Wednesday, 2 July 2025
NEWS

‘วัดกลางคลองฯ’ สร้างโบสถ์ 10 ปี ยังไม่เสร็จ เจ้าอาวาส บอกวัดเล็ก ๆ ไร้เกจิ คนไม่สนใจ

เจ้าอาวาสวัดกลางคลองวัฒนาราม สร้างโบสถ์ด้วยตนเองกว่า 10 ปี ยังสร้างไม่เสร็จ เผย เป็นวัดเล็ก ๆ ไร้พระเกจิ คนจึงไม่รู้จัก

วันที่ (22 มิ.ย.) สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านพบเห็นพระสงฆ์ วัดกลางคลองวัฒนาราม ต.เจ้าเจ็ด อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา มุมานะสร้างโบสถ์ด้วยตนเอง น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบ

พบว่าภายในวัดกลางคลองวัฒนาราม กำลังมีการก่อสร้างโบสถ์ ขณะเดียวกันยังได้พบ พระใบฎีกาเอกลักษณ์ อาภสฺสโร เจ้าอาวาสวัด กำลังตกแต่ง พ่นสีผนัง ภายในโบสถ์ ขนย้ายอุปกรณ์ตั้งนั่งร้าน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำทุกวัน

พระใบฎีกาเอกลักษณ์ อาภสฺสโร อายุ 39 ปี เจ้าอาวาสวัด กล่าวว่า โบสถ์ของวัดถูกน้ำท่วมชำรุดเสียหาย ตนเองมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ. 2555 จึงริเริ่มที่คิดจะสร้างโบสถ์ให้ยกพื้นสูง เพราะที่วัดเป็นที่ราบลุ่มถูกน้ำท่วมทุกปี วัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ ไม่มีเกจิอาจารย์ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เริ่มต้นด้วยการทอดผ้าป่า ทอดกฐิน รวบรวมเงินมา รื้อโบสถ์ ตอกเสาเข็ม ทำฐานรากให้แข็งแรง โดยใช้เวลาประมาณ 5 ปี ในการทำโครงสร้าง ทำบ้างหยุดบ้างเพราะไม่มีทุนทรัพย์ พอทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ญาติโยมถวายเงินมาพอรวบรวมเป็นก้อนได้ ก็ค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ ลงมือทำเอง จ้างชาวบ้าน จ้างช่างรายวันมาทำ

แฟนคลับ 'ซี-นุนิว' ตะโกนไล่ 'ต่อ-บลู' พ้นเฟรม หวังเสพเซอร์วิสคู่จิ้น ดันแท็กติดเทรนอันดับ 1

กลายเป็นดราม่าสนั่นโซเชียลขึ้นมาทันที หลังจากที่แฟนคลับของ 'ซี-นุนิว' ตะโกนไล่ 'ต่อ ธนภพ' และ 'บลู พงศ์ทิวัตถ์' ออกจากเฟรมทั้งที่ยืนอยู่ด้วยกัน 4 คน

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 4 ศิลปิน อย่างคู่จิ้นสุดฮอต 'ซี-นุนิว', พระเอกหนุ่ม 'ต่อ ธนภพ' และ 'บลู พงศ์ทิวัตถ์' เดินทางไปร่วมงานอีเวนท์ของแบรนด์ดัง ต่อมาในจังหวะที่ศิลปินรวมตัวถ่ายภาพโดยมีท้ัง 4 คน ยืนถ่ายภาพรวมกันหน้าแบคดรอป ก็มีแฟนคลับบางคนทั้งกวักมือและตะโกนบอก ต่อและบลู ให้ออกจากเฟรมเพราะต้องการที่จะเก็บภาพคู่และโมเมนต์สุดหวานของ ซี-นุนิว

งานนี้ก็เลยเกิดกระแสวิพากวิจารณ์ขึ้นมาในทันที ว่าการกระทำดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ พร้อมผุดแฮชแท็ก ไล่ศิลปินคนอื่นทําไม โดยในเวลาต่อมาแฮชแท็กดังกล่าวก็พุ่งขึ้นติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ทันที ซึ่งมีคนปล่อยคลิปช่วงดังกล่าวที่แฟนคลับของ ซนซน หรือ ซี-นุนิว ทั้งตะโกนทั้งโบกมือสุดแรงเพื่อจะไล่ศิลปินคนอื่นที่ยืนติดอยู่กับเมนของตัวเอง งานนี้คนปล่อยคลิปบอกเลยว่าจะไม่ลบจนกว่าแฟนคลับของทั้งคู่ที่ทำเรื่องราวดังกล่าวออกมาขอโทษ

ปิดฉาก ‘ร้านน้ำโหลแก้ว’ โรงเรียนดัง เจอค่าต่อสัญญาขั้นตํ่า 3 ล้าน 3 ปี

ร้าน ‘Tea Lek ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน’ ของโรงเรียนชื่อดัง ประกาศเตรียมเลิกขาย หลังเจอค่าต่อสัญญาขั้นตํ่า 3 ล้านบาท ขายได้ 3 ปี ด้านศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน แห่คอมเมนต์ขอบคุณมากที่ทำให้วัยเด็กได้กินน้ำแสนอร่อย

เมื่อวันที่ (20 มิ.ย. 65) เฟซบุ๊กเพจ ‘Tea Lek ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน’ ซึ่งเป็นร้านน้ำแห่งหนึ่ง ในโรงเรียนสารวิทยา ได้ออกมาประกาศเลิกขายน้ำ ไปต่อไม่ไหว เนื่องจากโดนเรียกค่าเช่าปีละ 1 ล้านบาท โดยจะขายวันสุดท้าย (28 มิ.ย.) นี้ นอกจากนี้ ยังเชิญชวนศิษย์เก่าเข้ามาย้อนรำลึก แจกน้ำฟรี

ทางเพจระบุข้อความว่า “นับถอยหลัง 8 วัน ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน โรงเรียนสารวิทยา กำลังจะปิดตัวลง ใครคิดถึงหรืออยากกินยังเข้าหาที่โรงเรียนได้ ตั้งแต่ พรุ่งนี้ จนถึง วันที่ (28 มิ.ย. 65) แต่หลังจากนั้นทางร้านจะเปิดขายแบบออนไลน์ ใครสนใจ สามารถติดตามในช่องทางเพจของร้านนะ”

และ ล่าสุด เมื่อวันที่ (22 มิ.ย.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ระบุว่า... 

“เนื่องจาก เหลือเวลา อีกแค่ 4 วัน (วันทำการ) ที่จะได้ขายที่โรงเรียนสารวิทยา ทางร้าน อยากขอบคุณนักเรียนศิษย์เก่า ในช่วง 30ปีที่ผ่านมา ที่อุดหนุน ทางร้านมาโดยตลอด

‘พิมรี่พาย’ เจอดราม่าสุ่มตัก ปัดไอโฟนออก แถมแขวะยอดวิว ‘แจ็คสัน หวัง’ ทำทัวร์ลงยับ

เจอดราม่าตักสุ่ม ‘พิมรี่พาย’ กราบขอโทษลูกค้า พร้อมโพสต์ข้อความ ‘กลัวดราม่า ก็เลยเพิ่มทองให้ไปอีก 15,000 รางวัล’

เกิดเป็นประเด็นดราม่า เมื่อ ‘พิมรี่พาย’ เปิดให้บรรดาเพื่อนรัก CF ตักสุ่ม ตะกร้าละ 500 บาท โดยในบ่อโฟมนั้นจะมีของต่าง ๆ ของทางร้านหลายอย่างโยนลงไปไว้ รวมถึงรางวัลใหญ่อย่าง ทองคำ ไอโฟน อยู่ในบ่อตักสุ่มนั้นด้วย 

ในช่วงหนึ่งของการไลฟ์สด ‘พิม รี่พาย’ ตักสุ่ม 500 บาท ลูกน้องพิม รี่พาย ตักสุ่มขึ้นมาได้ โดยภายในตะกร้าตักสุ่ม 500 นั้น ปรากฎว่ามีโทรศัพท์มือถือไอโฟนติดขึ้นมาด้วย แต่ทางลูกน้องพิมรี่พาย กลับเอามือปัดไอโฟนทิ้งลงบ่อโฟมไป งานนี้เหล่าเพื่อนรักที่ดูไลฟ์สด ตักสุ่ม 500 อยู่นั้นเห็นเหตุการณ์จนเกิดกลายเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมา

เชื่อใจก็ลองใช้!! ไม่สบายใจก็แค่มองผ่าน!!

เตามหาเศรษฐี ร้อนสูง ประหยัดถ่าน ทนทาน ช่วยประหยัดเงิน

#รวมพลังคนไทยลดใช้พลังงานหาร2


ที่มา: https://www.facebook.com/100066598387751/posts/pfbid02Pze8PWpoyfqDkqP3dmHE9KMUwAcEJZ8y2M3u1KSCuGGxFN3GhwXUGWzS8ZUnG9sJl/

พลังงานโลก เร่งอียูเตรียมแผนรับมือ หวั่นรัสเซียตัดก๊าซป้อนยุโรปโดยสิ้นเชิง

ทบวงพลังงานสากล (ไอเออี) เตือนชาติยุโรปเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตพลังงานด่วน หลังรัสเซียส่อตัดอุปทานก๊าซธรรมชาติที่ป้อนแก่ยุโรปโดยสิ้นเชิง 

ฟาตีห์ ไบรอล ผู้อำนวยการบริหารของทบวงพลังงานสากล กล่าวในถ้อยแถลงที่ส่งถึงสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า "ผมไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะหาประเด็นถกเถียงอีก และเดินหน้าหาข้ออ้างสำหรับลดการส่งมอบก๊าซสู่ยุโรป และบางทีอาจถึงขั้นตัดอุปทานก๊าซโดยสิ้นเชิง"

"นี่คือเหตุผลว่าทำไมยุโรปถึงจำเป็นต้องมีแผนฉุกเฉิน" ไบรอล ระบุ พร้อมบอกว่าการปรับลดจ่ายอุปทานก๊าซเมื่อเร็วๆ นี้ อาจเป็นความพยายามให้ได้มาซึ่งอิทธิพลทางการเมือง ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่ลากยาวนานหลายเดือน

อย่างไรก็ตาม ฟาตีห์ ระบุว่า ในข้อสันนิษฐานของทบวงพลังงานสากล การตัดป้อนก๊าซโดยสิ้นเชิงไม่น่าจะเป็นกรณีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

สหภาพยุโรปกำหนดมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันและถ่านหินของรัสเซีย แต่ไม่ห้ามนำเข้าก๊าซธรรมชาติ สืบเนื่องจากอียูพึ่งพิงอุปทานจากมอสโกสูงลิ่ว

ในแง่ภาพรวมของการลงทุนทางพลังงานสำหรับปี 2022 ทบวงพลังงานสากลระบุในรายงานฉบับหนึ่งว่า มีการเตรียมลงทุนในภาคดังกล่าวในปีนี้ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในนั้นรวมถึงใช้จ่ายในด้านพลังงานหมุนเวียนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ทบวงพลังงานสากลชี้ว่ามันยังไม่เพียงพอสำหรับเติมช่องว่างทางอุปทานและจัดการกับภาวะโลกร้อน

ผบ.ฉก.นราธิวาส ตรวจพื้นที่การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำสุไหงโกลก บริเวณแนวชายแดนด้านไทย- มาเลเซีย 

ที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดน ที่ 4 บ้านศรีพงัน ตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมด้วย พันเอก ก่อเกียรติ เข็มแดง รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และส่วนที่เกี่ยวข้อง เดินทางลงพื้นที่ เพื่อติดตามความคืบหน้า และตรวจสอบพื้นที่โครงการก่อสร้างผนังเขื่อนป้องกันตลิ่ง และการก่อสร้างรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน ตามแผนงานโครงการก่อสร้างรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย พร้อมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้การต้อนรับ นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) / รองผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สล.คปต.) และคณะ เดินทางลงพื้นที่ เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดระเบียบชายแดน (กิจกรรมเสริมสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย) ในวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2565 นี้ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับหน่วยงานในสังกัด เตรียมความพร้อมตามนโยบายรัฐบาล สำหรับมาตรการผ่อนคลายกิจกรรม กิจการ ปรับพื้นที่สีเขียว ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีตามที่ประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้มีมติผ่อนคลายกิจกรรมและมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคพร้อมปรับพื้นที่สีเขียวทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐบาลได้มีนโยบายผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อผ่อนปรนให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับปกติมากขึ้น พร้อมได้กำชับทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน ให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล โดยมอบหมายให้  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงไปกำกับดูแล พร้อมกำชับการปฏิบัติของทุกหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้อง โดยให้ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ สร้างการรับรู้ มาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสตามแนวทางของ ศบค. และตามประกาศ คำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ของแต่ละพื้นที่อย่างเคร่งครัด รวมถึงการออกตรวจสอบ กวดขัน พร้อมให้คำแนะนำ สถานประกอบการ ร้านค้า ให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ประกาศ ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่

โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอปรับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร จากเดิมที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 46 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) 15 จังหวัด และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 20 จังหวัด ปรับมาเป็นพื้นที่สีเขียวทุกจังหวัดทั่วประเทศ สามารถมีกิจการกิจกรรมในการผ่อนคลายอย่างเต็มที่ แต่ต้องมาพร้อมมาตรการป้องกันควบคุมโรค

ซึ่งมีสาระสำคัญในการผ่อนคลายมาตรการรวมถึงการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ 8 มาตรการ ดังนี้ 

1.พื้นที่สถานการณ์ ให้ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์เป็นระดับเฝ้าระวัง (สีเขียว) ทั้งประเทศและยกเลิกการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 

2.มาตรการการใส่หน้ากากอนามัย ให้ปรับเป็นข้อแนะนำว่าควรสวมหน้ากาก และให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แออัด สถานที่ปิด หรือมีการอยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก 

3.การบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ให้เปิดบริการได้ตามปกติโดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค รวมทั้งกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง 

4.สถานประกอบการประเภทสถานบันเทิง ฯลฯ เปิดให้บริการและให้ผู้รับบริการดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเปิดให้บริการตามกฎหมายเดิมกำหนด 

5.การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ผ่อนคลายให้การดำเนินการเป็นไปตามปกติ 

6.การคัดกรองอุณหภูมิ ไม่มีความจำเป็นต้องคัดกรองอุณหภูมิในอาคารสถานที่ (อาจให้มีการคัดกรองอุณหภูมิในสถานที่เสี่ยงหรือพื้นที่ระบาด)  

7.การเว้นระยะห่าง แนะนำให้มีการเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่โรค 

8.มาตรการรวมกลุ่ม ให้ตรวจคัดกรอง ATK กรณีเป็นผู้ป่วยสงสัยที่มีอาการทางเดินหายใจ หากมีการรวมกลุ่มมากกว่า 2,000 คน ขอให้แจ้งทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่หรือกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อเฝ้าระวังการระบาด

ชาวมะกันไม่โทษ ‘ปูติน’ เหตุ ‘ก๊าซ-น้ำมันแพง’ แต่ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ ‘ไบเดน-เดโมแครต’

ข้อมูลจากสำนักโพล Rasmussen poll เมื่อ (21 มิ.ย.65) พบชาวสหรัฐฯ เพียงแค่ 11% ที่เชื่อว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ควรถูกกล่าวโทษต่อราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงในสหรัฐฯ แต่ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน 

ในโพลของ Rasmussen ที่จัดทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าหนึ่งครั้ง (52%) ที่ชี้ว่านโยบายทางพลังงานแย่ ๆ ของผู้นำสหรัฐฯ คือ ต้นตอที่ทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงจนผู้คนเริ่มจ่ายไม่ไหว นั่นหมายความว่าคำจำกัดความ ‘การขึ้นราคาของปูติน’ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามป้อนสู่ความคิดของประชาชน ดูเหมือนจะไม่ได้ผลใด ๆ 

ขณะที่บางส่วนไม่กล่าวโทษทั้ง ไบเดน และ ปูติน แต่เลือกที่จะโทษไปยังบรรดาบริษัทพลังงานทั้งหลาย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 29% ชี้ว่าอุตสาหกรรมพลังงานกำลังกอบโกยผลประโยชน์จากภาวะไร้เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ ผ่านการปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิง

สำหรับสถานการณ์ด้านพลังในสหรัฐฯ ตอนนี้ แม้จะมีการห้ามนำเข้าน้ำมันและก๊าซของรัสเซียในเดือนมีนาคม แต่ในความเป็นจริง คือ มอสโกยังป้อนอุปทานน้ำมันแก่อเมริกา แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 2% เท่านั้น เพราะโดยสุทธิแล้ว สหรัฐฯ คือ ชาติผู้ส่งออกก๊าซ นั่นจึงทำให้คำกล่าวอ้างที่ว่ารัสเซีย คือ ผู้อยู่เบื้องหลังราคาที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ตามสถานีบริการทั้งหลายนั้น เป็นไปไม่ได้เลย

ทั้งนี้ราคาพลังงานที่พุ่งสูง ยังเป็นตัวแปรสำคัญก่อนถึงศึกเลือกตั้งกลางเทอม (ส.ส.-ส.ว.)ของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี โดยผู้มีสิทธิออกเสียงราว 92% บอกว่าราคาก๊าซ น้ำมันทำความร้อนและเชื้อเพลิงอื่น ๆ ที่พุ่งทะยาน เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับพวกเขา และจากผลสำรวจของ Rasmussen poll นั้น มีมากถึง 68% ที่เรียกปัญหาดังกล่าวว่า ‘ร้ายแรงมาก’

‘บิ๊กตู่’ เป็นห่วงประชาชนชาวบ่อนไก่ สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยเหลือเต็มที่

‘บิ๊กตู่’ แสดงความเป็นห่วงประชาชนชาวบ่อนไก่ ที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ มอบนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ที่ชุมชนบ่อนไก่ เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ (21 มิ.ย. 65) ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ที่ชุมชนบ่อนไก่ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้การช่วยเหลือ โดยในส่วนของกระทรวงแรงงานได้มอบให้ นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) และผู้แทนจาก กรมต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงแรงงาน นำสิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภค อาทิ เสื้อผ้า ชุดเครื่องนอน ผ้าห่ม ผ้าอนามัย หน้ากากอนามัย ข้าวสาร อาหารกระป๋อง เส้นหมี่ น้ำดื่ม และน้ำผลไม้ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสถานประกอบกิจการไปมอบผ่านตัวแทนเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่ ให้ลูกจ้างและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ ณ ชุมชนบ่อนไก่ เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น

อัฟกาฯ เผย ยอดผู้เสียชีวิตเหตุแผ่นดินไหว ดับเฉียดพัน บาดเจ็บ 600 คาดมีเพิ่มอีก

รัฐบาลอัฟกานิสถานเผยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวช่วงกลางดึก พุ่งขึ้น 920 คนเป็นอย่างน้อยแล้ว

ชาราฟุดดิน มุสลิม รัฐมนตรีช่วยกระทรวงรับมือภัยพิบัติของรัฐบาลตอลิบานของอัฟกานิสถาน แถลงข่าวว่า พบผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.1 เพิ่มเป็นอย่างน้อย 920 คน พร้อมผู้บาดเจ็บอีกกว่า 600 คน

ทั้งนี้ ขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหวแตกต่างกัน ตามแต่รายงานของสื่อแต่ละสำนัก เช่น สำนักข่าว AFP รายงานว่ารุนแรง 5.9 แต่ Reuters รายงานว่าสูงถึง 6.1 เบื้องต้น โดยยังมีผู้ประสบภัยจำนวนมากติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง

อดีตลูกจ้าง Tesla ยื่นฟ้อง ‘อีลอน มัสก์’ เหตุสั่งโละพนักงานแบบไม่แจ้งล่วงหน้า

อดีตพนักงานจำนวนหนึ่งของ Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับท็อปของโลก ภายใต้การนำของ อีลอน มัสก์ ตัดสินใจยื่นฟ้องบริษัท ที่ได้รับผลกระทบจากแคมเปญ ‘มหกรรมเลย์ออฟพนักงาน’ ของอีลอน มัสก์ ว่าเข้าข่ายขัดต่อกฏหมายคุ้มครองแรงงานของรัฐบาลกลาง เนื่องจากบริษัทประกาศเลิกจ้างอย่างกะทันหันเกินไป ซึ่งไม่ชอบด้วยกฏหมาย 

เรียกได้ว่าเป็นงานเข้าอีกระลอกของอภิมหาเศรษฐีคนดัง อีลอน มัสก์ เลยก็ว่าได้ หลังจากที่เขาบ่นว่า รู้สึกแย่มาก ๆ กับสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ จนเป็นเหตุให้ Tesla ต้องเลิกจ้างพนักงานราว ๆ 10% 

หลังจากการบ่นครั้งนั้นไม่นาน ก็มีอีเมล์จาก อีลอน มัสก์ ส่งถึงพนักงาน Tesla ในวันที่ (3 มิ.ย. 2022) ว่าทางบริษัทตัดสินใจลดพนักงาน 10% ในหลายแผนกที่มีพนักงานล้นงาน ยกเว้นแผนกสายงานผลิตรถยนต์, แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์

นั่นจึงทำให้พนักงาน Tesla มากกว่า 20 คนที่เคยทำงานในโรงงาน Tesla ถูกเลิกจ้างทันทีภายในสิ้นเดือนนี้ (มิ.ย.) และจากการสัมภาษณ์โดยสำนักข่าว Reuters คาดว่าจะมีพนักงานในโรงงาน Tesla ในรัฐเนวาดาถูกเลิกจ้างไม่ต่ำกว่า 500 คน 

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ จอห์น ลินช์ และ เด็กซตัน ฮาร์ทฟิลด์ อดีตพนักงาน 2 คนในโรงงานที่เนวาดา ตัดสินใจยื่นฟ้องบริษัท Tesla เพราะพวกเขาถูกเลิกจ้างตั้งแต่วันที่ 10 และ 15 มิถุนายน หลังจากที่มีการเผยแพร่อีเมล์ของอีลอน มัสก์เพียงไม่กี่วัน ซึ่งผิดกฏหมายคุ้มครองแรงงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กำหนดว่านายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วันก่อนการเลิกจ้าง พร้อมค่าจ้างชดเชยเต็มจำนวน

นายกประยุทธ์ฯ หนุน ปลูกไม้มีค่า ใช้เป็นหลักประกันกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้ และช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มรายได้

นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยร่วมปลูกไม้มีค่า เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน อีกทั้งช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเชิญชวนปลูกป่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน  ปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ปี ค.ศ. 2065 มอบหมายกรมป่าไม้แจกกล้าไม้เต็มอัตรา พร้อมย้ำรับได้เลยที่ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ใกล้บ้าน   

ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการผลักดันให้มีทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ให้เป็นไปตามเป้าหมายนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ได้ร้อยละ 55 ภายในปี พ.ศ. 2580 อีกทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทย ต่อที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26) ที่จะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่และทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Greenhouse Gas Emission ภายในปี ค.ศ. 2065  โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการสนองตามนโยบายดังกล่าว  รณรงค์ส่งเสริมปลูกต้นไม้ยืนต้นมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครอง เพิ่มป่า เพิ่มรายได้ กรมป่าไม้ได้จัดทำเมนูส่งเสริมการปลูกไม้มีค่า จำนวน 5 โครงการ โดยยืนยันว่าไม้ที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ไม่เป็นไม้หวงห้าม ตัดแปรรูป ขายได้ พร้อมจัดบริการพิเศษ ออกแนวทางในการสำแดง และออกหนังสือรับรองไม้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนไว้แล้ว

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สนับสนุนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการเร่งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ลดมลภาวะเป็นพิษจากฝุ่นและหมอกควัน อีกทั้งเพื่อเป็นการออมและสร้างรายได้ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยสามารถนำไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงินได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศกฎกระทรวงตามมาตรา 8(6) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 และสอดรับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดให้มีพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ

รมว.ทส. กล่าวต่อไปว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้กรมป่าไม้ เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เศรษฐกิจ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กรมป่าไม้มีโครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ จำนวน 5 โครงการ ที่พร้อมให้ผู้สนใจได้เลือกเข้าร่วม เพื่อให้ตรงตามความต้องการ ประกอบด้วย หนึ่ง โครงการส่งเสริมไม้โตเร็วเพื่ออุตสาหกรรม สนับสนุนเงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อไร่ โดยแบ่งจ่ายภายใน 3 ปี แบ่งเป็นปีที่ 1 : 1,500 บาท ปีที่ 2 : 800 บาท ปีที่ 3 : 700 บาท พร้อมสนับสนุนกล้าไม้ 300 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 13 ชนิด เช่น ไม้ยูคาลิปตัส ไผ่ทุกชนิด สอง โครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้น 3 , 4 และ 5 ก่อนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 (คทช.) สนับสนุนเงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อไร่ โดยแบ่งจ่ายภายใน 3 ปี แบ่งเป็นปีที่ 1 : 1,500 บาท ปีที่ 2 : 800 บาท ปีที่ 3 : 700 บาท และสนับสนุนกล้าไม้ 225 ต้นต่อไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 51 ชนิด สาม โครงการสนับสนุนการปลูกไม้เศรษฐกิจ สนับสนุนเงินอุดหนุน 1,000 บาทต่อไร่ เมื่อมีการปลูกต้นไม้ครบตามจำนวน ไม่น้อยกว่า 100 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 38 ชนิด เช่น สัก ประดู่ป่า สี่ โครงการส่งเสริมการปลูกไม้โตเร็วเพื่อพลังงานทดแทน สนับสนุนกล้าไม้ 800 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ ตามบัญชีชนิดไม้ 6 ชนิด เช่น ไม้ยูคาลิปตัส กระถินยักษ์ และ ห้า โครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นที่ยางพาราและพื้นที่เกษตรกรรมสนับสนุนกล้าไม้ 50 ต้นต่อไร่ พื้นที่ 1 - 30 ไร่ เช่น สัก ประดู่ป่า ตะเคียนทอง

สวนนงนุชพัทยา ลงนามความร่วมมือ MOU กับ สวนพฤกษศาสตร์ประเทศคิวบา และ The University of Havana, แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์และต้นไม้ เพื่อการอนุรักษ์พันธุ์พืชและการวิจัย

วันที่ 22  มิ.ย. 65 ณ สวนนงนุชพัทยา ชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย Mr.Carlos Manuel Perez Cuevas Director, Jardin Botanico Nacional และ Dr. Miriam Nicado García, Rector of the University of Havana ร่วมลงนามความร่วมมือ MOU แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์และต้นไม้ เพื่อการอนุรักษ์พันธุ์พืชและการวิจัย

โดยการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ สวนนงนุชพัทยา และ สวนพฤกษศาสตร์ Jardin Botanico Nacional ประเทศคิวบา ได้แลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องเมล็ดพันธุ์พืชที่หายาก ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการศึกษาและนันทนาการด้านสิ่งแวดล้อม และให้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมแก่ผู้ที่มาเยี่ยมชมและมีส่วนร่วมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการอนุรักษ์พืชและเชื้อราตลอดจนการสอนเรื่องสวนพฤกษศาสตร์ ในระดับมหาวิทยาลัย โดยที่สวนพฤกษศาสตร์ Jardin Botanico Nacional ประเทศคิวบา และสวนนงนุชพัทยา มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายร่วมกันในการจัดตั้งพัฒนาสวนพฤกษศาสตร์ และคอลเลกชั่นพืชเพื่อการวิจัยและการอนุรักษ์  

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เผยผลการปฏิบัติในรอบ 3 เดือน เร่งรัดแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเสร็จสิ้นแล้ว 5,332 เรื่อง

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายรวมไทยสร้างชาติขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งการบูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมพลังกันเพื่อทำนุบำรุงสถาบันหลัก ของชาติ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยดำเนินโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติและขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหา ชุมชนสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน” โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข และ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้ประชุมเพื่อขับเคลื่อนและติดตามผลการปฏิบัติกับหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ สถานีตำรวจ 1,483 สถานีทั่วประเทศ เพื่อรับทราบและสรุปผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 31 พฤษภาคม 2565 ซึ่งได้รับรายงานปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อน จำนวน 5,578 เรื่อง และได้ติดตามขับเคลื่อนและเร่งรัดให้หน่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว 5,332 เรื่อง ได้แก่ 

1.ปัญหาด้านสังคม เช่น ยาเสพติด การแข่งรถในทาง การลักลอบเข้าเมือง กลุ่มผู้มีอิทธิพล แหล่งอบายมุขและสถานบริการ หนี้นอกระบบ อาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์และเทคโนโลยี ฯลฯ จำนวน 3,986 เรื่อง 

2.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพสูง การว่างงาน ความยากจนปัญหาหนี้สิน การขาดแคลนที่ทำกิน ฯลฯ จำนวน 241 เรื่อง 

3.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเสื่อมโทรมในชุมชน ภัยแล้งและอุทกภัย ฯลฯ จำนวน 745 เรื่อง 

4.ปัญหาด้านความขัดแย้ง เช่น ความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเชื้อชาติ ข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อน การสร้างความเดือดร้อนรำคาญในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ จำนวน 360 เรื่อง

และมีปัญหาที่อยู่ระหว่างหน่วยดำเนินการแก้ไข โดยได้สั่งการเร่งรัดและคาดว่าจะสามารถแก้ไขได้ จำนวน 246 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาด้านสังคม 155 เรื่อง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 51 เรื่อง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ 33 เรื่อง ปัญหาด้านความขัดแย้ง 7 เรื่อง ตามลำดับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top