Monday, 1 July 2024
NEWS FEED

ด่วน! บุคลากรศิริราชติดเชื้อโควิด-19 ฮือ!! สุ่มตรวจเชื้อในเจ้าหน้าที่และบุคลากรเกือบร้อยรายว่า ด้าน ‘หมอประสิทธิ์’ เตรียมแถลงรายละเอียดพรุ่งนี้ (19 ม.ค.)

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พบบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งต่อมาต้องมีการสุ่มตรวจเชื้อในเจ้าหน้าที่และบุคลากรเกือบร้อยรายว่า ล่าสุดได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว และในวันพรุ่งนี้ (19 มกราคม 2564) ภายหลังจากการแถลงความคืบหน้าอาการป่วยของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร จะมีการแถลงรายละเอียดในเรื่องนี้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการพบบุคลากรทางการแพทย์ของ โรงพยาบาลศิริราช ติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ป่วย โดยในไทม์ไลน์ระบุว่า เมื่อวันพฤหัสที่ 14 มกราคม มีเจ้าหน้าที่ภาควิชาพยาธิวิทยา ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 8 ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย โดยให้ประวัติว่ามีคนในชุมชนใกล้ๆ ติดเชื้อมากกว่า 1 คน

ต่อมามีการตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (high risk closed contact) ของผู้ป่วยรายนี้ จำนวน 16 คน พบว่า มี 4 ราย ที่มีอาการ URI (โรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบหายใจส่วนต้น) โดยพบเชื้อ 3 ราย ส่วนอีก 1 ราย ที่ตรวจไม่พบเชื้อ มีอาการเหนื่อย และออกซิเจนต่ำ จึงจะขอตรวจซ้ำ โดยทั้ง 3 ราย แอดมิดอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ส่วนอีก 12 ราย ที่ Asymptomatic หรือ ไม่มีอาการ พบเชื้อ 1 ราย กำลังอยู่ในขั้นตอนติดตามตัว เพื่อนำเข้ารักษาในโรงพยาบาล ขณะที่ผู้ที่ตรวจไม่พบเชื้อจะต้องถูกกักตัว 14 วัน และตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง นอกจากนี้ ได้มีการสุ่มตรวจเจ้าหน้าที่ในภาควิชาพยาธิวิทยาอีก 60-80 คน

สำหรับผู้ติดเชื้อทุกรายมีประวัติสำคัญคือ ‘รับประทานอาหารร่วมกัน’ หรือ ‘พูดคุยกันโดยไม่สวมหน้ากาก’ กับผู้ป่วยรายแรก

รมว.ดีอีเอส ยันไม่มีความขัดแย้งกับทีมอาสาพัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ชี้ไม่ใช่การถอนตัว แต่ส่งมอบให้รัฐดูแลทั้งระบบ เพื่อต่อยอดทำให้ดีกว่าเดิม พร้อมย้ำให้กรมควบคุมโรคหน่วยงานเดียวเป็นคนอัพเดทสีพื้นที่

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล(สพร.) ดร.นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล และนายสมโภช อาหุนัย ทีมผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ร่วมแถลงข่าว ประเด็นที่สังคมมีคำถาม เรื่องแอปพลิเคชัน “หมอชนะ”

รมว.ดีอีเอส ยืนยันว่า ได้ทำงานพัฒนาแอปพลิเคชัน หมอชนะ ร่วมกันกับทีมอาสากว่า 100 ชีวิต ตลอดเวลาเกือบ 1 ปี และทุกวันนี้ยังหารือการทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ก็ยังทำงานมาด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งการส่งมอบการดูแลระบบแอปพลิเคชันนั้น เนื่องด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชัน หมอชนะ ได้ส่งมาทาง สพร. ที่เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการใช้งาน 30-40 ล้านคน และยังพัฒนาต่อเนื่องเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น ใช้กับประชาชนทั้งประเทศได้

เมื่อถึงวันนี้รัฐบาลรับช่วงต่อมา เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเก็บข้อมูลต้องใช้บุคลากรจำนวนมากและต้องทำให้เกิดคุณภาพ ทางทีมพัฒนาและสพร. ที่ส่งมอบมาให้ทำต่อนั้น เนื่องจากขนาดการใช้งานใหญ่ขึ้นให้ประชาชนทั้งประเทศได้ใช้ และต้องทำในระยะยาว จึงต้องโอนถ่ายมาให้รัฐบาลรับผิดชอบทำให้เป็นระบบ รัดกุมทางกฎหมาย และบริหารทั้งงบประมาณและบุคลากรทั้งหมดให้สมบูรณ์ มีประสิทธิภาพ

นายพุทธิพงษ์ ให้ความเชื่อมั่นการใช้งานแอปพลิเคชัน หมอชนะ ว่า การทำงานของแอปพลิเคชัน ฟังก์ชัน สีสถานะเพื่อการติดตามสอบสวนโรคซึ่งหลังจากนี้ต้องตั้งเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นในการทำงานให้สามารถรองรับการใช้งานที่ขยายในการใช้มากขึ้น ยังคงรณรงค์ให้ประชาชนใช้งานแอปมากขึ้น เพราะเป็นประโยชน์มาก เมื่อใช้แอป และเมื่อมีคนติดเชื้อ การสอบสวนโรคจะรวดเร็วมากและควบคุมสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

ด้าน ดร.อนุชิต และนายสมโภชน์ กล่าวขอบคุณประชาชนที่แสดงความห่วงใยทีมงานผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน หมอชนะ และขอบคุณที่ประชาชนให้ความร่วมมือในการโหลดและใช้งานแอปพลิเคชัน ในการต่อสู้ในสงครามโควิด ซึ่งทีมอาสาสมัครหมอชนะ ได้พัฒนาแอปพลิเคชันมาระยะหนึ่ง และจำเป็นต้องส่งต่อให้ รัฐบาลในการใช้งานและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยทีมอาสาสมัครผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน หมอชนะ ขอบคุณทั้งรมว.ดิจิทัลฯ ปลัดกระทรวงดิจิทัล และสพร. รวมถึงกรมควบคุมโรค ทำงานกันมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ ปี 63 จนเมื่อถึงระดับการใช้งานที่ขยายมากขึ้นจึงส่งต่อให้ทางรัฐบาลดูแลและใช้งานอย่างเป็นทางการ และสิ่งสำคัญคือต้องมีกระบวนการการสื่อสารที่ชัดเจนและมาในทิศทางเดียวกัน ไม่ทำให้เกิดความสับสน พร้อมกันนี้ ขอให้คนไทยร่วมมือกันใช้แอปพลิเคชันหมอชนะนี้ ในการช่วยต่อสู้กับโควิดอย่างจริงจัง ให้เราชนะให้ได้

ขณะเดียวกัน รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยัน ได้ทำงานร่วมกันกับคณะทำงานผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน กับทางสพร. มาตั้งแต่ต้น ซึ่งเรื่องการเปลี่ยนสีสถานะของแต่ละบุคคล ต้องผ่านคนกลางที่เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมโรคแต่ละพื้นที่ ส่งข้อมูลไปยังกระทรวงดิจิทัลฯ หากมีการเปลี่ยนสี และส่งต่อไปให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน อัพเดทข้อมูลสถานะสีให้ และจะเปลี่ยนสี ก็ต่อเมื่อโรงพยาบาลได้ยืนยันการติดเชื้อแล้วเท่านั้น ขอให้ประชาชนได้โหลดและลงทะเบียนใช้งานกันให้มากที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์และช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น ล่าสุด มีผู้โหลดใช้งานแล้วกว่า 7 ล้านครั้ง ซึ่งมีแนวโน้มคนใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ

รมว.ดีอีเอส ระบุว่า ระบบการแจ้งเตือนสถานะสีของแอปพลิเคชัน ไม่มีปัญหา ไม่มีการล็อคสีไว้ให้เป็นสีเขียวอย่างเดียว ซึ่งทางกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้ควบคุมข้อมูลและยืนยันสีสถานะข้อมูลของผู้ใช้งานหน่วยงานเดียวเท่านั้น ยืนยันว่าระบบไม่มีปัญหา แต่อาจจะต้องใช้เวลาให้เจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคได้ตรวจสอบอย่างถูกต้องชัดเจน และการส่งมอบแอปพลิเคชัน หมอชนะ จะไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่เนื่องจากการใช้งานมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เปิดให้ประชาชนใช้งานทั่วประเทศจำนวนผู้ใช้จึงมากขึ้น รวมทั้ง รัฐบาลควรมีงบประมาณในการดูแลทีมผู้พัฒนาแอปพลิเคชันในการทำงาน ในการเพิ่มบุคลากรในการรองรับให้มากขึ้น ซึ่งทีมผู้พัฒนาแอปพลิเคชันเอง ก็ยังคงคอยเป็นที่ปรึกษาและช่วยการทำงานของรัฐบาลต่อไป ทุกอย่างจะยังทำงานเหมือนเดิม และระบบจะดีขึ้นกว่าเดิม

ข่าวด่วนวันนี้ ศาลสูงกรุงโซล เกาหลีใต้ ตัดสินพิพากษาลงโทษนาย ลี แจ-ยอง หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า มิสเตอร์ เจ. วาย. ลี ทายาทซัมซุง หนึ่งในเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ด้วยโทษจำคุก 2.5 ปี ในข้อหาติดสินบน

คดีของ ลี แจ-ยอง ทายาทซัมซุง เป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับคดีของอดีตประธานาธิบดีหญิงของเกาหลีใต้

ปาร์ค กยึน-เฮ ที่ถูกศาลสูงเกาหลีใต้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง และจำคุกด้วยข้อหาคอร์รัปชั่นในปี 2017

อันเนื่องจากมีหลักฐานพบว่า ลี แจ-ยอง เคยติดสินบนผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดีปาร์ค เพื่อช่วยในเรื่องธุรกิจซัมซุง และทำให้การถ่ายโอนอำนาจบริหารของบริษัทในเครือ มาอยู่ในมือของเขาราบรื่นขึ้น

หลังจากพิจารณาคดีทายาทซัมซุงมาเกือบ 5 ปี วันนี้ศาลสูงได้ตัดสินว่า นายลี แจ-ยอง มีความผิดจริงในข้อหาติดสินบน ฉ้อฉล และร่วมกันปกปิกความผิด ที่ทำให้เกิดความเสียหายตีเป็นมูลค่าสูงถึง 8.6 พันล้านวอน (ประมาณ 300 ล้านบาท)

ทำให้วันนี้ทายาทซัมซุงคนดัง ที่เป็นลูกชายคนโตของผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุง ต้องกลับเข้าไปรับโทษในคุกอีกครั้ง หลังจากที่เขาเคยติดไปแล้วช่วงหนึ่งและทำเรื่องอุทธรณ์ออกมาสู้คดี หักลบไปเหลือระยะเวลาที่ต้องถูกจำคุกอีก 18 เดือน ที่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว

หลังจากที่มีคำพิพากษาออกมา ทำให้หุ้นของบริษัทซัมซุงร่วงลงทันทีถึง 4% และยังสร้างความวุ่นวายภายในให้กับบริษัทซัมซุงไม่น้อย เนื่องจาก ลี แจ-ยอง ถือเป็นผู้บริหารสูงสุดที่เป็นเสาหลักของบริษัทในขณะนี้ และอาจทำให้เกิดสุญญากาศในอำนาจการบริหารไปช่วงระยะหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ ทางลี แจ-ยอง เคยออกมาประกาศขอโทษประชาชนออกสื่อ และยอมรับในสิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดในอดีต นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าเขาไม่คิดที่จะให้ลูกๆ ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดต่อจากเขาแน่นอน


แหล่งข้อมูล

https://www.koreatimes.co.kr/.../2021/01/133_302656.html

https://m-en.yna.co.kr/view/AEN20210118005651315?section=national/national

https://www.straitstimes.com/.../samsungs-lee-receives-30...


ที่มา : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

อินไซต์อีกแล้ว สำหรับ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ออกมาโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Suphanat Aphinyan ถึงบุคคลคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า‘ไอ้ตี๋'

มีคนใกล้ชิดของไอ้ตี๋แอบส่งข่าวมาหลังไมค์…

ไอ้ตี๋เจ็บปวดกับความพ่ายแพ้แบบแลนสไลด์ของเขามาก เพราะหมดเงินไประดับร้อยล้านบาท แต่กลับได้ความอับอายย่อยยับป่นปี้ย้อนคืนมา

สิ่งที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ไอ้ตี๋มันเคียดแค้นมาก ถึงขั้นเอ่ยปากกับคนในครอบครัวว่าจะใช้วิธีก่อความรุนแรง แล้วใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมก่อม็อบครั้งใหญ่ แต่คนในครอบครัวยังไม่เห็นด้วยทั้งหมด เพราะถ้าเกิดเรื่องแล้วถูกจับได้ขึ้นมา ครอบครัวของไอ้ตี๋คงไม่สามารถใช้ชีวิตและทำมาหากินในประเทศไทยได้อีกต่อไป

ในขณะเดียวกันครอบครัวของไอ้ตี๋ ก็ค่อนข้างเครียดเป็นอย่างมาก เนื่องจากความเน่าเฟะและเรื่องราวทุจริตผิดกฎหมายของสมาชิกในครอบครัวได้ทยอยออกมาให้ประชาชนชาวไทยได้รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่คนใกล้ชิดบางคนยังรับไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่ผ่านๆ มา คนที่แยกตัวออกมาจากเขาถึงได้ออกมาแฉจนเป็นข่าวอยู่เป็นประจำ"


ที่มา: เพจ Suphanat Aphinyan (ดร.ศุภณัฐ)

วัควีนป้องกันโควิด-19 เริ่มทยอยนำออกมาใช้กันแล้ว ไปอัปเดตกันหน่อยว่า มีผู้นำระดับประเทศ คนไหนที่ฉีด หรือไม่ฉีดวัคซีนกันแล้วบ้าง

ตั้งแต่เปิดปีใหม่มา ข่าวคราวโควิด-19 ยังครองพื้นที่ข่าวในบ้านเราอย่างต่อเนื่อง ประเด็นการกลับมาระบาดใหม่ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือการอัปเดตเรื่องการวัคซีนของแต่ละค่ายยา ทดลองกันไปถึงขั้นไหน ประเทศใดสั่งซื้อวัคซีนกันแล้วบ้าง และไฮไลท์อีกอย่างคงหนีไม่พ้น ภาพผู้นำที่ ‘โชว์ฉีด’ (หมายถึงฉีดวัคซีน) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน เราไปรวบตึงมาแล้วว่า ล่าสุดนี้มีผู้นำคนไหน ที่โชว์ฉีดไปแล้ว และมีที่กำลังรอฉีดกันอีกบ้าง

เริ่มต้นที่ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด -19 มาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปีก่อน โดยได้รับการเคลมว่า เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของโลกที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควืด -19 แถมยังฉีดต่อหน้าสาธารณชน โดยนายเบนจามิน ฉีดวัคซีนของค่ายไฟเซอร์-บิออนเทค

อีกคนที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์-บิออนเทค ไปเรียบร้อย คือว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ นายโจ ไบเดน ได้ทำการฉีดวัคซีนโชว์สื่อไปทั่วโลกเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และล่าสุดเพิ่งฉีดเข็มที่สองไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ซึ่ง Everything It’s OK!

ทางฝั่งรัสเซีย นายวลาดิเมียร์ ปูติน มีข่าวออกมาตั้งแต่ปลายปีก่อนว่า ตัดสินใจจะฉีดวัคซีนแน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัสเซียเปิดโครงการฉีดวัคซีนสปุตนิค 5 ซึ่งผลิตในรัสเซียเอง โดยจะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง หรือคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถมาลงชื่อฉีดได้ทันที โดยผู้นำรัสเซียตอนนี้อายุ 68 ปี งานนี้ขอเป็นหนึ่งคนที่เข้ารับการฉีดด้วยแน่นอน

และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน อีกหนึ่งผู้นำของโลกที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเรียบร้อย คือนายเรเจพ เทย์ยิป แอร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกี โดยผู้นำตุรกีโชว์ฉีดวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค หลังรัฐบาลตุรกีอนุมัติให้ใช้งานวัคซีนนำเข้าชนิดนี้จากประเทศจีนนั่นเอง

มาดูทางอาเซียนกันบ้าง นายลี เซียนลุง นายกฯ สิงคโปร์ วัย 68 ปี เป็นนายกฯ ของอาเซียนชาติแรกที่เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด - 19 โดยใช้วัคซีนของค่ายไฟเซอร์-ไบออนเทค ถึงตรงนี้ ร่างกายปกติดี

ส่วนนายโรดริโก ดูเตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถึงจะยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโชว์ออกสื่อ แต่ออกมาประกาศแล้วว่า จะเป็นผู้ทดลองฉีดให้ประชาชนมั่นใจอย่างแน่นอน ล่าสุดก็ได้ออกมาคอนเฟิร์มวัคซีนยี่ห้อซิโนแวคและซิโนฟาร์มที่ได้สั่งซื้อจากจีนว่า มั่นใจในความปลอดภัย และเชื่อถือได้

ด้านประเทศที่มีความกังวลยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมาเลเซีย โดยนายมูห์ยิดดิน ยาสซิน นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่า วัคซีนที่สั่งไปมาถึงเมื่อไร จะเป็นแนวหน้าฉีดให้ประชาชนดูเป็นตัวอย่างเอง

ยังมีผู้นำที่มีความคลุมเครือว่า ฉีดวัคซีนไปแล้วหรือไม่ เช่น นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ มีข่าวลือออกมาว่า นายคิมและครอบครัวได้รับการฉีดวัคซีนที่ผลิตจากจีนเรียบร้อยแล้ว แต่แหล่งข่าวก็ไม่สามารถยืนยันอย่างเป็นทางการได้แต่อย่างใด

แต่สำหรับรายนี้ นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล ยืนยันชัดเจนมาตลอดว่า จะไม่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แน่นอน พร้อมยังตั้งข้อสังเกตวัคซีนซิโนแวคของจีนด้วยว่า มีผลการทดลองใช้ที่ต่ำ และยังไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด

ส่วน ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย เบื้องต้นยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่า จะฉีดวัคซีนหรือไม่ แต่ประเทศไทยนั้นสั่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากจีนคือยี่ห้อซิโนแวค รวมทั้งยังมีที่ผลิตในไทย โดยได้รับความร่วมมือจาก ม.ออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผลิตวัคซีนยี่ห้อแอสตรา เซเนก้า ออกมาในช่วงปลางปีนี้แน่นอน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (18 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 369 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,423 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 70 ราย รักษาหายเพิ่ม 191 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,206 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,147 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 369 ราย เป็น ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากโอมาน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,ฝรั่งเศส 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,มาเลเซีย 5 ราย ,บาห์เรน 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 82 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 275 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 439 ราย รักษาหายแล้ว 386 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.08 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.36 แสน เสียชีวิต 25,987 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.58 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.2 แสน ราย เสียชีวิต 601 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.34 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.18 แสน ราย เสียชีวิต 2,955 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.01 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.66 แสน ราย เสียชีวิต 9,895 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,113 ราย รักษาหายแล้ว 58,846 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,537 ราย รักษาหายแล้ว 1,380 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘ศรีสุวรรณ’ เตรียมบุกกกต. ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเพิ่มเติม กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้อัดคลิปคำพูดของตนเองโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ชี้เข้าข่ายฝ่าฝืน ‘พรป.พรรคการเมือง 2560’

นายศรีสุวรรณ จรรยา เปิดเผยว่า ในวันนี้ เวลา 11.00 น. จะได้เดินทางไปที่สำนักงาน กกต.เพื่อยื่นคำร้องเพิ่มเติม กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ได้อัดคลิปคำพูดของตนเองโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ Thaksin Shinawatra เมื่อวันพุธที่ 16 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา โดยช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมาอย่างเปิดเผย

ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เห็นว่าน่าจะขัดต่อกฎหมายจึงได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน กรณีการกระทำของบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และหรือพรรคการเมือง อาจกระทำการในลักษณะฝ่าฝืน ม.28 และหรือ ม.29 แห่งพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ อย่างไร หากพบว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือมีความผิด ขอให้ดำเนินการเอาโทษตามที่กฎหมายบัญญัติต่อไปแล้วนั้น

แต่ปรากฎว่าเมื่อวันพุธที่ 19 ธ.ค. 2563 ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นมา ปรากฎว่าในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ Thaksin Shinawatra หรือ (20+) Thaksin Shinawatra | Facebook หรือ https://www.facebook.com/ /thaksinofficial /videos/860774604700040 ก็ยังปรากฎคลิปของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งมิได้เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้สมัคร นายก อบจ. พรรคเพื่อไทย ตามที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด แต่กลับยังช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งวันที่ 20 ธ.ค.63 อย่างเปิดเผย โดยไม่มีการลบคลิปดังกล่าวออกไปจากสารบบแต่อย่างใด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการช่วยหาเสียงเกินกว่าระยะเวลาที่พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ม.64 ประกอบ ม.65 กำหนดแต่อย่างใด

อีกทั้งยังปรากฏเป็นการทั่วไปโดยมีสื่อมวลชนหลายแขนงได้รายงานตรงกันว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลสัญชาติมอนเตเนโกร เมื่อปี 2553 ไปนานแล้ว และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคล สัญชาติเซอร์เบียร์ไปเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาด้วย จึงอาจต้องห้าม ตาม ม.68 แห่งพรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 และ อาจเป็นการฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง 2560 ด้วย

นอกจากนั้น ยังมีพลเมืองดีซึ่งได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวข้างต้น ได้ส่งสำเนาพยานหลักฐาน และสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องมาให้สมาคมฯหรือผู้ร้อง เพื่อนำมาประกอบการส่งให้ กกต. ได้พิจารณาลงโทษผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนี้ด้วย สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำพยานหลักฐานมามอบให้ กกต. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยอาจสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือให้ใบส้มหรือใบแดงผู้สมัคร และอาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเพื่อไทย

‘ก้าวไกล’ จ่อตั้งกระทู้ถามสด ปมเจ้าหน้าที่อุ้มหายผู้ชุมนุม - นักกิจกรรมทางการเมือง ซัด ผบ.ตร. 2 มาตรฐาน สั่งงานลูกน้อง กระทำป่าเถื่อนต่อประชาชน เทียบคดี ‘บอส กระทิงแดง และบ่อนพนัน’ ไม่เอาจริงเหมือนไล่ล่าคนเห็นต่างทางการเมือง

นางสาวเบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมนักกิจกรรมทางการเมืองเเละผู้ชุมนุมในอาทิตย์ที่ผ่านมา อย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรม เเละเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และมีข้อสังเกตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ในระหว่างจับกุมตำรวจไม่ให้สิทธิในการเข้าถึงทนาย ศาลออกหมายค้นได้ในยามวิกาล ศาลออกหมายจับคดี ม.112 แต่บุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างถึงในบันทึกจับกุมไม่อยู่ในความคุ้มครองของ ม. 112

และอีกกรณี”เดฟ ชยพล” นศ.มธ.ที่เป็น 1 ในผู้ถูกออกหมายจับโดยมีชื่ออยู่ใน หมายค้น แต่มีหลักฐานว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่อมา เดฟได้มาแสดงตัวต่อหน้าเจ้าพนักงาน แต่ผู้กำกับ สภ.คลองหลวง ยืนยันว่า ไม่เคยมีการออกหมายจับ และในวันเดียวกัน พนง.สืบสวน ก็กลับไปยื่นคำร้องขอยกเลิกหมายจับ หลังจากนั้นศาลก็มีคำสั่งให้ยกเลิกหมายจับ

กรณีการจับกุมประชาชน ขณะทำกิจกรรมเขียนป้ายผ้า ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเข้าจับกุมประชาชนที่ร่วมชุมนุมกดดันให้ตำรวจปล่อยตัวผู้ชุมนุม ท่ามกลางความชุลมุน และเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมด้วยการกระทำที่เกินกว่าเหตุ หลังจากนั้นก็ได้นำตัวไปควบคุมไว้ที่ บก.ตชด.ภาค1 ท่ามกลางข้อกังขาว่า จนท.ตำรวจกำลังทำผิด กฎหมายหรือไม่ เนื่องจากตามป.วิอาญา ม.83 ต้องพาตัวผู้ถูกจับไปที่ทำการของพนง.สอบสวน แต่กลับไม่แน่ชัดว่า จนท.ใช้อำนาจใดนำตัวไปควบคุมที่ ตชด.ภาค1 เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงถูกยกเลิกไปแล้ว ประกาศกำหนดสถานที่คุมตัวที่ตชด. ก็ได้เป็นอันสิ้นสุดไปด้วย

อีกทั้งการเข้าถึงสิทธิในการพบทนายของผู้ต้องหาก็เป็นเรื่องยากลำบากมาก ซึ่งข้อสังเกตหนึ่งของการจับกุม ที่อนุสาวรีย์ชัยฯและ สามย่านมิตรทาวน์ มาจากการที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไฟเขียวให้ตำรวจให้ใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุมได้หากจำเป็นโดยไม่ลังเล นำมาสู่การจับกุมประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 6 ราย

“รวมไปถึงกรณีนายมงคล สันติเมธากุล หรือ เยล หนึ่งในสมาชิกการ์ดราษฎร ที่ถูกอุ้มหายไปจากที่พักกว่า 14 ชั่วโมง โดยภายหลังทราบว่าถูกนำตัวมาปล่อยที่บางปู และการหายตัวไปของ ‘ทศเทพ’ ภายหลังมาทราบถูกจับกุม คุมขังไว้ที่ สภ.บางแก้ว โดยไม่ได้แจ้งไปยังญาติ ไม่แน่ชัดว่าได้แจ้งสิทธิในการเข้าถึงทนายต่อเค้าหรือไม่ อีกทั้งยังควบคุมตัวเกิน 48 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการเกินกว่าอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

นางสาวเบญจา ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า การที่ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติไฟเขียว เช่นนี้ นับเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก เป็นการเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เป็นผู้ถืออาวุธกำลังจะกลายเป็นกองกำลังที่ป่าเถื่อน สามารถใช้กำลังและอาวุธ ได้ตามใจชอบในการกำจัด และจัดการผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง และถ้าลองเปรียบเทียบการดำเนินการที่กระทำความรุนแรงต่อประชาชนต่อผู้ชุมนุม กับกรณี "บอส กระทิงแดง” หรือกรณี “บ่อนการพนัน” เรากลับไม่เห็นความขมีขมัน ความตั้งใจจริง และจริงใจในการจับกุมหรือปราบปราม อย่างเช่นการจับกุมผู้ชุมนุมที่เพียงแค่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกเลย นี่จึงกลายเป็นการประจานความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมและเป็นการเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ที่น่ารังเกียจอย่างมากอีกด้วย

ทั้งนี้ นางเบญจา เปิดเผยว่า พรรคก้าวไกล เตรียมตั้งกระทู้ถามสด ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พร้อมระบุว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรมีพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ยื่นร่างพรบ.ฉบับดังกล่าวต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และพรรคก้าวไกลจะเฝ้าติดตามความคืบหน้ากฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิด และหวังว่าประธานสภาฯจะบรรจุวาระและเห็นความสำคัญของกฎหมายที่ปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กองทัพบก ยันยังไม่ยกเลิก 3 โปรเจคซื้ออาวุธงบกว่า 6 พันล้าน ลั่นเป็นเรื่องของรัฐบาลกับกองทัพ หลังฝ่ายการเมืองจี้ตัดงบช่วยเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดระลอกใหม่

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองจี้กองทัพบกให้ตัดงบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในปี 2565 วงเงินรวมกว่า 6,152 ล้านบาท และนำไปเยียวยาประชาชน ว่า ในการจัดทำงบประมาณแต่ละปีจะมีคณะกรรมการพิจารณาถึงความเหมาะสม รวมไปถึงเมื่อเข้าสู่อนุกรรมาธิการ ก็จะมีการไปชี้แจงถึงความจำเป็น ดังนั้น การจะตัดงบในส่วนใดบ้างก็เป็นไปตามขั้นตอน

เมื่อถามย้ำว่า กองทัพจะมีการทบทวนตัดงบในส่วนนี้ไปช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid 19 หรือไม่ เป็นเรื่องที่กองทัพและรัฐบาลต้องหารือกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย

พลโทสันติพงศ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปกองทัพหลังอดีตผู้บัญชาการทหารบกเคย ประกาศไว้ตั้งแต่เหตุกราดยิงที่โคราช เนื่องจากเริ่มมีการติดป้ายผ้าทวงถามแล้ว ว่า ผู้บัญชาการได้มอบหมายให้คณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนเรื่องของการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ดำเนินการอย่างทั่วถึงแล้ว ได้รับการดูแลจากกองทัพเรียบร้อย ขณะที่เรื่องการจัดสรรที่อยู่อาศัยให้กับทหารชั้นผู้น้อยและการขจัดธุรกิจในกองทัพก็ เป็นเรื่องที่คณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน

เมื่อถามย้ำว่าผ่านมา 1 ปีแล้วมีอะไรเป็นรูปประธรรมบ้าง พลโทสันติพงศ์ กล่าวย้ำว่า ให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการในการดำเนินการ

‘รมว.อุตสาหกรรม’ เผย อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้มีการแพร่ระบาดจากพิษโควิด–19 ระลอกใหม่ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันเครื่องบิน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ได้ประเมินอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์และผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้มีการแพร่ระบาด ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร เช่น เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ผักผลไม้แช่แข็ง ผลไม้และผักบรรจุกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ได้แก่ ตู้เย็น ไมโครเวฟ สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ วงจรรวมและฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เนื่องจากนโยบายการทำงานที่บ้าน โดยอุตสาหกรรมกลุ่มนี้คาดว่า จะโต 1-4% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่อุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค และอุตสาหกรรมถุงมือยาง คาดว่าโต 5-10% เนื่องจากยังคงมีความต้องการใช้ทางการแพทย์และในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและการส่งออกเนื่องจากความจำเป็นในการอุปโภคและบริโภค และความกังวลของระยะเวลาการระบาด

ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่มากนัก และมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป คาดว่า มีการขยายตัวเล็กน้อยประมาณ 0.5-1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ที่ฟื้นตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างจากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง

ด้านอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะโต 0.5-3% ได้แก่ อุตสาหกรรมแฟชั่น (สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ เครื่องหนัง) เริ่มกลับมาฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มน้ำมันเตาจะขยายตัวจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มฟื้นตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบมากจากการแพร่ระบาดในรอบแรกแต่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก คาดว่า การผลิตจะหดตัว 10 -15% ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันเครื่องบินยังคงมีข้อจำกัดจากการเดินทางทางอากาศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top