Friday, 10 May 2024
NEWS

กระทรวงพาณิชย์ เตือน ผู้ประกอบการโชวห่วย นิ่งเฉยไม่ได้หลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ระวังเรื่องความสะอาดของร้านค้าและสินค้าโดยต้องปราศจากเชื้อโรค ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยกระดับจาก New Normal เป็น Next Normal

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น โดยอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวังมากขึ้น และมีการยกระดับการดำเนินชีวิตจาก ‘วิถีปกติใหม่’ (New Normal) เป็น ‘วิถีปกติถัดไป’ (Next Normal) ที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตและเข้ามามีบทบาทในทุกมิติ โดยทุกคนต้องหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น

ดังนั้น ร้านค้าโชวห่วยของไทยจึงไม่สามารถประกอบธุรกิจได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค เช่น ปรับวิธีการบริหารจัดการร้านค้าให้เป็นระบบ/ระเบียบมากขึ้น ต้องให้ความใส่ใจเรื่องสุขอนามัยที่ดี ร้านค้า/สินค้าต้องสะอาดปราศจากเชื้อโรค และต้องหมั่นทำความสะอาดร้านค้าให้บ่อยมากขึ้น

รวมทั้ง ต้องใช้ระยะห่างทางสังคมเข้ามาช่วยในการบริหารลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในร้านค้า สินค้าในร้านต้องหาง่าย เนื่องจากลูกค้าจะใช้เวลาอยู่ภายในร้านไม่นาน ฯลฯ และที่สำคัญ คือ ต้องเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ควบคู่กับการขายสินค้าหน้าร้าน (Omni-Channel) ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งลูกค้ารายเดิมและลูกค้ารายใหม่

ซึ่งผู้ค้าไม่จำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเอง แต่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ เช่น แอพพลิเคชั่นไลน์ หรือ แมสเซนเจอร์ เป็นช่องทางการตลาดให้กับผู้บริโภคในการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่จะมีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวกันอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพิ่มเติม เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อ และผู้ขายก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบเดลิเวอรี เช่น จักรยานยนต์ หรือ จักรยาน เป็นต้น”

“นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังเดินหน้าผลักดันให้ร้านค้าโชวห่วยมีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้า เช่น ระบบการขายหน้าร้าน (Point of Sale : POS) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน/เพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุค Next Normal และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน”

รมช.พณ. กล่าวต่อว่า “ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโชวห่วยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการเข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ของรัฐบาล ทำให้มียอดขายและสภาพคล่องดีขึ้น รวมทั้ง ส่งผลดีต่อผลประกอบการของผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้ขับเคลื่อนได้อย่างตรงจุด

ซึ่งจนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 3 มกราคม 2564 : กระทรวงการคลัง) มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งแล้วกว่า 1.1 ล้านร้านค้า มีผู้ใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่ง และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 แล้วจำนวน 12,050,115 คน มียอดการใช้จ่ายสะสม 53,431.90 ล้านบาท (แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 27,353.40 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 26,078.50 ล้านบาท) โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา ชลบุรี เชียงใหม่ และ นครศรีธรรมราช ตามลำดับ”

“ร้านค้าโชวห่วยท้องถิ่นถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ช่วยอำนวยความสะดวกประชาชนให้สามารถซื้อหาสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย รวมถึง เป็นแหล่งกระจายสินค้าท้องถิ่นและสินค้าชุมชนของประเทศ อย่างไรก็ดี ร้านค้าโชวห่วยและร้านค้าชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายจำนวนมาก ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และการแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ค่อนข้างรุนแรงจากการเข้ามาของร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวทั้งด้านการปรับภาพลักษณ์ร้านค้า การตลาด การบริหารคลังสินค้า รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในร้านค้าอย่างเหมาะสม” รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจค้างค้าปลีกโชวห่วยขนาดกลาง จำนวน 6,217 ร้านค้า และโชวห่วยขนาดเล็กประมาณ 400,000 ร้านค้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2547 5986 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th

ถึงคุณชัชชาติและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ: กรณีวัคซีนโควิด เราต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลสร้างระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เช่นนี้

จากกรณีที่คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้(13 มกราคม 2564) ถึงแนวคิดให้ทางการกรุงเทพมหานคร ใช้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนสำหรับประชาชน ที่อยู่ในพื้นที่จำนวน 8 ล้านคน ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง เช่นที่เทศบาลนครนนทบุรี และเทศบาลนครแหลมฉบัง ที่จะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนในเขตของตนเอง

ซึ่งถือว่าเป็นข้อเสนอ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน เป็นความหวังดีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดการได้ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้เราย้อนกลับมาฉุกคิดตรงนี้ ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่มีงบประมาณเหลือมากที่สุด และมีหน้าที่โดยตรงในการจัดการปัญหานี้คือใครกันแน่? สำหรับผมแล้วเห็นว่าเป็นหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ของรัฐบาลไทย

หากได้ติดตามการทำงานของ ส.ส. หมอเอก เอกภพ เพียรพิเศษ ที่เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกล อภิปราย พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทของรัฐบาล ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 หรือเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว จะเห็นได้ว่าพรรคก้าวไกลเราเสนอให้รัฐบาลไทยจัดงบประมาณ 67,000 ล้านบาท เอาไว้เพื่อจัดหาวัคซีน บนพื้นฐานของหลักการว่าจะต้องฟรีสำหรับประชาชนทุกคน “Vaccine For All”

เมื่อวานนี้คุณหมอเอกก็ได้ลงรายละเอียดประเด็นนี้เพิ่มเติมว่าการแยกกันจัดการ/จัดหา จะยิ่งเพิ่มภาระทางการเงินการคลังของแต่ละท้องถิ่น และยังส่งผลต่อการบริหารจัดการแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนทั้งประเทศอย่างเป็นธรรมตามหลักการทางการแพทย์ด้วย

เพราะวัคซีนโควิดนั้นไม่ใช่ส่วนเสริมให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้นแบบใครจะทำเพิ่มหรือไม่ทำก็ได้เหมือนกับการสร้างหอชมเมืองที่แต่ละท้องถิ่นตัดสินใจเลือกเองว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร แต่นี่เป็น ”ความจำเป็น” ในสถานการณ์วิกฤต ที่ทุกคนจะต้องได้ฟรี เหมือนกับวัคซีนอื่นๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขฉีดให้ประชาชนฟรีอยู่แล้ว เช่นวัคซีนวัณโรค คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ฯลฯ (โดยความคาดหวังว่าวิถีชีวิตจะกลับสู่ปกติโดยเร็วเพื่อให้การทำมาหากินของประชาชนกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด แต่วัคซีนโควิดก็เป็นเพียงการใช้ในภาวะฉุกเฉินหรือ Emergency Use Approval เท่านั้น ซึ่งหมายความต้องมีระบบติดตามและวางแผนยุทธศาสตร์ในการฉีดที่ดีมากและต้องเป็นเอกภาพ)

ไม่นับว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดในประเทศไทย ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชนในเขตตนเองหรือไม่ เพราะมีอีกหลายแห่งที่ขาดงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีน กลายเป็นว่าจะมีบางแห่งที่ประชาชนได้วัคซีน บางแห่งไม่ได้ เพราะไม่มีงบประมาณ กลายเป็นระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”

ดังนั้น หากเรามองในภาพใหญ่ทั้งประเทศ เป็นการดีที่สุดที่จะต้องยึดตามหลักการเดิมไว้ นั่นคือให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยในการใช้งบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชนที่ตนเองมีเหลือใช้อยู่แล้ว เพื่อจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทุกคนในประเทศนี้

(แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ รัฐบาลเปิดเผยแผนว่าจะมีการจัดหาวัคซีนให้เพียงครึ่งหนึ่งของประชากรไทยเท่านั้น และมีท่าทีสนับสนุนให้ท้องถิ่นจัดซื้อหาวัคซีนกันเอง เท่ากับว่าประชาชนไทยอีกครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพิงกับแต่ละท้องถิ่นว่าจะทำหรือไม่ทำ)

ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศนั้น ผมเห็นว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันจัดการกระจายวัคซีนไปยังประชาชนในพื้นที่เนื่องจากหน่วยงานเหล่านี้มีข้อมูลประชาชนในพื้นที่ละเอียดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ

และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ก็คือการช่วยเหลือ เยียวยา สนับสนุน ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันของประชากร ทั้งอาชีพ วัย ลักษณะการใช้ชีวิต ฯลฯ ย่อมมีความต้องการช่วยเหลือแตกต่างกัน ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดการงบประมาณตรงนี้ได้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนได้ดีเพราะใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า ท่ามกลางมาตรการของรัฐบาลที่ยังไม่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักมากเพียงพอต่อความต้องการ ซ้ำร้ายยังไม่ครอบคลุมแรงงานในระบบด้วยซ้ำไป

สุดท้าย ผมขอฝากความหวังดีไปยังคุณชัชชาติและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนว่า เราต้องอย่าหลงลืมทวงบทบาทหน้าที่สำคัญของรัฐบาลในวิกฤตครั้งนี้ อย่าปล่อยให้รอดจากความรับผิดชอบหลักของตัวเองไปได้

เรื่อง “งบประมาณ” ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนมีคุณภาพและมีจำนวนเพียงพอให้ประชาชนทุกคน

เราเองต้องไม่ปล่อยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควักเงินจ่ายกันเอง เอื้อให้รัฐบาลสร้างระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เช่นนี้

วัคซีน Sinovac ยังคงมีปัญหา เมื่อค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 ไม่เท่ากันในหลายประเทศที่นำไปทดสอบใช้ จึงยังเป็นวัคซีนทางเลือกที่ทั่วโลกยังต้องพิจารณา

กลายเป็นข่าวที่ไม่สู้ดีเท่าไร สำหรับทีมพัฒนาวัคซีน Covid-19 ของจีน ที่ผลการทดสอบล่าสุดจากบราซิล ประเทศที่มีกลุ่มทดสอบวัคซีนของ Sinovac มากที่สุด ได้สรุปผลการใช้งานล่าสุดว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกัน Covid-19 เพียงแค่ 50.4% เท่านั้น

ผลลัพธ์ล่าสุดเรียกได้ว่า น่าผิดหวัง ไม่เฉพาะกับชาวบราซิล แต่รวมถึงหลายประเทศทั่วโลก ที่เริ่มตั้งคำถามกับความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน ที่ประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง เคยออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนพัฒนาวัคซีน Covid-19 ให้ชาวโลกได้ฉีดอย่างทั่วถึง และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาสาธารณะ

แต่ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้มาจากการทดสอบของสถาบันวิจัย Butantan ในเมืองเซา เปาโล ที่เป็นผู้ผลิต และทดสอบวัคซีนของ Sinovac เน้นว่าผลล่าสุดที่ได้ 50.4% นั้น เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากกลุ่มทดสอบที่มีอาการน้อยมาก ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเพิ่งจะออกมาประกาศว่าวัคซีนของ Sinovac ใช้ได้ผลดีถึง 78% กับกลุ่มทดสอบที่มีอาการระดับเบา ถึงปานกลาง แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีอาการระดับกลาง ไปจนถึงหนัก วัคซีนตัวนี้ใช้ได้ผล 100%

ยิ่งสร้างความสับสนให้กับคนทั่วไป จนรัฐบาลบราซิลยอมรับว่า ทีมวิจัยควรหาวิธีสื่อสารให้ดีกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เข้าใจง่ายและโปร่งใส

สำหรับวัคซีน Covid-19 จากบริษัท Sinovac Biotech ที่ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของวัคซีนจากจีน ที่มีข่าวว่าเข้าสู่การทดสอบช่วงท้าย ๆ และน่าจะผลิตออกมาได้ในเร็ว ๆ นี้

นอกเหนือจาก Sinavac ก็ยังมี Sinopharm ที่ได้ทดลองในกลุ่มตัวอย่างในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปแล้ว และได้ผลถึง 86% ส่วนอีก 2 บริษัทคือ CanSino Biologics ที่ได้ทดลองไปแล้วที่ซาอุดิอารเบีย และ Anhui Zhifei Longcom ที่กำลังทดลองในเฟส 3

ส่วน Sinavac นอกจากจะมีการทดลองใช้ในบราซิลแล้ว ยังมีการทดสอบในตุรกี ที่เพิ่งออกมาบอกว่าวัคซีนตัวนี้ใช้ได้ผลถึง 91.25% และในอินโดนีเซีย ที่ได้ผลลัพธ์ 65.3%

ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่มีความต่างกันมาก จนหลายประเทศที่ได้สั่งซื้อวัคซีนของ Sinovac ไปแล้ว อย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยเราด้วย ก็คงหวั่นไหวกับผลทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ไม่น้อย

แต่ทั้งนี้การใช้วัคซีน Sinovac ก็มีข้อดีอยู่บางประการที่หลายประเทศใช้ประกอบการพิจารณา เช่น กลไกการทำงานของวัคซีน Sinovac จะใช้เซลล์เชื้อไวรัสที่ตายแล้วนำมาพัฒนาเป็นวัคซีน ซึ่งเป็นเทคนิคการพัฒนาวัคซีนแบบดั้งเดิมที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อย เมื่อเทียบกับวัคซีนจาก Moderna และ Pfizer ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการสกัดเอา mRNA จากเชื้อไวรัส หรือของ AstraZeneca ที่ใช้ DNA สกัดของไวรัส เอามาพัฒนาเป็นวัคซีน ที่ผลข้างเคียงในอนาคตเป็นเรื่องที่ยังคาดเดาไม่ได้

นอกจากนี้ อุณหภูมิที่ใช้ในการจัดเก็บสต็อควัคซีนของ Sinovac ใช้ตู้แช่ที่มีความเย็นเพียง 2-8 องศาเซลเซียส ที่เป็นอุณหภูมิของตู้เย็นปกติ เช่นเดียวกับของ AstraZeneca ซึ่งจะแตกต่างจากวัคซีนของ Moderna และ Pfizer ที่ต้องเก็บในตู้แช่อุณหภูมิติดลบ ตั้งแต่ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียส

แต่ทั้งนี้ ก็คงต้องรอบริษัท Sinovac ออกมาอธิบายถึงผลทดสอบต่าง ๆ ที่ผ่านมา และวิจารณญาณของทีมรัฐบาลของเราว่าจะไปต่อกับ Sinovac หรือจะรอ AstraZeneca ที่คิวจองนานมาก หรือจะลองพิจารณาวัคซีนของเจ้าอื่นไว้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยในวันวิกฤติเช่นนี้


แหล่งข่าว

https://www.aljazeera.com/.../brazil-trial-finds-efficacy...

https://edition.cnn.com/.../sinovac-covid.../index.html

https://www.bbc.com/news/world-latin-america-55642648

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55212787

นายกรัฐมนตรีเชิญชวนร่วมงานวันครูออนไลน์ “วิถีใหม่” น้อมรำลึกพระคุณครู พร้อมมอบคำขวัญวันครูปี 64 "ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ"

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการจัดงานวันครู ประจำปี 2564 ว่า ในปีนี้จัดรูปแบบ “New Normal” สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของผู้เข้าร่วมงานวันครู โดยให้จัดกิจกรรมวันครูออนไลน์ ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล”

ประกอบด้วย พิธีระลึกพระคุณ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระว่างครู และความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน และยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ประกอบคุณงามความดีหรือทำคุณประโยชน์ต่อวงการศึกษา ให้เป็นที่รับรู้แก่สาธารณชน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบคำขวัญวันครู ครั้งที่ 65 พ.ศ. 2564 ว่า "ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ" พร้อมเชิญชวนทุกคนที่มีครูร่วมระลึกถึงพระคุณครู และเข้าร่วมกิจกรรมงานวันครูออนไลน์กับคุรุสภา ร่วมทำความดี เป็นจิตอาสา และร่วมแชร์ความรู้สึกดี ๆ ส่งต่อถึงพระคุณของครู

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมการจัดงานในปีนี้ ส่วนกลางประกอบด้วย 3 เฟส โดยเฟสแรก การจัดงานวันครูออนไลน์ วันที่ 16 มกราคม 2564 ได้แก่ พิธีทำบุญตักบาตรออนไลน์ พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ครูผู้วายชนม์ พิธีบูชาบูรพาจารย์และระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ การอ่านสารเนื่องเนื่องในโอกาสวันครูของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิธีคารวะครูอาวุโสของนายกรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปาฐกถาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ครั้งที่ 4 เรื่อง “พลังครูไทยวิถีใหม่ โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช รักษาการนายสภาสถาบันอาศรมศิลป์ ถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ "คุรุสภา" และทาง YouTube Channel “TBL Suandusit” ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

เฟส 2 กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านทาง www.วันครู.com เผยแพร่นิทรรศการการพัฒนาวิชาชีพ การเสวนาทางวิชาการออนไลน์ และการเรียนหลักสูตรออนไลน์การพัฒนาสมรรถนะครูมืออาชีพ ภายใต้แนวคิด “พลังครูไทยวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม - 30 เมษายน 2564 และเฟส 3 กิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งจะกำหนดจัด หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ดีขึ้นแล้ว

“ในส่วนภูมิภาค ให้จัดงานวันครูตามความเหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ โดยยึดปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.ในแต่ละพื้นที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้รับมอบดอกกล้วยไม้ และซีดีเพลงเทิดเกียรติคุณครู จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรณรงค์การจัดกิจกรรมวันครูด้วย”นายอนุชากล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า "กรณ์" เสนอแก้บ่อนเถื่อน ยกมาไว้บนโต๊ะ เป็นพนันถูกกฎหมาย แก้ปัญหาทุจริต เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี เปิดช่องรัฐเข้าควบคุมระบาดโควิด-19 ได้ ฝาก "บิ๊กตู่" ถ้ากล้า ทำได้แน่นอน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความลง Facebook กรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุถึงการแก้ไขปัญหาบ่อนการพนันว่า "ต่อให้ร้อยนายกฯก็ทำไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน" โดยนายกรณ์ เสนอแนวทางแก้ปัญหาบ่อนเถื่อน ด้วยการทำให้การพนันอยู่บนโต๊ะ มีกฎหมายรองรับกำกับดูแล มีการเสียภาษีให้รัฐ ป้องกันเงินรั่วไหลไปบ่อนต่างประเทศ แก้ปัญหาการทุจริตวงการคนในเครื่องแบบ สามารถเข้าถึงการควบคุมการแพร่ระบาดเชื่อโควิด-19 ได้ โดยมีข้อความดังนี้

"นายกฯ คนเดียว ก็แก้ได้ ถ้ากล้าเอาไว้ "บนโต๊ะ"
#เปลี่ยนส่วยเป็นภาษี นำเม็ดเงินกลับมาใช้เพื่อประชาชน

ถ้าพรรคกล้าเป็นรัฐบาล เราจะเอา ‘การพนัน’ ขึ้นไว้บนโต๊ะเลยครับ

ผมคิดว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การขอให้คน ‘ร่วมมือ’ เลิกเล่นการพนัน แต่การทำให้การพนัน ‘อยู่บนโต๊ะ’ โดยมีกฎหมายรองรับ และมีการกำกับดูแล

ปัญหาสังคมเราคือ ‘บ่อนเถื่อน’ ซึ่งเป็นที่มารายได้ของผู้มีอิทธิพล เป็นที่มาของการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการคนมีเครื่องแบบ การรั่วไหลเงินไปบ่อนถูกกฎหมายในต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลบๆซ่อนๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาการแพร่เชื้อ Covid-19 ตามที่ปรากฏ

ดังนั้นถ้าตั้งโจทย์ให้คนเลิกเล่นการพนัน เราเห็นด้วยกับนายกฯ ว่า.. ไม่ต้องร้อยนายกฯหรอกครับ - พันนายกฯ คนก็แก้ไม่ได้ แต่นี่คือโจทย์ที่ผิดโจทย์ที่ถูกคือทำอย่างไรให้การเล่นการพนันเป็นภัยต่อสังคมให้น้อยที่สุด

คำตอบคือ การพนันที่มีใบอนุญาตบนโต๊ะอย่างถูกกฎหมาย มีการกำกับดูแล และมีการเสียภาษีให้รัฐเข้าระบบ เพื่อนำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน แทนการเข้ากระเป๋ามาเฟีย

ถ้าตามนี้นายกฯ คนเดียวที่มีความกล้า ทำได้แน่นอนครับ"


ที่มา: https://www.facebook.com/71254499739/posts/10159289526159740/

สภาพัฒน์’ ยันไม่ติดใจแผนฟื้นฟู ขสมก. ระบุส่งเสียงหนุน ให้คณะรัฐมนตรีนานแล้ว รอแค่คมนาคมส่งแผนลงทุนซื้อรถเมล์ใหม่ มาให้เคาะตามขั้นตอนเท่านั้น

ภายหลังสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สคม.) ตีกลับแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้หารือในรายละเอียดกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) อีกครั้ง ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้ใช้รถเมล์โฉมใหม่ ที่เป็นรถพลังงานไฟฟ้า ลดมลภาวะ PM 2.5 แอร์เย็นฉ่ำในราคาสบายกระเป๋า

ล่าสุด นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้แผนฟื้นฟูฯ ขสมก. ไม่ได้ติดอยู่ที่สภาพัฒน์ และกระทรวงคมนาคม ไม่จำเป็นต้องนำแผนฟื้นฟูฯ มาให้สภาพัฒน์พิจารณาก่อนเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามสิ่งที่กระทรวงคมนาคม ต้องเสนอมาให้สภาพัฒน์พิจารณาคือ แผนการลงทุนในการจัดหารถโดยสารประจำทางใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในแผนฟื้นฟูฯ ถือเป็นกระบวนการปกติของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหากต้องจัดซื้อจัดจ้างต้องส่งมาให้สภาพัฒน์พิจารณาด้วย ไม่ได้เกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ

“ยืนยันว่าสภาพัฒน์ไม่ได้มีประเด็นอะไรเกี่ยวกับแผนฟื้นฟู ขสมก. ซึ่งก่อนหน้านี้สภาพัฒน์ได้ส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูฯ ไปยัง ครม. นานมากแล้ว โดยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เวลานี้หากแผนพื้นฟูฯจะเข้าครม. ก็เข้าไปได้เลย ไม่ต้องส่งมาที่สภาพัฒน์ ส่วนเรื่องที่ต้องส่งมาคือแผนที่ ขสมก. จะลงทุนซื้อรถเมล์ใหม่ อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์พร้อมที่จะชี้แจง และเตรียมนัดหารือกับทางกระทรวงคมนาคมในเร็วๆ นี้ หากเรื่องนี้จะมีประเด็นน่าจะอยู่ที่เรื่องภาระหนี้ของ ขสมก. มากกว่า โดยเป็นเรื่องของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ไม่ได้เกี่ยวกับสภาพัฒน์แต่อย่างใด” นายดนุชา กล่าว

ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ในหลักการแผนฟื้นฟูฯดังกล่าวถือว่าเป็นแผนที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการจ้างเอกชนวิ่งรถโดยสารตามระยะทางที่ให้บริการ โดยจ่ายค่าจ้างเป็นกิโลเมตร (กม.) เป็นแนวคิดที่ดีมาก เพราะ ขสมก. จะได้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าซ่อมบำรุง และค่าเสื่อมสภาพของรถโดยสารจำนวนมากเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งแนวคิดนี้คิดกันมาหลายยุคหลายสมัย แต่ยังไม่สามารถนำมาดำเนินการเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนได้ อย่างไรก็ตามเวลานี้ที่มีข่าวว่าแผนฟื้นฟูฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาพัฒน์นั้น ส่วนตัวมองว่าสภาพัฒน์น่าจะเห็นด้วย ในหลักการ เพียงแต่รายละเอียดการปฏิบัติเรื่องต่างๆ ที่อยู่ในแผนฟื้นฟูฯ ทางสภาพัฒน์อาจยังไม่มั่นใจ จึงเป็นเรื่องที่ ขสมก. ต้องชี้แจงให้ได้ เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องยาก

ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนฟื้นฟูฯ ฉบับนี้ มีข้อเสนอแนะ 2 เรื่องคือ 1.การจัดเก็บค่าโดยสาร 30 บาทต่อคนต่อวัน ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางขึ้นรถโดยสารหลายต่อ จะช่วยประหยัดได้มาก แต่เชื่อว่าผู้โดยสารทุกคนคงไม่ได้หันมาซื้อตั๋วแบบ 30 บาทตลอดวันทั้งหมด

ดังนั้น ขสมก. จึงต้องพิจารณาให้ดีว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ในทางปฏิบัติอย่างไร ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรต้องศึกษา และสำรวจพฤติกรรมการใช้บริการของผู้โดยสารอย่างละเอียด รวมทั้งควรทดลองการจำหน่ายตั๋ว 30 บาทตลอดวันด้วย และ 2.รูปแบบการจัดเก็บรายได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการนำตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ ดังนั้นในทางปฏิบัติต้องพิจารณาให้ดีว่าจะควบคุมเรื่องการเงินอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหารายได้รั่วไหล

“วิษณุ” เผย ภายใน 1-2 วัน รายชื่อคณะกรรมการสางปมบ่อนพนัน-แรงงานผิดกฎหมาย ออกชัดเจน ระบุ ประธานไม่ใช่คนสีกากี มีประวัติการทำงานดี มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในส่วนที่รับผิดชอบ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ารายชื่ออคณะกรรมการแก้ปัญหาบ่อนการพนันและแรงงานผิดกฎหมาย ตามที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ภายใน 1-2 วันนี้ รายชื่อคณะกรรมการ ที่เกี่ยวกับแรงงานผิดกฎหมายและคณะกรรมการที่เกี่ยวกับบ่อนการพนัน จะชัดเจน ซึ่งบางคนอาจไม่สะดวกที่จะรับตำแหน่งเนื่องจากต้องลงพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะบางคนเป็นผู้สูงอายุ

นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนผู้ที่จะมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการ จะมีชื่อระดับบิ๊กเนมหรือไม่นั้น ตอบได้เพียงว่าเป็นผู้ที่มีประวัติการทำงานดี มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในส่วนที่รับผิดชอบ ซึ่งประธานคณะกรรมการทั้งสองคณะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจ เพราะขั้นปฏิบัติ เจ้าพนักงานที่เป็นทหาร ตำรวจ เป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งตัวประธานก็ไม่อยากให้เป็นข้าราชการทหารตำรวจ แต่เป็นอดีตข้าราชการได้ และที่สำคัญ ไม่อยากให้เป็นตำรวจเพราะอาจจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องได้

“คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า เน้นเรื่องที่ได้รับร้องเรียนเรื่องปัจจุบันและหามาตรการป้องกันในอนาคต โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 จะไม่มีการตรวจสอบย้อนหลัง เพราะเจ้าหน้าที่ก็ดำเนินคดีตามกฎหมายอยู่แล้ว”

นายวิษณุ กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการทั้งสองชุด ไม่ได้มีหน้าที่จับกุม เพราะคนจับคือเจ้าพนักงาน แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์และเบาะแสต่าง ๆ ที่มีบ่อนและแรงงานผิดกฎหมาย และจี้กำชับไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ตำรวจพื้นที่ลงไปดำเนินการ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้คือเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ของตัวเอง ก็สามารถไปแจ้งดำเนินคดีได้ที่กองปราบปรามหรือ ตำรวจสอบสวนกลาง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้คณะกรรมการป้องกัน และปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ตรวจสอบ เป็นต้น

ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีได้เปิดสายด่วน 1111 ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส ซึ่งกรรมการทั้งสองชุดจะขยายผลไปตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆ และอาจจะเปิดรับข้อมูลจากต่างจังหวัดด้วย ซึ่งกรรมการก็จะมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาทำงานอีกต่อนึง

นายกรัฐมนตรี ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ประกาศให้เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) เป็นวาระแห่งชาติ ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อน สร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ครั้งที่ 1/2564 หวังดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มรายได้ประเทศ

.

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาให้ประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ขณะที่ประชาชนที่เป็นเกษตรกรอยู่ในภาคการเกษตรมีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน จึงต้องหาวิธีการใหม่ เพื่อใช้พื้นที่เกษตรให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวาระของโลก อาทิ การลดปริมาณขยะ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล สภาพภูมิอากาศเปลี่ยน ภัยพิบัติ การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นต้น

.

นายกรัฐมนตรียังชื่นชมแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 โดยเน้นดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจ BCG ใช้จุดเด่นและศักยภาพของประเทศไทยในเรื่องของการเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว เพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น โดยจะประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และจะต้องสำเร็จภายใน 5 ปี ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ รวมถึงให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความปลอดภัยในด้านสาธารณสุข และจะนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้วย

.

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

.

ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์

.

ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้น “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น

.

ยุทธศาสตร์ที่ 3: ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนด้วยความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบบ “ทำน้อยได้มาก”

.

ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างภูมิคุ้มกันและความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ

.

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

ยาเคปกติธรรมดาเกินไปมารู้จักกับ ยาเคนมผง เสพครั้งเดียวถึงตาย | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

เมื่อยาเคปกติมันธรรมดาเกินไป ลองมารู้จักกับ ‘ยาเคนมผง’ เสพครั้งเดียวถึงตาย!

.

“บิ๊กตู่” ไม่ห้ามท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด ฉีดให้ประชาชนในพื้นที่ ระบุ เป็นสิทธิ์ทำได้ เผยวัคซีน บ.สยามไบโอไซฯ อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ ส่วนตัวเลขแพร่ระบาดยังขึ้นๆ ลง ๆ สะท้อนคนไทยให้ความร่วมมือ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ทราบว่าสื่อมวลชนคิดถึงอยากเห็นตัวเป็นๆ จริงๆก็เห็นกันทุกวันอยู่แล้ว จะใกล้จะไกลก็เห็นกันอยู่และขอให้ช่วยกันดูแลรัฐบาลบ้าง พยายามทำอย่างเต็มที่ไม่เคยได้หยุดนิ่ง หลายเรื่องจะทำให้ถูกใจทุกคนคงเป็นไปได้ยาก ข้อสำคัญคือเราทำให้คนจำนวนมากได้รับการดูแล นั่นคือเรื่องความเป็นธรรมใช่หรือไม่

ส่วนเรื่องของโอกาสก็ให้ทุกคนเข้าถึงโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัคซีนหรือเรื่องอะไรต่างๆ มันต้องใช้วิธีการที่เหมาะสม มีกระบวนการ ซึ่งนายกฯต้องเป็นผู้อนุมัติเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะเสนออะไรมาก็ต้องอนุมัติโดยการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพูดก่อนอะไรก่อนก็ไม่รู้ แต่ถ้าเข้ามาแล้วมันไม่ได้ ไม่ผ่าน ไม่มีงบประมาณมันก็ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ ฉะนั้นต้องระมัดระวังที่สุด ในการใช้จ่ายงบประมาณเวลานี้ ซึ่งเราก็ยังเจอปัญหาอีกหลายด้านด้วยกัน งบประมาณมีอยู่จะเพียงพอในระยะนี้ไปก่อน ถ้าไม่พอค่อยว่ากันใหม่

กรณีที่หลายท้องถิ่น ประกาศจะจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เป็นโอกาสที่ทำได้ ซึ่งตนเปิดโอกาสให้สามารถนำเข้าวัคซีนมาได้ หากจะใช้เงินท้องถิ่นก็ถือเป็นสิทธิ์และเป็นเรื่องของสภาท้องถิ่นจะจัดซื้อที่ไหนอย่างไรก็ว่ามา หากท้องถิ่นนำเข้ามา และผ่านมาตรฐานของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สิ่งสำคัญหลายคนตั้งความหวังกับวัคซีนมาก รัฐบาลจำเป็นต้องหาหลายช่องทาง หลากหลายประเทศ แต่ท้ายที่สุดต้องผ่านมาตรฐาน อย. ถ้ายังไม่ผ่านเราต้องระมัดระวังที่สุดในเรื่องของผลค้างเคียงอะไรต่างๆ เยอะแยะ

วันนี้เป็นที่น่ายินดีว่าวัคซีนที่ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ส่วนอื่นๆ ก็ยังต้องตรวจสอบกันต่อไป แต่เราก็เชื่อมโยงไว้หมด ไม่ว่าจะของใครก็ตาม และตนคิดว่าการผลิตวัคซีนจะมีมากขึ้น และต้องดูว่าประเทศต้นทางรับรองมาตรฐานหรือเปล่านั่นคือประเด็นสำคัญ ตนจะต้องตัดสินใจตรงนี้ แม้เราจะมีวัคซีนเข้ามาก็ตามก็ต้องเร่งรัดการรับรองมาตรฐานจะทำอย่างไร ซึ่งต้องระมัดระวังผลกระทบข้างเคียงของประชาชน

ส่วนสถานการณ์ภาพรวมล่าสุดของการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการรายงานตัวเลขมาอยู่ที่ประมาณร้อยกว่าคน ช่วงนี้มันก็จะเป็นแบบนี้ขึ้นๆ ลงๆ แสดงว่าความร่วมมือของประชาชนมากยิ่งขึ้นในการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะการงดการเดินทางโดยที่ไม่จำเป็น อันนี้ทำให้การแพร่ระบาดคลี่คลายได้เร็ว และมีการคัดกรองคนเข้าระบบมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดต้องร่วมมือกัน ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการใดก็ตาม ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือกันก็ทำไม่ได้ทั้งหมด

‘รมว.พาณิชย์’ เห็นชอบต่ออายุสินค้าควบคุม 4 รายการ คือ หน้ากากอนามัย ใยสังเคราะห์สำหรับผลิตหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และเศษกระดาษ เป็นสินค้าควบคุม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ต่ออายุสินค้าควบคุม 4 รายการ คือ หน้ากากอนามัย ใยสังเคราะห์สำหรับใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และเศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก เป็นสินค้าควบคุม เพราะจะสิ้นสุดระยะเวลาการควบคุมในวันที่ 3 ก.พ.64 โดยขั้นตอนต่อไปจะนำเสนอให้ที่ประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้าอนุมัติ

สำหรับสาเหตุที่ต้องควบคุมหน้ากากอนามัย วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต และเจลล้างมือ เนื่องจากยังมีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ยังมีความต้องการสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในส่วนของหน้ากากอนามัยมี 3 ส่วน คือ 1. หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปัจจุบันมีอยู่ 30 กว่าโรงงาน จะคุมราคาขายปลีกไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาทเช่นเดิม 2. หน้ากากอนามัยทางเลือก ซึ่งมีทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้า จะคุมราคาโดยต้นทุนบวกค่าบริหารจัดการไม่เกิน 60% และ 3. หน้ากากผ้าไม่ควบคุม เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนใช้หน้ากากผ้าในการป้องกันโควิด-19

ส่วนผลการดำเนินคดีช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 63 - 12 ม.ค. 64 มีผู้ร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 160 ราย ตรวจสอบแล้ว 129 ราย ดำเนินคดีไป 19 ราย ประกอบด้วย ไม่ปิดป้ายแสดงราคา 13 คดี ขายเกินราคา 6 คดี ที่เหลือเมื่อตรวจสอบแล้ว ไม่พบการกระทำความผิด และในจำนวนคดีที่ขายเกินราคา 6 คดีนั้น เป็นคดีที่กระทำความผิดบนออนไลน์ 2 คดี ส่วนที่เหลืออีก 31 คดี จะเร่งตรวจสอบต่อไป

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (13 มกราคม พ.ศ.2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 157 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 10,991 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 67 ราย รักษาหายเพิ่ม 211 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 6,943 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,981 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 157 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากไอซ์แลนด์ 1 ราย,สหรัฐอเมริกา 1 ราย,เยอรมนี 1 ราย,กาตาร์ 1 รายผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นคนไทย 21 ราย จาก เมียนมา เข้ารับการรักษาตัวใน รพ.แม่สอด

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 90 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 42 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 153 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 396 ราย รักษาหายแล้ว 376 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.47 แสน ราย รักษาหายแล้ว 6.96 แสน เสียชีวิต 24,645 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.42 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.11 แสน ราย เสียชีวิต 559 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.32 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.15 ราย เสียชีวิต 2,878 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.91 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.58 แสน ราย เสียชีวิต 9,554 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,946 ราย รักษาหายแล้ว 58,694 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,520 ราย รักษาหายแล้ว1,361 ราย เสียชีวิต 35 ราย

สิ้นสุดการรอคอย! หลังจากเจรจาหาที่ลงมานาน สำหรับทีมข่าว TOPNEWS ล่าสุด “เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก พิธีกรข่าวชื่อดัง เตรียมเปิดตัวออกอากาศ ‘ดาวเทียมช่อง77’ ยันเจอกันแน่ 1 ก.พ. นี้

“เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก พิธีกรข่าวชื่อดัง ที่แฟนๆกำลังตามลุ้นตามเชียร์กันอยู่ว่า ท้ายที่สุดจะไปลงเอยกันที่ช่องไหน โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Anchalee Paireerak’ อัพเดทความคืบหน้าล่าสุด มีเนื้อหาดังนี้...

“รอคุณสนธิญาณ แถลงรายละเอียดนะคะ คร่าวๆ คือ ออกอากาศเช้าตรู่วันที่ 1 ก.พ. ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งยูทิวบ์ เฟสบุ๊ค ดาวเทียมช่อง 77 เริ่มด้วยรายการคุณสันติสุข ตามด้วยคุณธีระ/คุณกนก/คุณสถาพร/คุณหมิว/พี่ปองจัดเที่ยงและเย็น”

#เราอยู่ในมือถือคุณ #เราอยู่ล้อมรอบตัวคุณ เราคือพลังแห่งการสื่อสาร เรานำเสนอข้อเท็จจริงที่ทุกคนต้องรู้ พบกัน 1 ก.พ. #พบกับเราทุกแพลตฟอร์ม

“นี่คือ #จบช่องสิบแปดไม่มีช่องสามสิบหก เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนทุกชีวิตให้หยุดอยู่กับพวกเราที่ โลกออนไลน์ แล้วพบกัน ในทุกแพลตฟอร์ม”

“ขอบพระคุณช่องสิบแปด กับการเจรจามาราธอน ที่จบแบบไม่จบแต่ยังเคารพกันอยู่ ขอบพระคุณคุณหมอปราเสริฐที่เมตตาแต่เวลาที่ให้มาไม่เพียงพอต่อการทำข่าว พบกัน 1 ก.พ. นะคะ ขอบพระคุณค่ะที่รอคอย และคอยชมพวกเรา ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”

‘โฆษกฯศบค.’ แจง ปรับปรุงแอพฯ “หมอชนะ” ใส่แค่ข้อมูลจำเป็นให้ประชาชนสะดวกลงทะเบียน-ระบบน่าเชื่อถือ ลั่น ถ้าไม่ป่วยไม่ต้องง้อหน้ากากทางการแพทย์ ชวนใส่หน้ากากผ้าดีสุด

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ (ศบค.)กล่าวถึงข้อสังเกตการประเมินความเสี่ยงในแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ” ซึ่งบางคนใส่ข้อมูลความเสี่ยงสูงทุกข้อ แต่เมื่อแอพฯประเมินออกมาระบุว่าเสี่ยงน้อยถือว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ว่า เรื่องนี้ศบค.ชุดเล็ก และหน่วยงานที่รับผิดชอบแอพฯ รวมถึงกรมควบคุมโรค มาไล่เรียงข้อมูลที่มีความจำเป็น และตัดชุดคำถามให้เหลือเพียงการลงทะเบียน ถ่ายภาพใบหน้าจริง ซึ่งจะปรากฏคิวอาร์โค้ดสีเดียวออกมา ถ้าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการติดเชื้อหรือเป็นขอบของ 28 จังหวัด ที่มีผู้ติดเชื้อสูงเมื่อใส่ข้อมูลต่างๆ เข้าไปแล้วระบบจะบอกด้วยว่ามีความเสี่ยงแค่ไหน ซึ่งวันนี้มีคนลงทะเบียนรวม 4.8 ล้านคน และยิ่งลงทะเบียนกันมากขึ้นจะมีระบบนิเวศน์ของคนจะเกิดระบบการเตือนและจะบอกข้อมูลเราได้ทันที และเชื่อว่าคงไม่ยุ่งยากในการแปลผล เพื่อให้ประชาชนสะดวกในการใช้งาน

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อห่วงใยจากกรณีที่มีผู้ติดเชื้อที่จังหวัดพิษณุโลก มีอาชีพส่งของในบริษัทส่งของเอกชน จะทำให้เกิดความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เรื่องนี้อาจทำให้เกิดความวิตกกังวล แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะในความเป็นจริง ถ้ามีการสัมผัสสิ่งของก็มีโอกาสติดเชื้อได้ ขอให้คิดไว้ก่อนว่าทุกคนมีโอกาสแพร่เชื้อได้จึงต้องเน้นย้ำเรื่องสุขลักษณะส่วนตัว ถ้าไม่อยากล้างมือบ่อยสามารถใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ได้ ให้ป้องกันไว้จะดีที่สุด ซึ่งการสวมหน้ากากผ้ายังมีความสำคัญ อย่าไปแย่งซื้อหน้ากากอนามัย ถ้าไม่มีขายก็ไม่ต้องง้อถ้าไม่ป่วย แต่ถ้าป่วยก็จำเป็นต้องใช้ ย้ำว่าเวลานี้หน้ากากผ้าดีที่สุด

โฆษกกองทัพเรือ เผย ผลการสอบสวนและควบคุมโรคของกำลังพลเรือหลวงจักรีนฤเบศรจำนวน 270 นาย มีผลตรวจเป็นลบ หลังพบกำลังพลจำนวน 2 นาย ติดเชื้อ COVID - 19 ทำให้ต้องมีการกักตัว

พล.ร.ท.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวปรากฏว่ากำลังพลเรือหลวงจักรีนฤเบศร จำนวน 2 นาย ติดเชื้อ COVID - 19 ทำให้ ต้องมีการกักตัว และทำการตรวจหาเชื้อกำลังพลเรือหลวงจักรีนฤเบศรจำนวน 270 นาย นั้น ล่าสุด กรมแพทย์ทหารเรือ ได้ส่งผลการตรวจการสอบสวนและควบคุมโรค ของกำลังพลเรือจักรีนฤเบศวร ที่กักตัวควบคุมโรคครบแล้วทุกนาย ซึ่งกำลังพลทั้ง 3 กลุ่ม คือ

1. ผู้ที่กักตัวที่อาคารรับรองสัตหีบ จำนวน 210 นาย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

  1.1 กำลังพลกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง จำนวน 9 นาย กักตัวสังเกตอาการระหว่าง 10-24 ม.ค.64 ได้ทำการตรวจหาเชื้อ COVID – 19 ผลตรวจไม่พบเชื้อ

  1.2 กำลังพลกลุ่มที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จำนวน 201 นาย กักตัวที่อาคารรับรอง ฐานทัพเรือสัตหีบ สังเกตอาการระหว่าง 11 - 25 ม.ค.64 ได้รับการตรวจหาเชื้อ COVID – 19 ในวันที่ 11 ม.ค.64 ผลตรวจไม่พบเชื้อ

2. ผู้ที่กักตัวที่เรือ ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่เตรียมความพร้อมอยู่บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร เช่น การดูแลรักษาอุปกรณ์ ป้องกันเพลิงไหม้ และเข้ายามรักษาการณ์ จำนวน 60 นาย ได้รับการตรวจหาเชื้อ COVID – 19 ในวันที่ 11 ม.ค.64 เรียบร้อย ผลตรวจไม่พบเชื้อ ทุกคนยังคงแข็งแรงและปฏิบัติงานได้ตามปกติ

3. ผู้ที่กักตัวที่บ้าน (ผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติงานที่เรือในห้วงเวลาเดียวกับผู้ติดเชื้อ และผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ ก่อนหน้านี้) จำนวน 17 นาย ผลตรวจไม่พบเชื้อ

ทั้งนี้ กองทัพเรือ ขอขอบคุณ บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ที่ช่วยดูแลกำลังพลของเรือหลวงจักรีนฤเบศรเป็นอย่างดี ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่ส่งกำลังใจมาตลอดตามสื่อต่างๆ โดยกองทัพเรือขอให้คำมั่นว่า จะยังคงปฏิบัติงานตามหน้าที่อย่างเข้มแข็งต่อไป และคงทำกำลังให้พร้อมสำหรับทุกภารกิจอยู่เสมอ เพื่อให้สมดังเจตนารมณ์ในการเป็นกองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่น และภาคภูมิใจตลอดไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top