Wednesday, 15 May 2024
NEWS FEED

วธ.-มธ.ส่งเสริมคนรุ่นใหม่ศึกษา เรียนรู้งานประณีตศิลป์โขน ยก“เครื่องโขน”ทั้งงานโบราณอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี และงานร่วมสมัยมาจัดแสดงกว่า 100 ผลงาน

วธ.-มธ.ส่งเสริมคนรุ่นใหม่ศึกษา เรียนรู้งานประณีตศิลป์โขน ยก“เครื่องโขน”ทั้งงานโบราณอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี และงานร่วมสมัยมาจัดแสดงกว่า 100 ผลงาน ชม“ศีรษะกุมภกรรณ” อายุ 135 ปี “เศียรพระคเณศ” ผลงานของครูชิต แก้วดวงใหญ่ “ศีรษะทศกัณฐ์หน้าทองเขี้ยวแก้ว” และ “ศีรษะหนุมานหน้ามุก” ฝีมือช่างยุครัชกาล 6 ตั้งแต่วันที่ 3 – 25 มี.ค. นี้ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน

วันที่ 3 มีนาคม 2565 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์  ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดนิทรรศการ “วิจิตราภรณ์และงานประณีตศิลป์แห่งโขน” พร้อมด้วยนางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารสถาบันไทยคดีศึกษาและผู้บริหารคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าร่วม ณ ชั้น 2 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพฯ

นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์  กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมมีภารกิจด้านการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ตามนโยบายของนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยได้ดำเนินงานสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อการอนุรักษ์และพัฒนา“โขน” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ทรงพระโปรดเกล้าฯให้มีการศึกษาข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวข้อง เช่น การแสดงโขนตามแบบโบราณราชประเพณี เครื่องแต่งกายโขนละครโบราณ ตลอดจนพัฒนาและส่งเสริมให้การแสดงโขนเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติและเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศรับรองให้ “โขน” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2561
ดังนั้น วธ.โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กรมศิลปากร และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับ สถาบันไทยคดีศึกษา และคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดนิทรรศการ “วิจิตราภรณ์และงานประณีตศิลป์แห่งโขน” ตั้งแต่วันที่ 3 – 25 มีนาคม 2565 เข้าชมได้ทุกวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 10.00-19.00 น. ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นิทรรศการ “วิจิตราภรณ์และงานประณีตศิลป์แห่งโขน จัดขึ้นเพื่อนำเสนอคุณค่าของ “เครื่องโขน” ทั้งงานโบราณและงานร่วมสมัยโดยช่างฝีมือเครื่องโขนโบราณแต่ละท่านมีเอกลักษณ์ในการสร้างสรรค์งานในแบบฉบับของตนเอง ขณะเดียวกันช่างฝีมือเครื่องโขนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์ศีรษะโขนและออกแบบเครื่องแต่งกายขึ้นใหม่ แต่ยังคงอิงลวดลายที่เป็นประเพณีไทยดั้งเดิมอยู่ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ศิลปะอันงดงามประณีตโดยเฉพาะลวดลายและวิธีการสร้างสรรค์งานของคนรุ่นเก่า สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ที่มีใจรักการแสดงโขนและงานศิลปวัฒนธรรมไทย ภายในงานจัดแสดงเครื่องโขนโบราณในส่วนของศีรษะโขนที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่ “ศีรษะกุมภกรรณ”หน้าทองแดงซึ่งยืมมาจากพิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว จ.เชียงราย อายุ 135 ปี “เศียรพระคเณศ” ผลงานของครูชิต แก้วดวงใหญ่ และศีรษะโขนในตำนาน คือ“ศีรษะทศกัณฐ์หน้าทองเขี้ยวแก้ว” ที่เก็บรักษาไว้ที่สำนักการสังคีต กรมศิลปากร และ“ศีรษะหนุมานหน้ามุก” สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นของกรมมหรสพมาแต่เดิม รวมทั้งเครื่องประดับโขนโบราณสมัยรัชกาลที่ 6 ชุดห้อยหน้ารูปหัวกะโหลกพระคเณศและเครื่องแต่งกายโขนโบราณชุดของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเครื่องโขนโบราณงานฝีมือชั้นครูอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี

สปสช. เผยรายละเอียดแนวทาง รักษาโควิดไม่มีอาการ แบบผู้ป่วยนอก จ่ายยารักษาตามอาการ ก่อนให้กลับไปกักตัวที่บ้าน

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ข้อมูลกรณี เจอ-แจก-จบ ระบุ เป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยระบบ Tele-health ดังนี้ 

หลังจากผู้ที่สงสัยป่วยโควิด-19 ตรวจ ATK แล้วหากพบผลเป็นบวก (เจอ) ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ แพทย์จะพิจารณาจ่ายยารักษาตามอาการ 3 สูตร (แจก) ได้แก่ 

1.) ยาฟ้าทะลายโจร 
2.) ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก 
3.) ยาฟาวิพิราเวียร์ (การจ่ายยาขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ของแพทย์) 

แพทย์จะแนะนำการดูแลรักษาต่อไป จ่ายยาแล้วให้ กลับมากักตัวที่บ้าน (จบ) แต่หน่วยบริการยังให้ผู้ป่วยดูแลป้องกันตนเองเหมือนเดิม และติดตามอาการ 1 ครั้งใน 48 ชั่วโมง

การดูแลผู้ป่วยโควิด-19 แบบผู้ป่วยนอก (OPD) เริ่มวันที่ 1 มี.ค. 65 โดยจะใช้การรักษาแบบผู้ป่วย (OPD) มาเสริม สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการและไม่มีภาวะเสี่ยง สามารถรักษาแบบ OPD และแยกกักตัวเองที่บ้านได้ โดยระบบการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 การรักษาจะมีการติดตามประเมินอาการ 48 ชั่วโมง หากอาการดีขึ้นทุกอย่าง ก็จะให้ผู้ป่วยแยกกักตัวที่บ้านต่อจนครบกำหนดระยะเวลากักตัว

'วอย' ขึ้น!! ฝากถึง 'กระติก' หลังฟังสัมภาษณ์ “คนแบบคุณไม่มีคุณสมบัติจะทำอาชีพนี้”

หลังจากที่ได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของ กระติก-อิศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ เพื่อนสนิทและเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ ในหลายๆ ประเด็น เกี่ยวกับกรณีที่ แตงโม นิดา พลัดตกเรือสปีดโบ๊ทจมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยอดีตนักร้อง วอย-เกรียงไกร อังคุณชัย ได้ออกมาฟาดกลับแบบจุกๆ ว่า...

ผมขอใช้ช่องทางนี้สื่อสารถึงคุณกระติกนะครับ รู้สึกคุณเป็นเฟรนด์กับผมในเฟซบุ๊กด้วย (เคยเห็นคุณแว้บๆ ในหน้าฟีดผม) แต่ผมไม่รู้จักคุณ ไม่รู้ชื่อเฟซคุณ เลยไม่สามารถแท็กคุณได้ แต่หวังลึกๆ ว่าคุณจะผ่านมาเห็น เผื่อจะเรียกสติ และทำให้คุณคิดได้บ้าง..

กต.คุณให้สัมภาษณ์บอกแม่น้องว่า...

“ที่ไม่ได้ดูแลโมในวันเกิดเหตุ เพราะวันนั้นไปในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ฐานะผู้จัดการส่วนตัว” 

ผมขอพูดบ้างนะครับ คำตอบคุณน่าสะอิดสะเอียนมาก ตั้งแต่ผมมีผู้จัดการส่วนตัวมาตั้งแต่วัยเด็ก รวมถึงผู้จัดการส่วนตัวดารา-ศิลปินท่านคนอื่นๆ ที่ผมรู้จัก “ทุกคน” เค้าจะมีสัญชาตญาณที่พร้อมปกป้องคนของเค้าเสมอ ไม่ว่าจะไปในสถานที่ใดก็ตาม (ทำงานหรือเที่ยว) “เค้าจะห่วงเราคนแรกเสมอ”

เค้าพร้อมจะดูแล ปกป้องเราตลอดเวลาตามสัญชาตญาณของเค้า 

แต่…ดูสิ่งที่คุณตอบแม่น้องโมสิ...ตรรกะคุณโคตรแย่ เห็นแก่ตัว และไม่มีความสำนึกจากแก่นแท้เลย

เลขาธิการสภากาชาดไทย เปิดโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่ สภากาชาดไทยฯ จังหวัดชัยนาท

(2 มี..65) นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่สภากาชาดไทย ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีนายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท พร้อมด้วยนาวาเอกหญิงอินทิรา ตันเจริญ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชัยนาท และพลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด โครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่สภากาชาดไทยฯ ในครั้งนี้จัดขึ้น เพื่อทำการตรวจรักษาและผ่าตัดตาให้แก่ประชาชนผู้ด้อยโอกาสโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2565 ณ เทศบาลตำบลเนินขาม อำเภอเนินขาม จังหวัดชัยนาท

นายเตช บุนนาค กล่าวว่า หน่วยแพทย์จักษุศัลยกรรมสภากาชาดไทย ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 27 ปีแล้ว โดยเริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ..2538 เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 40 พรรษา ปัจจุบันปฏิบัติงานทุกสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน เป็นประจำที่สถานีกาชาดที่ 6 อรัญประเทศเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดสระแก้ว โครงการนี้ได้รับการปรับปรุงและพัฒนางานมาเป็นลำดับ โดยปฏิบัติงานเชิงรุกด้วยการออกให้บริการสัญจร โดยออกปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลอำเภอในพื้นที่ห่างไกลและไม่มีจักษุแพทย์ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน และต่อมาในปี 2551 ได้เริ่มโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่ฯ ปฏิบัติงานในรูปแบบการนำรถผ่าตัดเคลื่อนที่ ลงไปปฏิบัติงานเชิงลึกระดับตำบล ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ปีละ 6 ครั้ง และอีกทั้ง เมื่อปี 2554 ยังได้จัดทำโครงการที่ตรวจรักษาและผ่าตัดตา ให้แก่พระภิกษุ แม่ชี และนักบวชทุกศาสนาอีกด้วย ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา หน่วยแพทย์จักษุฯ ให้การรักษาโดยไม่คิด ค่าใช้จ่ายไปแล้วกว่า 265,000 ราย ทำการผ่าตัดไปแล้วกว่า 67,000 ราย

สำหรับการดำเนินงานโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่ สภากาชาดไทยฯ ครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติงานครั้งที่ 71 ซึ่งสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับจังหวัดชัยนาท สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดชัยนาท โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท ส่วนราชการทุกภาคส่วนและเทศบาลตำบลเนินขาม ตลอดจนภาคเอกชน มีเป้าหมายในการดำเนินงานให้บริการตรวจรักษาโรคตา ผ่าตัดโรคต้อกระจก และทำผ่าตัดโรคตาอื่นๆ เช่น ต้อเนื้อ ต้อหิน โรคของเปลือกตาในผู้ป่วยทุกรายที่จำเป็นต้องรักษา จำนวน 250 ราย เพื่อให้ผู้ป่วยโรคตาในท้องถิ่นทุรกันดารและมีฐานะยากจนได้รับบริการที่ดีเท่าเทียมกับผู้ป่วยในเมืองโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและไม่เสียเวลาในการเดินทางมารับการรักษาในเมือง และผู้สูงอายุที่ยากไร้ในชนบทได้รับการตรวจรักษาอย่างถูกต้อง สามารถมองเห็นและช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

‘อับราโมวิช’ ปักป้ายขาย ‘เชลซี’ เล็งนำรายได้ช่วยเหยื่อสงครามยูเครน

โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการในการขาย "สิงห์บลูส์" เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คาดว่าตั้งราคาอยู่ที่ 3,000 ล้านปอนด์ โดยสั่งการให้ เดอะ เรน กรุ๊ป ธนาคารจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของเขา เป็นผู้ดูแลเรื่องการซื้อขายดังกล่าว

ตามการรายงานจาก "สกายสปอร์ต" สื่อชั้นนำของอังกฤษ ระบุว่า "เสี่ยหมี" มีความต้องการที่จะขาย เชลซี ให้แก่กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และไม่มีความสนใจที่จะขายทีมให้กับกลุ่มทุนจากฝั่งเอเชีย หรือยุโรปตะวันออก

ล่าสุดเจ้าตัวออกมาแถลงผ่านสื่ออย่างเป็นทางการว่าต้องการที่ขายสโมสรเชลซีจริง โดยระบุว่า "ผมได้ตัดสินใจขายสโมสร ซึ่งผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทุกคนที่นั่น" 

"การขายสโมสรจะเป็นไปตามกระบวนการที่กำหนด สิ่งนี้ไม่เคยเกี่ยวกับธุรกิจหรือเงิน แต่เกี่ยวกับความหลงใหลในเกม และหลงใหลในสโมสรอย่างแท้จริง"

"ผมได้สั่งการให้ทีมงานตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อบริจาครายได้สุทธิทั้งหมดจากการขายสโมสร เพื่อช่วยเหลือเหยื่อของสงครามในยูเครน"

"นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมากๆ และผมก็ลำบากใจที่ต้องทำแบบนี้ แต่นี่จะเป็นผลประโยชน์สูงสุดของสโมสร"

"ผมหวังว่าจะได้ไปเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อบอกลาพวกคุณด้วยตัวของผมเอง ถือเป็นสิ่งที่พิเศษตลอดชีวิตที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ เชลซี ผมภูมิใจในความสำเร็จทั้งหมดของสโมสรเชลซี และกองเชียร์ที่นี่จะอยู่ในใจผมเสมอ" เสี่ยหมี กล่าวทิ้งท้าย

‘นักวิชาการ’ เปิดข้อมูล 'ใครยืนข้างใคร' ในสงครามยูเครน ชี้ ประเทศไม่คว่ำบาตรรัสเซียเป็นคนกลุ่มใหญ่ของโลก

3 มี.ค. 65 ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "ใครยืนอยู่ข้างใคร ณ เวลานี้?" โดยระบุว่า... 

ประเทศที่คว่ำบาตรรัสเซียมี ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกคือชาตินักล่าอาณานิคม ซึ่งมักเรียกตนเองว่าเป็นผู้นำโลก (World Leaders) หลักๆ ก็คือพวกอียู ผมได้อธิบายแล้วว่าพวกนี้ เป็นพวกชนกลุ่มน้อย เมื่อรวมประชากรแล้ว มีอยู่ประมาณ ๙๐๐ กว่าล้านคนเท่านั้น https://www.youtube.com/watch?v=Du2qqfzFwIw

กลุ่มที่ ๒ คือประเทศบริวารของกลุ่มแรก มีทั้งประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นหรือแพ้สงครามอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เป็นต้น

ส่วนชาติที่ไม่คว่ำบาตรรัสเซีย มีมากกว่าครับ คือ
ก.กลุ่มประเทศ BRICS ได้แก่ อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้ แค่นี้ก็คิดเป็น ๔๑% ของประชากรโลกทั้งหมดแล้ว
ข.กลุ่มประเทศ OSC ได้แก่คาซักสถาน,เบลารุส, ทาจิกิสถาน, อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน
ค.กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ได้แก่คิวบา, เวเนซุเอลา, นิคารากัว, แม็กซิโก, อาร์เจนตินา, กัวเตมาลา, โคลัมเบีย, ชิลี, เปรู
ง.กลุ่มประเทศเอเชีย ยกเว้นสิงคโปร์
จ.กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ได้แก่ซีเรีย, อิรัก,อิหร่าน, อียิปต์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย
ฉ.กลุ่มประเทศบอลข่าน คือ เซอร์เบีย, บอสเนีย, เฮอเซโกวินา
ช.ประเทศในกลุ่มอียู ได้แก่ ฮังการี
ซ.ประเทศเอเชียที่มีเอกราชอื่นๆ เช่น เกาหลีเหนือ

‘ก.เกษตร’ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู่แล้ง บรรเทาภัยแล้งทั่วประเทศ

เจ้ากระทรวงเกษตรฯ เปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจำปี 2565 สร้างขวัญและกำลังใจต่อผู้ปฏิบัติงาน พร้อมปล่อยขบวนคาราวานเครื่องบินฝนหลวงออกปฏิบัติภารกิจป้องกันและบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้งและภัยพิบัติทั่วประเทศ

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการฝนหลวงสู้ภัยแล้ง ประจำปี 2565 โดยมีผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ สนามบินนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ วันนี้ (3มี..) ว่า

ในขณะนี้หลายพื้นที่ทั่วทุกภาคของประเทศเริ่มมีสถานการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้น น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนต่างๆ มีปริมาณน้ำเก็บกักลดลงตามลำดับ และในช่วงฤดูร้อนนี้ มีแนวโน้มของสถานการณ์การเกิดไฟป่า ปัญหาหมอกควัน และปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมไปถึงแนวโน้มการเกิดพายุลูกเห็บในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จึงได้จัดทำแผนปฏิบัติการฝนหลวง ประจำปี 2565 ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 10 หน่วยปฏิบัติการทั่วประเทศ โดยได้น้อมนำศาสตร์ตำราฝนหลวงพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติการป้องกันและช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว

สำหรับแผนปฏิบัติการฝนหลวง ประจำปี 2565 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร มีแผนปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้ง และสร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ การเติมน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำและเขื่อนต่าง ๆ ของประเทศ ป้องกันการเกิดไฟป่าและบรรเทาปัญหาหมอกควัน รวมทั้งสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐาน ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป โดยตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงประจำ 5 ภูมิภาค จำนวน 10 หน่วยปฏิบัติการ ได้แก่…

- ภาคเหนือตอนบน ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ตาก

- ภาคเหนือตอนล่าง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.แพร่ และ จ.พิษณุโลก

- ภาคกลาง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.นครสวรรค์ และ จ.กาญจนบุรี

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.อุดรธานี

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.บุรีรัมย์

- ภาคตะวันออก ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ จ.จันทบุรี

- ภาคใต้ ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งฐานเติมสารฝนหลวง จำนวน 2 แห่ง ที่ จ.ขอนแก่น และ จ.ระยอง โดยใช้เครื่องบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน 24 ลำ และได้รับการสนับสนุนเครื่องบินกองทัพอากาศ ชนิด ALPHA JET จำนวน 1 ลำ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา กรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้มีการจัดตั้งปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 4 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อติดตามสถานการณ์และช่วงชิงสภาพอากาศในการปฏิบัติการฝนหลวงช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและความต้องการน้ำในบางพื้นที่ รวมถึงสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนืออีกด้วย

เชื่อฝ่ายไหนดี?!! ‘เซเลนสกี’ อ้างทหารรัสเซียแล้วตายกว่า 9 พัน แต่มอสโกบอกแค่ 498 แถมปลิดชีพฝ่ายยูเครน 2.8 พัน

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ระบุในวันพุธ (2 มี.ค.) คุยโวว่าประเทศของเขาได้ทลายแผนการต่างๆ ของรัสเซีย และรู้สึกภาคภูมิใจกับ "เหล่าวีรชน" ที่ช่วยกันต้านทานการรุกรานของมอสโก พร้อมอ้างว่าเวลานี้มีทหารรัสเซียสังเวยชีวิตไปแล้วกว่า 9,000 นาย สวนทางกับมอสโกที่บอกว่าพวกเขาสูญเสียกำลังพลไปในการสู้รบเพียง 498 นาย

เซเลนสกี กล่าวในวิดีโอที่โพสต์ลงบนเทเลแกรม ว่า "เราคือประเทศที่ทำลายแผนของศัตรูใน 1 สัปดาห์ แผนที่เขียนกันมานานหลายปี แผนลับๆ ล่อๆ เต็มไปด้วยความเกลียดชังประเทศของเรา ประชาชนของเรา"

ประธานาธิบดีรายนี้ระบุต่อว่า เขาชื่นชมด้วยความจริงใจ "พวกชาวบ้านวีรชนตามเมืองต่างๆ" ที่ต่อต้านขัดขืนการรุกคืบของกองกำลังรัสเซีย

เขาอ้างอีกว่ามีทหารรัสเซียราว 9,000 นายเสียชีวิตนับตั้งแต่ปฏิบัติการรุกรานเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน แต่เป็นคำกล่าวอ้างที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

จากนั้น เซเลนสกี ได้โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ เผยว่าเขาได้พูดคุยกับ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา และขอบคุณเขาสำหรับการเป็นแกนนำในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อต้านรัสเซีย "เน้นย้ำถึงความจำเป็นต้องยกระดับมาตรการจำกัดต่างๆ ให้หนักหน่วงขึ้น การทิ้งระเบิดใส่ประชาชนในยูเครนต้องหยุดลงในทันที"

“ผบ.ทบ.” ต้อนรับ เอกอัครราชทูตอินเดีย สะท้อนมิตรภาพที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้การต้อนรับ นางสุจิตรา ทุไร (Suchitra Durai) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมแนะนำตัว หารือแลกเปลี่ยนแนวคิดและความร่วมมืองานด้านความมั่นคง โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบกร่วมหารือด้วย ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 

สำหรับการพบหารือกันในวันนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงโอกาสครบรอบ 75 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอินเดีย ในปี 2565 นี้ พร้อมระบุว่า กองทัพบกมีความยินดีและเต็มใจให้การสนับสนุนในทุกด้านที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรมความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงผ่านกลไกต่างๆ เพื่อนำไปสู่มิตรภาพที่ยั่งยืน นอกจากนี้ในเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ที่เป็นเรื่องสำคัญถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่อุบัติขึ้นมาไม่นาน รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทดังกล่าว โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ 

ในส่วนของการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้บัญชาการทหารบกได้ชื่นชมในการบริหารจัดการของสาธารณรัฐอินเดีย ในการเป็นศูนย์กลางผลิตวัคซีนให้กับประเทศต่างๆ อีกทั้งตลอดสองปีของการแพร่ระบาด ทั้งสองประเทศได้มีการสนับสนุนและมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงเครื่องผลิตออกซิเจนให้แก่กันมาอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงความเอื้ออาทรและร่วมกันดูแลประชาชนในฐานะมิตรประเทศ

สำหรับความร่วมมือในด้านความมั่นคง กองทัพบกไทยและกองทัพอินเดียได้มีการจัดประชุมระดับฝ่ายเสนาธิการ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน  จัดการฝึกผสมภายใต้รหัส “ไมตรี” รวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรทางทหารนอกจากนี้เชื่อมั่นว่ากองทัพบกทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันทั้งในงานด้านความมั่นคง การร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤติ รวมทั้งการพัฒนาด้านต่างๆ 
ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากลต่อไป 

ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชงรัฐเร่งแก้วิกฤตโรงเรียนเอกชน ก่อนปิดสังเวยโควิด100%

ผู้ตรวจการแผ่นดินระดมสรรพกำลังหามาตรการเยียวยาบรรเทาทุกข์โรงเรียนเอกชนระยะสั้น - ยาว ผลพวงวิกฤตโควิดหนัก หวั่นไม่นานอาจปิดฉากยุบตัวจ่อกระทบครูและบุคลากรทางการศึกษาแสนกว่าชีวิต นักเรียนร่วมสองล้านคน หวังมาตรการระยะสั้นวอนรัฐช่วยพยุงปรับลดค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าไฟค่าน้ำ และเงินทุนกู้หมุนเวียน ส่วนระยะยาวขอรับเงินอุดหนุนค่าธรรมเนียมการศึกษารายบุคคล ลดหย่อนภาษีให้กับผู้บริจาคจำนวนสองเท่า อุดหนุนค่าอาหารกลางวันเด็ก 100 เปอร์เซ็นต์ ตลอดจนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและดอกเบี้ยต่ำ พร้อมเร่งชงทางออกเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรี

ที่สำนักผู้ตรวจราชการแผ่นดิน ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะกรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อสภาพคล่องของโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ จำนวน 3,563 แห่ง ทำให้โรงเรียนเอกชนบางแห่งทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพจำเป็นต้องปิดกิจการเพราะไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายต่อไปได้เนื่องจากนักเรียนสมัครเรียนน้อยลง ผู้ปกครองค้างชำระค่าธรรมเนียมจำนวนมาก สร้างผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนอย่างมหาศาล ช่วงเดือนเมษายน 2564 ถึงปัจจุบัน โรงเรียนเอกชนไม่สามารถเปิดเรียนแบบ ONSITE ได้ การเปิดการเรียนการสอนแบบ ONLINE ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากเรียกร้องขอเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาคืน อีกทั้งผู้ปกครองบางส่วนค้างจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษาให้กับโรงเรียนเอกชนกว่า 2,500 แห่ง ทำให้โรงเรียนขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนครูถึงแม้ว่าจะพยายามยื่นกู้จากสถาบันการเงินแต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันสถาบันการเงินจึงไม่อนุมัติเงินกู้ให้กับโรงเรียนเอกชนบางแห่ง ส่วนบางแห่งได้รับเงินกู้แต่ถูกคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินไป ปัญหาดังกล่าวได้มีการเลิกจ้างครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว จำนวน 12,253 คน หากปัญหานี้ปล่อยวางจะกระทบถึงโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทยและผู้ปกครองจำนวนมากที่พึ่งโรงเรียนเอกชนเป็นสถานศึกษาทางเลือก โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาบางส่วนที่กล่าวไปยังมีเรื่องอื่น ๆ ตามมาจำนวนมาก ในการนี้จึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมสรรพากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของโรงเรียนเอกชนให้สามารถบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอดและยั่งยืนภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ 

โดยผู้ตรวจการแผ่นดินร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องได้เสนอแนะการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้ การแก้ไขปัญหาระยะสั้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ดำเนินการประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ การขอลดค่าน้ำ-ค่าไฟร้อยละ 50 ให้กับโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นชั่วคราว การขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินในการกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขการกู้จากสถาบันการเงินให้โรงเรียนเอกชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและดอกเบี้ยต่ำ เพื่อแก้ปัญหาขาดสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ และขอให้รัฐเร่งรัดจัดสรรงบประมาณชดเชยรายได้ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน 5,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ในระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563)

การแก้ไขปัญหาระยะยาว มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ เงินอุดหนุนค่าธรรมเนียมการศึกษารายบุคคลของนักเรียนโรงเรียนเอกชน ให้ภาครัฐอุดหนุน 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 2 ปี เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด 19 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โรงเรียนสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติแล้วจึงปรับลดเงินช่วยเหลือเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ ตามเดิม ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประสานกรมสรรพากร จัดประชุมเพื่อศึกษาหารือรายละเอียด เงื่อนไข และแนวทางปฏิบัติ กรณี การลดหย่อนภาษีจำนวนสองเท่าสำหรับผู้บริจาคเงินเพื่อการศึกษาให้กับโรงเรียนเอกชน รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้หน่วยรับสิทธิได้รับทราบแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ตลอดจนแจ้งผู้บริจาคให้ทราบถึงสิทธิ และการลดหย่อนภาษีสองเท่าของจำนวนการบริจาคตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 713) พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ขอให้กรมสรรพากรพิจารณาความสำคัญและขยายโครงการต่อไปในปี พ.ศ. 2565

การส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการครูโรงเรียนเอกชน ให้รัฐพิจารณาหาแนวทางเพื่อให้ครูโรงเรียนเอกชนที่ใช้สิทธิสวัสดิการกองทุนสงเคราะห์สามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในส่วนที่เกินสิทธิได้ โดยสามารถใช้สิทธิบัตรทองเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงควรมีการศึกษาและปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ครูโรงเรียนเอกชนสามารถพิจารณาทางเลือกว่าจะใช้สิทธิบัตรทอง หรือประกันสังคม และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเร่งรัดการศึกษาวิจัยร่วมกับสภาการศึกษาและวางแผนเกี่ยวกับการเพิ่มเงินเดือนครูโรงเรียนเอกชนในอัตราที่เหมาะสม เพื่อที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะได้นำเสนอหลักการต่อรัฐบาลให้พิจารณาเมื่อสถานการณ์ปกติและฐานะทางการเงินการคลังของรัฐบาลดีขึ้นแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top