Wednesday, 2 July 2025
NEWS

ผบ.ตร. เปิดอาคารและตรวจเยี่ยมกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กำชับหน่วยงานในสังกัด เตรียมความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยว รองรับนโยบายรัฐบาลผ่อนคลายเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.65

วันนี้ (23 มิ.ย.65) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารที่ทำการกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวแห่งใหม่ บริเวณ พื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญให้กำลังใจข้าราชการตำรวจท่องเที่ยวกว่า 2,000 นาย โดยในงานได้มี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชยพล ฉัตรชัยเดช ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุคุณ  พรหมายน ผบช.ทท. พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มาร่วมในพิธีด้วย 

ต่อมาเวลา 11.30 น. ภายหลัง ผบ.ตร. เดินทางกลับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและให้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมป้องกันโรค เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการ สามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติ 

นอกจากนี้ยังปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.65 เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินเข้าประเทศได้สะดวก ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากยิ่งขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย บช.ทท. และ สตม. มีการเตรียมมาตรการรองรับ 3 มาตรการ ดังนี้

1. ด้านความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ โดยเฉพาะขั้นตอนการเข้า-ออกประเทศ สตม. ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ ไว้ประจำสนามบินนานาชาติ ทั้ง 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ กว่า 2,000 นาย มีการเสนอให้ยกเว้นการยื่นรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (แบบ ตม.6) เฉพาะกรณีการเดินทางผ่านด่านท่าอากาศยาน อยู่ระหว่างรอผู้มีอำนาจลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณปลายเดือน มิ.ย. 2565 

นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการนำร่อง การขอนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Extension นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในการให้บริการ เพื่อลดความแออัด ลดขั้นตอน และระยะเวลาการให้บริการ รวมถึงการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คาดจะสามารถเปิดให้บริการแก่คนต่างด้าวได้ประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2565

'สพฐ.ตร.' เตือน ซื้อทองราคาถูกเกินจริง ระวังของปลอม พบมีการส่งตรวจพิสูจน์โลหะทองคำต่อเนื่อง

'ทองคำ' เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง หลายคนเก็บออมเงินด้วยการซื้อทองคำแท่ง หวังเก็บไว้ให้ลูกหลาน ลงทุนเพื่อเก็งกำไรในอนาคต หรือซื้อเป็นทองรูปพรรณไว้สวมใส่ ปัจจุบันราคาทองคำซื้อขายบาทละกว่า 30,000 บาท ทำให้พบการฉ้อโกงในลักษณะ 'ทองคำยัดไส้' หรือ 'ทองคำปลอม' โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีการ "นำทองคำมาสอดไส้โลหะชนิดอื่นๆ เช่น ทองแดง หรือตะกั่ว แล้วหลอกขายในราคาถูก" มีคนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร โฆษกสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เปิดเผยว่า พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ ผบช.สพฐ.ตร.มีความห่วงใยประชาชน หลังพบคดีที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลง โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์ ที่มักโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นทองคำแท้ แต่ราคาถูกกว่าท้องตลาดนับพันบาท เป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้คนหลงเชื่อ ยอมจ่ายเงินไปหวังจะได้ของแท้ราคาถูก แต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นทองคำปลอมที่ไม่สามารถดูออกด้วยตาเปล่า

พล.ต.ต.วาทีฯ ย้ำว่า การเลือกซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ควรซื้อกับร้านขายทอง ที่น่าเชื่อถือ ระมัดระวังการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะง่ายต่อการถูกหลอกลวง และไม่ควรใส่ทองคำมูลค่าสูงแล้วเดินในสถานที่เปลี่ยว เพราะเป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้มิจฉาชีพก่อเหตุ ได้ง่าย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.มีความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน ขอให้ร่วมกันป้องกันเหตุร้าย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน
  
ด้าน พ.ต.อ.หญิง วิภาวดี  เกษมวรภูมิ นวท. (สบ 4) กคม.พฐก.กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีการร้องขอจากพนักงานสอบสวนให้ตรวจพิสูจน์โลหะทองคำของกลาง ที่ร้านค้านำมาแจ้งความดำเนินคดี โดยกลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง จะนำมาตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะการกระทำความผิดเกี่ยวกับทองคำ ส่วนใหญ่ที่พบบ่อยจะมีลักษณะเป็น ทองหุ้ม ทองผสม ทองชุบ พ่นสีทอง และแบบผสมผสาน 

ซึ่งมาตรฐานทองคำเมืองไทยจะอยู่ที่ 96.5% หมายความว่า มีทองคำบริสุทธิ์อยู่จริงๆ 96.5% ส่วนที่เหลืออีก 3.5% คือ ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น แร่เงินกับแร่ทองแดงหรือโลหะต่าง ๆ ทั้งนี้ การการตรวจพิสูจน์โลหะทองคำ จะมี 4 วิธีคือ 

1) วิธีทางกายภาพ 
2) วิธีทางเคมี 
3) วิธีการเผา 
และ 4) วิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์

กรณีที่วัตถุพยานเป็นโลหะทองคำ เมื่อนำไปวิเคราะห์ด้วยวิธีทางกายภาพ โดยการเปิดพื้นผิวด้วยกระดาษทราย เนื้อโลหะชั้นในจะมองเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อนำไปทดสอบทางเคมีด้วยกรด เช่น กรดไนตริก รวมถึงการทำปฏิกิริยาทางเคมี เพื่อให้ทราบเป็นโลหะชนิดใด                   

หากนำไปทดสอบด้วยการเผาไฟทองคำแท้ จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะแตกต่างจากโลหะผสม ที่เมื่อนำไปเผาไฟจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที หากนำวัตถุพยานมาวิเคราะห์หาชนิดของธาตุโดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่อง x-ray fluorescence spectrometer (XRF) หลังจากนำวัตถุพยานเข้าเครื่อง XRF เพื่อวิเคราะห์หาชนิดของธาตุ พบว่าโลหะทองคำแท้เปอร์เซ็นต์ทองของทั้งบริเวณก่อนและหลังเปิดพื้นผิวจะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำทีม ภ.๙ จับกุมคนร้ายคดีฆ่าโหดทุบหัวฝังดิน

จากกรณีเมื่อวันที่ ๑ มิ.ย.๖๕ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งลุง ภ.จว.สงขลา รับแจ้งเหตุพบศพนายหมัดดล บินสัน อายุ ๔๐ ปี ถูกฆ่าฝังดินอยู่ที่บริเวณป่าด้านหลังสนามกอล์ฟ หมู่ ๑๑ บ้านคลองปอม ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สภาพศพถูกมัดมือไพล่หลัง มัดเท้าด้วยเถาวัลย์ มัดปิดปากด้วยผ้าสีแดง รัดคอด้วยกระเป๋าสะพาย และศีรษะถูกทุบด้วยของแข็ง รวมทั้งพบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิตจมอยู่ในสระน้ำบริเวณใกล้เคียงตามที่ทราบแล้ว นั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ควบคุมการสืบสวนสอบสวนให้รัดกุม และเร่งรัดการติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร่งด่วน ซึ่งจากการสืบสวนเบื้องต้นคาดว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งถูกผู้ตายพบระหว่างการหลบหนีเข้าเมือง จึงได้ฆ่าผู้ตายและนำศพฝังดินเพื่ออำพรางคดีดังกล่าว

ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.๙ และ สภ.ทุ่งลุง ภ.จว.สงขลา ได้รวบรวมพยานหลักฐานและติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีดังกล่าว โดยเริ่มจากเมื่อวันที่ ๒ มิ.ย.๖๕ ที่ผ่านมา สามารถจับกุมกลุ่มบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งหลบหนีเข้าเมืองได้จำนวน ๑๐๙ คน ก่อนจะดำเนินการสอบปากคำทั้งหมดเพื่อรวบรวมข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องจนสืบทราบว่า คนร้ายที่เป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรมชายดังกล่าว และนำศพไปฝังเพื่ออำพรางคดีมีจำนวนทั้งสิ้น ๘ ราย ซึ่งขณะนี้มีพยานหลักฐานจนสามารถขออนุมัติศาลจังหวัดสงขลาขอหมายจับผู้ต้องหาจำนวน ๕ ราย และสามารถติดตามจับกุมได้แล้ว ๓ ราย ประกอบด้วย

๑. นายเมียน วิน (Myint Win) อายุ ๓๒ ปี สัญชาติเมียนมาร์ ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น , ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดตาย หรือเหตุแห่งการตาย” (หลบหนี)
๒. นายโก มอง (Ko Maung) อายุ ๒๕ ปี สัญชาติเมียนมาร์ ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น , ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดตาย หรือเหตุแห่งการตาย” (หลบหนี)
๓. นายซาน เอ (San Aye) อายุ ๓๒ ปี สัญชาติเมียนมาร์ ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น , ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดตาย หรือเหตุแห่งการตาย” (จับกุม)
๔. นายเอา กู วิน อายุ ๒๗ ปี สัญชาติเมียนมาร์ ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น , ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดตาย หรือเหตุแห่งการตาย” (จับกุม)
๕. นายชิด โก โก้ (Chit Ko Ko) อายุ ๓๔ ปี สัญชาติเมียนมาร์ ข้อหา “ร่วมกันซ่อน ช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” (จับกุม)

ส่วนผู้ต้องหาอีก ๓ ราย อยู่ในระหว่างการสืบสวนติดตามจับกุมและพิสูจน์ทราบตัวบุคคล เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป

จากการสอบปากคำผู้ต้องหาผู้ก่อเหตุให้การว่า เมื่อวันที่ ๓๑ พ.ค.๖๕ กลุ่มผู้ก่อเหตุพร้อมบุคคลต่างด้าวรวม ๑๐๙ คน ได้หลบหนีเข้าเมืองมา ก่อนที่จะมาพักที่บริเวณป่าละเมาะที่เกิดเหตุดังกล่าว ต่อมาช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ผู้ตายได้มาที่บริเวณที่บุคคลต่างด้าวอยู่ พร้อมกับได้นำอาวุธปืนและอาวุธมีด มาข่มขู่กลุ่มบุคคลต่างด้าวดังกล่าวเพื่อเรียกเอาเงิน กลุ่มดังกล่าวก็ได้รวบรวมเงินจำนวนหนึ่งมอบให้กับผู้ตาย แต่เมื่อได้เงินแล้ว ผู้ตายกลับพยายามนำตัวหญิงต่างด้าวคนหนึ่งไปด้วย กลุ่มผู้ก่อเหตุจึงพยายามไปช่วย และเข้าไปจับผู้ตายไว้ พร้อมกับได้รุมทำร้ายด้วยการใช้ไม้ทุบตีผู้ตายและมัดด้วยเถาวัลย์ พร้อมกับได้นำเอาโทรศัพท์ของผู้ตายไปโทรหานายหน้าของพวกตน ซึ่งต่อมานายจ้างได้จัดรถยนต์กระบะ ซึ่งขับโดยนายชิด โก โก้ เพื่อนำพาเอาบุคคลต่างด้าวทั้งหมดไปหลบซ่อนยังบ้านเช่าอีกที่หนึ่ง (ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ ๒ มิ.ย.๖๕) ต่อมาเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. ของวันดังกล่าว กลุ่มผู้ก่อเหตุได้กลับไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อไปขุดหลุมและนำศพของผู้ตายไปฝังเพื่ออำพรางคดี รวมทั้งนำเอารถจักรยานยนต์ของผู้ตายเข็นไปทิ้งที่สระน้ำ จากนั้นจึงกลับไปยังบ้านเช่าดังกล่าว

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีอุกฉกรรจ์ เป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชน จึงได้มีการเร่งรัดการสืบสวนติดตามจับกุมคดีดังกล่าวโดยเร่งด่วน ขณะนี้ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาได้บางส่วนแล้ว ในส่วนที่ยังหลบหนีอยู่จะมีการเร่งรัดการออกหมายจับและติดตามจับกุมเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ในส่วนของขบวนการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขับจับกุมขบวนการดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่องจะมีการขยายผลไปสู่การจับกุมขบวนการรวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวเพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาใบเหลืองนายก อบจ.กาฬสินธุ์ ใบเหลือง 'ชานุวัฒน์ วรามิตร' ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ใหม่ หลังถูกร้องทีมบริหารและผู้ช่วยหาเสียงโพสต์เฟชบุ๊กประกาศเชิญชวนมาเอาป้ายหาเสียงก่อนวันเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 4 อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ลต อบจ 1/2565 และคดีเหมายเลขแดงที่ 1528/2565 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ใหม่ หลังจากนายชุมพล หลักคำ ผู้สมัครรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอยางตลาด เขตเลือกตั้งที่ 4 นายสุมินทร์ ภูดวงดอก ผู้สมัครรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอยางตลาดเขตเลือกตั้งที่ 3 และนางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล ผู้สมัครรับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ยื่นคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ที่นายชานุวัฒน์ วรามิตร ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม 

กรณีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 นายชานุวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน ก่อ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจให้ นายอนุชา สิงหะดี ซึ่งเป็นทีมงานบริหารและเป็นผู้ช่วยหาเสียงโพสต์ข้อความในบัญชีผู้ใช้เฟชบุ๊ก ชื่อ “อนุชา สิงหะดี Anucha singhadee” ด้วยข้อความว่า “ประกาศ พี่น้องในทุกพื้นที่ท่านใดอยากได้ป้ายผู้สมัครนายก อบจ.#เบอร์ 1 ชานุวัฒน์ วรามิตร ที่ติดตั้งอยู่ตามพื้นที่ต่างๆทั่วทั้งจังหวัดกาฬสินธุ์ ท่านสามารถรื้อนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้ครับ หากท่านมีความประสงค์ เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งทีมงานผู้สมัครทุกเบอร์ ก็กำลังดำเนินการเก็บป้ายครับ ซึ่งผู้ใช้เฟชบุ๊กอื่นๆตอบรับด้วยการโพสต์ข้อความแสดงความประสงค์ของแผ่นป้ายหาเสียงดังกล่าว

ทั้งนี้ศาลไต่สวนได้ความว่า นายอนุชาเป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านได้มอบหมายให้นายอนุชา ทําหน้าที่ติดตามผู้คัดค้านไปพบปะประชาชนในพื้นที่ และเป็นพิธีกรในเวทีปราศรัยหาเสียงโฆษณา และให้นายอนุชาหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ อีกช่องทางหนึ่งด้วย บัญชีเฟซบุ๊กที่นายอนุชาโพสต์ข้อความดังกล่าวก็มีการตั้งค่าเป็นสาธารณะ ในการโฆษณาทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อหาคะแนนเสียงให้แก่ผู้คัดค้าน ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้างต้นย่อมฟังได้ว่า การกระทําของนายอนุชาที่โพสต์ข้อความตามคําร้องในบัญชีเฟซบุ๊กของตน มีความคาดหวังและหวังผลต่อจิตใจผู้ที่เข้ามาใช้ ได้เห็นหรือติดตามข้อมูลจากบัญชีเฟซบุ๊ก ของตนที่เป็นบุคคลในจังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งยังเป็นผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ให้ลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้าน ที่เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์แล้ว

ส่วนที่นายอนุชาอ้างว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เมื่อเสร็จการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะทิ้งป้ายหาเสียงทําให้เป็นภาระต่อหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบจึงโพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ในการไต่สวนพยานผู้คัดค้านก็ปรากฏว่านายอนุชาทราบดีอยู่แล้วว่าผู้รับจ้างของผู้คัดค้านกําลังดําเนินการเก็บป้ายหาเสียง ของผู้คัดค้านอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่นายอนุชาต้องโพสต์ข้อความดังกล่าวเพื่อลดภาระของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการเก็บป้ายหาเสียงเลือกตั้ง และหากนายอนุซาต้องการให้บุคคล ที่ต้องการแผ่นป้ายหาเสียงไปใช้ประโยชน์ นายอนุชาก็สามารถรอให้ผู้รับจ้างเก็บป้ายหาเสียง เสร็จสิ้นก่อน และเมื่อการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ผ่านพ้นไปแล้วก็ค่อยเสนอให้ป้ายหาเสียงเลือกตั้ง ของผู้คัดค้านแก่บุคคลทั่วไปมารับไปใช้ประโยชน์ก็ย่อมทําได้ ข้ออ้างของนายอนุชาจึงไม่มี / น้ำหนักรับฟัง พยานหลักฐานที่ได้ความจากการไต่สวน 

จึงมีหลักฐานอันสมควรเชื่อว่าการกระทํา ของนายอนุชาที่โพสต์ข้อความตามคําร้องในบัญชีเฟซบุ๊กของตนเป็นการแสดงเจตนาให้ แผ่นป้ายหาเสียงเลือกตั้งของผู้คัดค้านแก่ผู้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งพบเห็นข้อความดังกล่าว อันเข้าลักษณะ เป็นการจัดทํา ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ อื่นใดอันอาจคํานวนเป็นเงินได้ให้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 65 (2) 

โดยผู้คัดค้านได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้งจากการกระทําของนายอนุชาอันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ผู้คัดค้านเกิดจากการเลือกตั้งที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 108 วรรคสอง กรณีมีเหตุที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามคําร้องของผู้ร้อง จึงพิพากษาให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ใหม่ ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 108 วรรคสอง

รองฯ รอย ดอดเงียบทดสอบระบบ ศูนย์ป้องกันเหตุ ศปป.ตร.ใช้เทคโนโลยี 5G - เชื่อมโยงข้อมูล Real Time - บริหารเหตุวิกฤต

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 (เวลา 11.30 น.) ที่อาคาร 1 ชั้น 7 ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปป.ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(ปป.),ผอ.ศปป.ตร.,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผบช.รร.นรต.,ผู้ช่วย ผอ.ศปป.ตร.,พ.ต.อ ผดุงศักดิ์ รักษาสุข รอง ผบก.ภ.จว.จันทบุรี เป็นผู้ควบคุม ศปป.ตร. ได้ร่วมประชุมติดตามการทดลองการใช้ระบบต่างๆของ ศูนย์ฯ

พล.ต.อ.รอย กล่าวว่า“ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” จัดตั้งขึ้นตามนโยบาย ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เพื่อให้เป็นศูนย์ "ควบคุมและบริหารงาน" ป้องกันปราบปรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ "ทันกับสถานการณ์" มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติ เพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนางานป้องกันปราบปราม 

ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการ "เฝ้าติดตาม" การปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันปราบปราม สามารถ "เชื่อมต่อสัญญาณภาพสด" ในขณะปฏิบัติหน้าที่ จาก "กล้องประจำตัวเจ้าหน้าที่สายตรวจ" ,"กล้องติดรถยนต์สายตรวจ" จากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ รวมถึง "กล้อง CCTV" ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตั้งไว้ใน "หัวเมืองสำคัญ" พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงจุดล่อแหลมต่าง ๆ ทั่วประเทศ มายัง ศปป.ตร. สามารถเฝ้าระวังเหตุ และ "บริหาร จุดตรวจ จุดสกัด ไม่ให้ซ้ำซ้อน" และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเกิด "เหตุวิกฤต" ด้านอาชญากรรม ศปป.ตร. สามารถ "ยกระดับ" การปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารสถานการณ์ให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถ "บริหารจัดการแก้ไขเหตุวิกฤต" นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้มาสังเกตการณ์ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องการปฏิบัติและ "นำเทคโนโลยีส่วนขยาย" มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและยังได้รับชมการสาธิตการปฏิบัติระหว่าง ศปป.ตร. กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ปฏิบัติการจริง โดยใช้ยุทธวิธีตำรวจสายป้องกันปราบปรามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว

ด้าน พล.ต.ท.ธัชชัยในฐานะ ผู้ช่วย ผอ.ศปป.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สนับสนุนกล้อวงจรปิดไปติดด่านทุกที่ทั่วประเทศนำร่องในเมืองใหญ่เพื่อสร้างโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจ และเชื่อมกล้องวงจรปิดมาที่ศูนย์ ศปป.ตร.โดยวันนี้ พล.ต.อ.รอย อิงคโพโรจน์ รองผบ.ตร.ได้มาตรวจความพร้อมและทดสอบท้องที่ สน.สำราญราษฎร์กับ สน.บางรัก เพื่อให้ทราบว่าผลการปฎิบัติจริงๆเป็นอย่างไร โดยใช้กล้องในการผสมผสานกัน ซึ่งแต่ละด่านจะมีกล้อง 4 ตัว เพราะแบ่งพื้นที่ 5 ส่วน ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือ วิทยุดิจิตอล ใช้ติดหน้าอกสายตรวจ เพื่อถ่ายทอดเข้ามาที่ ศปป.ตร.ทำให้เห็นเวลาที่สายตรวจเคลื่อนไปที่ต่างๆเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำงาน และตำรวจสามารถนำข้อมูลมาบริหการจัดการได้ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการปฎิบัติ และเวลาประชาชนเข้ามาที่ด่านก็จะเกิดความอุ่นใจ ว่ามีการตรวจสอบติดตามตลอดเวลา และเป็นการเซฟเจ้าหน้าที่ปฎิบัติด้วย เวลามีเหตุอะไรสามารถประเมินสถานการณ์ได้ส่งกำลังเข้าไปช่วยได้ 

รมว.สุชาติ ส่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรี เปิดติวเข้มทีมสหวิชาชีพ มุ่งขจัดค้ามนุษย์ด้านแรงงานให้หมดสิ้นทุกมิติ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย ผู้ช่วยรัฐมนตรี 'สุรชัย' เปิดอบรมเจ้าหน้าที่รัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย มุ่งยกระดับการทำงานร่วมกันเป็นทีมสหวิชาชีพ เพิ่มศักยภาพบังคับใช้กฎหมาย คุ้มครองสิทธิลูกจ้าง มุ่งขจัดปัญหาการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานทุกรูปแบบ 

วันที่ 23 มิถุนายน 2565 เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ รุ่นที่ 2 ภาคบนบก โดยมีนายสุทธิ สุโกศล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย  ณ โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร 

นายสุรชัย กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญและมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาและขจัดการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการบังคับใช้แรงงานให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงและมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น 

นายสุรชัย กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ประกาศให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติและกำหนดเป้าหมายหลักให้ประเทศไทยสามารถป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้อย่างยั่งยืน โดยได้จัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2560 - 2564 ยอดรวมทั้งสิ้นกว่า 4 พันล้านบาท เพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และกลุ่มเสี่ยงให้ได้รับการคุ้มครองช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ การปรับปรุงและพัฒนากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องและเพิ่มขีดความสามารถการบังคับใช้กฎหมายอย่างบูรณาการ ซึ่งถือเป็นกลไกหนึ่งที่จะผลักดันให้นโยบายดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์ โดยการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการยกระดับการบูรณาการการทำงานร่วมกันในรูปแบบทีมสหวิชาชีพ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยในทุกมิติ 

‘วัดกลางคลองฯ’ สร้างโบสถ์ 10 ปี ยังไม่เสร็จ เจ้าอาวาส บอกวัดเล็ก ๆ ไร้เกจิ คนไม่สนใจ

เจ้าอาวาสวัดกลางคลองวัฒนาราม สร้างโบสถ์ด้วยตนเองกว่า 10 ปี ยังสร้างไม่เสร็จ เผย เป็นวัดเล็ก ๆ ไร้พระเกจิ คนจึงไม่รู้จัก

วันที่ (22 มิ.ย.) สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านพบเห็นพระสงฆ์ วัดกลางคลองวัฒนาราม ต.เจ้าเจ็ด อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา มุมานะสร้างโบสถ์ด้วยตนเอง น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปตรวจสอบ

พบว่าภายในวัดกลางคลองวัฒนาราม กำลังมีการก่อสร้างโบสถ์ ขณะเดียวกันยังได้พบ พระใบฎีกาเอกลักษณ์ อาภสฺสโร เจ้าอาวาสวัด กำลังตกแต่ง พ่นสีผนัง ภายในโบสถ์ ขนย้ายอุปกรณ์ตั้งนั่งร้าน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำทุกวัน

พระใบฎีกาเอกลักษณ์ อาภสฺสโร อายุ 39 ปี เจ้าอาวาสวัด กล่าวว่า โบสถ์ของวัดถูกน้ำท่วมชำรุดเสียหาย ตนเองมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ. 2555 จึงริเริ่มที่คิดจะสร้างโบสถ์ให้ยกพื้นสูง เพราะที่วัดเป็นที่ราบลุ่มถูกน้ำท่วมทุกปี วัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ ไม่มีเกจิอาจารย์ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เริ่มต้นด้วยการทอดผ้าป่า ทอดกฐิน รวบรวมเงินมา รื้อโบสถ์ ตอกเสาเข็ม ทำฐานรากให้แข็งแรง โดยใช้เวลาประมาณ 5 ปี ในการทำโครงสร้าง ทำบ้างหยุดบ้างเพราะไม่มีทุนทรัพย์ พอทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ญาติโยมถวายเงินมาพอรวบรวมเป็นก้อนได้ ก็ค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ ลงมือทำเอง จ้างชาวบ้าน จ้างช่างรายวันมาทำ

แฟนคลับ 'ซี-นุนิว' ตะโกนไล่ 'ต่อ-บลู' พ้นเฟรม หวังเสพเซอร์วิสคู่จิ้น ดันแท็กติดเทรนอันดับ 1

กลายเป็นดราม่าสนั่นโซเชียลขึ้นมาทันที หลังจากที่แฟนคลับของ 'ซี-นุนิว' ตะโกนไล่ 'ต่อ ธนภพ' และ 'บลู พงศ์ทิวัตถ์' ออกจากเฟรมทั้งที่ยืนอยู่ด้วยกัน 4 คน

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 4 ศิลปิน อย่างคู่จิ้นสุดฮอต 'ซี-นุนิว', พระเอกหนุ่ม 'ต่อ ธนภพ' และ 'บลู พงศ์ทิวัตถ์' เดินทางไปร่วมงานอีเวนท์ของแบรนด์ดัง ต่อมาในจังหวะที่ศิลปินรวมตัวถ่ายภาพโดยมีท้ัง 4 คน ยืนถ่ายภาพรวมกันหน้าแบคดรอป ก็มีแฟนคลับบางคนทั้งกวักมือและตะโกนบอก ต่อและบลู ให้ออกจากเฟรมเพราะต้องการที่จะเก็บภาพคู่และโมเมนต์สุดหวานของ ซี-นุนิว

งานนี้ก็เลยเกิดกระแสวิพากวิจารณ์ขึ้นมาในทันที ว่าการกระทำดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ พร้อมผุดแฮชแท็ก ไล่ศิลปินคนอื่นทําไม โดยในเวลาต่อมาแฮชแท็กดังกล่าวก็พุ่งขึ้นติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ทันที ซึ่งมีคนปล่อยคลิปช่วงดังกล่าวที่แฟนคลับของ ซนซน หรือ ซี-นุนิว ทั้งตะโกนทั้งโบกมือสุดแรงเพื่อจะไล่ศิลปินคนอื่นที่ยืนติดอยู่กับเมนของตัวเอง งานนี้คนปล่อยคลิปบอกเลยว่าจะไม่ลบจนกว่าแฟนคลับของทั้งคู่ที่ทำเรื่องราวดังกล่าวออกมาขอโทษ

ปิดฉาก ‘ร้านน้ำโหลแก้ว’ โรงเรียนดัง เจอค่าต่อสัญญาขั้นตํ่า 3 ล้าน 3 ปี

ร้าน ‘Tea Lek ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน’ ของโรงเรียนชื่อดัง ประกาศเตรียมเลิกขาย หลังเจอค่าต่อสัญญาขั้นตํ่า 3 ล้านบาท ขายได้ 3 ปี ด้านศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน แห่คอมเมนต์ขอบคุณมากที่ทำให้วัยเด็กได้กินน้ำแสนอร่อย

เมื่อวันที่ (20 มิ.ย. 65) เฟซบุ๊กเพจ ‘Tea Lek ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน’ ซึ่งเป็นร้านน้ำแห่งหนึ่ง ในโรงเรียนสารวิทยา ได้ออกมาประกาศเลิกขายน้ำ ไปต่อไม่ไหว เนื่องจากโดนเรียกค่าเช่าปีละ 1 ล้านบาท โดยจะขายวันสุดท้าย (28 มิ.ย.) นี้ นอกจากนี้ ยังเชิญชวนศิษย์เก่าเข้ามาย้อนรำลึก แจกน้ำฟรี

ทางเพจระบุข้อความว่า “นับถอยหลัง 8 วัน ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน โรงเรียนสารวิทยา กำลังจะปิดตัวลง ใครคิดถึงหรืออยากกินยังเข้าหาที่โรงเรียนได้ ตั้งแต่ พรุ่งนี้ จนถึง วันที่ (28 มิ.ย. 65) แต่หลังจากนั้นทางร้านจะเปิดขายแบบออนไลน์ ใครสนใจ สามารถติดตามในช่องทางเพจของร้านนะ”

และ ล่าสุด เมื่อวันที่ (22 มิ.ย.) ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ระบุว่า... 

“เนื่องจาก เหลือเวลา อีกแค่ 4 วัน (วันทำการ) ที่จะได้ขายที่โรงเรียนสารวิทยา ทางร้าน อยากขอบคุณนักเรียนศิษย์เก่า ในช่วง 30ปีที่ผ่านมา ที่อุดหนุน ทางร้านมาโดยตลอด

‘พิมรี่พาย’ เจอดราม่าสุ่มตัก ปัดไอโฟนออก แถมแขวะยอดวิว ‘แจ็คสัน หวัง’ ทำทัวร์ลงยับ

เจอดราม่าตักสุ่ม ‘พิมรี่พาย’ กราบขอโทษลูกค้า พร้อมโพสต์ข้อความ ‘กลัวดราม่า ก็เลยเพิ่มทองให้ไปอีก 15,000 รางวัล’

เกิดเป็นประเด็นดราม่า เมื่อ ‘พิมรี่พาย’ เปิดให้บรรดาเพื่อนรัก CF ตักสุ่ม ตะกร้าละ 500 บาท โดยในบ่อโฟมนั้นจะมีของต่าง ๆ ของทางร้านหลายอย่างโยนลงไปไว้ รวมถึงรางวัลใหญ่อย่าง ทองคำ ไอโฟน อยู่ในบ่อตักสุ่มนั้นด้วย 

ในช่วงหนึ่งของการไลฟ์สด ‘พิม รี่พาย’ ตักสุ่ม 500 บาท ลูกน้องพิม รี่พาย ตักสุ่มขึ้นมาได้ โดยภายในตะกร้าตักสุ่ม 500 นั้น ปรากฎว่ามีโทรศัพท์มือถือไอโฟนติดขึ้นมาด้วย แต่ทางลูกน้องพิมรี่พาย กลับเอามือปัดไอโฟนทิ้งลงบ่อโฟมไป งานนี้เหล่าเพื่อนรักที่ดูไลฟ์สด ตักสุ่ม 500 อยู่นั้นเห็นเหตุการณ์จนเกิดกลายเป็นประเด็นดราม่าขึ้นมา

เชื่อใจก็ลองใช้!! ไม่สบายใจก็แค่มองผ่าน!!

เตามหาเศรษฐี ร้อนสูง ประหยัดถ่าน ทนทาน ช่วยประหยัดเงิน

#รวมพลังคนไทยลดใช้พลังงานหาร2


ที่มา: https://www.facebook.com/100066598387751/posts/pfbid02Pze8PWpoyfqDkqP3dmHE9KMUwAcEJZ8y2M3u1KSCuGGxFN3GhwXUGWzS8ZUnG9sJl/

พลังงานโลก เร่งอียูเตรียมแผนรับมือ หวั่นรัสเซียตัดก๊าซป้อนยุโรปโดยสิ้นเชิง

ทบวงพลังงานสากล (ไอเออี) เตือนชาติยุโรปเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตพลังงานด่วน หลังรัสเซียส่อตัดอุปทานก๊าซธรรมชาติที่ป้อนแก่ยุโรปโดยสิ้นเชิง 

ฟาตีห์ ไบรอล ผู้อำนวยการบริหารของทบวงพลังงานสากล กล่าวในถ้อยแถลงที่ส่งถึงสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า "ผมไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะหาประเด็นถกเถียงอีก และเดินหน้าหาข้ออ้างสำหรับลดการส่งมอบก๊าซสู่ยุโรป และบางทีอาจถึงขั้นตัดอุปทานก๊าซโดยสิ้นเชิง"

"นี่คือเหตุผลว่าทำไมยุโรปถึงจำเป็นต้องมีแผนฉุกเฉิน" ไบรอล ระบุ พร้อมบอกว่าการปรับลดจ่ายอุปทานก๊าซเมื่อเร็วๆ นี้ อาจเป็นความพยายามให้ได้มาซึ่งอิทธิพลทางการเมือง ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่ลากยาวนานหลายเดือน

อย่างไรก็ตาม ฟาตีห์ ระบุว่า ในข้อสันนิษฐานของทบวงพลังงานสากล การตัดป้อนก๊าซโดยสิ้นเชิงไม่น่าจะเป็นกรณีที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

สหภาพยุโรปกำหนดมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันและถ่านหินของรัสเซีย แต่ไม่ห้ามนำเข้าก๊าซธรรมชาติ สืบเนื่องจากอียูพึ่งพิงอุปทานจากมอสโกสูงลิ่ว

ในแง่ภาพรวมของการลงทุนทางพลังงานสำหรับปี 2022 ทบวงพลังงานสากลระบุในรายงานฉบับหนึ่งว่า มีการเตรียมลงทุนในภาคดังกล่าวในปีนี้ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในนั้นรวมถึงใช้จ่ายในด้านพลังงานหมุนเวียนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ทบวงพลังงานสากลชี้ว่ามันยังไม่เพียงพอสำหรับเติมช่องว่างทางอุปทานและจัดการกับภาวะโลกร้อน

ผบ.ฉก.นราธิวาส ตรวจพื้นที่การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำสุไหงโกลก บริเวณแนวชายแดนด้านไทย- มาเลเซีย 

ที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดน ที่ 4 บ้านศรีพงัน ตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมด้วย พันเอก ก่อเกียรติ เข็มแดง รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และส่วนที่เกี่ยวข้อง เดินทางลงพื้นที่ เพื่อติดตามความคืบหน้า และตรวจสอบพื้นที่โครงการก่อสร้างผนังเขื่อนป้องกันตลิ่ง และการก่อสร้างรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน ตามแผนงานโครงการก่อสร้างรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย พร้อมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้การต้อนรับ นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) / รองผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สล.คปต.) และคณะ เดินทางลงพื้นที่ เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดระเบียบชายแดน (กิจกรรมเสริมสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย) ในวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2565 นี้ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับหน่วยงานในสังกัด เตรียมความพร้อมตามนโยบายรัฐบาล สำหรับมาตรการผ่อนคลายกิจกรรม กิจการ ปรับพื้นที่สีเขียว ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีตามที่ประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้มีมติผ่อนคลายกิจกรรมและมีมาตรการป้องกันควบคุมโรคพร้อมปรับพื้นที่สีเขียวทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 65 เป็นต้นไป

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐบาลได้มีนโยบายผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อผ่อนปรนให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับปกติมากขึ้น พร้อมได้กำชับทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน ให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล โดยมอบหมายให้  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงไปกำกับดูแล พร้อมกำชับการปฏิบัติของทุกหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้อง โดยให้ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ สร้างการรับรู้ มาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสตามแนวทางของ ศบค. และตามประกาศ คำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ของแต่ละพื้นที่อย่างเคร่งครัด รวมถึงการออกตรวจสอบ กวดขัน พร้อมให้คำแนะนำ สถานประกอบการ ร้านค้า ให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ประกาศ ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่

โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอปรับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร จากเดิมที่เป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 46 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) 15 จังหวัด และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 20 จังหวัด ปรับมาเป็นพื้นที่สีเขียวทุกจังหวัดทั่วประเทศ สามารถมีกิจการกิจกรรมในการผ่อนคลายอย่างเต็มที่ แต่ต้องมาพร้อมมาตรการป้องกันควบคุมโรค

ซึ่งมีสาระสำคัญในการผ่อนคลายมาตรการรวมถึงการป้องกันควบคุมโรคในประเทศ 8 มาตรการ ดังนี้ 

1.พื้นที่สถานการณ์ ให้ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์เป็นระดับเฝ้าระวัง (สีเขียว) ทั้งประเทศและยกเลิกการกำหนดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 

2.มาตรการการใส่หน้ากากอนามัย ให้ปรับเป็นข้อแนะนำว่าควรสวมหน้ากาก และให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แออัด สถานที่ปิด หรือมีการอยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก 

3.การบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ให้เปิดบริการได้ตามปกติโดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค รวมทั้งกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง 

4.สถานประกอบการประเภทสถานบันเทิง ฯลฯ เปิดให้บริการและให้ผู้รับบริการดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยเปิดให้บริการตามกฎหมายเดิมกำหนด 

5.การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ผ่อนคลายให้การดำเนินการเป็นไปตามปกติ 

6.การคัดกรองอุณหภูมิ ไม่มีความจำเป็นต้องคัดกรองอุณหภูมิในอาคารสถานที่ (อาจให้มีการคัดกรองอุณหภูมิในสถานที่เสี่ยงหรือพื้นที่ระบาด)  

7.การเว้นระยะห่าง แนะนำให้มีการเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่โรค 

8.มาตรการรวมกลุ่ม ให้ตรวจคัดกรอง ATK กรณีเป็นผู้ป่วยสงสัยที่มีอาการทางเดินหายใจ หากมีการรวมกลุ่มมากกว่า 2,000 คน ขอให้แจ้งทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดในพื้นที่หรือกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อเฝ้าระวังการระบาด

ชาวมะกันไม่โทษ ‘ปูติน’ เหตุ ‘ก๊าซ-น้ำมันแพง’ แต่ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ ‘ไบเดน-เดโมแครต’

ข้อมูลจากสำนักโพล Rasmussen poll เมื่อ (21 มิ.ย.65) พบชาวสหรัฐฯ เพียงแค่ 11% ที่เชื่อว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ควรถูกกล่าวโทษต่อราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงในสหรัฐฯ แต่ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน 

ในโพลของ Rasmussen ที่จัดทำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าหนึ่งครั้ง (52%) ที่ชี้ว่านโยบายทางพลังงานแย่ ๆ ของผู้นำสหรัฐฯ คือ ต้นตอที่ทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงจนผู้คนเริ่มจ่ายไม่ไหว นั่นหมายความว่าคำจำกัดความ ‘การขึ้นราคาของปูติน’ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามป้อนสู่ความคิดของประชาชน ดูเหมือนจะไม่ได้ผลใด ๆ 

ขณะที่บางส่วนไม่กล่าวโทษทั้ง ไบเดน และ ปูติน แต่เลือกที่จะโทษไปยังบรรดาบริษัทพลังงานทั้งหลาย โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 29% ชี้ว่าอุตสาหกรรมพลังงานกำลังกอบโกยผลประโยชน์จากภาวะไร้เสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ ผ่านการปรับขึ้นราคาเชื้อเพลิง

สำหรับสถานการณ์ด้านพลังในสหรัฐฯ ตอนนี้ แม้จะมีการห้ามนำเข้าน้ำมันและก๊าซของรัสเซียในเดือนมีนาคม แต่ในความเป็นจริง คือ มอสโกยังป้อนอุปทานน้ำมันแก่อเมริกา แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 2% เท่านั้น เพราะโดยสุทธิแล้ว สหรัฐฯ คือ ชาติผู้ส่งออกก๊าซ นั่นจึงทำให้คำกล่าวอ้างที่ว่ารัสเซีย คือ ผู้อยู่เบื้องหลังราคาที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ตามสถานีบริการทั้งหลายนั้น เป็นไปไม่ได้เลย

ทั้งนี้ราคาพลังงานที่พุ่งสูง ยังเป็นตัวแปรสำคัญก่อนถึงศึกเลือกตั้งกลางเทอม (ส.ส.-ส.ว.)ของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี โดยผู้มีสิทธิออกเสียงราว 92% บอกว่าราคาก๊าซ น้ำมันทำความร้อนและเชื้อเพลิงอื่น ๆ ที่พุ่งทะยาน เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับพวกเขา และจากผลสำรวจของ Rasmussen poll นั้น มีมากถึง 68% ที่เรียกปัญหาดังกล่าวว่า ‘ร้ายแรงมาก’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top