Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง กำชับหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศแก้ไขปัญหาเด็กแว้น วางมาตรการเข้มช่วงเทศกาลสงกรานต์ 

วันนี้ (5 เม.ย.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ตระหนักและให้ความสำคัญในปัญหาการแข่งรถในทางของเด็กและเยาวชน (เด็กแว้น) อันเป็นปัญหาที่สร้างอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน และสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชนในชุมชนและสังคม จึงมุ่งหวังให้ ตร. แก้ไขปัญหาดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยจัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปข.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศปข.ตร. และมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศปข.ตร. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง โดยใช้นโยบายบังคับใช้กฎหมาย ใน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการก่อนเกิดเหตุ มาตรการขณะเกิดเหตุ มาตรการสอบสวนขยายผล และมาตรการเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อน ศปข.ตร.             และกำหนดแนวทางมาตรการการปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 โดยมีหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจ 1,484 สถานีทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล     รับฟังรายงานการบันทึกข้อมูลในระบบ CRIME และสถิติการดำเนินการ สถิติการร้องเรียนผ่านทางสายด่วน 191 และ 1599 พร้อมวิเคราะห์จัดกลุ่มความเสี่ยงของพื้นที่ สน./สภ. และสรุปผลการป้องกันปราบปราม ติดตามความคืบหน้าตลอดจนผลการวิจัยและผลประเมินโครงการวิจัยศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการแก้ไขปัญหาการแข่งรถในทางอย่างยั่งยืน และความคืบหน้าการจ่ายเงินรางวัลเบาะแส เป็นต้น

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ได้กำหนดมาตรการการปฏิบัติและกำชับให้หน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. นำไปขับเคลื่อนเพื่อป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยกำชับให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2566 ดังนี้

1.ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างจับกุมและเพิ่มความเข้มในมาตรการป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทาง ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น การรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือโดยพฤติการณ์ที่น่าจะเป็นการนำไปสู่การแข่งรถในทาง ทั้งในช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น (4–10 เม.ย.66) ช่วง 7 วัน ควบคุมเข้มข้น (11–17 เม.ย.66) และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น (18–24 เม.ย.66) ตามแนวทางมาตรการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดอย่างเคร่งครัด

2.เร่งรัดกวดขันตรวจสอบการกระทำความผิดทุกช่องทาง และเพิ่มความเข้มในการระดมกวาดล้างจับกุม ทั้ง ONLINE เช่น คลิปการแข่งรถ, การขับรถที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย, ร้านค้าออนไลน์ ฯลฯ และ ON GROUND เพิ่มความเข้มออกกวดขันตรวจตราแหล่งมั่วสุม จุดนัดหมาย สถานศึกษา ร้านจำหน่ายอะไหล่ ร้านซ่อมรถ ร้านดัดแปลงสภาพรถ ร้านแต่งซิ่ง โรงงานและร้านขายท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน ตลอดจนเส้นทาง ถนนที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ ฯลฯ ดำเนินการตามกฎหมายกับตัวการ และสอบสวนขยายผลไปยังผู้สนับสนุน เช่น ผู้ผลิต ครอบครอง จำหน่าย ประกอบ ดัดแปลง ยุยงส่งเสริม สนับสนุนการแข่งรถในทาง Admin page และกองเชียร์ กรณีสืบทราบหรือพบเห็นการรวมกลุ่มเพื่อแข่งรถในทาง ให้ สน./สภ. บูรณาการกำลังทุกฝ่ายให้ยุติกิจกรรมพร้อมติดตามจับกุมให้ได้โดยเร็ว

3.กรณีมีการชักชวนรวมกลุ่มมั่วสุมแข่งรถในทาง หรือออกทริปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์        ให้ดำเนินการตามมาตรการที่ ตร. กำหนด ตั้งแต่พื้นที่ต้นทาง พื้นที่กลางทาง จนถึงพื้นที่ปลายทาง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อกวดขันวินัยจราจร ตรวจสอบและป้องปรามให้ครอบคลุม และให้หน่วยพื้นที่ต้นทางประชาสัมพันธ์กับ Admin Page  ให้ระงับการดำเนินการดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชนที่พักอยู่ริมทาง และลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ หากมีการรวมกลุ่มออกทริปท่องเที่ยวเกิดขึ้นแล้ว ให้ สน./สภ. ยุติกิจกรรมหรือติดตามจับกุมให้ได้โดยเร็ว หากเกี่ยวข้องในหลายพื้นที่ ให้บูรณาการข้อมูลและการปฏิบัติระหว่างพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 

คนไทยไม่ทิ้งกัน

รอง ผบ.ตร.ส่งตำรวจทางหลวง-จิตอาสา เร่งช่วยเหลือชาวบ้านปากช่อง บ้านถูกเพลิงไหม้ 4 หลังคาเรือน พร้อมเยี่ยวยาซับน้ำตา

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566 เวลา 16.00 น.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่หมู่ 7 บ้านลำทองหลาง ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.จิระพันธ์ มณีรัตน์ สารวัตรตำรวจทางหลวงนครราชสีมา จิตอาสา 904 ตำรวจทางหลวงนครราชสีมา ชมรมฮักเขาใหญ่ ร่วมกับ เรืออากาศเอก พนม เต็งกิ่ง กองบิน 1 ทหารอากาศกองบิน 1 อบต.ปากช่อง ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันรื้อถอนบ้านถูกเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ของนายแม้น ภู่นอก ซึ่งเป็นบ้านต้นเพลิง ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง นำเอาเศษอิฐ เศษปูน และสิ่งของถูกไฟไหม้ออกทั้งหมด เพื่อเตรียมสร้างบ้านหลังใหม่ทันที

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงปิดคดีลักปืนหลวง สภ.ปากเกร็ด ดำเนินคดีผู้ต้องหา 24 ราย เจ้าหน้าที่รัฐ 8 ราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ต.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับ ด.ต.เชาวลิต พุ่มขจร ผบ.หมู่ (ป) สภ.ปากเกร็ด ซึ่งทำหน้าที่ตรวจเก็บและดูแลรักษาอาวุธปืนหลวงในคลังของ สภ.ปากเกร็ด ภ.จว.นนทบุรี โดยดำเนินคดีในกรณีที่ตรวจพบว่า ด.ต.เชาวลิต ได้มีการลักเอาอาวุธปืนในคลังดังกล่าวจำนวนมากถึง 160 กระบอก นำไปจำหน่ายให้กับบุคคลอื่น โดยดำเนินคดีฐาน ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ, เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอแล้วนั้น

คดีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้ออาวุธปืนหลวงดังกล่าวนำมาดำเนินคดีทั้งหมด รวมทั้งติดตามนำอาวุธปืนกลับคืนมาให้ได้ และได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ตร.ที่ 505 และ 567/2565 โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ควบคุม กำกับ ดูแลการสืบสวนสอบสวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.จิรภัทร ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 และพล.ต.ท.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 ดำเนินการขยายผลติดตามอาวุธปืนที่ถูกลักไปกลับคืนมาโดยเร็ว 
 จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ สามารถรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ในการรับจำนำจาก ด.ต.เชาวลิต ได้จำนวนทั้งสิ้น 23 ราย โดยแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว 1 ราย ออกหมายจับแล้ว 22 ราย จับกุมได้ 18 ราย อายัดตัว 4 ราย โดยทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในข้อหา รับของโจร ประกอบด้วย

1. นายสมชาย บัวกลิ้ง   (จับกุมตามหมาย)
2. นายสมเจต แก้วดวง (จับกุมตามหมาย)
3. นายสุรัช   พุกหนู (จับกุมตามหมาย)
4. นายประเสริฐ พวงศิลป์ (จับกุมตามหมาย)
5. นายกิตกร  ศรีคำภา  (จับกุมตามหมาย)
6. นายธีระวัฒน์ ชูเชิด  (จับกุมตามหมาย)
7. นายชายแดน ธัญญรักษ์  (จับกุมตามหมาย)
8. นายปรีดา  จันทร์แก้ว  (จับกุมตามหมาย)
9. นายมนตรี   น้อยคำมี    (จับกุมตามหมาย)
10. น.ส.วรารัตน์ รัตนวรรณ์    (จับกุมตามหมาย)
11. นายอโนทัย ฝอยทอง  (จับกุมตามหมาย)
12. น.ส.รุ่งรัตน์  ชิณศรีวงษ์ (จับกุมตามหมาย)
13. น.ส.วรรณพร จันทสีร์ (จับกุมตามหมาย)
14. นายธันวา แท่งทองไทย   (จับกุมตามหมาย)
15. นายเศษฐพงค์ ก้อนทอง   (จับกุมตามหมาย)
16. นายชัยคุปต์ แย้มดี   (จับกุมตามหมาย)
17. นายบริสุทธิ์  ทองปรีชา    (จับกุมตามหมาย)
18. นายธวัชชัย เป๋ากระโทก   (จับกุมตามหมาย)
19. นายทศพล  พรมสอน    (อายัดตัว)
20. นายนเรนทร์ สมพงษ์    (อายัดตัว) 
21. นายสำเริง  สอนกลาง   (อายัดตัว) 
22. นายบุรินทร์ วันแอเลาะ   (อายัดตัว)
23. นางจินดา พุกกิริยา   (แจ้งข้อกล่าวหา)

ตำรวจ ปส.(NSB) รุกหนัก ทลาย 6 เครือข่าย ยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด ไอซ์ 9 กก. เฮโรอีน 12 กก.  คีตามีน 2 กก. และ ยาเสพติด Happy water 86 ซอง

เมื่อวันที่ 5 เม.ย.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส.บช.ปส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส.บช.ปส., พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ภายใต้นโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้เดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดให้หมดสิ้น ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) ได้กวาดล้างขบวนการค้ายาเสพติด 6 เครือข่าย ผู้ต้องหา 15 คน พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด ไอซ์ 9 กก. เฮโรอีน 12 กก. คีตามีน 2 กก.และ ยาเสพติด Happy water 86 ซอง 

เครือข่ายแรก เมื่อวันที่ 30 มี.ค.66 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.1 และ บก.ขส. พร้อมด้วยหน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ร่วมกันจับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ นายณัฐดนัย สงวนนามสกุล, นายศุภกฤต สงวนนามสกุล และนายสำคัญ สงวนนามสกุล จากการสืบสวนและเฝ้าติดตามเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ พบความเคลื่อนไหวของนายณัฐดนัย พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่กรุงเทพมหานคร กระทั่งกลางดึกของวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา พบรถกระบะหมายเลขทะเบียน ฎศ-73xx กรุงเทพมหานคร มีลักษณะบรรทุกของจำนวนมากและหนักผิดปกติ จึงติดตามไปจนพบรถคันดังกล่าว ขับไปจอดที่ห้องเช่า ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น และช่วงสายของวันที่ 30 มี.ค. มีรถยนต์ตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน บห-15xx อุดรธานี ขับมายังห้องเช่าดังกล่าวและผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ช่วยกันเคลื่อนย้ายกระสอบต้องสงสัย ไปยังรถยนต์ตู้ทึบ ตำรวจ ปส.1 และ บก.ขส. จึงแสดงตัวขอตรวจค้นพบยาบ้าบรรจุในกระสอบ 20 กระสอบ รวม 9 ล้านเม็ด พร้อมตรวจยึดรถ 2 คัน และของกลางอื่น รวม 6 รายการ โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิดที่ ห้องเช่า ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น

เครือข่ายที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มี.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. บช.ปส. พร้อมด้วยตำรวจทางหลวง ร่วมกันจับกุมนายสุรชัย สงวนนามสกุล และนายประจวบ สงวนนามสกุล หลังได้รับแจ้งว่า นายสุรชัย และนายประจวบ ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ ส่งมอบให้กับลูกค้าทางพื้นที่ภาคกลางและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นประจำ ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. จึงสืบสวนติดตามกลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งทราบว่า ผู้ต้องหาขนยาเสพติดมาจากภาคเหนือ โดยใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน 3ฒผ 95xx กรุงเทพมหานคร และ รถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ฒฆ 96xx กรุงเทพมหานคร    จึงติดตามจับกุม และสามารถจับกุมได้ภายในบริเวณปั้มน้ำมัน ปตท. สาขาหันตรา ต่อเนื่องริมถนนเลียบแม่น้ำลพบุรี (บางปะหัน-มหาราช) อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา พบยาบ้า 2 ล้านเม็ด ซุกซ่อนในรถยนต์หมายเลขทะเบียน        3ฒผ 95xx กรุงเทพมหานคร พร้อมตรวจยึดรถ 2 คัน และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และการกระทำให้เกิด ผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยผิดกฎหมาย

เครือข่ายที่ 3 วันที่ 3 เม.ย.66 ตำรวจ บก.สกส. จับกุมนายสุภชัย สงวนนามสกุล หลังได้รับแจ้งว่า นายสุภชัย พร้อมพวกจะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ทางภาคเหนือ มาส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง โดยใช้รถกระบะ 2 คัน หมายเลขทะเบียน ยท 83xx เชียงใหม่ และหมายเลขทะเบียน บย 11xx แพร่ โดยใช้เส้นทางจากพื้นที่จังหวัดเชียงราย ผ่าน จ.แพร่  ตำรวจ บก.สกส. จึงวางแผนจับกุม และสามารถสกัดจับกุมได้ที่ริมถนนในหมู่บ้านทุ่งแล้ง  ต.ทุ่งแล้ง อ.ลอง จ.แพร่ พบยาบ้า 20 กระสอบ รวม 4 ล้านเม็ด ซุกซ่อนในรถกระบะหมายเลขทะเบียน บย 11xx แพร่ และตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยผิดกฎหมาย

เครือข่ายที่ 4  เมื่อวันที่ 2 เม.ย.66 ตำรวจ บก.สกส ได้ร่วมจับกุม นายนรินทร์ สงวนนามสกุล และ นายพัลลภ สงวนนามสกุล โดยตำรวจชุดจับกุมได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้งสอง จนทราบว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือไปส่งให้ลูกค้าในภาคกลาง จึงได้ติดตามจับกุม กระทั่งช่วงเย็นของวันที่ 2 เม.ย.66 สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ภายในลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาโคกสำโรง ต.โคกสำโรง อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ตรวจสอบพบยาบ้า 50 มัด ซุกซ่อนในรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ยก 79xx เชียงใหม่ รวม 1 แสนเม็ด พร้อมยึดรถที่ก่อเหตุ 2 คัน และโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยผิดกฎหมาย

'พี่ศรี' ลั่น!! ล่า 150 ล้านบาทคืนประชาชน แม้ข้ามคลองพระโขนงเคลียร์ ไม่เสียตังค์แล้วก็ตาม

(5 เม.ย.66) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า… ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวอ่อนนุช 77 ชาวซอยปรีดีพนมยงค์ 2 และผู้ที่จะใช้เส้นทางลัดผ่านสะพานแสนสำราญข้ามคลองพระโขนง ของแสนสิริ เพราะขณะนี้การผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่มีการเก็บเงินค่าผ่านทางแล้ว… แต่เงินที่เก็บไปก่อนหน้านี้กว่า 150 ล้านบาท กทม.ต้องสั่งให้บริษัทที่เก็บเงินค่าผ่านทางไปตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน คืนประชาชนที่เคยจ่ายไปหรือนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามที่ กทม.และผู้มีส่วนได้เสียกำหนด…ถ้า กทม.ไม่ดำเนินการ เดี๋ยวไปเจอกันที่ศาลปกครอง…

 

‘ททท.’ เผย ต่างชาติทะลักเที่ยวไทยช่วงสงกรานต์ 305,000 คน ยอดจองพุ่ง!! 14,220 เที่ยวบิน คาดเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

(5 เม.ย.66) นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม มีจำนวนสะสม อยู่ที่ 6,465,737 คน เพิ่มขึ้น 1,199% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 แบ่งเป็นเดือนมกราคม มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,144,948 คน เดือนกุมภาพันธ์ 2,113,550 คน และเดือนมีนาคม 2,207,239 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 256,194 ล้านบาท

จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมเกือบ 6.5 ล้านคนใน 3 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ 56.8% เป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก รองลงมาคือยุโรป 26.5% และอื่นๆ อาทิ อินเดีย สหรัฐ ออสเตรเลีย อิสราเอล แคนาดา และซาอุดีอาระเบีย อีก 16.7% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 3 เดือนแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย 902,621 คน 2.รัสเซีย 566,425 คน 3.จีน 517,242 คน 4.เกาหลีใต้ 441,028 คน และ 5.อินเดีย 320,887 คน

“ตลาดนักท่องเที่ยวจีนถือเป็นพระเอกของภาคท่องเที่ยวไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 จำนวนไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน มีแนวโน้มปิดที่ 7-8 ล้านคน ขึ้นอยู่กับปริมาณเที่ยวบินในช่วงตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 รองลงมาคือตลาดมาเลเซีย วางเป้าหมายไว้ที่ 4 ล้านคน อินเดีย 2 ล้านคน ส่วนรัสเซียและเกาหลีใต้ คาดมีไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน” นายยุทธศักดิ์กล่าว

ต่างชาติเข้าเที่ยวไทยพุ่ง 525%
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 305,000 คน เพิ่มขึ้น 525% เทียบจากปี 2565 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 48,814 คน และเพิ่มขึ้น 58% จากปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 522,357 คน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวประมาณ 5,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 630% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 689 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 60% ของปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 8,321 ล้านบาท

สนามบินไฟลต์ว่อนสงกรานต์
รายงานข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. แจ้งว่า ทอท.ประมาณการการจราจรทางอากาศช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2566 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 14,220 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 59.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ ประมาณ 7,500 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 219.20% และเที่ยวบินภายในประเทศ ประมาณ 6,720 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 2.44% คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 2.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 137.48%

แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ ประมาณ 1.37 ล้านคน เพิ่มขึ้น 561.76% และผู้โดยสารภายในประเทศ ประมาณ 1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.08% อย่างไรก็ตาม เมื่อการจราจรทางอากาศที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 พบว่าปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารยังคงติดลบ เที่ยวบินรวมลดลง 18.47% เที่ยวบินระหว่างประเทศลดลง 20.90% เที่ยวบินภายในประเทศลดลง 15.59% ขณะที่ประมาณการผู้โดยสารรวมลดลง 17.39% ผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 20.96% และผู้โดยสารภายในประเทศลดลง 11.91%

ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในการเสวนาวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี “เสด็จเตี่ย”

ตอนที่ 3 “บทเรียนจากอดีต กับการปรับตัวรับสถานการณ์โลกปัจจุบัน”

วันที่ 4 เม.ย.66 พล.ร.อ.เชิงชาย  ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในการเสวนาวิชาการในโอกาสครบรอบวันสิ้นพระชนม์ 100 ปี พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในหัวข้อ “สืบสานพระราชปณิธาน กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” ตอนที่ 3 “บทเรียนจากอดีต กับการปรับตัวรับสถานการณ์โลกปัจจุบัน” โดยมี พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ/ประธานกรรมการจัดงาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดงานฯ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้การเสวนาฯ ได้รับเกียรติจาก ศ.กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาลัยการทัพเรือ , พล.ร.อ.คำรณ พิสณฑ์ยุทธการ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ทหารเรือ เป็นวิทยากร และ คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง เป็นพิธีกรผู้ดำเนินรายการ ในการนี้ได้มีหน่วยงานภาครัฐ , ภาคเอกชน , ประชาชน และนักศึกษาที่ให้ความสนใจ เช่น สมาคมศิษย์เก่าพณิชยการพระนคร , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พณิชยการพระนคร , สภาวัฒนธรรมเขตบางกอกน้อย , สภาวัฒนธรรมเขตบางกอกใหญ่ , มูลนิธิรัตนาภาในพระราชูปถัมภ์ ร่วมฟังการเสวนา ณ ห้องวุฒิไชยเฉลิมลาภ อาคารราชนาวิกสภา

สงกรานต์หยุดยาว แต่คนร้ายไม่หยุด รีบกลับไปเตือนญาติด่วน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันนำเสนอสถิติการรับแจ้งความออนไลน์รอบสัปดาห์และภัยที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (26 มี.ค.-1 เม.ย.2566)  รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ 4,045 เคส/619,718,786.50 บาท  สถิติการรับแจ้งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 207 เคส/308,896,024.03 บาท โดยสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ  1,761  เคส/29,322,434.61 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 565 เคส/86,215,154.63 บาท 3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 412 เคส/25,532,331.28  บาท 4) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center)  354 เคส/60,282,753.69 บาท   และ 5) คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ 249 เคส/16,973,048.71 บาท

ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ มีจำนวน 3 เรื่อง ดังนี้ เรื่องที่ 1. “เงินหมดบัญชี แถมเป็นหนี้บัตรเครดิต” คดีนี้แก๊ง Call Center โทรศัพท์หาเหยื่อ  อ้างว่ามีชื่อค้างอยู่ในระบบเป็นบุคคลที่ยังไม่ได้ชำระภาษีประจำปี และต้องเสียภาษีไม่เช่นนั้นจะต้องเสียภาษีย้อนหลัง จากนั้นคนร้ายได้ให้เหยื่อแอดไลน์  และให้กดลิงก์เข้าเว็บไซต์กรมที่ดินปลอม  ต่อมาให้กดดาวน์โหลดที่ข้อความโฆษณา(Banner) ตรากรมที่ดิน เพื่อติดตั้งแอปควบคุมโทรศัพท์ของเหยื่อ หน้าจอเหยื่อปรากฏการทำงานเป็นเปอร์เซ็นต์ และให้รอจนครบ 100%  ถ้าครบแล้วระบบจะให้สแกนใบหน้าเพื่อยืนยันข้อมูลบุคคลและอัพเดทข้อมูลในกรมที่ดิน ช่วงนี้คนร้ายให้โอนเงินค่าธรรมเนียมไปบริจาคยังมูลนิธิเด็ก เพื่อหลอกดูรหัส แล้วล็อคหน้าจอของเหยื่อ และห้ามเหยื่อปิดเครื่อง อ้างว่าถ้าไม่เสร็จกระบวนการ จะถูกเรียกภาษีย้อนหลัง 2-3 หมื่นบาท ช่วงนี้คนร้ายเห็นว่าเงินในบัญชีของเหยื่อมีน้อย จึงไปทำรายการถอนเงินสดจากบัตรเครดิตมาใส่ในบัญชีธนาคาร(คนร้ายรู้รหัส PIN) เนื่องจากเหยื่อผูกบัตรเครดิตไว้กับแอปของธนาคาร แล้วถอนเงินออกไปจนหมด จึงขอแจ้งเตือนว่า 1)อย่าโหลดแอปต่างๆ นอก google play store หรือ app store และสังเกตุคำเตือนจากโทรศัพท์ของเราขณะโหลดแอป 2) อย่าโหลดแอปที่ข้อความขึ้นว่า “.APK” เพราะเป็นแอปที่เป็นอันตราย 3) อย่าผูกบัตรเครดิตไว้กับแอปของธนาคาร   และอย่าดาวน์โหลดแอปที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ

เรื่องที่ 2 “อยากมีรายได้ แต่ได้รายจ่าย” คดีนี้คนร้ายแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ Shopee โฆษณารับสมัครงานใน Facebook หรือโทรหาเหยื่อ เมื่อเหยื่อสอบถามรายละเอียด คนร้ายจึงให้แอดไลน์แล้วดึงเข้ากลุ่มไลน์ทำงานที่มีสมาชิกในกลุ่มจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยในกลุ่มมีหน้าม้าพูดคุยว่าทำภารกิจโปรโมทสินค้าเสร็จสิ้นและได้รับเงินค่าคอมมิชชั่นจริง เหยื่อหลงเชื่อจึงทำภารกิจโปรโมทสินค้าที่มีมูลค่าหลักร้อยเป็นภารกิจแรก โดยคนร้ายส่งลิงก์ Shopee ของจริงให้เหยื่อกดสั่งสินค้าใส่ตะกร้า   จากนั้นคนร้ายให้บันทึกหน้าจอส่งให้ดูพร้อมโอนเงินตามมูลค่าสินค้านั้นๆเข้าบัญชีคนร้าย     คนร้ายโอนเงินคืนพร้อมให้ค่าคอมมิชชั่นกลับมาเพื่อหลอกให้เหยื่อรู้สึกว่าได้คอมมิชชั่นจากการทำงานจริง จากนั้นคนร้ายให้เหยื่อทำภารกิจต่อไปโดยค่าสินค้าและค่าคอมมิชชั่นมากขึ้น เมื่อสินค้ามีมูลค่าหลักหมื่น หรือหลักแสน คนร้ายอ้างว่าเหยื่อทำผิดพลาดต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อแก้ไข สุดท้ายจะไม่โอนเงินคืน  จึงขอแจ้งเตือนว่า  ถ้าอยากมีรายได้จากการทำงานออนไลน์  ต้องไม่เป็นงานที่เราต้องโอนเงินไปก่อน  จึงได้ทำงาน หากมีลักษณะเช่นนี้หลอกลวงแน่นอน

ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ   และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT)



 

‘ทวดชุบ 5 แผ่นดิน’ อายุครบ 107 ปี สุขภาพยังแข็งแรง พร้อมบอกเคล็ดลับการใช้ชีวิตให้อายุยืน เผย แค่ไม่เครียด

(4 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวอ.ทุ่งใหญ่ ลงพื้นที่สัมภาษณ์ คุณทวด 5 แผ่นดิน ซึ่งมีอายุ 107 ปี มากที่สุดในอ.ทุ่งใหญ่ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านเลขที่ 77 หมู่ 5 บ้านสระนางมโนราห์ ต.ปริก อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช พบคุณทวด 5 แผ่นดินขวัญใจชาวบ้าน ทราบชื่อนางชุบ สุวรรณมณี อายุ 107 ปี เกิดเมื่อปีพ.ศ.2460 หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม ทวดชุบ 5 แผ่นดิน ซึ่งอยู่มาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน อายุมากที่สุดที่ใน อ.ทุ่งใหญ่ ซึ่งทวดชุบมีลูกทั้งหมด 7 คน โดยคนสุดท้องอายุ 67 ปี ส่วนใหญ่ลูกหลานมักจะมาขอพรจากทวดชุบเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเริ่มทำกิจการงานต่างๆ อีกทั้งทวดชุบยังคงมีสุขภาพที่ดี ยังคงลุกนั่งและเข้าห้องน้ำเองได้ อีกทั้งยังสามารถพูดคุยตอบโต้กับลูกหลานได้ปกติ จึงถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับคนอายุ 107 ปี ที่หูยังคงได้ยินชัด และยังคงมีความจำที่ดีเยี่ยม

สอบถามทวดชุบเกี่ยวกับเคล็ดลับการใช้ชีวิตให้อายุขนาดนี้ ทวดชุบ ระบุว่า ไม่มีอะไรพิเศษ กินข้าวปกติ กินได้ทุกอย่าง แต่ไม่เครียด ซึ่งคุณทวดชุบสูญเสียดวงตาข้างซ้ายมาตั้งแต่เด็กจากอุบัติเหตุ แต่ตาข้างขวายังคงใช้งานได้ปกติ และยังคงมองเห็นได้ดี พอลูกหลานขอให้อยู่ต่อจนถึงอายุ 120 ปี ทวดชุบก็ส่ายหัวบอกว่า ไม่รู้ ไม่รับปาก

ชู ”วิสัยทัศน์ต้านโกงจุรินทร์” โยงเงื่อนไขร่วมรัฐบาล

“อลงกรณ์” ประกาศ 10 นโยบายปราบคอร์รัปชั่นของพรรคประชาธิปัตย์” 
ยกระดับเป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) เพิ่มโทษอาญา-ยึดทรัพย์ เร่งปฏิรูปราชการและการเมืองลดฉ้อฉลตัดเงื่อนไขรัฐประหาร พร้อมผนึกความร่วมมือภาคประชาชนส่งเสริมแพลตฟอร์มไอที.ขจัดทุจริต

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้(5 เม.ย.)ว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเสมือนมะเร็งร้ายของประเทศที่อยู่ในขั้นวิกฤตจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเร่งด่วนโดยพรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ยกระดับเป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) ซึ่งผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2565 ปรากฎว่า ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 101 จาก180 ประเทศและอยู่ในอันดับที่ 4 ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจากการประเมินล่าสุดโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI)

พรรคประชาธิปัตย์มีความกังวลต่อปัญหานี้และให้ความสำคัญต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงได้จัด”เวที ‘ฟัง-คิด-ทำ’ ต้านโกง”เพื่อรับฟังความคิดเห็นประกอบกับข้อสังเกตขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาตินำไปสู่การจัดทำเป็นนโยบายต่อต้านการทุจริตให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

โดยยึดปฐมอุดมการณ์ของพรรคที่บัญญัติไว้ว่า”พรรคจะดำเนินการเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชน”และแนวทางประชาธิปไตยสุจริตโดยมีแนวทางนโยบายดังนี้
1. ยกระดับการต่อต้านคอร์รัปชั่น
เป็น”วาระแห่งชาติเร่งด่วน”(National Urgent Agenda) 
2. ส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยสุจริตและหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์(Conflict of Interest)
3. สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐและภาคเอกชน
4. ส่งเสริมการเรียนการสอนและการปลูกฝังจิตสำนึก”โตไปไม่โกง”รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ของสังคมถึงภัยร้ายของการคอร์รัปชั่น
5. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อขจัดการคอรัปชั่นและส่งเสริมแพลตฟอร์มของภาคเอกชนและภาคประชาชนในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อการตรวจสอบและแก้ปัญหาการทุจริต
6. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทางราชการโดยเฉพาะการจัดซื้อและการประมูลภาครัฐทั้งราชการส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
7. ปฏิรูประบบราชการ การเมืองและกระบวนการยุติธรรมเพื่อความโปร่งใส การพัฒนาระบบการอนุมัติ อนุญาตให้มีความโปร่งใส การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 
8. การยกเลิกกฎหมายกฎระเบียบที่เอื้อต่อการทุจริต
9. การเพิ่มโทษอาญาและการยึดทรัพย์คดีฉ้อราษฎร์บังหลวง การลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับสินบนอย่างจริงจัง 
10. การร่วมมือกับนานาชาติในการปราบปรามการทุจริตข้ามชาติทุกรูปแบบภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่น

นายอลงกรณ์ซึ่งเป็นอดีตประธานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมฝ่ายค้านและได้รับการคัดเลือกจากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาให้เป็น”ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา”จากบทบาทการปราบปรามการทุจริตกล่าวต่อไปว่า

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top