Tuesday, 1 July 2025
NEWS

การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ ๕ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕ 

วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา กองบัญชาการกองทัพไทย จัดการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ ๕ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕ โดยมี พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการทหารบก เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น ๒ อาคาร ๑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  

การประชุมฯ ในครั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลที่สำคัญของกองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดังนี้ 

กองบัญชาการกองทัพไทย ที่ประชุมได้ร่วมกันวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค และหารือแนวทางดำเนินความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้ประสานสอดคล้องในทุกระดับ ยึดมั่นการเคารพในหลักการอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน สนับสนุนให้ทุกฝ่ายใช้ความพยายามในการเจรจาแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธี และสอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ ยึดมั่นในความเป็นแกนกลางของอาเซียน ดำเนินการสร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงร่วมกัน มุ่งเน้นส่งเสริมความร่วมมือและขยายความสัมพันธ์อย่างสมดุล อีกทั้งดำรงความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพมิตรประเทศในทุกสถานการณ์ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหา 

กองทัพบก ได้นำเสนอแนวทางการจัดการฝึกภาคสนามของนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปี ๒๕๖๕ ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทดแทนการฝึกภาคสนามให้กับนักศึกษาวิชาทหาร ชั้นปีที่ ๓ (ชาย, หญิง) ระหว่างวันที่ ๘-๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ โดยสามารถลงทะเบียนเลือกวันที่สะดวกได้ทางเว็บไซต์ของหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน www.tdc.mi.th ในส่วนของนักศึกษาวิชาทหาร ชั้นปีที่ ๔ และ ๕ ทุกนาย กำหนดให้เข้ารับการฝึกภาคสนาม ณ ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

และสามารถตรวจสอบวันที่ที่จะเข้ารับการฝึกฯ (ผลัดฝึก) ได้ทางเว็บไซต์ของศูนย์การนักศึกษาวิชาทหาร www.ruksadindan.com ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๕ นอกจากนี้ กองทัพบก ยังได้รายงานผลการเดินทางเยือนกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างเป็นทางการของ ผู้บัญชาการทหารบก และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประจำปี ๒๕๖๕ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศอาเซียน 

กองทัพเรือ ได้รายงานผลการปฏิบัติของกองทัพเรือ ทั้ง ๖ ด้าน ได้แก่ การพิทักษ์รักษา ปกป้อง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงของรัฐ การพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคงและการช่วยเหลือประชาชน การเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับต่างประเทศ และการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการทางทหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕ ในการสร้างกองทัพไทยที่เข้มแข็ง ทันสมัย และเป็นที่เชื่อมั่น ศรัทธา ของประชาชน 

‘ป้าปาน สมสง่า’ สร้างประวัติศาสตร์กีฬาไทย หลังซิวทองแรกในศึกกรีฑาสูงอายุชิงแชมป์โลก

‘สมสง่า บุญนอก’ คว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์ให้กับทัพนักกีฬาไทยมาครองได้สำเร็จ จากกระโดดไกลรุ่นอายุ 65 ปีหญิง หลังทำสถิติได้ 3.90 เมตร ในศึกกรีฑาสูงอายุชิงแชมป์โลก 2022 ที่ประเทศฟินแลนด์

ถึงแม้จะเป็นนักกีฬาคนเดียวของคณะนักกีฬาไทยที่กระเป๋ายังมาไม่ถึงเมืองแทมเปเร เมืองที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงแชมป์โลกในประเทศฟินแลนด์และต้องลงแข่งขันด้วยชุดที่ยืมเพื่อน และรองเท้าใหม่เอี่ยมเพิ่งซื้อ 

แต่ทว่า สมสง่า บุญนอก อดีตข้าราชการครูโรงเรียนสีบุญในเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ก็สามารถทำให้ธงชาติไทยโบกไสว และเพลงชาติไทยกระหึ่มที่สนามแทมเปเรสเตเดี่ยม เมื่อเธอคว้าเหรียญทองเหรียญแรกให้กับทีมกรีฑาสูงอายุไทย

สมสง่า ครูเกษียณอายุวัย 68 ปี ได้เหรียญทองจากการแข่งขันกระโดดไกลหญิงรุ่น 65 ปี โดยกระโดยได้ไกล 3.90 เมตร ดีกว่านักกีฬาจากเนเธอร์แลนด์ แอนจา อัคเคอร์มาน สมิธ ที่กระโดดได้ 3.83 เมตร ถึง 7 เซ็นติเมตร และเหรียญทองแดงตกเป็นของนักกีฬาจากประเทศสวีเดน อุลลา คาร์เนแบ็ค ด้วยสถิติ 3.61 เมตร

สมสง่าเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้รับเหรียญทองจากการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงแชมป์โลก เป็นคนที่ทำให้กองเชียร์ชาวไทยปลื้มปริ่มน้ำตาคลอ กับการที่ได้เห็นธงชาติไทยพริ้วไสว และเสียงกระหึ่มของเพลงชาติไทย

ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการกีฬาไทย ยิ่งไปกว่านั้นสถิติที่เธอทำได้จากการแข่งขันในครั้งนี้ดีกว่าสถิติของเอเซียที่นักกีฬาจากประเทศญี่ปุ่นนากามูระ โนริโกะทำไว้ที่ 3.78 เมตร เมื่อปี พศ.2547 ที่ประเทศไทย และดีกว่าสถิติแห่งประเทศไทยที่เธอทำไว้เองที่ระยะ 3.82 เมตร เมื่อปี 2563 ที่สุพรรณบุรี

สมสง่าเป็นนักกีฬาไทยคนที่สองจากจำนวน 4 คน ที่ได้รับเหรียญรางวัลในการแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงแชมป์โลกซึ่งมีนักกีฬาจากมากกว่า 100 ประเทศจากทั่วโลกมาร่วมการแข่งขันในครั้งนี้

นายกฯ ขับรถ EV รอบตึกไทยคู่ฟ้า ส่งทูตสวิตฯ ในโอกาสพ้นหน้าที่

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ (6 ก.ค. 65) ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artierda) เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าอำลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เนื่องในโอกาสพ้นจากหน้าที่ 

ทั้งนี้ ภายหลังการหารือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินลงมาส่ง นางเฮเลเนอ ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า และเมื่อเห็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า อีวี ยี่ห้อ มินิคูเปอร์ เอส สีแดง ทะเบียน ท 76-1002 ที่คณะเอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย ใช้เป็นยานพาหนะมาที่ทำเนียบรัฐบาลด้วยกัน 4 คน เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน และยังเป็นรถที่นางเฮเลเนอ ใช้ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในเมืองไทย

'เชียงราย' ทหาร ตรวจคนเข้าเมือง จับรายวันลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายชายแดนแม่สาย

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมาหมวดทหารม้าลาดตระเวนที่ 2 ร้อยทหารม้าที่ 3 บก.ควบคุมที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 โดยการนำของ พันเอก สุทธิ์เขต์ ศรีนิลทิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 ได้จัดกำลังพล 1 ชุดปฏิบัติการภารกิจลาดตระเวณ

เฝ้าตรวจตราในพื้นที่รับผิดชอบบริเวณท่าข้ามที่จอดรถตลาดสายลมจอย (ท่าข้ามว้า-มังกี้) หมู่1 บ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ตรวจพบร่องรอยการข้ามแม่น้ำสายมาจากฝั่งประเทศเมียนมาข้ามมายังฝั่ง

ประเทศไทยและมีร่องรอยการขึ้นมาหลบหนีภายในตึกเช่าทางเจ้าหน้าที่จึงทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงรายเข้าทำการตรวจสอบภายในบ้านเช่าผลการปฏิบัติงานของทางเจ้าหน้าที่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่พบบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิด

กฎหมายจำนวน 58 คน เป็นบุคคลสัญชาติจีนจำนวน 1 คน บุคคลสัญชาติไทยจำนวน 1 คน และบุคคลสัญชาติเมียนมาจำนวน 56 คน เป็นชาย 28 คน เป็นหญิงจำนวน 20 คน พร้อมผู้ติดตามจำนวน 8 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 4 คน

'หวัง อี้' พบ 'ดอน' พูดคุยกันแบบพี่น้อง ย้ำสัมพันธ์ 2 ประเทศแน่นแฟ้น ไร้แรงกดดัน

เลขานุการ รมว.กต. เผยผลการหารือ 'หวัง อี้' กับ 'ดอน' ยินดีที่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงของไทยคืบหน้า / จีนนำเข้าผลไม้จากไทยโดยเฉพาะทุเรียนและมังคุดจำนวนมาก / นักศึกษาไทยกลับเข้าไปเรียนในจีนได้แล้ว / ไทยให้ช่วยจัดการปัญหา Call Center

(6 ก.ค.65) นันทิวัฒน์ สามารถ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงผลการหารือระหว่างนาย หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กับนายดอน ปรมัติวินัย รองนายกและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ว่า…

เมื่อ (5 ก.ค.65) รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ได้เดินทางเยือนไทยและได้เข้าประชุมหารือกับท่านดอน ปรมัติวินัย รองนายกและรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ที่กระทรวงการต่างประเทศ นอกจากการประชุมทวิภาคีของทั้งสองประเทศแล้ว รัฐมนตรีของทั้งสองประเทศยังได้มีการหารือแบบที่เรียกว่า ‘4 Eyes Meeting’ คือ เป็นการคุยกันส่วนตัวสองต่อสอง ไม่มีลูกทีม ไม่มีคนจดบันทึกการหารือ หลังจากนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย 

อยากจะเล่าบรรยากาศการประชุม และหัวข้อการประชุมให้พวกเราได้รับทราบเท่าที่จะเล่าได้ เริ่มต้นฝ่ายจีนได้บอกก่อนเลยว่า ไทยจีนไม่ใช่อื่นไกล พี่น้องกันการคุยกันในวันนี้เป็นการคุยกันในบรรยากาศของพี่น้อง เป็นการประชุมที่เป็นอย่างมิตรภาพ ไม่มีแรงกดดัน ไม่มีการเรียกร้องอะไรจากฝ่ายไทย ไม่มีการชี้นิ้วสั่ง

จีนแสดงความยินดีที่การก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของไทยคืบหน้า จะทำให้สามารถเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจ 3 ประเทศและอีอีซีของไทย ซึ่งจะเป็นเส้นทาง Logisticที่สำคัญ

ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการตรงกันคือ เรียกร้องให้เกิดสันติภาพในโลกและภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องก้นในแก้ไขปัญหาอย่างสันติ

รวบไต้หวัน OVERSTAY พบประวัติหนีคดีฉ้อโกงบิตคอยน์กว่า 200 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าได้พบเห็นชายชาวต่างชาติมีตำหนิรูปพรรณคล้ายกันกับผู้ต้องหาตามประกาศทางเว็บไซต์ของตำรวจไต้หวัน ชื่อนายซี(นามสมมติ)กระทำความผิดฐานฉ้อโกงเงินซื้อขายบิตคอยน์ โดยสายลับได้พบเห็นนายซี (นามสมมติ) ในซอยอาภาศิริ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ประสานงานสอบถามไปยังสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย รับแจ้งว่านายซี (นามสมมติ) เป็นบุคคลเดียวกันกับที่ทางการไต้หวันต้องการตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายจางเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 วีซ่านักท่องเที่ยว 60 วัน ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว 

รวบอินเดียทนแรงคิดถึงสาวไทยไม่ไหว แก้ไขข้อมูลเพื่อหลบ Blacklist

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล     แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่านายเอ็ม(นามสมมติ) อายุ 58 ปี สัญชาติ อินเดีย ซึ่งอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับหญิงไทย โดยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.แกลง จว.ระยอง มีพฤติกรรมน่าสงสัยว่าเข้ามาในประเทศไทยโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ไปตรวจสอบยังสถานที่ดังกล่าวและเชิญตัวมาที่ กก.1 บก.สส.สตม. เพื่อตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สตม. ผลการตรวจสอบพบว่า นายเอ็ม (นามสมมติ) เป็นบุคคลเดียวกับ นายม้า (นามสมมติ) ซึ่งถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (จำนวน 60 วัน) และเป็นบุคคลห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรตามคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 เป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 

รวบหนุ่มอังกฤษ สวมข้อมูลบุคคลอื่นทำ Passport หนีหมายจับกบดานไทย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 
 
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

ด้วยหน่วยงาน NCA ( National Crime Agency) ประเทศสหราชอาณาจักร ได้ประสานขอความร่วมมือมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่ามีชาวอังกฤษคือ นายเค (นามสมมติ) ได้นำข้อมูลส่วนบุคคลของนายบี (นามสมมติ) ชาวอังกฤษไปแสดงต่อหน่วยงานหนังสือเดินทางของอังกฤษเพื่อลวงทำหนังสือเดินทาง เพื่อเดินทางหลบออกจากประเทศอังกฤษเนื่องจาก ทางการอังกฤษได้ออกหมายจับในคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต่อมาทางการอังกฤษตรวจสอบพบจึงได้ ยกเลิกหนังสือเดินทาง และประสานทางการไทยให้ติดตามควบคุมตัวเพื่อนำตัวกลับประเทศอังกฤษ และยังแจ้งอีกว่ายังมีการกระทำความผิดในรูปแบบนี้อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นอาชญากรหลบหนีหมายจับและมากระทำความผิดในประเทศที่ตนเองพักอาศัยอยู่

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสั่งการให้ บก.สส.สตม. ติดตามควบคุมตัว โดยได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่สืบสวน บก.สส.สตม.ได้ลงพื้นที่สืบสวนพบว่านายเค หรือนายบี (นามสมมติ) หลบซ่อนตัวที่วิลล่าหรูแห่งหนึ่งริมทะเลในจังหวัดภูเก็ต จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์ จนเป็นที่แน่ใจ จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจสอบ จนยอมรับว่าหลบหนีออกจากประเทศอังกฤษเนื่องจากมีหมายจับของศาลอังกฤษในคดียาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

จับแล้ว!! แขกขาวอ้วนผอมปล่อยมุกหลอกแลกเงินตระเวนก่อเหตุหลายพื้นที่

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

กล่าวคือ ก่อนทำการจับกุมได้ปรากฏภาพข่าว คนร้ายเป็นชายชาวต่างชาติ 2 คน ลักษณะแขกขาวอ้วนหนึ่งคนและผอมหนึ่งคน มีพฤติกรรมก่อเหตุใช้เทคนิคหลอกว่ามาขอแลกเงินเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจคนขายและฉกฉวยเอาเงินไปโดยไม่ทันรู้ตัว โดยได้ก่อเหตุพื้นที่ จ.ระยอง 2 ครั้ง และ จ.สมุทรสงคราม 1 ครั้ง แม้ว่าเหตุดังกล่าวจะเป็นเหตุเล็กน้อย แต่ผู้ต้องหารายนี้เป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งอาศัยช่องของการเข้าเพื่อท่องเที่ยวแต่มาตระเวนก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนในวงกว้าง สตม. โดย บก.ตม.3 จึงไม่ได้นิ่งนอนใจรีบสั่งให้ดำเนินการสืบสวนในทันที

ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวจึงได้เข้าไปทำการสืบหาข้อมูลโดยใช้เทคนิคสืบสวนไล่กล้องวงจรปิดจนจนทราบว่าหลักแหล่งที่อาศัยและรถที่ใช้ก่อเหตุของคนร้าย แต่เนื่องจากไม่ใช่เหตุซึ่งหน้ายังไม่สามารถจับกุมได้ทันทีจึงได้ติดตามสะกดรอยหาหลักฐานเพิ่มเติม จนกระทั่งวันที่ 20 มิ.ย.65 ได้ติดตามคนร้ายทั้ง 2 คน มาถึงตลาดท่าใหม่ ต.ท่าใหม่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ชุดสืบสวนได้ซุ่มเฝ้าสังเกตการณ์ก็พบว่าคนร้ายดังกล่าว ตระเวนพยายามขอซื้อของร้านค้าโชห่วยหลายร้าน ชุดสืบสวนได้ตามเข้าไปถามร้านค้าที่คนร้ายเข้าไปแต่ละร้านก็พบว่าคนร้ายยังไม่ทันได้ก่อเหตุได้สำเร็จ 

ตม.จว.สงขลา บูรณาการกำลังทลายขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองข้ามชาติเส้นทาง ประจวบฯ-สงขลา-นราธิวาส

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ 

สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทย หรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล     แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญโดยมีรายละเอียดดังนี้ 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุพบศพนายดี (นามสมมติ) อายุ 40 ปี เสียชีวิตบริเวณป่าละเมาะใกล้สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในพื้นที่ ตำบลบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งบริเวณจุดพบศพผู้ตาย ทราบภายหลังว่าเป็นแหล่งพักพิงของแรงต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่เตรียมตัวลักลอบเดินทางไปประเทศมาเลเซีย เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 และชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนจังหวัดสงขลาบูรณาการร่วมกับชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา และกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 หาตัวผู้กระทำความผิดทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรม และผู้นำพาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งขบวนการจนนำไปสู่การจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองจำนวน 109 คน ได้ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากจุดพบศพท้องที่สถานีตำรวจภูธรทุ่งลุง เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ซึ่งหนึ่งในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถูกจับกุมนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมข้างต้น

จากการสืบสวนพบว่า คนต่างด้าวทั้ง 109 คน เดินทางมาจากช่องทางธรรมชาติ บริเวณจังหวังประจวบคีรีขันธ์ ถึงยังจุดพบศพ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 จ่ายเงินให้นายหน้าประมาณ 50,000-60,000 บาท/คน หลังจากนั้นนายหน้าในพื้นที่จังหวัดสงขลาจะนำพามาพักรวมไว้เพื่อเตรียมลักลอบนำพาออกไปช่องทางธรรมชาติบริเวณจังหวัดนราธิวาส หลังเกิดเหตุขบวนการดังกล่าวหยุดความเคลื่อนไหวไป ประมาณ 3 สัปดาห์ แล้วก็กลับมาดำเนินการอีกครั้งจนนำมาสู่ปฏิบัติการจับกุมและขยายผลการจับกุมผู้นำพา  คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง โดยห้วงระหว่างวันที่ 24 มิถุนายน-1 กรกฎาคม 2565 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลาและตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพัทลุงบูรณาการกำลังในพื้นที่ สามารถจับกุมผู้ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 4 คดี ผู้ต้องหา 14 คน แบ่งเป็น รายละเอียดดังนี้

- เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา ร่วมกับชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตรวจคนเข้าเมือง 6 และหน่วยงานในพื้นที่ จับกุมนายวี (นามสมมติ) อายุ 33 ปี และนายสุ (นามสมมติ) อายุ 39 ปี พร้อมกับพวก รวม 5 คน ข้อหา ร่วมกันให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้พ้นจากการจับกุม พร้อมของกลางยานพาหนะ 3 คัน ขณะนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองจำนวน 22 คน มาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มายังที่เกิดเหตุริมถนนทางหลวงหมายเลข 4204 ตำบลท่าช้าง อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางกล่ำ

- เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดสงขลา ร่วมกับชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลาและชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จับกุม นายพี (นามสมมติ) อายุ 49 ปี และนางสาวศรี (นามสมมติ) อายุ 50 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลจังหวัดสงขลา ข้อหา ร่วมกันให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้พ้นจากการจับกุม หลังจากสืบทราบว่าทั้งสองคนเป็นนายหน้าตัวการสำคัญในพื้นที่ที่ติดต่อหารถนำพาคนต่างด้าวจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาส่งยังจังหวัดสงขลา มีส่วนร่วมในการนำพาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลาเคยจับกุมไปเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ในท้องที่สถานีตำรวจภูธรรัตภูมิ และยังเป็นผู้ติดต่อหารถให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทั้ง 109 คน จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มายังจังหวัดสงขลา

- เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา ร่วมกับชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตรวจคนเข้าเมือง 6 และหน่วยงานในพื้นที่ จับกุมนายน้ำ (นามสมมติ) อายุ 23 ปี กับพวกรวม 2 คน ข้อหา ร่วมกันให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้พ้นจากการจับกุม พร้อมยานพาหนะ 2 คัน ขณะนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองจำนวน 22 คน จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มายังที่เกิดเหตุริมถนนทางหลวงสายเอเชีย หมายเลข 2 ตำบลคูหาใต้ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรรัตภูมิ

- เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรป่าบอนร่วมกับชุดสืบสวนตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพัทลุง จับกุม นายดำ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี กับพวกรวม 5 คน ข้อหา ร่วมกันให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้พ้นจากการจับกุม พร้อมยานพาหนะ 4 คัน ขณะรอรับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 21 คน จากจังหวัดพัทลุงไปยังชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้านจังหวัดนราธิวาส ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรป่าบอน

พิธีมอบทุนสนับสนุนแก่ข้าราชการตำรวจ ตามโครงการ 'ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน'

วันนี้ อังคารที่ 5 ก.ค.65 เวลา 10.00 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และคุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธ์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบทุนสนับสนุนแก่ข้าราชการตำรวจ ตามโครงการ 'ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน' ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2565 (ระยะที่ 1) โดยมี พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม, พล.ต.อ.ชยพล ฉัตรชัยเดช ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตร., พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1, พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5, พล.ต.ท.ณัฐ สิงห์อุดม ผบช.ตชด., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.อก.บช.ก., พร้อมด้วย คุณสุมนา กิตติประภัสร์, พ.อ.หญิง อรัญญา ทรัพย์พ่วง อุปนายกสมาคมฯ, คุณอาภิพร ชูวงศ์, คุณพึงพิศ ภูมิจิตร, คุณพิยดา ต๊ะวิชัย, คุณวัลลภา สุขศิริมัช, คุณรงรอง ภูริเดช กรรมการบริหารสมาคมฯ คุณลภัททิตา จินตกานนท์ รองประธานชมรมแม่บ้านตำรวจ น. และคุณพิกุลอรุณ พิชิตชัยศิริ เลขานุการสมาคมฯ เข้าร่วมในพิธี

สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดทําโครงการ ครอบครัวตํารวจเราไม่ทิ้งกันของสมาคมแม่บ้านตํารวจ ประจําปี 2565 สืบเนื่องมาจาก นโยบายของพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติต้องการให้สมาคมแม่บ้านตํารวจจัดทําโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการตํารวจ และครอบครัว เพื่อจัดหาอาชีพที่เหมาะสม และสร้างรายได้ให้กับบุตรข้าราชการ ตํารวจที่เป็นเด็กพิเศษ ให้มีอาชีพอย่างยั่งยืน สร้างขวัญกําลังใจให้กับข้าราชการตํารวจที่มีบุตรเป็นเด็กพิเศษ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กพิเศษให้ดํารงชีพอยู่ในสังคมได้ด้วยตนเอง และให้เขารู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าในสังคม

รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงถึงความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นในพื้นที่ จว.ยะลา ดังนี้  

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาประมาณ 00.02 น. ของวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 ทาง สภ.บันนังสตา ได้รับแจ้งเหตุ คนร้ายไม่ทราบชื่อ ไม่ทราบจำนวน ลักลอบวางระเบิด ที่บริเวณถนนเส้น 410 ใกล้ปากทางเข้าโรงเรียนคัมภีร์ หมู่ที่ 9 บ้านเจาะปันตัง ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จว.ยะลา ในเบื้องต้นยังไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ซึ่งอยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ EOD และเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ และเมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่ EOD และเจ้าหน้าที่ตำรวจในส่วนที่เกี่ยวข้อง จะได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อทำการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทำการพิสูจน์ทราบหาตัวคนร้ายเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้มีนโยบายในการรักษาความสงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ภาครัฐและประชาชน ในการสอดส่องดูแลพื้นที่ชุมชนและสร้างเกราะป้องกันให้กับชุมชน รวมถึงหาข้อมูลในเชิงรุกเพื่อเป็นการป้องกันเหตุไปพร้อมกัน หากเกิดสถานการณ์ขึ้นก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่อไป  

เพื่อเป็นการสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง  พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยที่เกี่ยวข้องร่วมปฎิบัติหน้าที่ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง เร่งทำการสืบสวนสอบสวนหาข่าวเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันเหตุ และเร่งหาตัวผู้กระทำความผิดอย่างเต็มที่ รวมถึงการใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ในการเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ การเก็บวัตถุพยานในสถานที่เกิดเหตุ และการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งในการสอบสวนยังไม่ตัดประเด็นมูลเหตุจูงใจใดๆ และกำชับให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังในการเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยให้มุ่งเน้นความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก 

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของความเสียหายของสถานที่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดที่เกี่ยวข้องและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยในเบื้องต้นมีรถยนต์หุ้มเกราะ 4 ประตูได้รับความเสียหาย จำนวน 1 คัน จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงคอยเป็นหูเป็นตาในการจดจำบุคคลและคอยสังเกตวัตถุต้องสงสัยที่อาจถูกวางทิ้งไว้ในสถานที่ต่างๆ รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนแจ้งเบาะแสผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ 

นักเรียน ม.1 ‘อุ้มเพื่อน’ ขึ้นห้องเรียนทุกวัน ป่วยร่างกายผิดรูป แถมฉีดวัคซีนโควิดทำทรุด

โซเชียลแห่แชร์ภาพสุดซึ้ง เพื่อนนักเรียน ม.1 ช่วยกันอุ้ม ‘น้องมีน’ ที่ป่วยร่างกายผิดรูป แถมฉีดวัคซีน ‘ไฟเซอร์’ ทำให้ไม่มีแรงเหนื่อยง่าย เพื่อขึ้นเรียนบนอาคารทุกวัน 

กลายเป็นภาพที่สร้างความประทับใจให้โลกโซเชียลอย่างมาก ภายหลังเพื่อน ๆ ต้องช่วยกันอุ้ม ‘น้องมีน’ หรือ ด.ญ.พรทิมา ตันพานิช อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนท่ามะขามวิทยา จ.ราชบุรี ที่มีรูปร่างกระดูกผิดรูปมาตั้งแต่กำเนิด และปอดยังแฟบ ขึ้นบันได 3 ชั้น เพื่อไปเรียนบนอาคาร

ก่อนหน้านี้ ‘น้องมีน’ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ยี่ห้อไฟเซอร์ เมื่อปลายปีที่แล้ว ภายหลังเข้ารับการฉีดได้ไม่นาน ตัวน้องเริ่มมีอาการจากผลข้างเคียง ทำให้ต้องเข้าห้องไอซียูที่โรงพยาบาล ซึ่งมีการรักษาต่อเนื่องเป็นปี และทำให้มีอาการเหนื่อยมากมาจนถึงทุกวันนี้

‘น้องมีน’ เปิดเผยว่า หลังฉีดวัคซีนแล้ว มีอาการไอ เจ็บหน้าอก หายใจแรง แม่ให้กินยา แต่ก็ไม่หาย นอนไม่หลับ และเริ่มหายใจไม่ออกเจ็บหน้าอก จนนอนไม่ได้ เมื่อไปคลินิกหมอบอกว่า เล็บเริ่มเขียว จึงส่งไปที่โรงพยาบาลราชบุรี ซึ่งส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ

ช่วงก่อนจะฉีดวัคซีน ไม่เคยมีอาการแบบนี้ รู้ตัวว่าหลังจากที่ฉีดวัคซีน เมื่อตอนอยู่ ป.6 มาแล้ว จะรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น ถ้าเดินมาก ๆ จะเหนื่อย แต่ได้เพื่อน ๆ คอยช่วยอุ้มพาเรียนหนังสือ

ด.ญ.ยาตนา และ ด.ญ.แยม ชาวต่างด้าวเพื่อน ‘น้องมีน’ เปิดเผยว่า เพื่อนมีร่างกายไม่สมบูรณ์มานานแล้ว ส่วนตัวสงสารเพื่อน ก็เลยช่วยกันอุ้มพาขึ้นไปเรียน โดยมีเพื่อนต่างห้องเรียนมาเห็น มาช่วยกันอุ้มพาไปเรียนอีกด้วย

เตือน เอาสลากดิจิทัลมาขายต่อ ถูกจับดำเนินคดี

พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่ามีการนำสลากดิจิทัล มาจำหน่ายต่อเกินราคาบนสื่อสังคมออนไลน์ว่า สำนักงานสลากฯ ขอแจ้งเตือนประชาชนที่จะซื้อสิทธิสลากดิจิทัลจากผู้อื่น ให้เพิ่มความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการซื้อต่ออย่างเด็ดขาด เพราะในระบบการจำหน่ายสลากดิจิทัล ผ่านแอปเป๋าตัง จะบันทึกชื่อผู้ซื้อไว้อย่างชัดเจน และให้สิทธิการเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของบัญชีแอปเป๋าตังเท่านั้น 

ดังนั้นเมื่อถูกรางวัล เงินรางวัลจะโอนเข้าบัญชีผู้ซื้อ ไม่สามารถโอนสิทธิเปลี่ยนมือการขึ้นรางวัลไปให้บุคคลอื่นได้  หรือกรณีหากจะมารับสลากฯ ที่สำนักงานฯ ก็จะต้องใช้ชื่อผู้ซื้อยืนยันตัวตนในการมารับสลากฯ ดังนั้น ถ้าใครหลงเชื่อ ซื้อสลากดิจิทัลที่มีการนำมาประกาศขายต่อ หากถูกรางวัลอาจเกิดปัญหาตามได้ ซึ่งเรื่องนี้ สำนักงานสลากฯ ได้มีประกาศชัดเจน และออกมาแจ้งเตือนอยู่ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนซื้อสลากดิจิทัลโดยตรงผ่านแอพเป๋าตังเท่านั้น ซึ่งระบบมีความปลอดภัย และสามารถขึ้นเงินรางวัลได้อย่างแน่นอน

'บุ๋ม ปนัดดา' ชี้!! ครูก็เป็นคน สิทธิส่วนบุคคลควรมี ลั่น!! ถึงยุคที่สมควรเปลี่ยนกฎนางงามเสียที

‘บุ๋ม ปนัดดา’ มองประเด็น ‘ครูจุ๊บแจง’ ถอนตัวประกวดมิสยูนิเวิร์สเพราะผิดระเบียบรับราชการครู ลั่นเป็นกฎที่ควรจะเปลี่ยนได้แล้วยันควรจะเคารพสิทธิส่วนบุคคลบ้าง เพราะครูก็เป็นคน ถ้าไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียหรือผิดกฎของสถานศึกษา 

หลังจากที่เกิดกรณีของ “จุ๊บแจง กนกวรรณ ชูสุข” ครูสาวที่เข้าประกวดเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 ต้องสละสิทธิถอนตัวจากการประกวดแบบกะทันหัน เพราะถือว่าผิดกฎของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ออกกฎว่าห้ามครูสตรีเข้าประกวดนางงาม ซึ่งเป็นกฎที่ตั้งแต่เมื่อปี 2506 ก็เลยเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ล่าสุด “ดร.บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ในฐานะที่เป็นอดีตนางสาวไทย และเคยเป็นอาจารย์เช่นกัน จึงได้ออกมาเผยความรู้สึกถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องที่เซนซิทีฟมาก และควรจะเปลี่ยนกฎเก่า ๆ ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปได้แล้ว

“มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซนซิทีฟนะคะ และเป็นประเด็นที่พูดคุยกันมานาน และจริง ๆ แล้วปีที่บุ๋มประกวดมันไม่มีชุดว่ายน้ำบนเวที มันก็เลยยังมีข้อยกเว้นแบบที่พอจะคุยกันได้มั้ง เขาก็คงจะรู้สึกว่ามันก็คงจะไม่ได้แรงมากขนาดนั้นมั้ง เพราะไม่มีชุดว่ายน้ำบนเวที แต่มีใส่ให้กรรมการดู ตอนรอบต่างหากในห้อง เพื่อเขาจะได้ดูผิวของเราว่ามีผิวแตกลายมั้ยอะไรมั้ย"

"แต่ในส่วนของการประกวดบุ๋มว่า คือในความรู้สึกบุ๋ม ยุคสมัยมันก็เปลี่ยนไปแล้ว และที่สำคัญคือครูเองถ้าเขาจัดการเรื่องของเวลา คือเข้าใจว่าไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม แต่ถ้ามันเสียเวลางาน เราต้องขาดลางานโดยที่ไม่สามารถลาได้ อันนั้นถือว่าผิดกฎอยู่แล้ว อันนั้นถือว่าคุณต้องจัดการตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม ยิ่งเป็นระบบราชการอันนี้เราเข้าใจ อาจจะเป็นข้อที่ทำให้ทางต้นสังกัดเขาติงหรือว่ามาได้"

กฏเก่าควรเปลี่ยนได้แล้ว..."แต่ด้วยกฎระเบียบของการเป็นครู และกฎนี้มันมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยพ.ศ.2506 ก่อนบุ๋มจะเกิดอีก คือมันควรจะปรับได้แล้ว เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยน และควรเคารพสิทธิส่วนบุคคล คือถ้าเขาจัดการตัวเองได้โดยไม่ได้เสียเวลางาน และทำตามความฝัน โดยไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ คือเขาไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำไปสอนหนังสือ หรือเอาไปโพสต์อะไรที่มันดูยั่วยวนจนเกินงาม หรือทำให้มันเสื่อมเสียหรือโพสต์อะไร" 

"แต่นี่คือการประกวดที่เขามีสิทธิที่เขาจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยด้วยซ้ำไป บุ๋มว่ามันควรจะเปลี่ยนได้แล้ว ครูก็คนนะ ควรมีชีวิตส่วนตัวนะ แม้กระทั่งเรื่องใส่ชุดว่ายน้ำไปเที่ยวทะเลหรืออะไรก็ตาม ครูก็คน เพียงแต่ว่าไม่ได้โพสต์ทะลึ่งตึงตัง หยาบคายจนเกินงาม บุ๋มเข้าใจคำว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่น อันนี้เข้าใจ แต่บางทีมันต้องเปลี่ยนไปตามยุคบ้างค่ะ”

บอกครูไม่จำเป็นต้องเสียสละทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตส่วนตัว

“ความเป็นครูในยุคสมัยนี้ ถามว่าขอบเขตควรอยู่ขนาดไหน ก็อาจจะต้องมีความน่าเชื่อถือมากกว่าอาชีพอื่น อันนี้เป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ ความน่าเชื่อถือ ความน่าเกรงใจมากกว่าอาชีพอื่น แต่ครูไม่ใช่ว่าจะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตส่วนตัว นี่ความรู้สึกบุ๋มนะ เพราะถ้าแม้กระทั่งชีวิตส่วนตัวของตัวเองก็ยังไม่มีเนี่ย บุ๋มว่าไม่ใช่" 

"ทุกคนสามารถมีความฝัน มีชีวิตส่วนตัวของตัวเองได้ เพียงแต่ว่าเรายังอาจจะอยู่ในยุคการผสมผสานของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่ยังไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ทันที นี่ก็อาจจะเป็นประเด็นและการเปิดประเด็นได้ ก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับน้องจุ๊บแจงด้วยค่ะ"

"ถ้ามองถึงการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงเนี่ย บุ๋มมองว่าเป็นเรื่องของกฎการกระทรวงที่เขาต้องคุยกันได้แล้ว อะไรที่มันล้าหลัง อย่างเช่นตอนนั้นที่บุ๋มทำกฎหมายข่มขืน นั่นมัน 33 ปีเลยนะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นานมาก บุ๋มยังตกใจเลย พอมาศึกษาเรื่องนี้จริงจัง ว่าทำไมมันยังแค่ 8,000 บาทเอง ข่มขืนทั้งที ทำไมมันน้อยจังเลย" 

"ยิ่งพอมานั่งศึกษามัน 33 ปีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย มันก็ต้องมีคนที่ลุกขึ้นสู้ และต้องทำตรงนี้ให้มันเปลี่ยนแปลงและปรับให้มันทันสมัยขึ้น ถ้าไม่มีประเด็นบางทีก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรค่ะ ประเทศไทยเรามักจะเป็นอย่างนี้”

บอกควรจะไปดูครูที่ประพฤติตัวไม่ดีต่อนักเรียน ดีกว่าจะมาจับจุดยิบๆ ย่อยๆ

“เรื่องที่ครูมาเล่นติ๊กต๊อกแล้วโดนวิจารณ์ อันนี้บุ๋มก็เห็นคุณครูหลายคนมาเล่นกับเด็ก ชวนเด็กเฮฮา แล้วเด็กรู้สึกรักคุณครูด้วยซ้ำไป แล้วเขาก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วม อยากไปเรียน บุ๋มว่าเดี๋ยวนี้ยุคมันเปลี่ยนไปแล้ว มองที่ความตั้งใจ มองที่ผลงานมากกว่ามองแค่การกระทำอยู่ไม่กี่อย่าง แล้วเอามาตัดสินคนทั้งคน บุ๋มว่ามันไม่ถูกต้อง ถ้าดูที่ผลงาน เขาทำงานได้ดี สอนหนังสือเด็กได้ดี ทำไมไม่มองในจุดนั้น มากกว่ามองในจุดยิบๆ ย่อยๆ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top