Friday, 4 July 2025
NEWS

แจ้งเกิด! ‘3 กระทิงหนุ่มดาวรุ่ง’ ความหวังใหม่ของทีมชาติสเปน

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

คู่แรกรอบรองชนะเลิศจบลงไป ได้ทีมที่เข้าไปยืนรอในรอบชิงชนะเลิศยูโร 2020 เรียบร้อย นั่นก็คือ ทีมชาติอิตาลี ที่ผ่านทีมชาติสเปนมาได้ จากการเอาชนะการดวลจุดโทษ หลังจากที่เสมอกันในเวลา 120 นาที ด้วยสกอร์ 1-1

อิตาลีเข้าไปรอชิงก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่สำหรับผู้พ่ายแพ้อย่างสเปน ต้องบอกว่า เป็นผู้แพ้ที่ไม่ควรเสียอกเสียใจแต่อย่างใด เนื่องจากฟอร์มการเล่นของสเปนเมื่อคืนนี้ จัดว่าดูดี เผลอ ๆ จะดูดีกว่าอิตาลีด้วยซ้ำไป!

สเปน ในการทำทีมของหลุยส์ เอ็นรีเก้ ผู้เป็นเฮดโค้ช วางแผนการเล่นมาอย่างดี รู้ว่าอิตาลีเป็นฟุตบอลที่ต้องมีเวลาและพื้นที่ในการเล่น สเปนจึงวางแผนมาเล่นเกมเพรสซิ่ง หรือการบีบพื้นที่ให้นักเตะอิตาลีเล่นบอลง่าย ๆ ในทางกลับกัน สเปนก็ใช้ทักษะความสามารถของนักเตะในทีม สร้างสรรค์เกมขึ้นไปบุกใส่อิตาลีได้เป็นระยะ

แต่ผลสุดท้าย ต้องเรียกว่า แพ้โชค แพ้ความนิ่ง จึงทำให้สเปนพลิกตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สเปนได้กลับคืนมาคือ ประสบการณ์ของนักเตะชุดนี้ ที่จะสร้างความแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต

อย่างที่ทราบกันดี สเปนทีมนี้เป็นกระทิงหนุ่มที่รวมตัวกันมาสู้ศึกยูโรหนนี้ และสามารถทำผลงานได้ดี โดยเฉพาะ 3 ดาวรุ่ง ได้แก่ ดานี่ โอลโม่ มิดฟิลด์วัย 23 ปี จากทีมแอร์เบ ไลป์ซิก, มิเกล ออยาร์ซาบาล กองหน้าวัย 24 ปี จากสโมสรเรอัล โซเซียดาด และเปดรี้ เพย์เมกเกอร์ วัยแค่เพียง 18 ปี จากสโมสรบาร์เซโลน่า

ทั้ง 3 คนนี้เด่นมากในเกมอิตาลี สร้างความหวือหวาในเกมรุกของสเปนได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่สุดท้ายขาดลูกทีเด็ดทีขาด จึงทำให้สเปนทำประตูเพิ่มไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่สร้างโอกาสในการทำประตูได้มากกว่าอิตาลีอย่างชัดเจน

แต่ทุกอย่างจบไปแล้ว แม้จะมาได้แค่รอบรองชนะเลิศ แต่อย่างที่บอกไป นักเตะดาวรุ่งเหล่านี้ ได้ประสบการณ์เกมระดับท็อปกลับบ้านไปเพียบ ปีหน้าฟุตบอลโลกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ใครที่ว่าสเปนหมดยุคสตาร์ดังอย่าง ชาบี, อิเนียสต้า, บีญ่า, ตอร์เรส คงต้องรอเวลาสร้างทีมเพื่อกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกนาน อันนี้เห็นทีอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่

เพราะ ‘กระทิงหนุ่ม’ เหล่านี้ ทำให้เห็นแล้วว่า สเปนกำลังจะกลับมาในไม่ช้านี้แล้ว...


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กองบัญชาการตำรวจนครบาล รายงานกรณีเหตุ ‘เพลิงไหม้โกดังน้ำหอมภายในนิคมฯ ลาดกระบัง’

จากากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ บริษัท ฟลอรอล แมนูแฟคเจอริ่ง กรุ๊ป ภายในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โซน 3 ถนนฉลองกรุง เขตลาดกระบัง เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 เวลาประมาณ 18.18 น.

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ ศปก.สน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดูและความสงบเรียบร้อยแก่พี่น้องประชาชน

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เป็นผู้ควบคุมสั่งการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 นำโดย พล.ต.ต.อรรถวิทย์ สายสืบ ผบก.น.3, พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ วงษ์หอมหวน ผกก.สน.ฉลองกรุง, พ.ต.ท.สุรสิทธิ์​ หวังดี​ รอง​ ผกก.สอบสวน​ สน.ฉลองกรุง​ นำทีมพนักงานสอบสวน​ รวม​ 5​ นาย​ ลงพื้นที่​ ตรวจสถานที่เกิดเหตุ​ ​

โดยได้ตั้ง ศปก.สน. ที่ห้องประชุมโรงงาน(2)ของ บริษัทฮอนด้า ซึ่งอยู่ตรงข้ามที่เกิดเหตุโดยมี พล.ต.ต.อรรถวิทย์ สายสืบ ผบก.น.3 เป็นผู้บริหารเหตุการณ์ ประกอบด้วย รอง ผบก.น.3, ผกก.สน.ฉลองกรุง และหัวหน้าสายงานทุกสายงานของ สน.ฉลองกรุง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่นิคมอุตสาหกรรม

หัวหน้าชุดผจญเพลิงของ บริษัท ฮอนด้า และ ศปภ.กทม. เป็นเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ร่วมกันวางแผน, สืบสวนสอบสวนที่เกิดเหตุ สรุปสถานการณ์ โดยมี พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่า กทม., ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ผอ.นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และ ผอ.เขตลาดกระบัง พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ฉลองกรุง จำนวน 20 นาย ได้เข้าร่วมกันรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรภายในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงพร้อมกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง/กู้ภัย/รถพยาบาล โดยอำนวยความสะดวกให้เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุดและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุและใกล้เคียงที่เกิดเหตุรับทราบ

ทั้งนี้ หลังจากเหตุเพลิงสงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานและพนักงานสอบสวน สน.ฉลองกรุง เข้าพื้นที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบสาเหตุการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นกลุ่มควันที่เกิดจากเพลิงไหม้ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่เป็นพิษต่อพี่น้องประชาชนแต่อย่างใดและสามารถเข้าพักอาศัยได้เป็นปกติ ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและจะรายงานผลให้ทราบต่อไป

'กัญชง' ว่าที่อนาคตวัสดุศาสตร์ไทย พบเส้นใย 'แข็งแรง' กว่าใยไฟเบอร์กลาส เตรียมใช้ประโยชน์ด้านอากาศยานและอวกาศ

แม้ 'กัญชา' จะเป็นว่าที่พืชเศรษฐกิจใหม่ที่หลาย ๆ คนกำลังให้ความสนใจและตื่นตัวมาก แต่ยังมีพี่น้องอย่าง 'กัญชง' (Hemp) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกัญชาในด้านลักษณะทางพฤกษศาสตร์ แต่ 'ไม่ใช่พืชที่เป็นสารเสพติดเหมือนกัญชา' ที่กำลังได้รับความสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะตอนนี้มีการค้นพบครั้งสำคัญสำหรับเจ้าใบ 'กัญชง' ที่นำไปต่อยอดประโยชน์ในการทำเส้นใยได้อีกด้วย

ดร.ดำรงค์ฤทธิ์ เนียมหมวด ปฏิบัติงานรองผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า คุณสมบัติข้อมูลการผลิตและทดสอบเส้นใยไฟเบอร์ ที่ทำจากใยกัญชงเทียบกับใยไฟเบอร์กลาส ผลการทดสอบออกมาว่า เส้นใยกัญชงมีความแข็งแรงกว่าใยไฟเบอร์กลาส 25-30% เทียบต่อน้ำหนัก ทำให้ลดการใช้พลังงานได้ และที่สำคัญมีคุณสมบัติดูดกลืนเสียงได้ดีด้วย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเอามาผลิตเป็นชิ้นส่วนประกอบของดาวเทียมที่จะผลิตเองในประเทศ

โดยชิ้นส่วนประกอบของดาวเทียมที่สนใจ คือ โครงสร้างที่รองรับแผงโซล่าเซลล์ของดาวเทียม เนื่องจากแผงตัวนี้ ต้องการความเบาและมีความแข็งแรงทนทานสูง รวมถึงการสั่นสะเทือนของตัวดาวเทียมอีกด้วย หลังจากประสบความสำเร็จ พัฒนาผู้ประกอบการไทยในการผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมดวงเล็ก ภายใต้โครงการ THEOS-2 มาแล้ว

ทั้งนี้จากผลการทดสอบ Tensile Strength มีความแข็งแรงกว่าที่เห็นชัดเจนคือ Bending Strength มากกว่าไฟเบอร์กลาสถึง 30-35% ทีเดียว

ดังนั้น ในอนาคตการใช้ประโยชน์จากใยกัญชงในรูปแบบของวัสดุคอมโพสิท FRP (Fiber Reinforced Polymer) จะเริ่มที่ชิ้นส่วนภายในอากาศยานก่อน หรือใช้ผลิตโครงสร้างทั้งหมดของโดรน ทั้งโดรนเชิงพาณิชย์ และโดรนเชิงความมั่นคง หรือโครงสร้างอากาศยานทางทหารที่เป็นเทคโนโลยีล่องหน จากคุณสมบัติดูดซับคลื่นเสียงที่ดี (ต้องมีการผลิตทดสอบในหลาย ๆ ความถี่ เช่น VHF, UHF, L-Band, S-band, X-band) หรือใช้ลดการแพร่กระจายรังสีจากเครื่องยนต์ของยานยนต์ทางทหารต่าง ๆ เพื่อลดการตรวจจับด้วยกล้องรังสีความร้อน เป็นต้น ซึ่งหากสามารถทำได้จะช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการปลูก แปรรูป และอุตสาหกรรมต่อเนื่องเกิดการขยายตัว และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน GISTDA ได้เริ่มนำใยกัญชงมาทดสอบหาคุณสมบัติ ทั้งด้านความแข็งแรง ทนทาน ด้านความถี่ ด้านอุณหภูมิ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านโครงสร้างของอากาศยานไร้คนขับ หรือชิ้นส่วนภายในเครื่องบิน ซึ่ง GISTDA มีพาร์ทเนอร์ด้านนี้อยู่แล้ว หรือหากมีคุณสมบัติที่เข้ากันได้กับการใช้งานบนอวกาศ ก็เป็นไปได้ที่จะนำไปใช้เป็นชิ้นส่วนในดาวเทียมดวงต่อ ๆ ไป ที่เกิดขึ้นจากการสร้างโดยฝีมือคนไทย โดยสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในขั้นตอนต่อไป คือ การค้นหา และพัฒนาผู้ประกอบการ ที่มีศักยภาพพอที่จะผลิตเส้นใยธรรมชาติ ให้ขึ้นไปถึงเส้นใยไฟเบอร์สำหรับวัสดุคอมโพสิทให้ได้ต่อไป

ดร.ดำรงค์ฤทธิ์ กล่าวเสริมว่า "ยังไม่เห็นประเทศไหนในภูมิภาคอาเซียนที่มีการนำเส้นใยกัญชงมาใช้ในอุตสาหกรรมด้านอวกาศมาก่อน แต่ถ้าเป็นในเอเชียที่ใกล้เคียงที่สุดก็จะเป็นญี่ปุ่น ที่จะสร้างดาวเทียมโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การนำเส้นใยกัญชงมาผลิตเป็นวัสดุชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมอวกาศจะต้องใช้เส้นใยกัญชงในปริมาณมากพอสมควร แต่ก็น่าจะเพียงพอกับปริมาณที่มีการปลูกภายในประเทศ"

ยิ่งไปกว่านั้นจะช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการปลูก แปรรูป และอุตสาหกรรมต่อเนื่องของกัญชง เกิดการขยายตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ถึงบรรทัดนี้ หลายคนอาจจะยังมีคำถามค้างคาว่า 'อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ' จะนำเส้นใยกัญชง มาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมนี้ได้จริง หรือแค่คอนเซ็ปต์?

...บอกได้เลยว่า 'จริง' และเป็นไปได้ เพราะว่ามีการผลิตเครื่องบินเล็กจาก 'เส้นใยกัญชง' เครื่องแรกของโลกเมื่อปี 2557 โดย Derek Kesek ชาวแคนาดา เจ้าของบริษัท Hempearth ทำให้เรื่องนี้ได้รับการพูดถึงในวงกว้าง และหลายส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอวกาศยานก็กำลังจับตาอย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินการวิจัยและพัฒนากันอย่างจริงจัง

และบริษัท Hempearth เอง ก็ได้พัฒนาเจนเนอเรชั่นใหม่ของเครื่องบินเล็กจากเส้นใยกัญชง โดยที่นั่งและหมอนไปจนถึงผนังเครื่องบิน ทำจากกัญชงทั้งหมด เมื่อจับคู่กับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันกัญชง ก็จะกลายเป็นการผลิตเครื่องบินที่ยั่งยืนโดยปราศจากสารพิษ และเมื่อเทียบกับวัสดุอากาศยานแบบดั้งเดิม เช่น อลูมิเนียมหรือใยแก้วจะเบากว่า ส่งผลให้ใช้เชื้อเพลิงน้อยลงระหว่างการเดินทาง รอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) จึงต่ำกว่าการผลิตแบบดั้งเดิมอย่างมาก

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมดาวเทียมภายในประเทศไทย ยังเติบโตไม่มากนัก แต่ก็มีกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมหลายรายแล้ว หากเรากระตุ้นและสร้างโอกาสให้กับพวกเขาจากสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายในประเทศได้ ก็จะเกิดเป็น demand ในอนาคตมากพอสมควร ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำได้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้ใช้และผู้ทำระบบ ก็สามารถหาวัตถุดิบในประเทศได้เอง

ดูท่า 'กัญชง' อาจกลายเป็นอนาคตด้านวัสดุศาสตร์ของประเทศอีกแขนงหนึ่งเลยก็ว่าได้

 

ที่มา: https://www.facebook.com/1233859410089681/posts/2167271190081827/


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ เกี่ยวกับการจัดสรรและให้วัคซีนแก่กลุ่มบุคคลที่เร่งด่วน

นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ เกี่ยวกับการจัดสรรและให้วัคซีนแก่กลุ่มบุคคลที่เร่งด่วนต่อจากนี้ว่า...

เห็นที่อาจารย์คุณหมอนิธิ ท่านเขียนถึงกรณีวัคซีนเข็มที่สาม สำหรับบุคลากรแพทย์และพยาบาล ว่า ในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกเช่นนี้นั้น

ก็ควรจะใช้วัคซีนในการฉีดเข็มแรกให้กับประชาชนทั่วไปก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อลดการป่วยหนักของบุคคลทั่วไปได้ ก็จะลดภาระของแพทย์พยาบาลได้เป็นอย่างมากเช่นกัน

ซึ่งก็เป็นแนวความคิด ที่ทั้งได้รับการชื่นชมและก่นด่า กลายเป็นประเด็นวิวาทะทางสังคมไปอีกหนึ่งประเด็น

สำหรับผมนั้น หลังจากวิเคราะห์ทั้งสองแนวทางแล้วก็เห็นว่า

ควรให้เข็มที่สามแก่ บุคลากรแพทย์และพยาบาล ที่ทำงานด่านหน้า ต้องเฝ้ารักษาและใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิดโดยตรง

เพื่อให้ท่านเหล่านั้น ได้รับภูมิคุ้มกันเพิ่มมากที่สุด ลดโอกาสติดเชื้อให้น้อยที่สุด ช่วยให้ท่านเหล่านั้นได้ทำงานเสียสละได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง และไม่เสียกำลังใจ

แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องฉีดวัคซีนเข็มที่สามให้กับแพทย์และพยาบาลทุก ๆ คน

เพราะแพทย์และพยาบาลส่วนมากนั้น ก็ทำงานแผนกอื่น ๆ ที่ไม่ได้เสี่ยงต่อการติดโควิด มากกว่าประชาชนคนทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงเลย

ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ได้ทำงานกับผู้ป่วยโควิดโดยตรง แต่มีความเสี่ยงทางอ้อมอื่น ๆ ก็พิจารณาเป็นกรณีแต่ละแผนกไป

แล้ววัคซีนที่เหลืออีกมากมายหลายแสนโดสของไฟเซอร์ และวัคซีนอื่น ๆ อีกหลาย ๆ ล้านโดส จะฉีดเป็นเข็มแรก ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อลดโอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิต ก็ยังเหลือเพียงพอที่จะทำได้ต่อไปเหมือนเดิม

การฉีดเข็มที่สามให้แพทย์และพยาบาลที่เสี่ยงกับหน้างานที่สุดนั้น จริง ๆ ไม่ได้ใช้จำนวนวัคซีนที่มากอย่างที่เข้าใจ และไม่ใช่เรื่อง 'เห็นแก่ตัว' ที่จะฉีดให้พวกท่านทุก ๆ คนที่เสียสละที่สุด เสี่ยงอันตรายที่สุดตรงนั้น

และหากฉีดกันไปเฉย ๆ โดยไม่สร้างประเด็นใด ๆ ทางสังคมแล้ว

ก็เกือบไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร กับจำนวนวัคซีนที่ประชาชนทั่วไปจะได้เข็มที่หนึ่งเลยนะครับ

 

 

ที่มา: https://www.facebook.com/100001064693827/posts/4391116104267169/


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ชื่อใหม่เชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเปลี่ยนการเรียกชื่อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ โดยใช้ตัวอักษรกรีกเป็นชื่อเรียกไวรัสแทน

โดยการเรียกชื่อใหม่ครอบคลุมทั้งไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกกังวล (VOCs) จำนวน 4 สายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์อื่น ๆ ที่อยู่ในรายชื่อที่องค์การอนามัยโลกกำลังให้ความสนใจ หรือต้องจับตา (VOIs)

การชื่อเรียกใหม่ของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ดังกล่าว ไม่ใช่การแทนที่ชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่แล้ว แต่เป็นการตั้งชื่อเพื่อการสื่อสารที่ง่ายขึ้น เนื่องจากชื่อวิทยาศาสตร์อาจสื่อสารได้ยากและอาจทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อน อีกทั้งยังเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศที่ตรวจพบ ได้รับผลกระทบจากการถูกตั้งเป็นชื่อของไวรัสนั่นเอง


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ยิ่งลักษณ์’ โพสต์ห่วงสุขภาพจิตคนไทยช่วงโควิ-19 วอนรัฐใส่ใจ สร้างนโยบายเชิงรุกเก็บ-สร้างฐานข้อมูลสุขภาพจิตของคนไทย

‘ยิ่งลักษณ์’ โพสต์ห่วงสุขภาพจิตคนไทยช่วงโควิ-19 วอนรัฐใส่ใจ สร้างนโยบายเชิงรุกเก็บ-สร้างฐานข้อมูลสุขภาพจิตของคนไทย

จากสถานการณ์บ้านเมืองของเราในช่วงนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามากดดัน ทั้งปัญหาปากท้อง การระบาดของโควิด-19 ปัญหาวัคซีนที่ยังไม่ครอบคลุม รวมไปถึงสถานการณ์ระเบิด และเพลิงไหม้ ส่งผลให้ดิฉันเป็นห่วงความรู้สึกและสภาพจิตใจของคนไทย อีกทั้งการบริหารงานของรัฐบาลที่ผิดพลาดสับสน ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจค่ะ ในปีที่แล้วอัตราการฆ่าตัวตายต่อประชากร 1 แสนคน สูงถึง 7.37 คน ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้

อยากเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน หันมาให้ความสนใจกับปัญหาสุขภาพจิตคนไทยให้มากขึ้น รัฐบาลต้องวางตัวจากการเป็นผู้มีอำนาจแล้วลองไปนั่งในหัวใจประชาชน เพื่อจะได้สัมผัสถึงความเดือนร้อนของพวกเขาว่าหนักหนาสาหัสเพียงไหน 

รัฐบาลต้องมีนโยบายเชิงรุกเช่น เก็บ และสร้างฐานข้อมูลสุขภาพจิตของคนไทยเพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยง เช่น แรงงานที่ตกงาน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่ต้องปิดกิจการ ซึ่งล้วนมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป การมีฐานข้อมูลที่ชัดเจน จะทำให้การติดตาม ดูแล เยียวยาทำได้ตรงจุด ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจค่ะ

ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่กำลังผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ ให้มีพลังลุกขึ้นมาเผชิญกับทุกปัญหาอย่างมีความหวัง และขอให้ทุกคนช่วยกันดูแลจิตใจคนรอบข้าง มอบรอยยิ้มและกำลังใจให้แก่กันและกัน อย่าเพิ่งท้อนะคะ

ที่มา : https://www.facebook.com/105044319540032/posts/4512064548837965

เกษตรฯ เร่งแก้ปัญหาโรคระบาดสัตว์ หลังครม.ไฟเขียวงบให้

นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมครม.มีมติอนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า เป็นเงินทั้งสิ้น 140,277,426 บาท ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมแผนการดำเนินการไว้พร้อมดำเนินการทั้งหมดแล้ว 

ทั้งนี้ในส่วนแรก คือ ค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า ประกอบด้วย ค่าชดใช้ราคาสุกรที่ถูกทำลาย ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2564 ตามมาตรา 13 (4) แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 จำนวนเงิน 93,772,226 บาท ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินตามกฎกระทรวงกำหนดค่าชดใช้ราคาสัตว์ที่ถูกทำลายอันเนื่องจากเป็นโรคระบาดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคระบาดหรือสัตว์หรือซากสัตว์ที่เป็นพาหะของโรคระบาด พ.ศ. 2560 ส่วนที่ 2 คือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับการเฝ้าระวังโรคตรวจวินิจฉัยและทำลายเชื้อโรคหรือซากสัตว์ จำนวนเงิน 46,505,200 บาท 

นอกจากนี้ ครม.ณะรัฐมนตรียังมีมติอนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค กระบือ ตามข้อมูลที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ในวงเงินงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น 684,218,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมโรคลัมปี สกิน ในโค กระบือ แยกเป็น

1.) ค่าตอบแทนอาสาปศุสัตว์ จำนวน 14,510,000 บาท

2.) ค่าจัดซื้อวัคซีนโรคลัมปี สกิน จำนวน 5,000,000 โดส เป็นเงิน 230,138,000 บาท

3.) ค่าจัดซื้อเวชภัณฑ์เพื่อการฆ่าเชื้อในฟาร์มและพาหนะในการเคลื่อนย้ายสัตว์ จำนวน 24,000,000 บาท

4.) ค่าจัดซื้อเวชภัณฑ์เพื่อการรักษาโค กระบือ จำนวน 200,000 ตัว เป็นเงิน 361,000,000 บาท และเพื่อการฟื้นฟู บำรุงสุขภาพสัตว์เลี้ยงของเกษตรกร จำนวน 200,000 ตัว เป็นเงิน 39,800,000 บาท

และ 5.) ค่าวัสดุวิทยาศาสตร์เพื่อการแพทย์ สำหรับการเก็บตัวอย่าง ฉีดวัคซีนและรักษาเป็นเงิน 14,770,000 บาท

นายกไก่ควงผู้ว่าฯ ดูสถานที่จัดทำโรงพยาบาลสนาม อำเภอบ้านโพธิ์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด-19

วันที่ 7 กรกฎาคม 2564 เวลา 9.30 น. นายกไก่ กิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ลงพื้นที่ร่วมกับ นายไมตรี ไตรติลานันทน์ผวจ.ฉะเชิงเทรา พร้อมคณะทำงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมของสถานที่จัดทำโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 3 ของจังหวัดฉะเชิงเทรา 

โรงพยาบาลสนามซึ่งมีขนาดพื้นที่ประมาณ 12,000 ตารางเมตร อยู่ห่างจากชุมชน สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 500-1,000 คน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่คาดว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดในกลุ่มสถานประกอบการ ชุมชน และแคมป์คนงาน     

ทั้งนี้ ได้ทำการสำรวจสถานที่เพื่อเตรียมการติดตั้งระบบไฟฟ้า น้ำประปา ห้องน้ำ และระบบการสื่อสาร ซึ่งในส่วนของการปรับปรุงพื้นที่ องค์การบริการส่วนจังหวัดฉะเชิงเทราให้การสนับสนุนเครื่องจักรกล คนงาน และงบประมาณ สำหรับระบบสาธารณูปโภค ได้รับการสนับสนุนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคฉะเชิงเทรา การประปาฉะเชิงเทรา องค์การโทรศัพท์ฉะเชิงเทรา รวมทั้งการดำเนินงานด้านอื่น ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาคเอกชน


ภาพ/ข่าว  สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ / ฉะเชิงเทรา

'กนก' เดือด!! อัดยับ!! นักธุรกิจในคราบหมอ กลืนเลือดเหยียดซิโนแวคเป็นวัคซีนเกรดซี พร้อมรวมหัวสื่อเพจร่วมโหมโรง

กนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul Fan Page ระบุว่า...

เมืองไทยมีคนด่ามากกว่าทำ แล้วด่าคนทำที่เป็นหมอ ที่แย่คือ ด่าในสิ่งที่หมอไม่ได้ทำ

จากกระแสด่า 3 อาจารย์หมอ (หมอยง, หมอทวี, พญ.กุลกัญญา) หาว่าท่านเชียร์ให้รัฐบาลซื้อซิโนแวค...ทั้งที่ท่านไม่ได้เชียร์

ท่านให้ข้อมูลในแง่วิชาการ หลักการฉีดวัคซีนว่า ฉีดอย่างไรจึงปลอดภัย ห่างกันเท่าไหร่ ฯลฯ

ตอนนี้บ้านเมืองของเรา มันมีสื่อบางช่อง ร่วมกับหลายเพจ มักนำเสนอด้อยค่าซิโนแวค ชวนให้คนเข้าใจรัฐบาลผิดว่า ไม่เอาวัคซีนเกรดเอ มาฉีดให้คนไทย

ล่าสุดก็หมอชื่อธัมมะธัมโมคนหนึ่ง ไปออกสื่อว่ารัฐกันท่า จนเขายังไม่ได้วัคซีนทางเลือกมาหากิน รู้ทั้งรู้ว่า เจ้าของวัคซีน จะขายให้ผ่านหน่วยงานรัฐเท่านั้น

รัฐก็ไม่ได้กีดกัน ทางบริษัทวัคซีนเองต่างหาก ไม่มีของ เหมือนอินโดฯ สั่ง 50 ล้านโดส..ยังไม่ได้สักโดส, มาเลย์สั่ง 50 ล้านโดส...ได้มา 4 ล้าน

ฟิลิปปินส์สั่ง 40 ล้าน ไทยสั่ง 20 ล้าน...ยังไม่ได้เหมือนกัน

หมอคนนี้ พูดเหยียดวัคซีนซิโนแวค เป็นวัคซีนเกรดซี ทั้งที่เมื่อเดือนมกราคม ปีนี้ ตอนที่เรายังไม่เริ่มฉีดสักโดส หมอชื่อดีคนเดียวกันนี่แหละ...ไปออกสื่อย่านบางนา ยกยอซิโนแวคว่า 'เลิศเลอเพอร์เฟค' เป็นวัคซีนเกรดเอ เพราะจีนทุ่มทุนมหาศาล

คือตอนนั้น เขาบอกเองว่า ติดต่อทางจีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว กะสั่งมาฉีดผ่าน รพ.ของตน พอรัฐบาลเอาซิโนแวคมาฉีดให้ประชาชนฟรี ๆ ตัวเองก็เลยต้องยอมกลืนเสลด หันไปบิ้วตัวอื่นแทน แล้วเหยียดซิโนแวคเป็นวัคซีนเกรดซี

นี่แหละ นักธุรกิจในคราบหมอ !!

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=359730265521826&id=100044545655669

https://www.thaipost.net/main/detail/108764


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กตู่” สั่งดูแลทหารบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใต้ 

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวทหารที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่หมู่บ้านสันติสุข บ.ลางา ต.บ้านนา อ.จะนะ จว.สงขลา เมื่อคืน 6 ก.ค.64 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้กำลังพลของชุดปฏิบัติการ ร้อย.ร 2531 ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยและสนับสนุนดูแลควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่หมู่บ้านลางา เสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 3 นาย 

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการ กองทัพบก โดย กอ.รมน.ภาค 4 เข้าช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งช่วยเหลือดูแลครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตและสนับสนุนจัดพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ  พร้อมทั้งให้เร่งตรวจสอบพยานหลักฐาน ติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว ทั้งยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังและสร้างความเข้าใจกับประชาชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อร่วมกันดูแลความปลอดภัยและมาตรการควบคุมโรคที่กำลังแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ไปพร้อมกัน

'แม็ค' กฤตธัช CEO แห่ง NovyDrone ผู้ใช้โดรนกู้ภัย บินหาจุดปิดวาล์วระงับเพลิงหมิงตี้

จากกรณีไฟไหม้โรงงานหมิงตี้ ชื่อของ NovyDrone เริ่มถูกพูดถึง หลังมีบทบาทในการนำ Drone ติดตั้งกล้อง อุปกรณ์ บินสำรวจ หาจุด วาล์วปิดถังสารเคมี และทำให้การดับเพลิง ได้สำเร็จ โดยเฟซบุ๊ก Kamron Pramoj ได้เผยข้อมูลผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจ้า NavyDrone ว่า...

น่าชื่นชม เด็กแบบนี้ นี่สิ ตัวอย่างอนาคตของชาติ

จากกรณีไฟไหม้โรงงานหมิงตี้ ชื่อของ NovyDrone เริ่มถูกพูดถึง หลังมีบทบาทในการนำ Drone ติดตั้งกล้องอุปกรณ์ บินสำรวจ หาจุดวาล์วปิดถังสารเคมี และทำให้การดับเพลิงได้สำเร็จ แม้แต่ลุงตู่ยังชื่นชม

NovyDrone เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นจาก Start up ในการเป็น Drone ด้านการเกษตร และมาเป็น Drone กู้ภัย ส่วน CEO ของ NovyDrone คนหนึ่งนั้นก็คือ “แม็ค” กฤตธัช สาทรานนท์ นักแสดง และนายแบบโฆษณา คนรุ่นใหม่ อายุน้อย ที่มีดีกรี FRESHY BOY 2014

น้องแม็ค จบ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (FIBO)

ก่อนหน้านั้น สมัยเด็ก ๆ น้องแม็ค เรียนจบจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี สนใจเรื่องหุ่นยนต์มาก จึงเข้าร่วมชมรมและแข่งขันประกวดตามสนามต่าง ๆ จนได้รางวัล และชอบเครื่องบินบังคับ และเคยอยากเป็นนักบิน กองทัพอากาศ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความคิดเริ่มเปลี่ยนมาชอบทางด้านธุรกิจเทคโนโลยี

คงเป็นเพราะคุณพ่อเป็นทหาร ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี คือ พลเอก วิชิต สาทรานนท์ อดีต ผอ.ศูนย์เทคโนโลยี่สารสนเทศ กองทัพบก ในยุคบุกเบิก ทำให้แม็คสนใจด้านนี้ด้วย

แต่ที่สุดแม็คได้เลือกที่จะเป็นพลเรือน แต่ยังคงทำตามความฝัน ทั้งเครื่องบินบังคับ และหุ่นยนต์ แล้วผันตัวเองเข้าสู่วงการ Startup ในการใช้ Drone ช่วยเกษตรกร

จึงตั้งบริษัท Novy 2018 นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้งานช่วยงานเกษตรกรโดยเฉพาะ การใช้อากาศยานไร้คนขับ Drone ถ่ายภาพมุมสูง ตรวจสอบพื้นที่ และศัตรูพืช และการใช้โดรนพ่นปุ๋ย พ่นยา ช่วยให้ให้เกษตรกรปลอดภัยจากการใกล้ชิดสารเคมี จึงก้าวสู่ Smart Farming และมีแผนที่จะสร้างหุ่นยนต์ที่ช่วยเหลือคนป่วย คนชรา

ตอนนี้ น้องแม็ค เข้ารับการอบรมด้านการบินที่ ฝูง 604 กองบิน 6 กองทัพอากาศ หลังจากที่เรียนการบินเอกชนมาก่อน เพราะยังสนใจการบิน เพื่อเสริมงาน Drone อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูล : startupthailand

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10221390606247249&id=1012077191


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘หมอยง’ เผยการให้วัคซีนเข็มแรกเป็นเชื้อตาย (Sinovac) และให้วัคซีน virus vector (AstraZeneca) ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น ได้ปริมาณที่สูงกว่าการให้วัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) 2 เข็ม ประมาณ 8 เท่า

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก "Yong Poovorawan" หัวข้อ "โควิด-19 วัคซีน การฉีดเข็ม 1 และเข็ม 2 สลับชนิดกัน" โดยระบุว่า..ปัจจุบันยังแนะนำ ให้ฉีดวัคซีนป้องกัน covid-19 เข็ม 1 และเข็ม 2 เป็นชนิดเดียวกัน

ขณะนี้เริ่มมีแนวโน้ม มีข้อมูล และกำลังศึกษาเกี่ยวกับการฉีดต่างชนิดของวัคซีนในเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 เช่นการให้ virus vector (AstraZeneca) สลับกับ mRNA (Pfizer) และเริ่มมีการยอมรับมากขึ้น

สำหรับประเทศไทยขณะนี้ เรามีวัคซีนเชื้อตาย (Sinovac, sinopharm) กับ virus vector (AstraZeneca) และในชีวิตจริง ในบางรายที่แพ้วัคซีนเข็มแรก วัคซีนเข็ม 2 ให้ต่างชนิดกัน ขณะนี้มีเป็นจำนวนมากพอสมควร เข้าใจว่ามีมากกว่า 1,000 ราย

การศึกษาของศูนย์ ได้ทำการศึกษาการสลับชนิดของวัคซีน ที่อยู่ระหว่างการศึกษา

พบว่า การให้เข็มแรกเป็นวัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) และอีก 3-4 สัปดาห์ต่อมา ให้วัคซีน virus vector (AstraZeneca) ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น ได้ปริมาณที่สูงมาก สูงกว่าการให้วัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) 2 เข็มห่างกัน 3-4 สัปดาห์ ประมาณ 8 เท่า หรือสูงกว่าภูมิต้านทานที่เกิดจากการติดเชื้อจริงในผู้ป่วยประมาณ 10 เท่า และน้อยกว่าการให้วัคซีน virus vector AstraZeneca 2 ครั้งห่างกัน 10 สัปดาห์ อยู่เพียงเล็กน้อย

การให้วัคซีนสลับ เข็มแรกเชื้อตาย เข็มที่ 2 เป็นไวรัสเวกเตอร์ (ห่างกัน 3-4 สัปดาห์) จะทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนได้ภูมิต้านทานสูงในเวลาเพียง 6-8 สัปดาห์ ซึ่งต่างกับผู้ที่ได้รับวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ 2 ครั้ง (ห่างกัน 10 สัปดาห์) กว่าจะได้ภูมิต้านทานสูงดังกล่าวต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 12-14 สัปดาห์

ข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์ ในช่วงที่มีการระบาดอย่างมาก และทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนมีภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันการบริหารวัคซีนก็จะง่ายขึ้น ในกรณีที่มีวัคซีน ในปริมาณจำกัด การศึกษาทั้งหมดน่าจะเห็นชัดเจนขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้ยังเป็นข้อมูลที่ศึกษาระดับภูมิต้านทาน สิ่งที่สำคัญจะต้องทำการศึกษาต่อ คือความสามารถในการป้องกันโรค ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่ามีโอกาสที่จะป้องกันโรคและความรุนแรงของโรคได้มากกว่า การศึกษาในวงกว้างก็ยังมีความจำเป็นที่จะให้ทราบถึงประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรคถ้าให้วัคซีนสลับกัน

 

ที่มา : https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/5936411143068120


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“คุณหญิงกัลยา” ห่วงเชื้อโควิด-19 ขยายวงกว้าง หนุนใช้วิทยาลัยเกษตรฯ เป็นสถานที่พักคอยผู้สัมผัสเชื้อความเสี่ยงสูง นำร่องวิทยาลัยเกษตรฯ สุราษฎร์ธานีสร้างความปลอดภัยให้ชุมชน

ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ห่วงพี่น้องประชาชน หวั่นเชื้อโควิด-19 ขยายวงกว้างสู่ชุมชน สั่งการให้วิทยาลัยเกษตรฯ เตรียมพร้อมเพื่อใช้เป็นสถานที่พักคอยสำหรับผู้สัมผัสเชื้อความเสี่ยงสูงระหว่างรอผลตรวจ นำร่องวิทยาลัยเกษตรฯ สุราษฎร์ธานี โดยที่ผ่านมามีผู้ที่พักคอยรอผลตรวจหมุนเวียนแล้วกว่า 84 ราย สามารถช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนเกิดความปลอดภัย

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกประจำตัวรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช) เปิดเผยว่า คุณหญิงกัลยา มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันที่ทวีความรุนแรงขึ้น และขยายวงกว้างไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยได้สั่งการให้สถานศึกษาในกำกับทุกแห่ง โดยเฉพาะวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีซึ่งตั้งอยู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากทางสาธารณสุขอำเภอ หรือทางจังหวัดขอความร่วมมือมา

โดยขณะนี้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานีได้ให้การสนับสนุนสาธารณสุขในพื้นที่เพื่อให้ใช้พื้นที่หอพักนักศึกษาในวิทยาลัยฯ จัดตั้งเป็นสถานที่พักคอยสำหรับผู้สัมผัสเชื้อความเสี่ยงสูง ซึ่งทางทีมสาธารณสุขอำเภอจะลงพื้นที่ในชุมชนหากพบผู้ที่สัมผัสเชื้อและมีความเสี่ยงสูงที่อาจจะติดเชื้อ ก็จะแยกตัวออกมาจากชุมชนและนำมาตรวจหาเชื้อ พร้อมพักคอยที่ศูนย์พักคอยสำหรับผู้สัมผัสเชื้อความเสี่ยงสูงจนกว่าจะทราบผลการตรวจ ภายใต้การดูแลตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ ปัจจุบันวิทยาลัยเกษตรฯ สุราษฎร์ธานี มีผู้ที่พักคอยรอผลตรวจอยู่กว่า 60 รายและที่ผ่านมามีผู้พักคอยเข้ามาพักหนุมเวียนไปแล้วกว่า 84 ราย

ทั้งนี้วิทยาลัยเกษตรฯ จะให้ใช้สถานที่ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดการพักคอย ในขณะที่สาธารณสุขในพื้นที่จะส่งบุคลากรเข้ามาดำเนินการเรื่องอาหาร ความสะอาด และการควบคุมโรคภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่ถูกต้อง ซึ่งได้รับคำชมจากทางผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีว่าที่พักคอยสำหรับผู้สัมผัสเชื้อความเสี่ยงสูงในวิทยาลัยเกษตรฯ สุราษฎร์ธานีถือเป็นที่พักคอยที่บรรยากาศดีที่สุดของจังหวัด

“คุณหญิงกัลยาได้สั่งการและกำชับให้สถานศึกษาที่กำกับ โดยเฉพาะวิทยาลัยเกษตรซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถหากทางจังหวัดร้องขอมา ซึ่งทางวิทยาลัยฯ มีความพร้อมทั้งเรื่องของสถานที่และวัตถุดิบด้านการเกษตรที่เรามีอยู่แล้ว ภายใต้โครงการชีววิถี ที่สามารถนำวัตถุดิบมาแปรรูปจัดทำเป็นอาหารว่าง เพื่อให้ผู้สัมผัสเชื้อระหว่างพักคอยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” นางดรุณวรรณ กล่าว

ทั้งนี้คุณหญิงกัลยา ได้มอบหมายให้ ดร.ศุภชัย ศรีหล้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และดร.ชาติชาย เกตุพรหม ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการอาชีวศึกษาเกษตรกรรมและประมง เป็นผู้ประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี  ในการตั้งเป็นสถานที่พักคอยสำหรับผู้สัมผัสเชื้อความเสี่ยงสูง เป็นการช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสถานที่ที่สามารถแยกกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงนำมาตรวจหาเชื้อ และเป็นพี่พักเพื่อรอผลตรวจซึ่งหากไม่พบเชื้อก็ส่งกลับชุมชน แต่หากพบว่าติดเชื้อก็ส่งต่อโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป ซึ่งจะช่วยให้คนในชุมชนเกิดความปลอดภัย

บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ มอบเครื่องฟอกอากาศเพื่อฆ่าเชื้อโรค สำหรับการใช้ในศูนย์ปฏิบัติการควบคุมความปลอดภัย และการจราจรทางน้ำ

วันที่ 6 กรกฎาคม 64 เวลา 11:00น. บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ ได้มอบเครื่องฟอกอากาศเพื่อฆ่าเชื้อโรค เพื่อใช้ใน ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมความปลอดภัยและการจราจรทางน้ำ (Maritime Safety and Surveillance Operation Center) โดยมี นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นผู้รับมอบ โดยศูนย์ปฏิบัติการฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลความปลอดภัยการเดินเรือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางทะเลตามพันธกิจของกรมเจ้าท่า สามารถเชื่อมโยงระบบ เครือข่ายให้มีความสะดวก รวดเร็วในการปฏิบัติงาน ติดตามข้อมูลเรือระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรณีเกิดเหตุเรือไทย ในต่างประเทศ สามารถประสานเจ้าของเรือได้รวดเร็ว ประสานงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งระบบ ตรวจการณ์ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนเป็นเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรกำกับดูแลการจราจรและป้องกัน อุบัติเหตุทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล สร้างความเชื่อมั่นด้านการขนส่งและการท่องเที่ยวทางน้ำ การอำนวย ความสะดวก กำกับ ดูแลด้านความปลอดภัยในการคมนาคมขนส่งทางน้ำ การป้องกันกระทำผิดกฎหมายในทะเลมีรูปแบบ ที่หลากหลายซับซ้อน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาเรือประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ไร้การควบคุม ( IUU Fishing) ให้มีข้อมูลภาพ ความเคลื่อนไหวของเรือต่าง ๆ ในทะเลที่มุ่งเข้าสู่ชายฝั่งและแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญ

ทั้งนี้ กรมเจ้าท่า จะทำการเปิดอาคาร 39 ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมความปลอดภัยและการจราจรทางน้ำ กรมเจ้าท่า อย่างเต็ม รูปแบบในวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมเจ้าท่า ครบรอบ 162 ปี

 

ประธานชวน เบรกการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ ส.ส. เน้นย้ำ ต้องฉีดให้บุคลากรการแพทย์ก่อน

7 ก.ค. 2564 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงวิป 3 ฝ่ายหารือกรณีอยากให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนเข็มที่ 3 ให้สภา ว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เพราะไม่ได้เข้าประชุมด้วย คงเป็นเพียงข้อเสนอ ยังไม่ได้มีการตกลงอะไรกัน แต่จะให้สวอปเท่านั้น ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีการฉีดเข็มที่ 3 เพราะต้องฉีดให้กับบุคลากรทางแพทย์ที่ควรได้รับการดูแลก่อน

“ขณะเดียวกันส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากที่เรามีประชุมได้ เพราะเรามีมาตรการที่เข้มงวด ซึ่งจากที่เรามีมาตรการมาเดือนกว่า ความร่วมมือถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ผมขอความร่วมมือให้มีการคุมเข้มเช่นนี้ตลอดไป”

 

ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/108896


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top