Saturday, 5 July 2025
NEWS

ทบ.แจง หลัง “ปวิน” โพสต์ป่วน ทหารไทยบินสหรัฐฯ  ยันไปภารกิจ “การฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์” กับทบ.สหรัฐอเมริกา-ทบ.อินโดนีเซีย 10 - 26 ก.ค.นี้ ลั่นทุกคนฉีดวัคซีนจากไทยเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า มีกลุ่มทหารไทยบินไปสหรัฐฯกับสายการบินโคเรียนแอร์ 109 คน ซื้อตั๋วแพงสุด คาดว่าไปฉีดวัคซีนด้วยเงินภาษีประชาชนนั้น

ล่าสุด พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงกรณีที่มีการภาพทหารเดินทางที่สนามบิน และถูกนำไปบิดเบือนนั้นว่า กองทัพบกขอแจ้งข้อมูลอีกครั้งเกี่ยวกับการเดินทางไปสหรัฐของกำลังพล กองร้อยส่งทางอากาศ ที่เดินทางไปร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ (Strategic Airborne Operation) กับกองทัพบกสหรัฐ ณ Fort Bragge รัฐนอร์ทแคโรไลนา ระหว่างวันที่ 10-26 ก.ค.64 โดยเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ภายใต้การฝึกร่วมผสมครอบบร้าโกลด์ในปี 2565 พร้อมทั้งมีการกักตัวก่อนไปฝึกในค่ายทหาร และเมื่อไปถึงสหรัฐฯ ก็ปฏิบัติลักษณะเดียวกันตามระบบ Military Trainning Quarantine ซึ่งกำลังพลทุกนายผ่านการ SWAB test ได้ผลเป็นลบ และได้รับการฉีดวัคซีนที่ประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว โดยสรุปกำลังพลทุกนายได้ผ่านกระบวนการตามมาตรฐานสาธารณสุขในการป้องกันโควิด -19 ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามกองทัพบกได้เผยแพร่ข่าวการเดินทางไปร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.2564 รายละเอียดตาม https://www.facebook.com/100051350382505/posts/340112994377044/?d=n

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ ของกองร้อยส่งทางอากาศ ณ สนามกระโดดร่ม บ้านท่าเดื่อ อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่มีกำหนดเข้าร่วม “การฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์” (Strategic Airborne Operations) ณ Fort Bragg รัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างวันที่ 10 - 26 ก.ค. 64 โดยทำการฝึกร่วมกับกองพลส่งทางอากาศที่ 82 กองทัพบกสหรัฐอเมริกา และกองทัพบกอินโดนีเซีย พร้อมทั้งกำชับให้ทุ่มเทตั้งใจเข้ารับการฝึกศึกษา เรียนรู้เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ พัฒนาตนเองและกองทัพต่อไป และให้ตระหนักว่าเป็นตัวแทนประเทศไทย กองทัพไทยในการไปสร้างความเชื่อมั่น สร้างความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพมิตรประเทศ รวมทั้งเน้นย้ำกำลังพลให้ปฏิบัติตนภายใต้มาตรการป้องกันโควิดอย่างเคร่งครัด ไม่ประมาททั้งที่อยู่ในต่างประเทศ และเมื่อเดินทางกลับประเทศไทย 

สำหรับการส่งกำลังพล “กองร้อยส่งทางอากาศ” เข้าร่วมการฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารในระดับกองทัพมิตรประเทศแล้ว ผู้เข้ารับการฝึกยังสามารถนำความรู้ ประสบการณ์มาพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับหน่วยส่งทางอากาศกองทัพบก และยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าร่วมกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ภายใต้การฝึกร่วมผสมครอบบร้าโกลด์ในปี 2565 อีกด้วย สำหรับกำลังพลกองทัพบกที่เข้าร่วมการฝึกกระโดดร่มที่สหรัฐฯ ในครั้งนี้ มีจำนวน 114 นาย ประกอบด้วย นายทหารสัญญาบัตร นายทหารประทวนนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 5 และ พลทหาร ซึ่งทุกนายได้ผ่านกระบวนการตามมาตรฐานสาธารณสุขในการป้องกัน COVID-19 ทั้งในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการโพสต์ภาพอ้างว่าทหารที่ได้ไปครั้งนี้ ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบภาพพบว่าเป็นภาพปลอม เพราะหากดูรายละเอียดวันเกิดในการ์ด ถ้าเกิดปี 1963 อายุน่าจะ 58 ปี ซึ่งทหารที่ไปไม่แก่ขนาดนั้น 

เมื่อถามถึงประเด็นเรื่องค่าตั๋วที่แพงและงบประมาณการใช้จ่ายที่โดนโจมตี พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า งบประมาณการฝึกร่วมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกายืนยันกำลังพลที่ไปฝึกได้รับการฉีดวัคซีนจากเมืองไทย 2 ชนิด คือAstraZeneca และSinovac

 

ปิดฉากยูโร 2020 ‘อนุชา’ ลั่น รัฐบาล มอบความสุขตามสัญญา ถ่ายทอดครบทุกคู่ ชวนเชียร์ นักกีฬาไทย ร่วมโอลิมปิกต่อ

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 64 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการแข่งขันฟุตบอลแห่งชาติยุโรป 2020 หรือ ยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่างอิตาลี และอังกฤษ โดยผลอิตาลี เป็นแชมป์ ชนะจุดโทษ 3-2 หลังเสมอในเวลา และช่วงต่อเวลาพิเศษ1-1 ว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ดำริให้ดำเนินการประสานนำการแข่งขันฟุตบอลแห่งชาติยุโรป 2020 หรือ ยูโร 2020 มาถ่ายทอดสดให้ประชาชนคนไทยได้ชมฟรีทุกคู่ ตั้งแต่ช่วงพิธีเปิดตลอดจนจบการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างวันที่ 11 มิ.ย. - 11 ก.ค. ได้รับคำแนะนำและความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาทิ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายสุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม

โดยความอนุเคราะห์จากนายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหารบริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ แอโรซอฟต์ เป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 51 นัด และได้รับความร่วมมือจาก NBT สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3HD สถานีโทรทัศน์ PPTV และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมถ่ายทอดในคู่ที่ช่วงเวลาตรงกัน

นายอนุชา กล่าวว่า การนำกีฬาที่คนทั่วโลกรวมทั้งคนไทยชื่นชอบมาออกอากาศให้ประชาชนได้ชมฟรี เป็นสิ่งที่รัฐบาลส่งมอบความสุขให้ในช่วงที่ประเทศประสบความทุกข์ยาก จากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความสุขให้แฟนกีฬา และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาฟุตบอลไทยสู่สากล ขณะเดียวกัน ทั้งนี้ยังมีการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 หรือ โตเกียว 2020 ที่มีนักกีฬาของไทยเข้าร่วมการแข่งขัน 42 คน จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมเป็นแรงใจเชียร์นักกีฬาไทยและติดตามการถ่ายทอดสดระหว่างวันที่ 22 ก.ค. - ส.ค. นี้ ที่จะมีการถ่ายทอดสดผ่านทาง NBT เช่นเดียวกัน


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

14 ข้อชวนคิด นาทีนี้ต้องเลือกให้ชัดระหว่าง 'อดตาย' หรือ 'ติดเชื้อตาย'

นาทีนี้ใครยังอยากคลั่งการเมือง เชื่อลมปากโซเชียลปั่นกระแสวัคซีนและการเมืองแบบซัดกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ก็เชิญตามสบาย!!

แต่ถ้าอยากจบสวย ๆ หรือจบแย่ ๆ กับสถานการณ์โควิด-19 ในตอนนี้ คุณเลือกเองได้...

เลือกว่าจะยอม 'อดตาย' หรือ 'ติดเชื้อตาย'

1.) จากนาทีนี้ ต้องเริ่มล็อกตัวเองเท่านั้น ใน 14 วันนี้ หากอยากให้โควิดในไทย 'จบสวย'

2.) หากไม่ต้องการ 'จบแย่' แบบไข้หวัดสเปนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่คนตายนับล้าน ทางรอด คือ ต้องล็อกตัวเอง 100% อย่างเดียว

3.) ประชาชนส่วนมากยังประพฤติตน 'เห็นแก่ตัว' ไม่ต้องโทษรัฐ 'หัดโทษตัวเอง' ถ้ายังเฉย ๆ กับการรวมกลุ่ม ใช้ชีวิตแบบมักง่าย ไม่ระวัง...ทำกันประจำนิ!!

4.) ประชาชนส่วนมากกลัวตกงาน เรื่องนี้น่าเห็นใจ แต่คนต้องออกไปทำงาน มั่นใจได้แค่ไหนว่า รถไฟฟ้า รถเมล์ และรถสาธารณสุขให้ความมั่นใจการไม่ติดเชื้อแก่คุณได้

5.) รัฐบาลและสาธารณสุขไม่มีปัญญาลงไปดูเป็นรายบุคคลอยู่แล้ว ต่อให้เปลี่ยนโคตรรัฐบาลสุดเก่งที่ไหนมา ก็ทำไม่ได้กับสถานการณ์นี้ ตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตนในการระวังตัว ไม่ให้เป็นภาระต่อสังคม

6.) อีกมุมหนึ่งรัฐบาลต้องถูกตำหนิ เพราะเลือกฉีดวัคซีนไม่ถูกเวลา ตอนเชื้อซา ระบาดต่ำ ไม่รู้จักฉีดปูพรม สะท้อนการบริหารที่ผิดพลาด

7.) การบริหารจัดการแย่ไม่แย่ ดูได้จากเรื่องใกล้ๆ แค่การตรวจคัดกรองเชิงรุก การฉีดวัคซีน และภารกิจเร่งด่วนที่ทำให้มวลชนต้องออกมารวมตัว ตรงนี้รัฐบาลได้ทำลายระยะห่าง หรือ Social Distance ที่ตัวเองโปรโมทให้พังลงด้วยมือตัวเอง

8.) พฤติกรรมคนไทยบางกลุ่ม ยังคิดเห็นแก่ตัวไม่เลิก บางคนฉีดวัคซีนไปเข็มเดียว กลับพร้อมบอกว่าจะออกไปทำกิจกรรมปกติ โคตรเห็นแก่ตัว และไม่เข้าใจในเรื่องระยะเวลาการกระตุ้นของภูมิ ว่ามันไม่ใช่ฉีดวันเดียวแล้วกันอยู่

9.) นาทีนี้คนตายเยอะขึ้น เพราะวิธีการรักษาทำไม่ได้ผลเหมือนเคย และต่อให้หายกลับบ้าน ก็ยังมีอาการข้างเคียงให้กลับมาเป็นภาระแพทย์

10.) ยาบางตัวเริ่มขาดตลาดในการใช้รักษาผู้ป่วย

11.) แพทย์ 1 คนดูแลเคสได้เป็น 100 คน แต่วันนี้บุคลากรทางการแพทย์เริ่มติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น คนตายเป็นผู้สูงอายุเสียมาก เพราะเหตุผลต่าง ๆ ที่ว่ามา

12.) วันนี้ อาจต้องเลือกให้ชัดระหว่าง 'อดตาย' กับ 'ติดเชื้อตาย'

13.) แต่ถ้าอยากจบสวย ๆ ยังไงก็ต้อง ล็อกตัวเอง 100%

14.) ส่วนพอล็อกแล้ว ประชาชนจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรต่อไป? รัฐบาลคงต้องตอบคำถามนี้ให้ด้วยละกัน!!

 

อ้างอิง : นพ.วินัย โบเวจา

https://www.youtube.com/watch?v=wWAPbR0ueV0


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘กรณ์’ เสนอทางออกปลดล็อคระบบตรวจโควิด ให้ทุกครัวเรือนในพื้นที่สีแดงมีสิทธิ์รับระบบตรวจ ‘Rapid Antigen Test’ ฟรี หากพบติดเชื้อโควิด-19 สามารถเข้าสู่ระบบรอเตียงได้ ไม่ต้องรอตรวจ PCR

สืบเนื่องจากวันนี้ (12 ก.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข จะพิจารณาปลดล็อก Rapid Antigen Test ชุดตรวจ โควิด-19 หลังจากที่ กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีมติเห็นชอบไปแล้วนั้น นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า พรรคกล้าได้พยายามย้ำ และส่งแรงดันต่อเนื่องมาหลายวัน ถึงข้อเสนอแนะเร่งด่วนให้รัฐบาลเรื่องการเข้าถึงการตรวจโควิดให้สะดวกขึ้นและทันท่วงที สิ่งที่ต้องทำคือยอมรับและจัดให้มีการเข้าถึง ‘การตรวจแบบ Rapid Antigen’ ให้กับทุกคนที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการ แทนที่จะต้องให้ประชาชนต้องวิ่งรอบโรงพยาบาล หรือต้องไปรอคิวข้ามคืนเพื่อรับสิทธิตรวจ PCR

ซึ่งต่อมากระทรวงสาธารณสุขก็ได้แถลงตามแนวที่เราเสนอ แต่ยังไม่สุดและยังไม่สามารถแก้ปัญหาการเข้าถึงยาและเตียงรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ปัญหาสำคัญคือหากผลตรวจ Antigen เป็นบวก ทางสาธารณสุขยังไม่ยอมรับผลเพื่อนำไปสู่การรักษาทันที แต่ยังต้องให้เราไปเข้าคิวรอการตรวจ PCR ต่ออีกรอบหนึ่ง

“จากการที่ผมและทีมงานพรรคกล้าได้ไปแจกข้าวกล่องให้กับผู้เข้าคิวรอตรวจโควิดที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขนเมื่อวันก่อน และได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแพทย์หน้างาน พบว่าผู้ป่วยต้องรอคิวตรวจข้ามคืน ซึ่งเป็นปัญหาคอขวด พรรคกล้าจึงขอเสนอแนวทางนี้ เพื่อให้การใช้การตรวจ Antigen มีประสิทธิผลมากที่สุด ใน 2 แนวทางคือ

1.) ขอให้ทุกครัวเรือนในพื้นที่สีแดงมีสิทธิรับระบบตรวจ Antigen เพื่อตรวจเองได้ฟรีในจำนวนที่เหมาะสม เมื่อตรวจเองและมีผลบวก ประชาชนจะได้รู้ตัวที่จะกักตัวเอง ไม่ต้องเสี่ยงแพร่หรือติดเชื้อจากการออกไปรอคิวตรวจตามศูนย์ ผู้สูงอายุไม่ต้องลำบาก

2.) หากตรวจ Antigen มีผลบวกและมีอาการป่วย ขอให้ประชาชนสามารถเข้าระบบรอเตียงได้โดยไม่ต้องรอตรวจ PCR อีกรอบ เพื่อลดความเสี่ยงสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มว่าอาการจะรุนแรง และในระหว่างเข้าระบบรอเตียง ก็สามารถตรวจ PCR ซ้ำเพื่อความแม่นยำ พร้อมยืนยันอีกครั้งตอนได้เตียง เราต้องช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้เร็วที่สุดครับ” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘สิงโต’ ฝันสลาย! ทัพ ‘อัซซูรี’ แม่นโทษกว่า ซัดดับ 3-2 ซิวแชมป์ยูโร สมัยที่ 2

อิตาลี ผงาดคว้าแชมป์ ยูโร 2020 แบบบีบหัวใจ หลังเสมอกับ อังกฤษ เจ้าบ้าน 1-1 ตลอด 120 นาที ก่อนซัดโทษแม่นกว่าชนะ 3-2 คว้าแชมป์ยุโรปสมัย 2 เมื่อคืนวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 ทีมชาติอังกฤษ เปิดรังเวมบลีย์ ปะทะ ทีมชาติอิตาลี ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 64,000 คน เกมนี้ ‘สิงโตคำราม’ ดัน แฮร์รี เคน ยิงเป้าแล้วมี เมสัน เมาต์ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำเกมบุก ส่วน ‘อัซซูรี’ วางหน้า 3 สูตรเดิม ลอเรนโซ่ อินซิเญ่, ชิโร่ อิมโมบิเล่ และ เฟเดริโก้ เคียซ่า

ผลการแข่งขัน 90 นาที เสมอกัน 1-1 โดยอังกฤษได้ประตูนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว จาก ลุค ชอว์ ก่อนที่อิตาลี จะตามตีเสมอได้จาก ลีโอนาร์โด้ โบนุชชี ขณะที่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ไม่สามารถทำประตูกันได้ ต้องตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ

ปรากฏว่า 5 คนแรกของ อิตาลี ยิงเข้า 3 คน (โดเมนิโก้ เบราร์ดี, ลีโอนาร์โด้ โบนุชชี, เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี) ขณะที่ อังกฤษ ยิงเข้า 2 คน (แฮร์รี เคน, แฮร์รี แม็คไกวร์) แต่ 3 คนที่เหลือ มาร์คัส แรชฟอร์ด, เจดอน ซานโช, บูกาโย่ ซาก้า ซัดพลาดติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ทั้งหมด สุดท้าย อิตาลี ชนะจุดโทษ อังกฤษ 3-2 ได้แชมป์ยูโร สมัย 2 ส่วนอังกฤษอกหัก ชวดแชมป์อย่างน่าเสียดาย


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สรรพากรแจง วัคซีนทางเลือก ประชาชน ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงกรณีมีข่าวว่าประชาชน ต้องแบกรับภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการที่จะต้องถูกโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ว่า อาจเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับสาธารณชน กฎหมายกำหนดไว้ ตามมาตรา 81 (1)(ญ) แห่งประมวลรัษฎากร การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 

ดังนั้นโรงพยาบาลเอกชน จึงได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โรงพยาบาลเอกชน จึงไม่สามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากวัคซีนทางเลือก ที่ให้บริการแก่ประชาชนได้ สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีภาษีซื้อที่เกิดจากต้นทุนการซื้อ สามารถนำมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ตามปกติ ซึ่งกรมสรรพากร จะรีบดำเนินการคืนให้โดยรวดเร็ว 

สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลของโรงพยาบาลเอกชน หากโรงพยาบาลเอกชนมีกำไรจากการประกอบการ ก็เป็นหน้าที่ปกติของผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จะต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไรเช่นเดียวกับผู้ประกอบการอื่น ๆ

“บิ๊กแก้ว” ตรวจเยี่ยม จุดตรวจความมั่นคง ตามพรก.ฉุกเฉิน พร้อมขอความร่วมมือปชช.งดเดินทาง ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 

พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจาก พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส/หน.ศปม.) ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เริ่มดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดสายตรวจในการลาดตระเวนเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติ การเดินทางข้ามพื้นที่อย่างเข้มงวดในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต จำนวน 88 จุด ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีผู้ฝ่าฝืนจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดฯ ของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 10 จังหวัด ให้บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 

โดยผบ.ทสส/หน.ศปม. ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดตรวจจุดสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายแรงงาน ณ ด่านใต้ทางด่วนข้ามแยกมหานคร ถนนสุวินทวงศ์ขาออก เขตหนองจอก กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง พร้อมทั้งให้กำลังใจและให้คำแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่ ภายใต้มาตรการการควบคุมโรคโควิด19 ซึ่งได้มีการสนธิกำลังระหว่างทหาร ตำรวจ และหน่วยงานด้านความมั่นคง ประกอบด้วย กองพันสารวัตรทหาร สำนักกองบัญชาการ กองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 4 นาย เจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 4 นาย เจ้าหน้าที่เขตหนองจอก จำนวน 2 นาย และเจ้าหน้าที่เทศกิจ จำนวน 4 นาย ปฏิบัติหน้าที่ผลัดละ 8 ชั่วโมง วันละ 3 ผลัด ซึ่ง ผบ.ทสส/หน.ศปม. ได้แสดงความห่วงใยและมอบแนวทางการปฏิบัติในการจัดพื้นที่บริเวณจุดตรวจ โดยให้มีป้ายประชาสัมพันธ์ การจัดไฟฟ้า แสงสว่าง โต๊ะ เก้าอี้ แนวกั้น แผงเหล็ก กรวยยาง ให้เพียงพอ รวมทั้งให้มีพื้นที่รองรับการจอดของรถสาธารณะเพื่อให้ผู้โดยสารเข้ารับการคัดกรอง การบริการหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งให้มีการจัดเตรียมถุงมือ และแผ่นป้องกันหน้า face shield สำหรับผู้ปฎิบัติหน้าที่ด้วย ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ได้กำหนดขึ้นมานั้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันลดการสัญจร หรือหยุดอยู่บ้านเพื่อป้องกันและลดโอกาสของการรับหรือการแพร่กระจายเชื้อ

ทั้งนี้ ในห้วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน โปรดให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตนตามที่ภาครัฐกำหนดโดยเคร่งครัด งดการออกนอกเคหะสถานในช่วงเวลาที่กำหนดโดยไม่มีความจำเป็น หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from home) อย่างเต็มรูปแบบ ร่วมกันอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ มีวินัยในการปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค โดยกองทัพไทยพร้อมเคียงข้างพี่น้องประชาชนและจะปฏิบัติภารกิจเพื่อดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน

“กพท.” ร่อนหนังสือสั่งแอร์ไลน์งดทำการบิน 3 ทุ่ม-ตี 4 เริ่ม 12 ก.ค.เป็นต้นไป

กพท.ออกประกาศ 8 มาตรการคุมเข้มสายการบินหยุดทำการบินช่วงเวลา 3 ทุ่มถึงตี 4 รับล็อกดาวน์ หวังลดผลกระทบการเดินทางจากสถานการณ์การแพร่เชื้อโควิด-19 ฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.เป็นต้นไป

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ลงนามในประกาศเรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระหว่างสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับที่ 2 เพื่อยกระดับการดำเนินการมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่ขอให้ประชาชนงด หรือชะลอการเดินทางในช่วงเวลานี้ โดยไม่มีเหตุจำเป็น

ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับการดำเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคที่สอดคล้องกับข้อกำหนดดังกล่าว สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงออกประกาศกำหนดแนวปฏิบัติ ดังนี้

1. ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับ ผู้ประกอบการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกาศ ณ วันที่ 17เมษายน พ.ศ.2564 และ ให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน

2. ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศจำกัดการปฏิบัติการบินในระหว่างช่วงเวลา21.00 – 04.00น. เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้โดยสารในการเดินทางระหว่างสนามบินและที่พัก และสอดคล้องกับบริการ ขนส่งสาธารณะประเภทอื่นที่ดำเนินการตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติเดียวกัน

3. ในกรณีที่มีการยกเลิกเที่ยวบินและการรวมเที่ยวบิน ให้มีการแจ้งและดูแลผู้โดยสารอย่างเหมาะสม ตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง การคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทยในเส้นทาง บินประจำภายในประเทศ พ.ศ. 2563

4.ก่อนออกบัตรโดยสาร ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศตรวจสอบเอกสารสำคัญของผู้โดยสาร ตามมาตรการป้องกันโรคของจังหวัดปลายทางอย่างเคร่งครัด หากตรวจสอบแล้วพบว่าเอกสารไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน อาจพิจารณระงับการออกบัตรโดยสารแก่ผู้โดยสารนั้น

5. ให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศพิจารณาการจัดที่นั่งในเครื่องบินอย่างเหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสาร ในแต่ละเที่ยวบิน โดยคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้เกิดความหนาแน่นแออัด อันจะมีส่วนช่วยใน การป้องกันควบคุมโรค

6. ให้ผู้ประกอบการสนามบินติดตามดูแลให้ผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ ในเขตพื้นที่สนามบิน ปฏิบัติตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ศบค.) โดยเคร่งครัด

7.ให้ผู้ประกอบการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามดูแล ให้ประชาชนผู้มาใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการในระเบียบสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ว่าด้วย แนวปฏิบัติในการให้บริการผู้โดยสารสำหรับเส้นทางการบินภายในประเทศในระหว่างสถานการณ์การระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ. 2564 ประกาศ ณ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564 โดยเครงครัด

8.ให้ผู้ประกอบการสนามบินและผู้ดำเนินการเดินอากาศแจ้งเตือนผู้โดยสารกรณีเป็นผู้ป่วยยืนยัน หรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ให้งดการเดินทาง หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558

ทั้งนี้ สำหรับประกาศนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 12กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป หรือมีประกาศอื่นใดเพิ่มเติม ประกาศ ณ วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
 

กห.ปช.ฝ่ายความมั่นคง เร่งเตรียมกำลังสนับสนุนมาตรการรัฐ ตั้งจุดตรวจจุดสกัด พื้นที่สีแดงเข้ม อย่างเข้มงวด 

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ  ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ  ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ประชุมหน่วยงาน กอ.รมน. นขต.กลาโหม เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC เพื่อเร่งเตรียมความพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติตามมาตรการ ศบค.ที่กำหนด

สำหรับภาพรวมฝ่ายความมั่นคงโดย ศปม.ได้เร่งปรับแผนและสนธิกำลัง ทั้งทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยใช้กำลัง ตร.เป็นหลัก กระจายลงพื้นที่จัดตั้ง จุดตรวจ จุดสกัดร่วม รวมทั้งจัดตั้งสายตรวจเคลื่อนที่เร็ว ลงปฏิบัติการในพื้นที่สีแดงเข้ม ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 10 จังหวัด แล้ว ตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันนี้ ( 10 ก.ค.)

ทั้งนี้ได้ร่วมจัดตั้งจุดตรวจในพื้นที่ กทม.รวม 88 จุด พื้นที่ 5 จังหวัด ปริมณฑล จำนวน 22 จุด และใน 4 จชต.รวม 35 จุด ร่วมกันทำหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจและให้คำแนะนำการปฏิบัติกับประชาชนถึงมาตรการต่างๆ ที่ ศบค.กำหนด 

โดยเฉพาะการจำกัดการปฏิบัติในการเคลื่อนย้าย รวมทั้งข้อกำหนดและข้อจำกัดในกิจกรรมและเวลาที่กำหนด  ทั้งนี้จะเริ่มเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายต่อเนื่องตั้งแต่ 12 ก.ค. เป็นต้นไป เพื่อคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้ม รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการหยุดแพร่กระจายของโรคและการดูแลรักษาความปลอดภัยของประชาชนจากปัญหาอาชญกรรมในคราวเดียวกัน

ขณะเดียวกัน ทุกเหล่าทัพอยู่ระหว่างเร่งขยายขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์แถวสอง และยกระดับขีดความสามารถ รพ.สนามให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและแดงที่เพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอ รวมทั้งได้จัดรถพยาบาลสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตามบ้าน เข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว 9,296 รายโดยทำงานร่วมกับ สธ.อย่างใกล้ชิด

โดยพล.อ.ชัยชาญ ได้กำชับ ขอให้ทุกเหล่าทัพและตร.สนับสนุน ศปม.ในการเตรียมกำลังเสริมและปรับแผนให้สอดรับครอบคลุมงานความมั่นคงตามข้อกำหนดของ ศบค.ที่จะประกาศ โดยให้ประสานทำงานร่วมกับฝ่ายปกครองของจว.และ กทม.โดยเฉพาะคณะกรรมการควบคุมโรค จว.อย่างใกล้ชิด และขอให้ทุกเหล่าทัพให้ความสำคัญ คงความเข้มข้นเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องกันไป หลังจาก 5 วันที่ผ่านมา สามารถจับผู้ลักลอบเข้าเมืองได้เกือบ 300 คน  

นอกจากนั้น พล.อ.ชัยชาญ ยังได้ย้ำให้ทุกเหล่าทัพ วางแผนกระจายกำลังเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคของรัฐที่กำหนด โดยขอให้จัดรถครัวสนามและสิ่งของจำเป็นเข้าไปช่วยเหลือชุมชนต่างๆ รวมทั้งเตรียมพร้อมจัดรถพยาบาลเข้าไปช่วยเหลือนำพาผู้ป่วยตามบ้าน เข้ารับการรักษาใน รพ.สนามที่จัดตั้งขึ้นโดยเร็ว

ก่อนเลิกประชุมในตอนท้ายพล.อ.ชาญชัย ได้ย้ำถึงคำสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์’ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชนไปพร้อมๆกัน เพื่อให้เกิดการสนับสนุนและความร่วมมือกันหยุดเชื้อควบคุมโรคในสถาการณ์วิกฤตที่ต้องการความร่วมมือกันทุกฝ่ายสูงสุด พร้อมทั้งได้แสดงความห่วงใยในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในระดับพื้นที่ทุกนาย โดยขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังไม่ประมาทและขอให้ทุกเหล่าทัพ เร่งฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกนายเป็นการเร่งด่วน

“ผบ.ทสส.” ปช.หน่วยมั่นคง จัดกำลังตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด -สายตรวจ คุมเข้มทุกพท. เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ตามนโนบายรัฐบาลและศบค.

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส/หน.ศปม.) สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เริ่มดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดสายตรวจในการลาดตระเวนเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติ การเดินทางข้ามพื้นที่อย่างเข้มงวดในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต จำนวน 88 จุด ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีผู้ฝ่าฝืนจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดฯ ของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 10 จังหวัด ให้บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558

ทั้งนี้ ผบ.ทสส/หน.ศปม. ได้ขอความร่วมมือกำลังพลและครอบครัว รวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วน มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามการป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยขอให้งดเว้นการจัดกิจกรรมทุกรูปแบบที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค พร้อมทั้งเน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ของทหารที่ประจำอยู่ในพื้นที่ควบคุมจุดตรวจหรือด่านตรวจต่างๆ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนต้องเคร่งครัด รวมทั้งการปฏิบัติเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อที่อาจลักลอบเข้ามาในราชอาจักรไทย

สำหรับ การควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ตามแนวชายแดนนั้น ปัจจุบันได้ดำเนินการปฏิบัติโดยการเพิ่มกำลังทหาร ตำรวจ สนธิกำลังกับกองกำลังป้องกันชายแดน อย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เน้นย้ำการวางจุดตรวจพื้นที่ที่สำคัญ เพื่อป้องกันการข้ามเข้ามายังประเทศไทย พร้อมทั้งสั่งการให้ใช้เครื่องมือพิเศษตรวจพื้นที่ และประสานกระทรวงมหาดไทยใช้ชุมชนเข้มแข็งตามแนวชายแดนช่วยตรวจตราแจ้งข้อมูลข่าวสารให้กับทางเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลควบคุมพื้นที่ทหารที่ทำหน้าที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นและเข้มงวดในมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันให้ได้มากที่สุด

ในห้วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน โปรดให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตนตามที่ภาครัฐกำหนดโดยเคร่งครัด งดการออกนอกเคหะสถานในช่วงเวลาที่กำหนดโดยไม่มีความจำเป็น หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from home) อย่างเต็มรูปแบบ ร่วมกันอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ  มีวินัยในการปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค โดยกองทัพไทยพร้อมเคียงข้างพี่น้องประชาชนและจะปฏิบัติภารกิจเพื่อดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน

ทอ.เปิดโรงพยาบาลสนามแห่งใหม่ที่จังหวัดลพบุรี รับมือโควิด มั่นใจมีความพร้อมเปิดรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทันที

 พล.อ.ท. ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด19 ในประเทศไทยแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งมีข้อจำกัดจำนวนเตียงไม่สามารถรองรับกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด19 ที่เพิ่มขึ้น กระทรวงกลาโหมจึงได้สั่งการให้เหล่าทัพจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้น เพื่อรองรับขีดจำกัดของสถานพยาบาลต่าง ๆ 

พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงสั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ (ศป.พรท.ศบภ.ทอ.) เร่งดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อสนับสนุนรัฐบาลและ ศบค.อย่างเร่งด่วน โดยพิจารณาใช้อาคารและสถานที่ และขีดความสามารถของหน่วยที่มีอย่างเต็มความสามารถ 

กองทัพอากาศ ร่วมกับ จังหวัดลพบุรี และ สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี รวมทั้งโรงพยาบาลท่าวุ้งและบริษัท บี.ฟู้ดส์ โปรดักส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด จัดตั้ง ”โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (กองบิน 2) จังหวัดลพบุรี” บริเวณอาคารศูนย์ฝึกภาคพื้นทางยุทธวิธีกองทัพอากาศ กองบิน 2 จำนวน 5 อาคาร เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและสามารถดูแลตัวเองได้ (กลุ่มสีเขียว) รวมทั้งสิ้นจำนวน 400 เตียง โดยแบ่งโซนผู้ป่วยชาย จำนวน 2 อาคาร รวม 160 เตียง และโซนผู้ป่วยหญิง จำนวน 3 อาคาร รวม 240 เตียง พร้อมอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับตัวอาคารมีรั้วกั้นโดยรอบพื้นที่ การกำหนดเส้นทางการเข้าออก ทั้งเส้นทางที่ปลอดเชื้อ และเส้นทางกรณีฉุกเฉิน  ซึ่งมีการซักซ้อมการปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้วนับเป็นโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 5 ของจังหวัดลพบุรี 

กองทัพอากาศขอให้ประชาชนมั่นใจว่า “โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (กองบิน 2) จังหวัดลพบุรี”ได้รับการตรวจและรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตลอดจนมีความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลท่าวุ้ง เป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ได้เปิดให้บริการรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 วันแรก จำนวน 134 คน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา กองทัพอากาศขอยืนยันว่า จะใช้ขีดความสามารถทั้งด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีสุขภาพดีและปลอดภัยจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19

'อนุทิน'​ เปิด 'รพ.สนาม'​ สมุทรปราการ แห่งที่​ 2​ รองรับผู้ป่วยโควิดได้ กว่า 1,200 ราย พร้อมชื่นชมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

(สมุทรปราการ)​ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะเดินทางมายังจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นประธานเปิดโรงพยาบาลสนาม แห่งที่ 2 ของจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีชื่อว่า 'โรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5'​ ซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้มากถึง 1,200 -1,400 คน 

โดยก่อนหน้านั้น นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และคณะผู้บริหารได้เดินทางมาตรวจความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ในเบื้องต้นแล้ว

สำหรับพิธีเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 มีนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้กล่าวรายงาน โดยมีนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นำคณะผู้บริหารโดยมีนายสุนทร ปานแสงทอง รองนายก อบจ.สมุทรปราการ, ดร.พิริยะ โตสกุลวงศ์ รองนายก อบจ.สมุทรปราการ, นายสมลักษณ์ ควรสงวน รองนายก อบจ.สมุทรปราการ, นายสมหวัง เกษมโกสินทร์ เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ, นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ ประธานคณะกรรมการ บริษัท WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และหัวหน้าส่วนราชการคณะสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ, ข้าราชการตำรวจ, ทหาร และแขกผู้มีเกียรติร่วมให้การต้อนรับ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  ขอชื่นชมในการประสานความร่วมมือของจังหวัดสมุทรปราการ ที่สามารถขยายพื้นที่โรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้มากถึง 1,200-1,400 เตียง โดยการประสานความร่วมมือระหว่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ หอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ และบริษัท WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อำนวยความสะดวกเอื้อเฟื้อจัดหาสถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 และความร่วมแรงร่วมใจจนทำให้เกิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 แห่งนี้ โดยมีโรงพยาบาลสมุทรปราการ โดยนายแพทย์ นำพล แดนพิพัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ ดูแลดำเนินการเป็นหลัก

อีกทั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการปรับปรุงสถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วย รวมทั้งสร้างห้องน้ำให้กับผู้ป่วยอีกด้วย ตลอดจนทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมกันผลักดันจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งนี้

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ยังมีความพร้อมในการรองรับผู้ป่วย จำนวนถึง 1,200 คน ประกอบกับการนำรูปแบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยนำมาใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของจังหวัดสมุทรปราการ จึงมีความห่วงใยประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะรับรักษาผู้ป่วยโดยไม่ทอดทิ้งให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักต้องอยู่ที่บ้าน 

ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการทุกรายต้องได้รับการเข้ารักษาในโรงพยาบาล หรือ Home Isolation และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โรงพยาบาลสนามแห่งนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้อีกเป็นจำนวนมาก

ที่มา: คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

'บิ๊กยิ้ม' ประธาน นสช.รุ่นที่1 (NBI EEC1) สถาบันการสร้างชาติ มอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้ 8 โรงพยาบาลในภาคตะวันออก

วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 นักศึกษาสถาบันการสร้างชาติ หลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ ภาคตะวันออก รุ่นที่1 นำโดย พล.ต.ท.ดร.มนตรี ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการบริหาร

คุณพิศมัย ศุภนันตฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรุ่น, คุณธีรวัฒน์ สุดสุข ประธานอำนวยการ, นพ.ชัยวัฒน์ จัตตุพร ประธานยุทธศาสตร์, ดร.ปรีดา บุญศิลป์ ประธานบริหาร, คุณอภิเษก สื่อประเสริฐสุข ประธานจัดการคณะสรรหาสรรสร้างและประชาสัมพันธ์

พร้อมด้วยคณะกรรมการรุ่นและเพื่อนนักศึกษาในหลักสูตร ได้มีพิธีรับมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่ 8 โรงพยาบาล ใน 7 จังหวัด พื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง, โรงพยาบาลแกลง จ.ระยอง, โรงพยาบาลแหลมฉบัง จ.ชลบุรี, โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี, โรงพยาบาลตราด จ.ตราด, โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จ.สระแก้ว, โรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ในชื่อโครงการ “ทำดีด้วยการให้ ต่อลมหายใจ สร้างไทย...สร้างชาติ” ซึ่งเป็นการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานมูลนิธิสถาบันการสร้างชาติ ได้กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำงานช่วยเหลือผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังขาดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทางนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ ภาคตะวันออก (NBI EEC) รุ่นที่ 1 ได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้จัดทำโครงการ “ทำดีด้วยการให้ ต่อลมหายใจ สร้างไทย...สร้างชาติ” เพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ใน ภาคตะวันออก เพื่อช่วยผู้ป่วยต่อไป”

ด้วยความร่วมมือของคณะนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ ภาคตะวันออก (NBI EEC) รุ่นที่ 1 ในครั้งนี้ ได้มีผู้มีจิตศรัทธาจากทุกสารทิศมีส่วนร่วมบริจาค ทำให้โครงการนี้สำเร็จได้ สามารถจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ เครื่องให้ออกซิเจนอัตราไหลสูง (HFO2) พร้อมสาย จำนวน 4 เครื่อง และเครื่องติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพ (ePM12) จำนวน 4 เครื่อง รวมทั้งสิ้น 8 เครื่อง มูลค่ารวมประมาณ 1,600,000 บาท และทำพิธีรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ 8 โรงพยาบาล ใน 7 จังหวัด ภาคตะวันออก ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ คุณปรียนันท์  เจริญรัตน์ (ประธานบริหารคณะประชาสัมพันธ์รุ่น) 
เบอร์โทรศัพท์ 061-9942596 อีเมล์: [email protected]
 
ติดตามข้อมูลสถาบันการสร้างชาติได้ที่ เว็บไซต์ https://nbi.in.th/ หรือ เพจของสถาบันการสร้างชาติ https://www.facebook.com/nationbuildinginstitute/

ที่มา: ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

สหรัฐฯ ยาหอม!! พร้อมยืนข้างไต้หวัน แต่ย้ำชัด!! ไม่หนุนประกาศเอกราช

เมื่อวันอังคาร (6 กรกฎาคม 2021) ได้มีการจัดงานเสวนาทางออนไลน์โดยสถาบัน Asia Society Policy Institute โดยมีการเชิญ 'เคิร์ท แคมเบล' ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานนโยบายภาคพื้นอินโด-แปซิฟิค ประจำทำเนียบขาว เข้าร่วมการประชุม

เสวนาวันนั้น นายแคมเบล ได้กล่าวถึงนโยบายอันแข็งกร้าวขึ้นอย่างมากของจีนในย่านนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยมาช้านานอย่าง 'ไต้หวัน'

ทว่า บางส่วนของถ้อยคำของนายเคิร์ท แคมเบล ได้เผยข้อความสุดชอกช้ำต่อไต้หวัน โดยกล่าวว่า สหรัฐฯ จะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับไต้หวัน และพร้อมสนับสนุนบทบาทของไต้หวันในเวทีโลก...แต่สหรัฐฯ "ไม่ได้สนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน"

เคิร์ท แคมเบล ยังอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ-ไต้หวัน ว่ามีความละเอียดอ่อนในการรักษาสมดุลอำนาจอย่างมาก ถึงแม้ไต้หวันจะเป็นพันธมิตรที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ มาตลอด แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับจีนที่มีจุดยืนชัดเจนเรื่อง 'นโยบายจีนเดียว' ซึ่งรวมถึงเขตปกครองไต้หวันด้วย

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่สหรัฐฯ กับจีนจะร่วมมือกัน หรือต่างคนต่างอยู่อย่างสันติ ทาง เคิร์ท แคมเบล ก็ตอบว่า เขายังเชื่อว่าเป็นไปได้ เพียงแต่อุปสรรคมันเยอะ และมีความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน

นอกเหนือจากการพูดจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไต้หวันแล้ว เคิร์ท แคมเบล ยังพูดการแสดงออกอย่างเปิดเผยของจีน เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับคู่กรณีที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่าง 'ออสเตรเลีย' ที่ตอนนี้มีปัญหาด้านการกีดกันสินค้านำเข้าจากออสเตรเลียอย่างมาก เพื่อตอบโต้การแสดงความเห็น หรือจุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์กับจีน

และยังแสดงความห่วงใยกับสถานการณ์การกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกง และเกรงว่าจีนอาจพยายามที่จะใช้วิธีเดียวกันกับเขตปกครองไต้หวัน ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น และพร้อมจะยืนข้างไต้หวันเพื่อรักษาสิทธิ์การปกครองตนเอง ตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

>> แต่ยังย้ำเช่นเคยว่าจะไม่รับรองการเป็นประเทศเอกราชของไต้หวัน

สำหรับการแสดงความเห็นของนายเคิร์ท แคมเบล ในครั้งนี้ เป็นการพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวันเป็นครั้งแรกนับในยุคสมัยของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่สานต่อนโยบายสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน ที่ดุเดือดขึ้นตั้งแต่สมัยของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งโจ ไบเดน จะมุ่งไปที่ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองซินเจียง และการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกง เป็นวาระสำคัญ

แน่นอนว่าจากคำพูดของเคิร์ท แคมเบล ได้ส่งเสียงสะท้อนแรงไปถึงสถานะของไต้หวันอย่างมาก ที่คาดหวังมาตลอดให้สหรัฐฯ หนุนหลัง รับรองการมีเอกราชของไต้หวันในเวทีโลก เพราะดูเหมือนสุดท้ายสหรัฐฯ ก็มองไต้หวันเป็นเพียงหนึ่งในยุทธศาสตร์การเมือง ที่ใช้เพื่อกดดัน ยั่วยุจีน แต่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการแยกดินแดน หรือเอกราชออกจากจีน ซึ่งอันที่จริงสหรัฐฯ เองก็ไม่เคยมีนโยบายสนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวันมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายที่ต้องระมัดระวังในการรักษาสมดุลของขั้วอำนาจให้ดี ๆ น่าจะเป็น 'ไต้หวัน' ที่ตั้งอยู่บนทางแพร่งอันตรายที่สุดของสงครามระหว่างสหรัฐฯ - จีน

และคนที่ไว้ใจหวังพึ่งได้นั้น อาจไม่เคยมีอยู่จริงเลยก็เป็นได้...

อ้างอิง : Taiwan News / South China Morning Post

ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ นักแปล นักเล่าข่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'พรรคกล้า' ชี้ !! พบปัญหาชาวบ้านต่อคิวข้ามวันข้ามคืน ซ้ำพบซื้อ-ขายคิว วอนหน่วยงานฯ เร่งแก้ไขวิธีจัดการคิวโดยด่วน

เอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า หรือ โอเล่ แสดงความชื่นชมผู้ว่าฯ อัศวิน ที่เปิดศูนย์ตรวจโควิด-19 เชิงรุกทั่วกรุงเทพฯ แต่เป็นห่วงในเรื่องของการจัดการเช่นกัน

ขณะนี้การตรวจของแต่ละศูนย์ยังจำกัดจำนวนของผู้เข้ารับการตรวจต่อวัน ซึ่งไม่มีการแจ้ง หรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้เข้ารับการตรวจ และพี่น้องประชาชนทั่วไปให้ทราบ ว่าต่อวันตรวจได้จำนวนเท่าไร

บางศูนย์ฯ 900 คนต่อวัน บางศูนย์ฯ 600 คนต่อวัน แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ การที่ได้เห็นพี่น้องประชาชนมารอต่อคิวกันตั้งแต่ ก่อนเวลาตรวจ บางรายมารอตั้งแต่ 1 ทุ่ม บางรายมารอตี 2 ก่อนที่ศูนย์ฯ จะเปิดให้ทำการในเวลา 08.00 น. ของอีกวัน แต่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ขณะนี้มีการซื้อขายคิว เพื่อได้รับการตรวจกันแล้ว ในราคา 200 – 500 บาท

"ผมขอเสนอแนวทางการจัดการ คือ พี่น้องประชาชนสามารถมารับบัตรคิวก่อนล่วงหน้า และในบัตรคิวนั้นให้ระบุ วัน เวลา ที่ได้รับการตรวจไว้เลย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างที่กล่าวมาข้างต้นที่พี่น้องประชาชนต้องมารอคิวกันแบบข้ามวันข้ามคืน และตัดวงจร ธุรกิจที่ ซื้อ ขายคิวตรวจได้ด้วย เพราะสถานการณ์แบบนี้ทุกคนต้องร่วมมือกัน คนละไม้คนละมือ และต้องผ่านไปด้วยกันให้ได้" นายเอกชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top