Sunday, 6 July 2025
NEWS

ครม.เคาะ!! ห้ามนำเข้าเศษพลาสติก 100% เริ่ม 68 ช่วยประเทศไทย ไม่เป็นถังขยะโลกอีกต่อไป

รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก คุมเข้ม 2 ปี สิ้นปี 67 ห้ามนำเข้าจากต่างประเทศ หวังปลดล็อกไทยเป็นที่รองรับขยะจากประเทศอื่น ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติกในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ (21 ก.พ.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบนโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและราคาเศษพลาสติกในประเทศ และเพื่อมิให้ประเทศไทยเป็นที่รองรับเศษขยะจากประเทศอื่น โดยให้กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว

นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

1.) เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร

2.) การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่เขตปลอดอากร (ในช่วงปี 2566-2567) โดยจะอนุญาตเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม 14 แห่งที่กำหนด ได้แก่ โรงงานทั้งหมดที่ใช้เศษพลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร นำเข้าไม่เกินความสามารถในการผลิตจริง รวม 372,994 ตันต่อปี สำหรับปีที่ 1 (2566) ให้นำเข้าปริมาณร้อยละ 100 ของความสามารถในการผลิตจริง, ปีที่ 2 (2567) ให้นำเข้าปริมาณไม่เกินร้อยละ 50 ของความสามารถในการผลิตจริงโดยการนำเข้าจะต้องมีมาตรการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้เกิดมลพิษในประเทศ เช่น เศษพลาสติกที่นำเข้าต้องแยกชนิดและไม่ปะปนกัน สามารถนาเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด ต้องใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น เป็นต้น

3.) การนำเข้าเศษพลาสติกในพื้นที่ทั่วไป (ในช่วงปี 2566-2567) ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่ไม่มีเศษพลาสติกในประเทศหรือมีปริมาณไม่เพียงพอ โดยมีหลักเกณฑ์ เช่น ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแสดงหลักฐานว่ามีความจำเป็นในการนำเข้าและไม่สามารถหาได้ในประเทศ, นำเข้าได้ในปริมาณที่สอดคล้องกับกำลังการผลิต, นำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบเท่านั้น (ไม่รวมถึงการคัดแยกหรือย่อยพลาสติก), สามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่ต้องทำความสะอาด

เจ้ากรมแพทย์ทหารบก และคณะ ตรวจเยี่ยมหน่วยสายแพทย์ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 พลโท วุฒิไชย อิศระ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก พลตรี ชูสิทธิ์ ศรีอุทโยภาส รอง เจ้ากรมแพทย์ทหารบก และคณะ ตรวจเยี่ยมหน่วยสายแพทย์ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน โดยมี พันเอก ชินวิช เจริญพิบูลย์ รอง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมให้การต้อนรับ มี พันเอก สุรังค์ วิทยาวงศรุจิ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน กล่าวรายงาน พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ให้การต้อนรับ พันเอก สุรังค์ วิทยาวงศรุจิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน กล่าวว่าที่ผ่านมา โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ได้รับการสนับสนุน ดูแล ให้คำแนะนำในทุกด้านอย่างดียิ่ง จากมณฑลทหารบกที่ 25 แพทย์ใหญ่ กองทัพภาคที่ 2 ทั้งนี้ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน มีความมุ่งมั่น ที่จะปฏิบัติตาม นโยบาย ของกองทัพบก และกรมแพทย์ทหารบก ซึ่งส่งผลให้ ผลการดำเนินการของหน่วย มีแนวโน้มดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ถึงแม้จะพบปัญหาอุปสักบ้าง 

ด้าน พลโท วุฒิไชย อิศระ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก กล่าวว่า การเดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ในวันนี้ ถือว่าเป็นการมาทำความรู้จักพบปะกำลังพลของโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน และได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานในการให้บริการผู้ป่วยและญาติ ทั้งมารับทราบปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานของกำลังพล ที่ผ่านมาโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน นับว่าเป็นหน่วยงานสายแพทย์ที่สำคัญ ที่ กองทัพบก และกรมแพทย์ทหารบก ได้ให้ความเชื่อมั่นตลอดมา ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ขอชื่นชมกำลังพล โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ทุกนายที่ช่วยกันพัฒนาโรงพยาบาล จนประสบผลสำเร็จ และได้รับรางวัลมากมาย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มารับบริการ รวมถึงประชาชนในจังหวัดสุรินทร์ และขอให้ทุกคนจงร่วมแรงร่วมใจแสดงออก ถึงความรักความสามัคคี มีความตั้งใจในการที่จะพัฒนาโรงพยาบาลให้เจริญรุ่งเรือง มีผลการปฏิบัติงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชน สำเร็จสมความมุ่งหมายของทางราชการและตามที่หน่วยเหนือกำหนดต่อไป 

'ไทย-ลาว' หารือ พัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ เสริมเสถียรภาพ กระชับความสัมพันธ์ครอบคลุมทุกมิติ

(23 ก.พ. 66) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ พลตรีพันแสง บุนพัน รองหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพประชาชนลาว (เทียบเท่าผู้บัญชาการทหารบก) ณ ห้องพระบารมีปกเกล้า ในศาลาว่าการกลาโหม

โดยพลเอกสนิธชนก ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวต้อนรับ รองหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพประชาชนลาว ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ในฐานะแขกของกองทับบก และยินดีที่จะได้ร่วมหารือ เพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น สำหรับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศนั้น มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในทุกมิติ อาทิ ความร่วมมือในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี, ความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ชายแดน, การเสริมสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคและภูมิภาค รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำรัฐบาล

ผบ.ตร.ร่วมพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง กว่า 20,000 กระบอก หลังคดีถึงที่สุด สั่งกำชับตำรวจเข้มมาตรการอาวุธปืนต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

วันที่ 23 ก.พ.66 เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานในพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์. ผบช.สกบ. พล.ต.ต.พงษ์พันธ์ วงศ์มณีเทศ ผบก.ภ.ระยอง เข้าร่วมพิธีเป็นสักขีพยาน ณ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง

การจัดพิธีในครั้งนี้ สืบเนื่องจากตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินมาตรการปราบปรามอาวุธปืนผิดกฎหมายทุกมิติ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว ได้สั่งการหน่วยระดมกวาดล้างจับกุม ขยายผล ทลายเครือข่ายอาวุธปืนผิดกฎหมาย รวมทั้งการลักลอบค้าปืนออนไลน์ พร้อมกำชับการจำหน่าย ทำลายอาวุธปืนของกลาง เพื่อป้องกันมิให้มีการนำเอาอาวุธปืนดังกล่าวกลับมาใช้ก่อเหตุในคดีอาญา หรือลักลอบจำหน่ายไปยังบุคคลไม่หวังดี ตกอยู่ในมือของคนร้าย รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนด้วย 

ผบ.ตร.จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบการทำลายอาวุธปืนของกลางซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ สำนักงานส่งกำลังบำรุง โดยกรมสรรพาวุธ สำรวจอาวุธปืนของกลางที่เก็บรักษาไว้ตามคำสั่งศาลเพื่อรอทำลาย  และให้สถานีตำรวจทั่วประเทศสำรวจอาวุธปืนของกลางตามระเบียบที่หน่วยงานระดับสถานีสามารถทำลายได้เองเพิ่มเติมอีกด้วย

โดยพิธีทำลายอาวุธปืนของกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นการนำเอาอาวุธปืนของกลางซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ริบเป็นของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว โดยถูกเก็บรักษาไว้ที่กองสรรพาวุธ แล้วขออนุมัติเพื่อจัดพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยจะใช้วิธีการทำลายผ่านเครื่องจักรบดอัดให้เสียสภาพ แล้วนำไปหลอมในเตาหลอมอุณหภูมิสูง เพื่อให้อาวุธปืนของกลางทั้งหมดสิ้นสภาพที่จะนำมาใช้งานได้ โดยในครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) สนับสนุนเครื่องจักรคุณภาพสูงในการหลอมโลหะด้วยอุณหภูมิสูง

สมาคมนักเรียนไทย-จีน ผุด ‘YOUNG BRI’ โครงการเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-จีนให้เติบโต

นายกสมาคมนักเรียนไทย-จีน เผย ส่งท้ายเดือนแห่งความรัก แนะนำโครงการทัศนศึกษาเชิงปฏิบัติการ 'YOUNG BRI' ซึ่งจัดโดยสมาคมนักเรียนไทย-จีน และได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 ก.พ. 66 

(23 ก.พ. 66) สำหรับงานดังกล่าว ได้มีพิธีเปิดซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 23 ก.พ. 66 เวลา 8.30 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ โดย นายสรวง สิทธิสมาน นายกสมาคมนักเรียนไทย-จีน เป็นผู้กล่าวต้อนรับนักเรียนนักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการ แนะนำที่มาและวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยกล่าวว่า 'YOUNG BRI' เป็นคำที่สื่อความหมายถึง 'คนรุ่นใหม่' และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม เทคโนโลยี ในระดับภูมิภาคที่คนไทยเรียกกันว่า 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' (BRI : Belt and Road Initiative : 一带一路)

นายกสมาคมนักเรียนไทย-จีน ยังกล่าวอีกว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ถือว่าเป็น "วัยรุ่นหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ซึ่งในภายภาคหน้าก็จะเติบโตเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งตรงกับอุดมการณ์ของสมาคมฯ ที่ว่า "เราคืออนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน"

หลังจากนั้นคุณ Fan Xuewei อุปทูตประจําสถานเอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทย ได้กล่าวเปิดงาน โดยได้แนะนำประวัติความเป็นมา และประโยชน์ของ BRI ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาครบรอบ 10 ปีแล้ว ค้าขายและพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม BCG Model รวมถึงผลประโยชน์ในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่เอื้ออำนวยต่อห่วงโซ่การผลิต

คุณ FAN XUEWEI ยังกล่าวอีกว่า "นักเรียน นักศึกษาที่รัก เยาวชนเป็นอนาคตและความหวังของการแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสองประเทศ ผมหวังว่าผ่านกิจกรรมในวันนี้และพรุ่งนี้ พวกคุณจะสามารถเพิ่มพูนความเข้าใจในวัฒนธรรมจีน มีความเข้าใจเกี่ยวกับ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกิดความสนใจและติดตามข้อมูลการพัฒนาในจีน แนะนำความสำเร็จของความร่วมมือจีน-ไทยให้กับคุณครูและนักเรียนที่อยู่รอบตัวคุณ และร่วมเป็นพลังสำคัญที่ส่งต่อ “จีน-ไทยครอบครัวเดียวกัน” จากรุ่นสู่รุ่น

กิจกรรมในวันแรก ได้รับการอำนวยการด้านสถานที่จากผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน คุณ Que Xiaohua ซึ่งได้กล่าวแนะนำศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นหมุดหมายของความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีน-ไทย ซึ่งเป็นศูนย์วัฒนธรรมแห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นในภูมิภาค ASEAN ซึ่งในวันนี้ได้จัดเตรียมสถานที่และกิจกรรม workshop มากมายไว้รองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ชงชาจีน วาดภาพจีน พู่กันจีน กู่เจิง และการห่อเกี๊ยวแบบจีน

ในช่วงของกิจกรรมนั้น มีการแบ่งกลุ่ม Workshop 5 กลุ่ม เวียนตาม 5 ฐานกิจกรรม ทั้งการชงชาสไตล์มังกร อ้อนไปด้วยเสียงกู่เจิง ระเริงร่ายพู่กันจีน ห่อเกี๊ยวแล้วกิน ฟินไปด้วยภาพวาดลายจีน จบท้ายด้วยการพาทัวร์หอสมุดสุดอลังที่เคยปรากฏบนจอสีมาหลายเรื่องเลยทีเดียว 

ในช่วงบ่ายของวันที่ 23 ก.พ. 66 เปลี่ยนบรรยากาศมาศึกษาดูงานด้านเทคโนโลยี กับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้มารู้จักกับเทคโนโลยี 5G แห่งโลกอนาคต สัมผัสความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจีน

สภาอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา จัดพิธีมอบรถวีลแชร์ให้กับคนพิการและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน115คัน

วันนี้ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ โรงแรมซันธารา เวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา นางสาวฉัตรประอร นิยม รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานพิธีมอบรถวีลแชร์ให้กับคนพิการและกลุ่มเปราะบางในจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นายจีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราและคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา

ม.อ. เปิดหลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ ที่แรกของภาคใต้ตอนล่าง มุ่งผลิตกำลังคนรองรับตลาดแรงงานด้านสปา

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ร่วมกับ ชมรมธุรกิจบริการสุขภาพภาคใต้ (ตอนล่าง) จัดงานแถลงข่าวเปิดหลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ 100 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกของภาคใต้ตอนล่าง เพื่อผลิตบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการบริการสปาและส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานด้านสปาของประเทศ โดยมี รศ. ดร.ศิริลักษณ์ บางโชคดี ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมด้วย ผศ. ดร.เชิดชัย อุดมพันธ์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ คุณภารรัฐ กรัณย์สุกสี รองประธานชมรมธุรกิจบริการสุขภาพภาคใต้ (ตอนล่าง) ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องประชุมใหญ่ 210 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ร่วมกับ ชมรมธุรกิจบริการสุขภาพภาคใต้ (ตอนล่าง) ได้จัดทำหลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ 100 ชั่วโมง (Spa manager) และยื่นหลักสูตร ไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และได้รับการรับรองหลักสูตรดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการบริการสปาและส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานด้านสปาของประเทศ โดยจะเปิดการอบรมหลักสูตร รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกของภาคใต้ตอนล่างในเดือนมีนาคม 2566 ณ อาคารศูนย์ศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ชั้น 8 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

หลักสูตรผู้ดำเนินการสปาเพื่อสุขภาพ 100 ชั่วโมง เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่บัดนี้ – 3 มีนาคม 2566 โดยจะอบรมตั้งแต่วันจันทร์ – เสาร์ (ระยะเวลา 15 วัน) ในรูปแบบ on-site ระหว่างวันที่ 13 – 18, 20 – 25 และ 27 – 29 มีนาคม 2566 ณ อาคารศูนย์ศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ชั้น 8 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

สำหรับคุณสมบัติของผู้เรียนต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือ สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งมีประสบการณ์ในการดำเนินงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ไม่น้อยกว่า 2 ปี และเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายและจิตใจไม่เป็นอุปสรรคต่อการอบรมและการปฏิบัติงาน

'ศักดิ์สยาม' ร่วมเปิดเส้นทางเดินรถเมล์ EV เพิ่ม 3 สาย ยกระดับการเดินทาง เพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน

(23 ก.พ. 66) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าอีก 3 สาย ประกอบด้วย สาย 3-36 ท่าเรือคลองเตย – ท่าเรือภาษีเจริญ สาย 3-44  ท่าเรือคลองเตย – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 3-55 ท่าเรือคลองเตย - พระราม 7 ภายใต้แนวคิด 'Thai Smile Bus Our Love Will Change The World รักเรารักษ์โลก' ณ สโมสรการท่าเรือแห่งประเทศไทย คลองเตย กรุงเทพมหานคร

ในงานนี้ นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป ได้เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเดือนแห่งความรัก ไทย สมายล์ กรุ๊ป ได้ขอมอบความรักความปรารถนาดีให้กับพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร โดยการ เปลี่ยนรถโดยสาร NGV ของบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป ให้กลายเป็นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100%

ซึ่งไทย สมายล์ กรุ๊ป มีเป้าหมายที่จะนำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาให้บริการ รวมทั้งสิ้นกว่า 3,100 คัน นับว่าเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดโลกร้อน และสามารถลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในเขตกรุงเทพมหาครและปริมณฑล ที่ปัจจุบันได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

วงเสวนา ย้ำ 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยลดผลกระทบทางสังคม ยกงานวิจัยเปรียบเทียบก่อนและหลังบังคับใช้กฎหมาย นักดื่มลดลง 2% เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยให้แก้กฎหมายเรื่องตราเสมือน ห้ามใช้สัญลักษณ์เดียวกัน

ส่วนการให้โฆษณาได้ยังเห็นต่าง หวั่นส่งผลให้คนดื่มมากขึ้น สื่อมวลชนเสนอห้ามข้าราชการเกษียณที่ทำงานด้านกำกับและจัดเก็บภาษีเป็นเจ้าหน้าที่ธุรกิจแอลกอฮอล์ เท่าพิภพย้ำ พร้อมผลักดันการแก้กฎหมายในสภา

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงแรมเอเซีย พญาไท มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับเครือข่ายสื่อสร้างสรรค์เพื่อการขับเคลื่อนสังคม ได้มีการจัดประชุมเสวนาระดมความเห็นเรื่อง “มองหลากมุม 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง” เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยมีนักวิชาการ ภาคีภาคประชาสังคมและนักการเมืองรวมทั้งสื่อมวลชน เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า ข้อมูลการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลกระทบเปรียบเทียบช่วงก่อนและหลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บังคับใช้ พบว่า สัดส่วนผู้บริโภคแอลกอฮอล์ในปี 2550 อยู่ที่ 30.0% ส่วนปี 2564 อยู่ที่ 28.0% ลดลง 2% โดยเพศชายลดจาก 52.3% เหลือ 46.4% หรือลดลง 5.9% ส่วนเพศหญิงกลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.7% เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มอายุ 15-19 ปี และอายุ 60 ปีขึ้นไป มีการดื่มลดลง ส่วนกลุ่มอายุ 20-49 ปี มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักคือน้อยกว่า 1% ในขณะที่ผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์เช่นเมาแล้วขับช่วงเทศกาลปีใหม่ ลดลงจาก 37.8% ในปี 2551 เหลือ 25.6% ในปี 2565 หรือลดลง 12.2% ส่วนเมาแล้วขับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ลดลงจาก 35.5% ในปี 2551 เหลือ 26.0% ในปี 2565 หรือลดลง 9.5%

นักวิจัยจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรากล่าวต่อว่าการมีกฎหมายฉบับนี้ส่งผลให้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงและยังช่วยลดผลกระทบจากปัญหาการเมาแล้วขับด้วย  ทั้งนี้ในการสำรวจความเห็นของประชาชนต่อมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใต้ พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยและสนับสนุนให้จำกัดสถานที่จำหน่ายถึง 94.5% จำกัดช่วงเวลาจำหน่าย 93.1% และจำกัดการโฆษณา 91% มีเพียง 5.5% ที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการจำกัดสถานที่จำหน่าย อีก 6.9% ไม่เห็นด้วยกับการจำกัดเวลาจำหน่าย และ 9% ไม่เห็นด้วยกับการจำกัดการโฆษณา อย่างไรก็ตามควรจะมีการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะปัจจุบันมีการเติบโตของโซเชียลมีเดียและการเกิดขึ้นของทุนขนาดเล็ก ซึ่งควรให้โอกาสได้เติมโต แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการในการควบคุมทุนแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่ให้มากขึ้น

ด้านนายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เมื่อ 15 ปีที่แล้ว แม้จะมีกลุ่มทุนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขนาดใหญ่เคลื่อนไหวคัดค้านการออกพ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ภาคประชาชน รวมถึงประชาชนกว่า 13 ล้านคน ได้ร่วมกันผลักดันจนกฎหมายออกมาบังคับใช้เมื่อปี 2551 เจตนารมณ์สำคัญคือการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ คุ้มครองสุขภาพประชาชน และลดผลกระทบทางสังคม สาระสำคัญนอกจากมีกลไกรับผิดชอบระดับนโยบายและปฏิบัติรวมทั้งมีสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วกฎหมายได้กำหนดสถานที่ห้ามขาย ห้ามขายให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและคนเมาครองสติไม่ได้  การจำกัดวิธีการขายและห้ามส่งเสริมการขาย การควบคุมการโฆษณา รวมถึงการบำบัดฟื้นฟูผู้ที่ติดสุราด้วย ส่งผลให้ลดจำนวนนักดื่มและจำกัดการดื่มให้อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม รวมทั้งการจำกัดการเข้าถึงทำให้เพิ่มพื้นที่ปลอดภัยต่อสังคมโดยรวม

อย่างไรก็ตามนายธีรภัทร์ ยอมรับว่า 15 ปีที่ผ่านมาแม้กฎหมายจะมีข้อดีหลายอย่างแต่ก็พบปัญหาในทางปฏิบัติที่ทุกฝ่ายต้องหาทางป้องกันแก้ไขต่อไป เช่น ธุรกิจแอลกอฮอล์ใช้ตราสัญลักษณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปโฆษณาสินค้าประเภทอื่นเช่นน้ำดื่ม โซดาหรือที่เรียกกันว่าตราเสมือน ทำให้คนนึกถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ดี  การขาดแนวปฏิบัติหรือเกณฑ์พิจารณาลักษณะผู้ซื้อที่เข้าข่ายเมาครองสติไม่ได้ การขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ยังพบได้ทั่วไปในร้านค้ารายย่อยและผับบาร์ รวมทั้งการเข้าถึงการบำบัดฟื้นฟูของผู้ติดสุรายังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ทันกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ยังคงรักษาเจตนารมณ์เดิมไว้อย่างเคร่งครัดไม่ทำให้กฎหมายอ่อนแอลง ซึ่งจากการพูดคุยกับกลุ่มผลักดันพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ก็พบจุดร่วมในหลายประเด็น เช่น การลดทุนผูกขาด การจัดการเรื่องตราเสมือนซึ่งเป็นความฉ้อฉลที่ทุนสุรารายใหญ่ได้เปรียบ รวมทั้งการอบรมผู้ขายให้มีทักษะมากขึ้น
 

‘ครุสภา’ ผุด!! กรอบแนวคิดมาตรฐานความรู้วิชาชีพครู อบรม 420 ชั่วโมง เสริมดีกรีแม่พิมพ์ฝึกหัดให้ทำงานได้

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 66) น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพควบคุมเป็นการชั่วคราว ให้มีมาตรฐานความรู้วิชาชีพเพื่อเป็นคุณสมบัติในการรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งการดำเนินงานนี้ มีเป้าหมายว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละสาขาวิชานั้น ๆ แต่ไม่ได้เรียนจบครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ สามารถเป็นครู และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 

ซึ่งที่ผ่านมา ทางคุรุสภาได้ยกเลิกหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือ ป.บัณฑิต ไปแล้ว ดังนั้นครุสภาได้ไปจัดทำหลักสูตรใหม่ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยสถาบันคุรุพัฒนา ได้จัดทำกรอบแนวคิดและมาตรฐานหลักสูตรอบรมมาตรฐานความรู้วิชาชีพครู จำนวน 7 โมดูล (Module) ดังนี้ 

1.) การเปลี่ยนแปลงบริบทของโลก สังคม และแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 
2.) จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการศึกษา และจิตวิทยาให้คำปรึกษาในการวิเคราะห์และพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ 
3.) เนื้อหาวิชาที่สอน หลักสูตร ศาสตร์การสอน และเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนรู้

ก.แรงงาน เยี่ยมสถานประกอบการ จ.ลำพูน ติดตามการตรวจคุ้มครองคนต่างด้าวป้องกันค้ามนุษย์ด้านแรงงาน

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 นางดรุณี นิธิทวีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดลำพูนตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่จ้างคนต่างด้าวทำงาน เพื่อตรวจคุ้มครองดูแลสิทธิแรงงานของลูกจ้างแรงงานต่างด้าวให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทย โดยมี นางสาวอัจฉราภรณ์ ยะสินธ์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล นายจิตติภูมิ  สัมพันธนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ไทย - นิจิ อินดัสทรี จำกัดผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลำพูน ให้การต้อนรับ ณ บริษัท ไทย - นิจิ อินดัสทรี จำกัด นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ตั้งอยู่เลขที่ 77 หมู่ 13 ต.มะเขือแจ้ อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการประเภทการผลิตขนมขบเคี้ยว ขนมกรุบกรอบ มีลูกจ้างทั้งสิ้น 464 คน เป็นแรงงานไทย 324 คน แรงงานต่างด้าว 140 คน

​นางดรุณี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน โดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย การลงพื้นที่จังหวัดลำพูนในครั้งนี้เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองเบื้องต้นการบังคับใช้แรงงาน หรือบริการและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว ตามมาตรฐานการปฏิบัติงานการตรวจคัดกรอง (SOP) รบ.1 ให้เป็นไปตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว รวมทั้งเพื่อตรวจติดตามการรายงานผลการตรวจคัดกรองเบื้องต้นจากการใช้มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ แบบ รบ.1 เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจะเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตาม NRM ตลอดจนรับทราบปัญหาอุปสรรค กระบวนการ วิธีการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน

'โครงการฝึกอบรมครูฝึก (ครู ก.)' สำหรับการฝึกทักษะยิงปืนให้แก่ข้าราชการตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานป้องกันปราบปราม สืบสวน และ จราจร ใน 'สถานีตำรวจ'

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 66 ที่สนามยิงปืน ศูนย์ฝึกอบรมยุทธวิธีตำรวจกลาง อ.หนองสาหร่าย จ.นครราชสีมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฝึกอบรมครูฝึก (ครู ก.) สำหรับการฝึกทักษะยิงปืนให้แก่ข้าราชการตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานป้องกันปราบปราม สืบสวน และ จราจร ในสถานีตำรวจ”

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากนโยบายของทางพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ที่ให้ ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะ ศักยภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนการได้รับการฝึกทบทวนการใช้อาวุธปืนประจำกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ สายงานป้องกันปราบปราม  สืบสวน และจราจร ซึ่งล้วนแล้วแต่มีภารกิจหน้าที่ที่จะต้องเข้าระงับยับยั้งเหตุซึ่งหน้าต่างๆ รวมถึงการปราบปราม และสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดความชำนาญในการใช้อาวุธปืนประจำกาย สามารถดูแลความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเกิดความปลอดภัยต่อตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น

โดยโครงการดังกล่าวจะมีการฝึกอบรมครูฝึกทั้งหมด จะประกอบด้วยกัน 3 ระยะ เรียกว่า ครู ก. , ครู ข. และ ครู ค. โดยครู ก คัดเลือกจากหน่วยระดับ กองบัญชาการ ประกอบด้วย บช.น. และ ภ.1-9 หน่วยละ 30 นาย รวมจำนวน 300 นาย,ครู ข คัดเลือกจากหน่วยระดับ กองบังคับการ และ ตำรวจภูธรจังหวัด ทุกจังหวัด  ทั่วประเทศ หน่วยละ 30 นาย รวมจำนวน 2,550 นาย และครู ค คัดเลือกจากสถานีตำรวจทั่วประเทศ 1,484 สถานีๆ ละ 2 นาย รวมจำนวน 2,968 นาย ซึ่งการฝึกอบรมในครั้งนี้ มีระยะเวลา 3 วัน จะเป็นการฝึกให้กับ ครู ก. ก่อน จากนั้น ครู ก. จะนำความรู้และทักษะไปขยายผลถ่ายทอดให้กับ ครู ข. และ ครู ค. ตามลำดับ ทั้งนี้หลังจากอบรมครูฝึกทั้ง 3 ระยะเสร็จสิ้น และนำไปฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจแล้ว จะเริ่มทำการฝึกทักษะการยิงปืนให้กับตำรวจทั่วประเทศได้พร้อมกัน ในช่วงเดือน พฤษภาคม ที่จะถึงนี้

CEO ปตท. ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในเวทีสุดยอดผู้นำ เน้นย้ำเป้าหมายขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในหัวข้อ ‘Supportive Measures, Innovation and Technology’ ในการอบรมหลักสูตร Climate Action Leaders Forum รุ่นที่ 2 โดยเน้นย้ำความตั้งใจของกลุ่ม ปตท. ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ให้เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ รวมถึงยกระดับมาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมสร้างคุณค่าต่อสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ผู้ตรวจฯ ก.แรงงาน ติดตามผลการปฏิบัติงานการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวจังหวัดลำพูน

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น. นางดรุณี นิธิทวีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลำพูน เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานและการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในจังหวัดลำพูน โดยมี นายวิชิต อินทรเจริญ ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางาน นายสมชาย เอื้อจารุพร ผู้ตรวจราชการกรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 3B ศูนย์ราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดลำพูน ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมแม่บ้านตำรวจ เดินหน้าสร้างความรู้ ทางการเงินและบริหารจัดการหนี้แก่ข้าราชการตำรวจต่อเนื่อง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินและการบริหารจัดการหนี้ โดยปี 2566-2569 เดินหน้าความร่วมมือภายใต้กรอบ 3 C คือ Cure แก้ไขเยียวยา Caution ป้องกัน และ Cultivate ปลูกฝังทักษะ มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้อย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งนักเรียนนายสิบตำรวจ นักเรียนนายร้อยตำรวจ ข้าราชการตำรวจ คู่สมรส และบุคคลในครอบครัวทั่วประเทศ หลังประสบความสำเร็จในการร่วมกันส่งเสริมความรู้ทางการเงินจนเกิดเป็นบุคคลต้นแบบการพัฒนาทักษะบริหารการเงินและจัดการหนี้

ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ เห็นพ้องที่จะดำเนินการขยายผลและสร้างพื้นที่เรียนรู้ด้านการวางแผนการเงิน การออมต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ร่วมกันส่งเสริมความรู้มาตั้งแต่ปี 2564 ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยแผนดำเนินการในปี 2566-2569 จะทำภายใต้กรอบ 3 C ได้แก่ 1. Cure การแก้ไขเยียวยา โดยให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงินและการบริหารจัดการหนี้ แก่กลุ่มข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ 2. Caution การป้องกัน โดยให้ความรู้ทั้งก่อนและระหว่างการเป็นผู้กู้ แก่กลุ่มสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ โดยใช้ SET e-Learning series 'รู้สู้หนี้' 3. Cultivate การปลูกฝังทักษะด้านการเงินและการลงทุนที่ถูกต้อง ให้แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจ นักเรียนนายสิบตำรวจ ข้าราชการตำรวจ คู่สมรส และบุคคลในครอบครัว รวมถึงการสร้างบุคคลต้นแบบระดับกองบัญชาการ 1 โรงพัก 1 บุคคลต้นแบบ โดยใช้โมเดล 'Happy Money in Action' เพื่อนำไปสู่วัฒนธรรมด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนทั้งในระดับบุคคลและองค์กรได้อย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top