Monday, 2 December 2024
NEWS FEED

กรมการปกครองประกาศ ยกเว้น/ลด ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัว การออกหนังสือสำคัญเกี่ยวกับชื่อบุคคล บัตรประจำตัวประชาชน และการทะเบียนราษฎร กรณีภัยที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

เนื่องจากปัจจุบันพบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ขึ้นในหลายพื้นที่ โดยมีประกาศพื้นที่ภัยที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชุมพร ชลบุรี ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี ราชบุรี ระนอง ระยอง ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี สระแก้ว สระบุรี อ่างทอง ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนในสถานการณ์วิกฤตินี้ กรมการปกครองจึงได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนราษฎร
(2) การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนารายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
(3) การแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่น
(4) การแจ้งการตายต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่น
(5) การแจ้งการย้ายที่อยู่
(6) การออกบัตรประจำตัวให้กับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
(7) การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย

2. ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การออกบัตรใหม่ในกรณีบัตรหายหรือถูกทำลาย บัตรชำรุดในสาระสำคัญ การแก้ไขชื่อตัว หรือชื่อสกุล หรือชื่อตัวและ
ชื่อสกุล หรือการย้ายที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน
(2) การออกใบแทนใบรับ
(3) การขอคัดและรับรองสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน

3. ให้ลดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัว ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การขอคัดสำเนาหรือคัดและรับรองสำเนาทะเบียนครอบครัว ฉบับละ 1บาท
(2) การจดทะเบียนสมรสหรือจดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนโดยมีผู้ขอ รายละ 1 บาท
(3) การจดทะเบียนสมรส ณ สถานที่สมรสซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติ ให้มีขึ้น รายละ 1 บาท

4. ให้ลดค่าธรรมเนียมการออกหนังสือสำคัญเกี่ยวกับชื่อบุคคล โดยเรียกเก็บฉบับละ 1 บาท ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อรอง
(2) การออกหนังสือสำคัญแสดงการรับจดทะเบียนตั้งชื่อสกุล
(3) การออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อสกุล
(4) การออกใบแทนหนังสือสำคัญตาม (1) (2) หรือ (3)

ทั้งนี้ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดค่าธรรมเนียมข้างต้น เป็นระยะเวลา 120 วัน นับแต่วันที่มีประกาศ (8 มกราคม 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน โทร 0-2791-7427

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (17 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 374 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,058 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 70 ราย รักษาหายเพิ่ม 109 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,015 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,969 ราย


ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 374 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากสหรัฐอเมริกา 2 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,อินเดีย 2 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย ,กาตาร์ 1 ราย ,มาเลเซีย 3 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 43 ราย
ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 321 ราย
ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 439 ราย รักษาหายแล้ว 385 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.97 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.27 แสน เสียชีวิต 25,767 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.55 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.17 แสน ราย เสียชีวิต 594 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.34 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.17 แสน ราย เสียชีวิต 2,942 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.6 แสน ราย เสียชีวิต 9,884 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,083 ราย รักษาหายแล้ว 58,784 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,537 ราย รักษาหายแล้ว 1,380 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘หมอยง’ แนะทำความเข้าใจความรุนแรงของโควิด-19 เผยองค์กรอนามัยโลกแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยจะนำทั้ง 4 ขั้น เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง และเสียชีวิต ก่อนนำมาประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนว่ามีประสิทธิผลมากขนาดไหน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Yong Poovorawan’ โดยได้ออกมาพูดถึงถึงความรุนแรงของโรคโควิด-19 จะต้องมีการประเมินอาการของผู้ป่วยก่อนที่จะมีการฉีดวัคซีน โดยระบุว่า

ก่อนที่จะเข้าใจประสิทธิภาพของวัคซีน เรามาเข้าใจเรื่องความรุนแรงของโรคโควิด 19

องค์การอนามัยโลกแบ่งความรุนแรงของโรคโควิด 19 เป็น เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง และเสียชีวิต

  1. ผู้ป่วยที่เป็นเล็กน้อยประกอบไปด้วย ผู้ที่ไม่มีอาการแต่ตรวจพบไวรัสในลำคอ มีอาการเล็กน้อยไม่ได้รับการรักษา มีอาการ กินยา แต่ไม่ได้นอนโรงพยาบาล รวมถึงผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลเพื่อจุดประสงค์การแยกตัว ที่ไม่ได้ต้องการการรักษา
  2. อาการปานกลาง จะเป็นผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ได้ให้ออกซิเจน หรือ ถ้าให้ออกซิเจนก็ให้แบบเสียบจมูก หรือครอบจมูก
  3. ผู้ป่วยมีอาการมากหรือหนัก ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลและต้องให้ออกซิเจนแบบ High Flow ใส่ท่อช่วยหายใจ ใส่เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องพยุงปอด
  4. ผู้ป่วยที่เสียชีวิต จะตัดสินกันภายใน 60 วัน

การตัดสินประสิทธิผลของวัคซีน จะมีการพูดกันถึงการป้องกันโรคในระดับไหน ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการในการประเมินวัคซีน จะยากมากเพราะไม่ได้มีการตรวจเชื้อทุกราย หรือสุ่มตรวจเชื้อเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเน้นตั้งแต่มีอาการขึ้นไป หรือ ต้องนอนโรงพยาบาล

ตอนต่อไปเล่าเรื่อง การประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน

ที่มา : เพจ Yong Poovorawan

โฆษก กอ.รมน. แจงแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการหายตัวไป ของ 1 ใน สมาชิกการ์ด Protect Freedom หลังถูกแอบอ้างในแชทไลน์ ยัน ไม่มีภารกิจรักษาความสงบเรียบร้อย และการดูแลพื้นที่ของการชุมนุม

พล.ต. ธนาธิป  สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวภายหลังที่มีสมาชิกกลุ่มการ์ด (Protect Freedom) ได้เดินทางมาชุมนุมหน้า กอ.รมน. เช้าวันนี้ พร้อมเรียกร้องให้ กอ.รมน. ปล่อยตัวสมาชิกการ์ดฯ ที่หายตัวไปตั้งแต่ เมื่อคืน (16 ม.ค.) เวลาประมาณ 23.00 น. ภายหลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมเขียนป้ายผ้า ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีกลุ่มคนอ้างว่าเป็น กอ.รมน. ได้ใช้โทรศัพท์มือถือของสมาชิกการ์ดที่หายตัวไปแชทไลน์ข่มขู่เพื่อนกลุ่มสมาชิกการ์ด และแจ้งว่าจะปล่อยตัวตอน 05.00 น. ของเช้าวันนี้ ซึ่งปัจจุบันไม่มีการปล่อยตัวแต่อย่างใด

โดย โฆษก กอ.รมน. ระบุว่า จากการตรวจสอบในรายละเอียดตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมนั้น ทางกอ.รมน. ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีภารกิจความรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย และการดูแลพื้นที่การรักษาความปลอดภัยของการชุมนุม อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบขั้นต้น กอ.รมน. ขอยืนยันว่า ไม่ปรากฏหน่วยงานของ กอ.รมน. เข้าไปยุ่งเกี่ยวต่อเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด

         

/////////

นับถอยหลัง!! โครงการ ‘คนละครึ่ง-เราชนะ’ คาดเปิดให้ลงทะเบียนได้ หลังเข้าที่ประชุมครม.ในวันที่ 19 ม.ค.นี้ ด้าน ‘บิ๊กตู่’ กำชับ ห้ามมีช่องโหว่ พร้อมเร่งสื่อสารให้ประชาชนรับรู้และขั้นการลงทะเบียน ป้องกันเข้าใจคลาดเคลื่อนมาตรการรัฐ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำชับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมระบบรองรับการลงทะเบียนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเยียวยาประชาชน ไม่ว่าจะเป็น โครงการคนละครึ่ง เพิ่ม 1 ล้านสิทธิ และโครงการเราชนะ เยียวยาประชาชน 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน โดยให้ดูความพร้อมของระบบเพื่อบริการประชาชน ลดช่องโหว่ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด พร้อมยังให้อธิบายชี้แจงวิธีการลงทะเบียนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง ทุกช่องทางการสื่อสาร เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าใจ รวมถึงป้องกันความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของภาครัฐ

สำหรับทั้ง 2 โครงการ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เตรียมเสนอที่ประชุมครม. อนุมัติในวันที่ 19 ม.ค.นี้ โดยคาดว่า โครงการคนละครึ่งละครึ่ง จะเปิดให้ลงทะเบียนรับ 1 ล้านสิทธิ์ในวันที่ 20 ม.ค. ขณะที่โครงการเราชนะ ได้วางแผนจะเปิดให้ลงทะเบียนในช่วงปลายเดือน ม.ค. หรือ ต้นเดือน ก.พ.นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณารายละเอียดขอบเขต เงื่อนไขโครงการ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก้ไขข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะจากสื่อออนไลน์ ที่มีการส่งต่อข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของรัฐ ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด สับสน และขอให้ประชาชนติดตามความคืบหน้า รายละเอียดมาตรการต่างๆจากการประกาศของหน่วยงานราชการ เลือกบริโภคข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และไม่ส่งต่อข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เช็คก่อนแชร์

‘แรมโบ้’ ตอกกลับ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ ยันรัฐบาลทำตามกฎหมาย ไม่เคยทำเกินกว่าเหตุกับแกนนำผู้ชุมนุม ‘ประณาม’ พฤติการชักธงแดง 112  ขึ้นสู่ยอดเสา แทนธงชาติไทย เรียกร้องตำรวจดำเนินการกับผู้ดำเนินการให้เร็วที่สุด

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่ารัฐบาลดำเนินการกับกลุ่มกิจกรรมเกินกว่าเหตุ พร้อมไล่ไปแก้ปัญหายาเสพติด-แรงงานต่างด้าว ว่า รัฐบาลไม่เคยทำเกินกว่าเหตุ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ไม่เคยห้ามการชุมนุมแต่ขอให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งนายอนุสรณ์ก็รู้ดีว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่เคยทำตามกฎหมายเลย จาบจ้วงสถาบันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสร้างความเดือดร้อนกับประชาชน

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจับกุมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำตามกฎหมาย เพราะผู้ชุมนุมทำเกินกว่าเหตุเหมือนไม่ใช่คนไทยไม่รักแผ่นดินไทย  ดังนั้นกฎหมายต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวดเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินคดีไม่ได้จะมีประชาชนที่ทนไม่ได้มาร้องเรียนเจ้าหน้าที่ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา157 อย่างแน่นอน

นายสุภรณ์ กล่าวว่า ส่วนการปราบปรามยาเสพติด และแรงงานต่างด้าว นั้น นายกรัฐมนตรีมีความพยายามเอาจริงเอาจังที่จะปราบปรามมาโดยตลอดและสามารถจับกุมได้หลายคดี หากได้รับความร่วมมือจากประชาชนการปราบปรามจะสามารถทำได้มากยิ่งขึ้น

นายสุภรณ์ กล่าวถึงเหตุระเบิดที่บริเวณสามย่านเมื่อวานนี้ (16 ม.ค.)ว่า ขอประณามคนที่ไม่หวังดีก่อเหตุระเบิดจนมีนักข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนที่บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างที่มีการชุมนุมม็อบปลดแอก และอยากขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีสมองคิดด้วยว่าในสถานการณ์ประเทศเกิดโควิดระบาด ก็ไม่ควรที่จะออกมาร่วมตัวคนหมู่มากเช่นนี้ เพราะหากเกิดการระบาดเพิ่มขึ้นจะเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องคิดถึงความปลอดภัยในสุขภาพของประชาชนคนอื่นด้วย ไม่ใช่คิดแค่เรื่องของกลุ่มตัวเองเท่านั้น อีกทั้งในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกด้วย จึงไม่ควรออกมาชุมนุม ควรให้ความร่วมมือมีจิตสำนึกด้วยเพราะบ้านเมืองมีขื่อมีแปรควรช่วยกันทำตามกฎหมายอย่าล้ำเส้นจนพี่น้องประชาชนคนไทยจะทนไม่ไหวแล้ว

 “อยากขอเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมว่าอย่าชุมนุมผิดกฎหมาย จาบจ้วงสถาบัน เพราะหากดูพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมวานนี้ที่มีการชักผ้าสีแดงซึ่งมีเลข 112 ขึ้นสู่ยอดเสา และนำธงชาติไทยลงมานั้นถือว่าไม่เหมาะสม เพราะที่นี่คือประเทศไทย ผืนแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นที่เกิดที่อาศัยของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย เป็นคนไทยเกิดบนผื่นแผ่นดินไทยก็ไม่ควรที่จะทำพฤติกรรมเช่นนี้ นี่คือการทำลายชาติบ้านเมืองเหมือนพวกจิตวิปริต เป็นพวกคนสิ้นคิดหนักแผ่นดินที่สุด

และขอเรียกร้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งนำคนทำมาลงโทษอย่างเด็ดขาด เพราะผมและประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้คนที่ก้าวล่วง จาบจ้วงสถาบัน และมีความคิดถ่อยๆได้กระทำการที่ป่าเถื่อนเช่นนี้อีกต่อไป หากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่รักชาติ รักสถาบัน ก็ขออย่าอยู่ในประเทศนี้อีกเลย ถ้าไม่รักชาติบ้านเมืองไม่จงรักภักดี จะไปอยู่ที่ไหนจะไปตายที่ไหนก็ไป คนไทยเบื่อระอาเต็มทน และเริ่มจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมเลวๆถ่อยๆชั่วช้าสารเลวเช่นนี้ เป็นการทำร้ายจิตใจย่ำยีหัวใจของคนไทยทั้งแผ่นดิน" นายสุภรณ์ กล่าว

ส่อเค้าวงแตก!! ทีมอาสาพัฒนาแอปฯ ‘หมอชนะ’ โพสต์ข้อความผ่านเฟ๊ซบุ๊ก ประกาศยุติบทบาท พร้อมมอบให้ภาครัฐบริหารจัดการแอปฯ แบบ 100% คาดสาเหตุถูกผู้ใหญ่ในรัฐบาลล้วงลูก หลังพบแชตว่อนเน็ตขอคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จจากทีมงานผู้พัฒนา

ดูเหมือนจะเกิดเรื่องวุ่นซะแล้ว สำหรับการบริหารจัดการแอปพลิเคชัน ‘หมอชนะ’ หลังจากทีมงานอาสาหมอชนะ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ‘ทีมงานอาสาหมอชนะ MorChana Volunteer Team’ โดยระบุว่า การเติบโตและความสำเร็จของ “หมอชนะ” เปลี่ยนผ่านจากแอปอาสาสมัคร เป็นแอปของภาครัฐเต็มตัว

ทีมงานอาสาสมัครหมอชนะ มีความภูมิใจที่จะส่งมอบ แอปพลิเคชัน หมอชนะ อันเกิดจากการริเริ่มบูรณาการของภาคประชาชนสู่ภาครัฐ ที่มีความครบสมบูรณ์ในแนวทางการออกแบบและกระบวนการในการใช้งานทุกอย่าง ดังที่ได้เคยนำไปใช้แจ้งเตือนอย่างได้ผลเป็นที่ประจักษ์ในปีที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ภาครัฐได้นำไปใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการควบคุมการระบาดอย่างมีประสิทธิผล

จากการระบาดของโควิด-19 ที่ถาโถมเข้ามาอย่างฉับพลัน การรวมตัวของจิตอาสาหลายสิบกลุ่มจึงก่อกำเนิดขึ้น แทนที่จะต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างพัฒนา ในวาระวิกฤติแห่งชาตินี้ พวกเราได้หันหน้ามาจับมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นำเอาจุดเด่นแต่ละไอเดีย มาบูรณาการร่วมมือกันภายใต้ทีม Code for Public โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาคเอกชนในนามกลุ่มช่วยกัน ภาครัฐคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และจิตอาสาอิสระจำนวนมากมายรวมกว่าร้อยคนที่ทำงานมาร่วมกัน โดยมีสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ช่วยเข้ามารับดูแลแอปหมอชนะอย่างเป็นทางการ

กว่า 9 เดือนที่ทีมงานอาสาสมัครหมอชนะได้ร่วมกันออกแบบ หมอชนะ ของประชาชนโดยคำนึงถึงเป้าประสงค์หลักในการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลักการ สังคมช่วยดูแลซึ่งกันและกัน พวกเราได้เก็บรวบรวมความต้องการการใช้งานจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กรมควบคุมโรค หน่วยงานรัฐ องค์กรเอกชน ตลอดจนประชาชนที่มีความต้องการต่างๆกัน โดยทีมงานอาสาฯมุ่งเน้นออกแบบเพื่อการใช้งานได้จริง และ คำนึงความเป็นส่วนตัว (data privacy) เป็นหลักการในการพัฒนามาตั้งแต่ต้น

ถึงเวลานี้หลายภาคส่วนในสังคมไทยที่ร่วมกันต่อสู้กับโควิด ได้จุดประกายแห่งความหวัง และมีกำลังใจ เมื่อรัฐบาลเห็นความจำเป็นในการติดตามประวัติการเดินทาง และตัดสินใจใช้เทคโนโลยีที่ใช้ได้จริงในการติดตามผู้มีโอกาสสัมผัสได้รับเชื้อ หันมายอมรับและเลือกใช้ แอป หมอชนะ เพื่อใช้ต่อสู้กับการระบาดอย่างรุนแรงของโควิดในรอบนี้

ทีมงานอาสาสมัครหมอชนะ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ งานที่ผ่านการทุ่มเทจากอาสาสมัครนับร้อย จะได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง พวกเราหวังว่า การที่แอปได้เปลี่ยนผ่านไปอยู่ในการดูแลของภาครัฐอย่างเต็มตัว น่าจะทำให้ประสิทธิภาพการติดตามประวัติการเดินทางจากเดิมเป็นข้อมูลที่อาสาสมัครต้องค้นหาเอง เป็นการที่ภาครัฐ และกรมควบคุมโรค จะเป็นผู้นำข้อมูลต้นทางที่แม่นยำครบถ้วน เข้าสู่ระบบ เพื่อให้ระบบที่ถูกพัฒนามาพร้อมอยู่แล้ว ได้รับการนำมาใช้ในการตรวจสอบประวัติการเดิน ทางและค้นหาผู้มีโอกาสเสี่ยงได้รับเชื้อ เพื่อให้เกิดการแจ้งเตือนกับผู้ถือแอป รับรู้ถึงระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล เพื่อให้กระบวนการควบคุมการระบาดเกิดความสมบูรณ์ครบวงจร

การมีข้อมูลผู้ป่วยตั้งต้น มาใช้ในการทำ contact tracing ให้ครบถ้วนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ระบบ หมอชนะ ทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มที่ตามที่ระบบได้ถูกวางไว้ หากไม่มีข้อมูล หรือไม่มีการดำเนินการ tracing ไม่มีการแจ้งเตือนและเปลี่ยนสีตามระดับ ก็จะไม่เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แม้มีประชาชนจำนวนมากดาวน์โหลดแอป หมอชนะ ไปใช้ก็ตาม

ทีมงานอาสาสมัครหมอชนะ มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ภาครัฐ จะใช้ศักยภาพของระบบอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนได้รับการเตือน และรับรู้ความเสี่ยงของตนเองผ่านการแสดงสีบ่งบอกสถานะความเสี่ยง (เขียว/เหลือง/ส้ม/แดง) ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการช่วยรัฐในการดูแลตนเอง และป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนที่ใกล้ชิดด้วย ได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงกว่าที่ทีมอาสาสมัครได้เคยดำเนินการมาเองในช่วงก่อนมีการระบาดอย่างวิกฤติในรอบนี้ อันจะเป็นการลดภาระงานและความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ และเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถควบคุมสถานการณ์โควิด และเอาชนะได้ในที่สุด

นอกจากนี้ บริษัท ห้างร้าน อาคาร โรงงาน สถานประกอบการ ที่ได้ใช้ แอปหมอชนะ ในปีที่ผ่านมา เป็นเครื่องมือช่วยบ่งชี้ความเสี่ยงของพนักงานหรือผู้มาติดต่อที่เข้ามาใช้สถานที่ผ่านการตรวจดูสีสถานะความเสี่ยงบนหน้าจอหมอชนะ ก็จะได้ความมั่นใจยิ่งขึ้นที่หมอชนะได้ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง ในการให้การดูแลพนักงานและสถานที่ โดยอาศัยสถานะสีช่วยแยกบุคคลผู้เสี่ยงออกจากกลุ่มคนส่วนใหญ่ การปฏิบัติคัดกรองและดูแลอย่างเหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลได้อย่างตรงจุด เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อติดต่อระหว่างกัน และมุ่งให้กิจการยังคงสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ทำให้ไม่ต้องกลับไปปิดล็อคดาวน์ทั้งหมดแบบที่เสียหายต่อเศรษฐกิจ และเราทุกคนไม่อยากจะเห็นซ้ำอีก

จากนี้ไป เรามีความมั่นใจว่า การที่แอป หมอชนะ อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของภาครัฐ จะทำให้เกิดความชัดเจนในการให้ข้อมูลและการสื่อสารที่ทรงพลังของรัฐ อย่างเป็นทางการเพียงเสียงเดียว จะสามารถตอบคำถามความสงสัย ลดความสับสน เป็นไปด้วยความถูกต้อง คำนึงถึง privacy ของประชาชนอย่างมีธรรมภิบาลและทำให้ทุกคนในประเทศมีความสบายใจและมั่นใจที่จะร่วมกัน ให้ความร่วมมือใช้งานแอป หมอชนะ ในการต่อสู้วิกฤตินี้ด้วยกัน อย่างพร้อมเพรียง

ทีมงานอาสาสมัครหมอชนะ ยังคงพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลต่อไป และยินดีช่วยเหลือรัฐบาลอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อดูแลให้คนไทยผู้ใช้แอปได้ปลอดภัยจากโรค และได้ประโยชน์สูงสุดเป็นที่ตั้งตามเจตนารมณ์

ทั้งนี้ เพื่อให้แนวทางการพัฒนาในอนาคตเป็นไปอย่างมีเอกภาพ และเป็นไปตามแนวทางนโยบาย ยุทธวิธีต่อสู้กับโรคของภาครัฐ และเพื่อป้องกันความสับสนของสาธารณะ หากผู้ใช้ทุกท่านที่อาจมีข้อแนะนำ หรือ ความต้องการในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นในฟังก์ชัน แนวความคิดที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแอป หมอชนะ ในแง่มุมใด ขอให้ท่านส่งตรงไปยังหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบแอป หมอชนะ ต่อไป เพื่อให้ได้รับการพิจารณาโดยผู้ที่ได้รับมอบหมายได้ตัดสินใจตามสมควร

และหากมีความเปลี่ยนแปลง ในแนวทางการใช้งาน การบริหารจัดการแอปในอนาคตต่อไปอย่างไร ก็ขอให้ผู้ใช้งานได้ติดตามข่าวสาร โดยตรงจากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลทางการ เพียงแหล่งเดียว

Facebook ของหมอชนะ และช่องทางการสื่อสารต่างๆ ก็จะได้รับการดูแลและตอบโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐ

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาแนวคิด การออกแบบ และการทำงานของระบบ หมอชนะ ตามที่ทีมอาสาสมัครได้ทำไว้แต่แรกเริ่ม รวมถึงสิ่งที่อยู่ระหว่างของการพัฒนา สามารถเข้าไปติดตามได้จาก https://www.facebook.com/CodeForPublic

ทีมงานอาสาสมัคร “หมอชนะ”

15/1/64

ขณะที่ในโลกทวิตเตอร์ มีการรีทวีตข้อความจาก ทวิตเตอร์ @PhilPrajya ของนายปรัชญา อรเอก ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ที่โพสต์ข้อความอ้างว่า "ทีมงานเอกชนพัฒนาแอปหมอชนะ ออกมาแฉเรื่องถูกผู้ใหญ่ล้วงลูกหนักเลย" พร้อมเปิดเผยข้อความสนทนาจากแชตไลน์ ของกลุ่ม Code for Public ซึ่งเป็นกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ ระบุขอวางมือ เนื่องจากสาเหตุ 2 ประการ

ประการแรก ‘ผู้ใหญ่’ ในรัฐบาลทั้งระดับรัฐมนตรีและปลัดกระทรวง ขอเข้ามาควบคุมและกำหนดอนาคต ‘หมอชนะ’ แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และประการที่สอง เกิดจากการใส่เกียร์ว่างของเจ้าหน้าที่ระดับกรมฯ

ที่มา : เพจ ทีมงานอาสาหมอชนะ MorChana Volunteer Team, ทวิตเตอร์ @PhilPrajya

คณะกรรมาธิการ(กมธ.) การคมนาคม เห็นค้านกทม. ขึ้นค่าโดยสารรถไฟสายสีเขียว 104 บาท ชี้ ซ้ำเติมวิกฤติประชาชน ระบุขอให้กทม.ชี้แจงการคำนวณราคาตั้งแต่พ.ย.ปีก่อน แต่ยังไม่ได้ข้อมูล เชื่อทำราคาได้ต่ำกว่า 65 บาท จ่อเรียกชี้แจง 21 ม.ค.นี้

นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทางกรุงเทพมหานครออกประกาศปรับอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท ว่า เป็นการซ้ำเติมประชาชน ในช่วงวิกฤติ Covid-19 กมธ.การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ไม่เห็นด้วยกับการคิดอัตราค่าโดยสาร สายสีเขียว ตลอดสาย 65 บาท พร้อมขอให้ กทม. ชี้แจงที่มาของการคำนวณราคา ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ปีที่แล้ว จนบัดนี้ ยังไม่ได้รับ ข้อมูล แต่กลับข่มขู่ประชาชน ว่าจะขึ้นราคา 104 บาท ในเดือนหน้า

นายโสภณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กมธ.การคมนาคม ได้มีข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การคิดอัตราค่าโดยสาร นั้นต้องเปิดเผยที่มา การคิดราคาอย่างโปร่งใส และเชื่อว่า สามารถคิดราคาได้ถูกกว่า 65 บาทตลอดสาย และควรกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ถูกที่สุดสำหรับประชาชนที่ใช้บริการ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ  โดยกมธ.คมนาคมมีความเห็นคือ

1. การต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยคิดราคาค่าโดยสารสูงสุด 65 บาท กทม.ควรเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ว่ามีฐานการคิดคำนวณมาอย่างไร เนื่องจาก การสอบถามข้อมูลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงคมนาคม เห็นว่า ยังสามารถลดค่าโดยสารลงได้ต่ำกว่า 65 บาท กมธ.การคมนาคม จึงเห็นว่า ค่าโดยสารที่สามารถลดลงได้อีก เนื่องจากปริมาณการเดินทางในอนาคต จะมีมากขึ้น ต้นทุนต่อการเดินรถควรจะถูกลงอีก จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะสามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้มากขึ้น

2. ประชาชน ควรจะได้รับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ในการต่อสัญญาสัมปทานครั้งนี้ เช่น การลดค่าแรกเข้าระบบ ที่ไม่ควรจะมีการคิดซ้ำซ้อน และไม่มีเงื่อนไขซึ่งจะเป็นภาระต่อผู้โดยสาร

3. หากยังไม่มีการต่อสัญญาสัมปทาน ซึ่งกำลังจะหมดลงในปี 2572 หรือในอีก 9 ปี ข้างหน้า และสินทรัพย์ทั้งหมด   จะตกกลับมาเป็นของรัฐ คือ กทม. จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

มากกว่า เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีกำไร หลังจากหักค่าจ้างเดินรถแล้ว จะมีกำไรไม่น้อยกว่าปีละ 5,000 ล้านบาทต่อปี และเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต กำไรดังกล่าวสามารถนำมาบริหารจัดการช่วยลดอุดหนุนเส้นทางรถไฟฟ้า อื่น ๆ ที่อยู่นอกเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อยกว่า ได้ใช้รถไฟฟ้าในอัตราที่ถูกกว่า คนในใจกลางเมือง การที่อ้างว่า กทม.ไม่มีความสามารถทางการเงินในการชำระหนี้ และบริหารจัดการไม่เป็นความจริง เนี่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งเส้นทาง มีศักยภาพทางธุรกิจที่ชัดเจน สามารถระดมเงินเพื่อบริหารจัดการ ได้จากแหล่งเงินต่าง ๆ เช่น ธนาคาร แหล่งทุน เนื่องจากมีรายได้มหาศาลที่ชัดเจน

4. การดำเนินการของคณะกรรมการฯ ตามคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ 3/2562 ควรเปิดเผยรายงานการประชุม ต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน โดยทั่วไปได้ และ  5.การต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าว ยังดำเนินการไม่ครบถ้วน เช่น พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง 2562 และการตรวจสอบจากองค์กรอิสระต่าง ๆ ยังไม่แล้วเสร็จ

นายโสภณ กล่าวอีกว่า หาก กทม.ยังคงยืนยันการดำเนินการเรื่องรถไฟสายสีเขียวในยามวิกฤติความเดือดร้อนของประชาชนถือว่าเป็นการซำ้เติมสถานการณ์ของบ้านเมือง และยังไม่ฟังเสียงประชาชนและข้อทักท้วงจากส่วนราชการ และข้อแนะนำจากภาคประชาชน

"กมธ.การคมนาคมจะเชิญผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในวันพฤหัสบดี (21 มค.) ที่จะถึงนี้เพื่อคัดค้านการขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรมและแจ้งเรื่องการคัดค้านดังกล่าวไปยังรัฐบาล เพื่อสั่งให้ยุติวิกฤติความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุด" นายโสภณ กล่าว

พรรคเพื่อไทย ย้ำเงินเยียวยาต้องได้ทั้งประเทศ ไม่จำกัดแค่ 28 จังหวัดพื้นที่สีแดง จี้ 3 เหล่าทัพตัดงบปี 65 ช่วยประชาชนก่อน เหน็บกองทัพอากาศ ทุ่มงบฯ สร้างสถานีอวกาศ เพื่อ? ขนาดเครื่องบินยังไม่ค่อยมีคนขึ้น ส่วนกองทัพเรือควรหยุดซื้อเรือดำน้ำ

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ รวมกันแถลง โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 รอบนี้ถือว่าหนักกว่าปีที่แล้ว ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ ซึ่งรัฐบาลตัดงบลงทุนออกแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกัน เพราะเป็นงบฯกระต้นเศรษฐกิจ ขณะที่ประชาชนจ่ายเงินเยียวยาเพียง เดือนละ 3,500 บาท 2 เดือนเท่านั้นเมื่อเทียบกับการแก้ปัญหาปีที่แล้วท่านให้น้อยลง ทั้งที่การแพร่ระบาดครั้งนี้หนักกว่าเดิม ทั้งยังบอกว่าจะให้แค่ 28 จังหวัด เพราะไม่มีเงินแล้ว

ตนอยากเรียกร้องว่า ผลกระทบจากโควิด ไม่ได้มีแค่ 28 จังหวัด หากท่านจะพิจารณาให้เงินช่วยเหลือก็ควรช่วยชาวบ้านทั้งประเทศ เพราะเดือดร้อนกันหมด ดังนั้นในการจัดทำงบประมาณปี 65 โดยเฉพาะงบของทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยงบประมาณของกองทัพเรือ ที่มีการจัดซื้อเรือดำน้ำจีน 2 ลำ จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ในการจัดทำงบปี 64 ก็ชะลอการจัดซื้อออกไปเพราะการระบาดของโควิด19 ซึ่งการระบาดรอบ2 ถือว่าหนักกว่า ก็ควรที่จะชะลอการจัดซื้อออกไปแล้วนำเงินมาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดก่อน

จึงขอถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ไม่ตัดสินใจยกเลิกการจัดซื้อเรือดำน้ำ เพราะสถานการณ์ประเทศขณะนี้เรือดำน้ำยังไม่จำเป็น ท่านควรทำเงินตรงนี้มาช่วยเหลือประชาชนก่อนดีหรือไม่

นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้งบปี 65 ของกองทัพบก มีรายการที่ต้องใช้งบประมาณใหญ่ คือ 1.โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์โจมตี วงเงินกว่า 4,200 ล้านบาท 2. โครงการจัดหาระยานเกาะจำนวนกว่า 1 พันล้านบาท และ 3. โครงการจัดหายานเกาะล้อยางเพื่อเสริมสร้างการรบรูปแบบใหม่ จำนวน 900 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดยังไม่จัดซื้อ

เหตุใด พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะรมว.กลาโหมจึงไม่สั่งให้เลื่อนหรือชะลอการซื้อสิ่งเหล่านี้ ส่วนงบฯกองทัพอากาศ มีรายการใหม่ที่ยังไม่ได้จัดซื้อ คือโครงการจัดหาเครืองบินโจมตีเบา 4,500 ล้านบาท โครงการสร้างคลังอาวุธและจัดหาอาวุธ กระสุน วัตถุระเบิดวิกฤต จำนวน 900 ล้านบาท และโครงการพัฒนาปฏิบัติการในห่วงอวกาศ จำนวน 1,470 ล้านบาท

“ผมขอถามว่า ท่านจะไปทำอะไรในห้วงอาวกาศในช่วงนี้ เพราะแค่ลำพังเครื่องบินของสายการบินในประเทศช่วงนี้ยังไม่มีคนนั่งเลย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้สามารถชะลอได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผมนำงบประมาณที่สามารถชะลอได้ของทั้ง 3 เหล่าทัพมาคำนวณแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท หากเอาไปช่วยเหลือประชาชนคนละ 3,500 บาท คนละ 2 เดือน จะช่วยประชาชนได้อีก 5.43 ล้านคน และเมื่อท่านบอกว่างบประมาณในปีนี้ไม่เพียงพอท่านก็ต้องรู้จักประหยัด ขณะนี้ที่ท่านสั่งให้หน่วยงานอื่นหั่นงบประมาณแหลกลาน ตัดงบฯลงทุนที่จะสร้างงานในต่างจังหวัดให้กับประชาชน แต่ท่านกลับไม่แตะงบฯกองทัพเลย” นายยุทธพงศ์ กล่าว

‘นายกสมาคมนักประดิษฐ์ และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย’ ลากไส้ ‘แจ็ค หม่า’ เจ้าของอาลีบาบา ชี้ใช้ช่องว่างกฎหมายขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาผ่านเว็บ เผยเหตุผลที่ตนฟ้องร้อง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของคนไทย

นายภณวัชร์นันท์ ไกรมาตย์ นายกสมาคมนักประดิษฐ์และนวัตกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึง แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง อาลีบาบา อี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะมานานกว่า 2 เดือน ว่า ตนเห็นว่า แจ็ค หม่า หรือ หม่า หยุ่น คือ ต้นแบบของนักธุรกิจที่สร้างภาพ อวดตัวเองว่าเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ โดยถูกยกย่องจากโซเซียลมีเดียมากจนเกินจริง ซึ่งผมเคยเตือนว่า เหรียญด้านที่สองของสังคมโซเชียลมีเดีย มักจะมีด้านดีด้านไม่ดีปรากฏอยู่เสมอ

อีกทั้งยังเตือนว่าคนไทยอย่าชื่นชมคนรวยที่พอรวยจะใช้เงินสร้างภาพมาตลอด ซึ่งพฤติกรรมของเขานั้นจะเขียนเว็บไซต์ขึ้นมาในยุคที่รัฐบาลต่างๆ ยังสร้างเกาะคุ้มกันคือกฎหมายออกมาไม่ทัน ก็ปล่อยให้สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งสมัยก่อนไม่กล้านำออกมาขาย เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไล่จับ

ดังนั้น คนที่ต้องการขายสินค้าประเภทดังกล่าว ก็จะใช้วิธีขายผ่านเว็บไซต์จองแจ็ค หม่า โดยในช่วยแรกจะให้สมัครขายได้ฟรี เพื่อสร้างความน่าสนใจจากคนจำนวนมากที่ต้องการจะขายสินค้า จากนั้นจึงเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมรายปี หากใครไม่จ่าย เว็บของแจ็ค หม่า ก็จะฝังสินค้าเหล่านั้นไปอยู่ใต้ดินของเว็บ ซึ่งหากใครเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาร้องเรียนไป ขอเอกสารโน่นนี่นั่น หลอกเอาเอกสารส่งให้สุดท้ายเงียบ แต่กลับมีสินค้าที่ยังมีสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นจาก 1 กลายเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน จนผู้คิดค้นหรือเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เริ่มล้มหายเหลือแต่สินค้าละเมิดเกลื่อนในเว็บของเขาไปหมด

“ผมอยากให้คนไทยมองแล้วคิดให้ดีๆ อย่ามองแต่ภายนอกเองรวย ทุกวันนี้เว็บของเขาถูกฟ้องหลายคดี เช่น เคอริง เอสเอ ผู้แทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์หรู อาทิ กุชชี่ และ อีฟว์ แซงต์ โลร็อง ได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่าเว็บไซต์ของอาลีบาบา ซึ่งเป็นตลาดการค้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ไม่ยอมจัดการปัญหาของผู้ค้าสินค้าปลอมลอกเลียนแบบ

ทั้งนี้ ในช่วงปีเมษายน 2559 ผมได้ยื่นฟ้องบริษัท หางโจว อาลีบาบา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด และ แจ็ค หม่า ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บขายสินค้าออนไลน์ระดับโลก “ALIBABA” และ “ALIEXPRESS” ฐานโฆษณาและประกาศขายสินค้าปลอม ละเมิดสิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีแต่คนไทยด่าผมว่า เห็นเขารวยฟ้องอยากได้เงิน ผมจึงถามว่า ผมไม่ใช่คนไทยหรือเมื่อผมเป็นคนไทย และถูกกระทำผมไม่มีสิทธิที่จะปกป้องสิทธิของผมหรือครับ หรือว่าคนไทยเป็นเหยื่อของสื่อโซเชียลที่มีคนเอาไปสร้างภาพ และปัจจุบันคดีผมก็ยังในระหว่างการพิจารณาของศาลไทย

.

การที่ แจ็ค หม่า ไม่ยอมสู้คดีก็เพราะผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจในไทย ด้วยความคิดอย่างกินรวบไม่แบ่งให้สังคม ได้แต่สร้างภาพ จึงสร้าง แอนท์ กรุ๊ป เพราะต้องการกินรวบ เพื่อให้ตัวเองรวยแล้วรวยอีก เพราะรัฐบาลจีนเริ่มมองเห็นว่าการทำธุรกิจกินรวบคนเดียวไม่แบ่งปันให้เพื่อนร่วมโลก มันอยู่ไม่ได้ จึงให้สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีน หรือ State Administration for Market Regulation (SAMR) เริ่มการสืบสวนบริษัท อาลีบาบา ว่ามีพฤติกรรมผูกขาดหรือไม่ และสั่งให้ แอนท์ กรุ๊ป ปรับโครงสร้างการดำเนินกิจการใหม่ ก่อนที่นายหม่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเชิญตัวไปสอบสวน ปัจจุบันยังคงอยู่ในการดูแลของรัฐบาลจีน

เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากจะบอกไปยังคนไทย ควรทำหน้าที่ตัวเองปกป้องคนไทยที่มีจำนวนมากเพื่อให้คนไทยได้มีเกียรติศักดิ์ศรีความเป็นคนไทย ได้รับสิทธิเท่าเทียม ปกป้องคนไทยด้วยกัน อย่าเห็นแต่คนมีเงินแล้วสร้างภาพให้ตรวจสอบว่าคนคนนั้นมาจากไหน ทำอะไร มองให้ไกลๆ คนเก่งต้องสร้างด้วยตนเอง ทำมันขึ้นมาและประสบความสำเสร็จ และดูแลสังคมให้เกิดความเท่าเทียมกันนั้นแหละคนเก่งจริงๆ” นายภณวัชร์นันท์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top