Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

‘สุวรรณภูมิ’ ลงดาบ!! ‘แท็กซี่’ ถอนสิทธิ์ ห้ามวิ่งรับผู้โดยสาร เหตุ ไม่กดมิเตอร์ โกง นทท.ไต้หวัน แถมปลอมแปลงเอกสาร

‘สุวรรณภูมิ’ ลงโทษหนัก รถแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ และ นักท่องเที่ยวไต้หวัน ถอนสิทธิ์ให้บริการในสนามบินทันที และแจ้ง ขบ. ลงโทษด้วย แจงเก็บค่า Surcharge 50 บาท ให้ผู้ขับขี่โดยตรงไม่ใช่รายได้ของสนามบิน

(19 มี.ค. 66) จากกรณีที่มีสื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ นำเสนอข้อมูลกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่ใช้บริการรถแท็กซี่ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) โดนเรียกเก็บอัตราค่าบริการในราคาเหมาจ่ายและอ้างว่าอัตราค่าบริการดังกล่าว

ทางท่าอากาศยานเป็นผู้ให้เรียกเก็บจากผู้โดยสาร พร้อมทั้งมีการนำเสนอภาพอัตราค่าโดยสารในราคาเหมาจ่ายตามระยะทางโดยใส่โลโก้ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กำกับในใบแสดงราคาด้วยนั้น

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้เรียกผู้ขับขี่แท็กซี่ดังกล่าว มาสอบสวนและตรวจสอบตามหลักฐาน ให้คำให้การของผู้ขับขี่ยอมรับว่า กระทำความผิดจริง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้พิจารณาลงโทษขั้นสูงสุด โดยการยกเลิกรหัสสมาชิกของผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจะทำให้

ผู้ขับขี่รายนี้ไม่สามารถนำรถแท็กซี่เข้ามารับผู้โดยสารใน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้อีกต่อไป โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ส่งข้อมูลการกระทำความผิดให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) พิจารณาบทลงโทษแก่ผู้ขับขี่คนดังกล่าวด้วย เนื่องจากพิจารณาแล้วว่า การกระทำของผู้ขับขี่รถแท็กซี่รายนี้ นอกจากจะสร้างความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของสนามบินแล้ว ยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย

‘กสทช.’ ยืนยันไม่ซื้อลิขสิทธิ์ ‘ซีเกมส์ 2023’ ไม่ผิด เล็งแก้กฎ ‘มัสต์แฮฟ’ หลังเป็นมีปัญหาตามมาเพียบ

ความคืบหน้าเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 5-17 พฤษภาคมนี้ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กำลังเตรียมเจรจากับเจ้าภาพกัมพูชา ให้ลดค่าลิขสิขสิทธิ์ที่ตั้งไว้สูงถึง 800,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 27.6 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. เรียกร้องให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ทบทวนยกเลิกกฎ "มัสต์แฮฟ" (Must Have) 

เพราะเห็นว่าเป็นต้นตอปัญหาในการดึงภาคเอกชนร่วมลงทุนในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬา 7 รายการที่คนไทยต้องดูฟรี ประกอบด้วย ซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชียนเกมส์, เอเชียนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลกนั้น

ล่าสุด นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. ระบุว่า กรณีของการพิจารณาประเด็นปัญญาของกฎ "มัสต์แฮฟ" ที่ขัดแย้งกับธุรกิจกีฬาโลกนั้น บอร์ด กสทช. มีความเห็นให้ตั้งคณะทำงาน 1 ชุด โดยมี น.ส.มณีรัตน์ กำจรกิจการ รักษาการรองเลขาธิการ กสทช. เป็นประธานเพื่อศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบด้าน ซึ่งคณะกรรมการชุดใหญ่รอฟังข้อสรุปก่อนจะพิจารณาตัดสินใจต่อไป

ด้าน น.ส.มณีรัตน์ กำจรกิจการ รักษาการรองเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ประเด็นเรื่องที่ กกท. ระบุว่า กสทช. บีบบังคับให้ กกท. ดำเนินการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชานั้น น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกัน เพราะก่อนหน้านี้ กสทช. เชิญ กกท. และคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยฯ มาหารือและชี้แจงทำความเข้าใจกฎ ‘มัสต์แฮฟ’ และ ‘มัสต์ แครี่’ 

ซึ่งทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่า สำหรับการบังคับใช้ของกฎ ‘มัสต์ แฮฟ’ และ ‘มัสต์ แครี่’ จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อ ลิขสิทธิ์ถูกซื้อมาดำเนินการในประเทศไทย แต่ตราบใดที่ไม่มีการซื้อเข้ามา กฎดังกล่าวก็ไม่ได้บังคับใช้ หรือสรุปง่ายๆ ว่า ถ้าประเทศไทยไม่ซื้อถือว่า ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่ถ้าซื้อมาแล้ว ต้องถ่ายทอดสดให้คนไทยได้รับชมตามช่องทางต่าง ๆ ที่ระบุไว้แบบไม่เสียเงินค่ารับชม อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าทาง กกท. จะดำเนินการซื้อลิขสิทธิ์หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องของ กกท. ซึ่งแจ้งไว้คร่าว ๆ ว่า กำลังหางบประมาณ และจะขอจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ

การประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ USO Nat

การติดตามและประเมินผลตามนโยบาย กสทช.โดยมีตัวแทนกสทช.คณะกรรมการติดตามประเมินผลปฏิบัติงาน NIDA สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ โดยมีพลเรือเอก ประสาน สุขเกษตร ประธานคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฎิบัติงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงานในพิธี

โดยการประชุมจัดขึ้นที่โรงเเรมทวารวดี ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการบรรยายและการประชุมในครั้งนี้โดยมีประชาชนทั่วไป ผู้พิการทางการได้ยินและทางด้านสายตา รวมแล้วมากกว่า 150 คน โดยมีหัวข้อการบรรยายความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ (ปี พ.ศ.2562-2580) นโยบายระดับชาติ แผนงานสำคัญปี 2565 ของสำนักงาน กสทช.( 8 ข้อ ) ปัญหาระดับชาติที่ กสทช.ต้องแก้ไขตามอำนาจหน้าที่ วิสัยทัศน์ กตป.ด้านการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป้าหมายของ กตป. ด้านการส่งเสริมและเสรีภาพของประชาชน แนวทางในการดำเนินการของ กตป.การส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

โดยปัญหาระดับชาติที่ กสทช.ต้องแก้ไขตามอำนาจหน้าที่
1.นำระบบ 5G มาใช้ในด้านอุตสาหกรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
2.การโฆษณาอาหารและยาที่ไม่เป็นจริง อันตรายต่อสุขภาพ
3.การใช้วิทยุกระจายเสียงชุมชน ต้องไม่กระทบต่อความมั่นคง แต่ใช้เพื่อเศรษฐกิจชุมชน
4.การละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล
5.ติดตามการพัฒนาอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม (กระทบต่อค่ายมือถือ)
6.เยียวยาผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการตามกฎหมาย
7.ใช้ประโยชน์จากดาวเทียมในการสื่อสารและพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
8.การสร้างเสาสัญญาณแล้วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเอาสายลงดิน
9.แก้ปัญหาคลื่นรบกวน
10.การแก้ปัญหาแก๊ง Call Center และมิจฉาชีพ Online หลอกลวงประชาชนให้เสียหายและติดตามเอาเงินคืนไม่ได้
11.การแก้ปัญหามิให้ประชาชนถูกเอาเปรียบหลังควบรวมทรู-ดีแทค
12.การดำเนินการเรื่องอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง

เบื้องต้นทางกาทช.และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยงข้องได้ลงพื้นที่ติดตามการขยายโครงข่ายและบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่หมู่บ้านห่างไกล จำนวน 44,352 หมู่บ้าน ในพื้นที่ห่างไกลโซน C และโซน C+ หมายของพื้นที่ห่างไกลโซน c และโซน c+ นั้นเป็นพื้นที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์และไม่มีบริการ อีกทั้งยังมีอุปสรรคทางด้านกายภาพในการเข้าถึงและอุปสรรคในการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรศัพท์คมนาคม

โดยวัตถุประสงค์โครงการเพื่อที่จะจ้างที่ปรึกษาดำเนินการติดตามและประเมินผลตามนโยบายกสทช. เพื่อรวบรวมวิเคราะห์สรุปผลและจัดทำรายงานการติดตามและประเมินผลตามนโยบาย และการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากโครงการจัดให้มีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลโซน c และพื้นที่ชายขอบโซน c+ เพื่อนำเสนอผลการติดตามและประเมินผลการนโยบายกสทช.ที่สำคัญในด้านการส่วนสูงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนกสทช.

สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ เข้าตรวจสุขภาพช้าง ปางช้างสวนนงนุชพัทยา ตามมาตรฐานปางช้างประเทศไทย

ในวันที่ 18 มี.ค. 66 สถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ โดย นางสาวภัทร เจริญภัณฑ์  นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษปฎิบัติหน้าที่ราชการในฐานะผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ เข้าตรวจเยี่ยม พร้อมทั้งให้บริการตรวจสุขภาพ ทำทะเบียนประวัติช้างเก็บตัวอย่างเลือด โดยมีกำหนดเข้าปฎิบัติงานที่ปางช้างสวนนงนุชพัทยาในวันที่ 18 ถึง 20 มีนาคม 2566 

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา กล่าวว่า ต้องขอบคุณสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ จ. สุรินทร์ เป็นอย่างมากที่เข้ามาให้บริการตรวจสุขภาพช้าง ณ ปางช้างสวนนงนุชพัทยา ปัจจุบันทางปางช้างสวนนงนุชพัทยาดูแลช้างกว่า 60 เชือก  และในวันเดียวกันนี้ทางสถาบันวิจัยและบริการสุขภาพช้างแห่งชาติ กองสวัสดิภาพสัตว์ สัตวแพทย์บริการ กรมปศุสัตว์  และโรงพยาบาลช้างลำปาง สถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ ได้มอบเวชภัณฑ์ พยาธิเพื่อพัฒนาสุขภาพ และเวชภัณฑ์สำหรับประถมพยาบาล ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นสำหรับช้าง ไว้ให้กับปางช้างสวนนงนุชพัทยา

เพชรบูรณ์-ฮือฮา พบพ่อเฒ่า5แผ่นดิน อายุ 110 ปี เดินทางไปทำบัตรประชาชน เผยเคล็ดลับอายุยืน ชอบกินผักต้ม 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุเทพ เบียร์ดี นายอำเภอวังโป่ง ได้เดินทางลงพื้นที่ นำข้าวสาร อาหารแห้ง ไปมอบให้พ่อเฒ่า 5 แผ่นดิน เพื่อให้กำลังใจและขอพรผู้สูงอายุ หลังทราบข่าวว่า นายใส ดำมะดา อายุ110 ปี เกิดปี พ.ศ.2456 อาศัยอยู่เลขที่ 51 หมู่ 6 ต.วังโป่ง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ได้เดินทางมาที่ว่าการอำเภอวังโป่ง เพื่อติดต่อขอทำบัตรประชาชนใบใหม่ แทนใบเก่าที่หมดอายุ จนสร้างความฮือฮา แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนที่มาติดต่อราชการ ต่างพากันสอบถาม เคล็ดลับอายุยืนถึง 110 ปี ซึ่งพ่อเฒ่า 5 แผ่นดิน ก็ไม่ปิดบัง เผยชอบกินผัก ผลไม้ และเป็นคนชอบเล่นดนตรี ชอบร้องหมอลำ ทำให้อารมณ์ดีอยู่เสมอ

เมื่อเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าว พบกับ นายใส ดำมะดา อายุ110 ปี กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่บ้าน โดยมี นางสาววาสนา ดำมะดา อายุ 44 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง เป็นคนดูแล พร้อมเปิดเผยว่า ผู้เป็นพ่อ มีลูกทั้งหมด 7 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 3 คน  ลูกๆทุกคนยังอยู่กันครบ แต่แยกย้ายไปมีครอบครัว  จะกลับมาเยี่ยมเยียนพ่ออยู่เสมอ ปัจจุบันผู้เป็นพ่อ ยังคงมีสุขภาพแข็งแรง   มีเพียงดวงตาที่เสื่อมสภาพจนมองไม่เห็น มานานกว่า 3 ปีแล้ว ส่วนเคล็ดลับอายุยืนถึง 110 ปีนั้น ปกติพ่อเป็นคนชอบทานผักต้ม และผลไม้กับข้าวเหนียว และชอบเล่นดนตรี ร้องหมอลำเป็นประจำ ทำให้อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยในทุกเช้า ก็จะมักออกมานั่งเล่นหน้าบ้าน ทำให้ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนบ้าน และไม่รู้สึกเหงา   

โปรดเกล้าฯ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ 'พระพรหมดิลก' หลังพ้นมลทินกระทำผิดอาญา คดีเงินทอนวัด

(18 มี.ค.66) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า

ตามที่ พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาและได้มีพระบรมราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ นั้น บัดนี้ คดีถึงที่สุดแล้ว

โดยพฤติการณ์ถือได้ว่าไม่ใช่ความผิดอุกฉกรรจ์ หรือความผิดร้ายแรง หรือเป็นผู้ร้ายสำคัญ ประกอบกับไม่มีการกล่าวคำลาสิกขา และไม่มีการดำเนินการให้สละสมณเพศ ทั้งปรากฎข้อเท็จจริงว่า ยังคงดำรงตน อย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็น พระมหาเอื้อน หาสธมุโม (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๑o มีนาคม ๒๕๖๖

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๑

‘ครม.’ ไฟเขียว ปลดล็อกบังกะโล-แพ-บ้านต้นไม้-เต็นท์เป่าลม ผู้ประกอบการ ขอยื่นจดทะเบียนธุรกิจโรงแรมได้

รัฐบาลปลดล็อกบังกะโล แพ บ้านต้นไม้ เต็นท์แบบเป่าลม จดทะเบียนธุรกิจโรงแรมได้

(18 มี.ค.66) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการสถานที่พักโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ภาคธุรกิจขนาดย่อมและขนาดเล็กในเมืองท่องเที่ยวเมืองรองสามารถนำอาคารที่ มีรูปแบบพิเศษอื่นมาประกอบธุรกิจโรงแรมได้ เพื่อให้ธุรกิจที่พักโรงแรมในประเทศไทยสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคณะกรรมการควบคุมอาคารได้เห็นชอบด้วยแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบแล้ว

สำหรับปัจจุบันอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมมีลักษณะของอาคารที่มีความหลากหลายมากขึ้น มีการนำอาคารตามประเภทอื่นมาให้บริการที่พักแก่ประชาชนเป็นการทั่วไป เช่น การสร้างบังกะโลชั้นเดียวแบ่งเป็นห้อง ตู้คอนเทนเนอร์ แพที่อยู่ตามเขื่อนต่าง ๆ บ้านต้นไม้ เต็นท์แบบเป่าลม เป็นต้น ซึ่งลักษณะและโครงสร้างของอาคารไม่สอดคล้องกับอาคารที่จะนำมาประกอบธุรกิจโรงแรมตามที่กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารกำหนด  ทำให้ไม่สามารถขอรับใบอนุญาตให้ใช้อาคารเป็นโรงแรม เพื่อจะขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมได้ 

ตำรวจรวบแล้วคนร้ายแต่งชุดบุรุษไปรษณีย์ควงอาวุธปืนบุกเดี่ยวเข้าชิงร้านทองย่านอำเภอสามพราน

ที่แท้เป็นพ่อค้าขายสินค้าออนไลน์ลอกเลียนแบบไปรษณีย์ส่งจดหมาย ประวัติก่อคดีในเขตกรุงเทพฯเกี่ยวกับร้านทอง2ครั้ง 

คืบคดีเมื่อเวลา 13.20 น.วันที่ 16 มี.ค.66 คนร้ายใช้ปืนจี้ชิงทอง ร้านจำหน่ายทองเยาวราชเอ็มโกลด์ ถนนเข้าอำเภอสามพราน 27/22 หมู่ 1 ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยคนร้ายแต่งกายสวมใส่เสื้อแขนยาวชุดบุรุษไปรษณีย์ สวมหมวกกันน็อคแบบบุรุษไปรษณีย์ ถือจดหมายพร้อมกล่องพัสดุเดินมาอยู่หน้าร้าน ทำทีจะมาส่งจดหมาย ก่อนมีพนักงานร้านทองออกไปรับ คนร้ายได้ผลักประตูและดันพนักงานเข้ามาในร้าน และคนร้ายได้ชักอาวุธปืนพกสั้นออกมาขู่ และบอกพนักงานให้หยิบทองเส้นละ 10 บาทจำนวน 10 เส้น พร้อมโยนถุงผ้าให้พนักงานและคนร้ายได้ขู่ว่า “มึงอย่ากดสัญญาณถ้ากดกูจะยิงจริงๆจนพนักงานร้องว่าอย่ายิง” และพนักงานอาศัยจังหวะวิ่งเข้าไปหลบหลังร้าน จนคนร้ายเห็นว่าไม่ได้สร้องทอง  จึงรีบวิ่งหนีออกจากร้านไป และไปขึ้นรถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ สีดำไม่ติดทะเบียน ที่จอดอยู่ห่างจากจุดเกิดหตุ ประมาณ 100 เมตร ไม่ทราบเส้นทางหลบหนี

ต่อมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.สามพรานได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี ทั้งขาย้อนกลับที่คนร้ายมุ่งมาก่อนเหตุที่ร้านทองและเส้นทางหลบหนีหลังก่อเหตุ จนพบว่ารถยนต์ของคนร้ายก่อนมาก่อเหตุได้จอดเปลี่ยนสลับแผ่นป้ายทะเบียนที่ซอยข้างโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ตำรวจได้ตรวจสอบเช็คทะเบียนรถยนต์จึงทราบที่มาของรถยนต์คันดังกล่าว และสามารถจับกุมนายธีรพล เส็งสมวงศ์ อายุ40ปี คนร้ายที่ก่อเหตุได้ที่คอนโดแห่งหนึ่ง ย่านถนนอิสรภาพ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กทม.เมื่อเวลา17.00น.วันที่17มีค.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางอาวุธปืนปลอม1กระบอก, เสื้อคลุมไปรษณีย์ไทย1ตัว, กางเกงวอร์มสีดำ1ตัว ,หมวกนิรภัยไปรษณีไทย1ใบ, ถุงมือสีดำ1คู่, หมวกแก๊ปสีน้ำเงิน1ใบ, แว่นตา1อันและรถยนต์ ทะเบียน 1กย306กทม.ที่ใช้ก่อเหตุ1คัน ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในห้อหา “ พยายามในห้อหาชิงทรัพย์ (ลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป) ” 

ต่อมาเวลา 09.00น.วันที่18 มี.ค.66 ที่สภ.สามพราน จ.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผบช.ภ.7 ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ทรงวุฒิ เจริญวชยเดช ผกก.สภ.สามพราน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เผยว่า นายธีรพล เส็งสมวงศ์ ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ ประวัติเคยต้องคดีที่ลักทรัพย์ สน.จักรวรรดิ และสน.ประเวศ เมื่อ2565 ซึ่งทั้งสองคดีอยู่ระหว่างอุธรณ์ โดยทั้ง2 โดยสน.จักรวรรดิเมื่อวันที่9สค.65 สน.ประเวศเมื่อวันที่12 ส.ค. 65 โดยนายธีรพลผู้ต้องหาใช้ทองปลอมสับเปลี่ยนทองจริงของร้านทองหลบหนีไป

‘วิกรม กรมดิษฐ์’ เปิดพินัยกรรม มอบทรัพย์สินส่วนตัวให้กับมูลนิธิอมตะ เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์

กลายเป็นอีกเรื่องดี ๆ ที่คนในสังคมต่างใจฟู เมื่อ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 70 นับเป็นวาระสำคัญของการวางแผนชีวิตเพื่อส่งต่อความมั่นคง ต่อการดำเนินงานของมูลนิธิอมตะอย่างไม่สิ้นสุด จึงได้ทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้กับมูลนิธิอมตะมูลค่ากว่า 95% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน อาคาร คอนโดมิเนียม หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนทรัพย์สินส่วนตัวอื่น ๆ เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง อันจะนำไปสู่หนึ่งในกลไกการยกระดับคุณภาพสังคม สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้มูลนิธิอมตะได้ก่อตั้งเมื่อ 27 ปีที่แล้วโดย นายวิกรม กรมดิษฐ์ มีโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ เช่น โครงการรางวัล ‘นักเขียนอมตะ’, โครงการทุนเรียนดี, โครงการประกวดศิลปกรรม ‘อมตะ อาร์ต อวอร์ด’ โครงการด้านนวัตกรรม, โครงการหนังสือดีมีประโยชน์สร้างการเปลี่ยนแปลง และโครงการปรับปรุงอุทยานเขาใหญ่สู่อุทยานมาตรฐานโลกภายในเวลา 10 ปี

“ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นสู่ธุรกิจ ผมยึดมั่นในเป้าหมาย All Win และความมุ่งมั่นของการทำแต่สิ่งดีงามให้ไว้กับทุกคนมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานแล้วก็ควรแบ่งผลกำไรกลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีคุณภาพน่าอยู่เช่นประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งผมได้นำประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่วัยเด็กมาเรียบเรียง มาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือพิมพ์เผยแพร่ไปแล้วกว่า 11.6 ล้านเล่ม เพื่อให้สังคมสามารถเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ได้ในโอกาสต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

‘นิกกี้-ก้อย’ จับมือแถลงเปิดใจ รับเลิกแล้ว’ เผยลดสถานะทั้งที่ยังรักกันอยู่ ยันไม่มีมือที่ 3

นิกกี้-ก้อย เปิดใจครั้งแรก รับเลิกกันแล้ว เผยเหตุผลลดสถานะทั้งที่ยังรักกัน

จากกรณีที่สังคมจับตา สำหรับความรักของ ก้อย อรัชพร และ นิกกี้ ที่คบหากันมาราว 3 ปี ว่ากำลังรักร้าวหรือไม่ โดยชาวเน็ตต่างพูดถึง มือที่ 3 หรือ ปมอื่นๆ

ล่าสุด ก้อย และ นิกกี้ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ เปิดเผยเป็นครั้งแรกร่วมกันว่า เลิกกันแล้ว เป็นการเลิกกันด้วยดี จริง ๆได้คุยกัน ว่าเป็นการเลิกกันด้วยดี แต่ว่าก็อาจจะยังมีการจัดการอารมณ์ อยู่
โดยก้อย บอกว่า สาเหตุหลักๆ เหมือนลองใช้ชีวิตด้วยกันดู ไม่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาจริง ๆ แต่แรก มีจุดยืน และ ความคิด และปรับกันไม่ได้จริง ๆ งั้นเราแยกไปอยู่กับตัวเอง ไปใช้ชีวิตแบบตัวเองดีกว่า

และย้ำว่าไม่มีปัญหามือที่ 3
นิกกี้ กล่าวเสริมว่า ก็เลิกกันด้วยความรัก เขามีน้ำตา เราก็มีน้ำตา ให้เขาอยู่กับตัวเอง จริง ๆ ทำงานเยอะทั้งคู่ ก่อน ก้อย เสริมว่า พอมาลองใช้ชีวิตแล้ว มีบางอย่างที่เหนื่อยต่อการปรับกันแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top