ที่รองรับไว้ และให้กำลังใจกรรมการบริหารพรรค ขอให้ช่วยทำงานต่อไปเพื่อน้อง สส.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top