Wednesday, 22 January 2025
NEWS FEED

‘รองนายกฯประเสริฐ’ เตรียมใช้เวที ‘ADGMIN’ ผลักดัน ‘อาเซียน’ จับมือปราม ‘ภัยออนไลน์’ ย้ำความพร้อม ‘ไทย’ เจ้าภาพประชุมใหญ่ ‘รัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล’ ครั้งที่ 5 ระหว่าง 13-17 ม.ค.นี้ 

(3 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 13-17 มกราคม 2568 ประเทศไทย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Digital Ministers’ Meeting: The 5th ADGMIN) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ และโรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร

สำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) กำหนดจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดต่อเนื่องกับการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGSOM) เพื่อเป็นเวทีสำหรับรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านดิจิทัลของอาเซียน ได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่สำคัญ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาด้านดิจิทัลในอาเซียน และส่งเสริมความร่วมมือกับคู่เจรจาอาเซียน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) รวมถึงการรับรองและรับทราบเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในกรอบอาเซียนด้านดิจิทัลในปีถัดไป

ทั้งนี้ การประชุม ADGMIN ในครั้งนี้ มีหัวข้อหลักคือ ‘Secure, Innovative, Inclusive: Shaping ASEAN's Digital Future’ หมายถึง การมุ่งเน้นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัย ตอบสนองและรับมือต่อภัยคุกคามและอาชญากรรมไซเบอร์ การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุบัติใหม่ และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทั่วถึงและเท่าเทียม ผ่านแกนหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความมั่นคง นวัตกรรม และความครอบคลุม ที่จะเป็นเสาหลักที่จะพัฒนาอนาคตด้านดิจิทัลและนำอาเซียนไปสู่ความก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรือง ซึ่งจะมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เลขาธิการอาเซียน คู่เจรจาของอาเซียน ผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากประเทศติมอร์ - เลสเต เข้าร่วมการประชุมฯ

โดยการประชุมครั้งนี้มีวาระการพิจารณาประเด็นสำคัญ ได้แก่ การหารือระดับรัฐมนตรีด้านดิจิทัล เพื่อแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าและการพัฒนาด้านดิจิทัล โดยเฉพาะพัฒนาการที่สอดคล้องกับหัวข้อหลักของการประชุม , การรายงานผลสำเร็จของโครงการปี 2567 ภายใต้การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (ADGSOM) และหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาม (ATRC) , การติดตามผลการดำเนินการตามแผนแม่บท ASEAN Digital Masterplan (ADM) 2025 , การอนุมัติงบประมาณจากกองทุน ASEAN ICT Fund สำหรับดำเนินการในปี 2568 , การรับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมฯ อาทิ ร่างปฏิญญาดิจิทัลกรุงเทพ (Bangkok Digital Declaration) ร่างแถลงข่าวร่วมสำหรับการประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (Joint Media Statement) ร่างเอกสารสำคัญที่เป็นแนวทางการดำเนินงานด้านต่างๆ ของอาเซียน อาทิ ความร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ แผนปฏิบัติการสำหรับความเป็นส่วนตัวข้ามพรมแดนระดับสากล การพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล แนวปฏิบัติธรรมาภิบาลและจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) เป็นต้น 

“ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการจัดประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 โดยรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสนี้กระทรวงดีอี จะเสนอและผลักดันประเด็นสำคัญ คือ การดำเนินการของคณะทำงานอาเซียนด้านการป้องกันปัญหาการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ (WG – AS) ซึ่งไทยทำหน้าที่ประธาน พร้อมผลักดันรายงานและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาแนวทางเพื่อประสานงานและรับมือกับภัยออนไลน์ระหว่างอาเซียน โดยจะมีการรับรองเอกสารข้อแนะนำของอาเซียนในการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (ASEAN Recommendations on Anti – Online Scam) เพื่อจัดการกับปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ผ่านช่องทางดิจิทัลและโทรคมนาคม ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในร่างปฏิญญาดิจิทัลกรุงเทพ (Bangkok Digital Declaration) โดยจะมีการรับรองในระหว่างการประชุม ADGMIN ครั้งที่ 5 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

สมุทรปราการ- 'พระครูแจ้' ทำบุญปีใหม่!! มอบเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ รพ.บางพลี กว่า 500,000 บาท

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง มอบของขวัญต้อนรับปีใหม่ มอบเงินกว่า 500,000 บาท ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลบาพลี เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และคณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลทุกคนในโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2568

วันที่ (2 ม.ค.68) ที่ผ่านมา เวลา 15.00 น. ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วย ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี พร้อมทั้งสื่อมวลชน ลงพื้นที่ภายในชุมชนคลองบางพลีเยี่ยมคุณยายแดง คุณยายอายุ 100 ปี พร้อมทั้งมอบกระเช้าและเงินจำนวน 5,000 บาท ให้กับคุณยายแดงและผู้ป่วยติดเตียงที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ อีกรายละ 3,000 บาท 

นอกจากนี้ ท่านพระครูแจ้ ยังได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลบางพลี ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี สมุทรปราการ เยี่ยมผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล พร้อมทั้งถือโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2568 มอบแบรนด์รังนกและเงินสดอีกคนละ 200 บาท แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้สร้างความปราบปรื้มให้แก่ผู้ป่วยและคณะแพทย์พยาบาลเป็นอย่างมาก

อีกทั้ง ท่านพระครูแจ้ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้เมตตามอบเงินเป็นของขวัญปีใหม่แก่บุคคลากรทางการแพท์และคณะเจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลบางพลีทุกคน กว่า 700 คน อีกคนละ 300 บาท เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลบางพลีในช่วงเทศกาลปีใหม่ 

โดยมี นายแพทย์ประพัฒน์ ธรรมศร ผอ.โรงพยาบาลบางพลี และทีมแพทย์พยาบาลตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

‘มาดามแป้ง’ ปลื้มแฟนช้างศึกแห่ซื้อตั๋ว 47,000 ใบ หมดเกลี้ยงภายใน 2 ชม. นัดดวลเวียดนามรอบชิงฯ AFF นัดสอง

‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ขอบคุณแรงสนับสนุนจากแฟนบอลชาวไทย หลังบัตรเข้าชมการแข่งขันถูกจำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อย ในเกมเปิดบ้านพบกับ เวียดนาม ในศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดสอง ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ยกเป็นพลังใจสำคัญให้ทัพช้างศึก ทั้งก่อนลงเล่นเกมเยือนวันนี้ และ วันที่ 5 มกราคม 2568

บัตรเข้าชมการแข่งขัน เปิดจำหน่ายวันนี้ ในเวลา 10.00 น. ก่อนใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง บัตร Sold Out เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ความจุเกือบ 47,000 ที่นั่ง ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน

'มาดามแป้ง' กล่าวว่า “แป้ง พูดอยู่เสมอว่า ผู้เล่นคนที่ 12 สำคัญกับทีมชาติไทย มากที่สุด และ เป็นอีกหนึ่งวันที่ แป้ง ปลาบปลื้มใจ ดีใจ ที่เห็นแรงสนับสนุนที่มีต่อทีมชาติไทย เพราะขณะนี้ บัตรเข้าชม เกือบ 47,000 ที่นั่ง ถูกจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงกระแส และ ความศรัทธาที่มีต่อ ทีมชาติไทย ในฐานะ นายกสมาคมฯ แป้ง อยากขอบคุณทุกคนจากใจจริง และ เชื่อว่าจะเป็นพลังใจสำคัญให้ทัพช้างศึก ก่อนลงเล่นเกมเยือนที่เวียดนาม ในวันนี้ แน่นอนว่าเป็นสถานการณ์ที่ยาก แต่เชื่อมั่นในสปิริตทีมชุดนี้ และ เชื่อมั่นว่าเราจะได้ผลการแข่งขันที่ดีกลับมา“

สำหรับ รอบชิงชนะเลิศ ชิงแชมป์อาเซียน 2024 ระหว่าง ทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเวียดนาม จะแข่งขัน 2 นัด เหย้า-เยือน เริ่มจากทัพช้างศึก ไปเยือนก่อน ในวันที่ 2 มกราคม 2568 และ กลับมาเล่นในบ้าน วันที่ 5 มกราคม 2568

เชียงใหม่-สภ.เมืองเชียงใหม่ ร่วมตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ ตำรวจ ตม.เชียงใหม่ บูรณาการกำลัง ติดตามนักท่องเที่ยวเหตุปล่อยโคมลอยลานท่าแพ 

ตามข่าวที่ปรากฎตามสื่อโซเชี่ยล เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติได้พยายามปล่อยโคมลอยในพื้นที่บริเวณลานประตูท่าแพ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ห้ามปล่อยโคมลอยเนื่องจากอาจจะเกิดเพลิงไหม้ บ้านเรือนประชาชนซึ่งพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ในเขตพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่

ซึ่งหลังจากเป็นเหตุเกิดขึ้น จนท.ตำรวจ ได้ติดตามนักท่องเที่ยวคนดังกล่าว จนทราบตัวว่าเป็นใคร จึงได้ประสานติดต่อและเชิญตัวมายัง สภ.เมืองเชียงใหม่ 

ทราบชื่อว่า นายฮิราโนะ อายุ 31 ปี สัญชาติญี่ปุ่น จากการสอบสวน นายโทโมะ ได้เดินทางมาเที่ยวกับครอบครัวเพื่อร่วมงาน Count down 2025 ณ ลานท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ โดยเข้ามาเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 68

ซึ่งตนตั้งใจเดินทาง มางานดังกล่าวกับครอบครัว หลังงานเค้าดาวน์ เสร็จ เวลาประมาณ 00.30 น. ตนจึงได้นำโคมลอยมาจุด บริเวณด้านข้างลานท่าแพเพราะเข้าใจว่า เขตห้ามปล่อยคือบนลานเท่านั้นแต่ขณะกำลังจะปล่อย ได้มี หมวดทวีศักดิ์ฯ มาตรวจพบและห้ามปราม แต่ตนติดว่าจุดนี้ปล่อยได้ จึงได้เกิดอารมณ์โมโหและแสดงกริยาที่ไม่ดีออกไป ตามที่เป็นข่าว หลังจากนั้นได้มีล่ามเข้ามาอธิบายให้ฟัง ตนจึงเข้าใจว่าเป็นเขตพื้นที่ห้ามปล่อยโคม จึงได้กล่าวขอโทษ ผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ และได้แยกย้ายจากจุดเกิดเหตุในคืนดังกล่าว

ต่อมา จนท.ตำรวจ ได้ติดต่อตนเข้ามาและนายฮิราโนะ รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากเข้าพบและขอโทษ หมวดทวีศักดิ์ฯ ด้วยตนเองอีกครั้ง จึงได้ติดต่อเดินทางเข้ามา พบ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อขอพบผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ ในเวลาประมาณ 19.30 น. ของวันเดียวกันนี้ 

โดย ผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ ได้ยอมมาพบและรับคำขอโทษ และไม่ได้ติดใจเอาความ นายฮิราโนะ แต่อย่างใด 

แต่ความผิดอาญา อีกส่วนหนึ่ง จนท.ตำรวจ พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของนายฮิราโนะฯ มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติตามหน้าที่ 

จนท.ตำรวจ จึงได้อธิบายให้นายฮิราโนะฯ ทราบถึงข้อหาความผิดดังกล่าว ซึ่งนายฮิราโนะฯ เข้าใจและให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวน จึงทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน 3,000 บาท 

นายฮิราโนะฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าตนขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น และยอมรับผิดตามกฏหมาย และหากมีโอกาสจะกลับมาเที่ยวประเทศไทย อีกแน่นอน เพราะชอบแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และรับปากว่าไม่แสดงพฤติกรรมแบบนี้อีกเด็ดขาด

‘โปรเมียว-โปรเปียโน’ นำทัพนักกอล์ฟบางจากฯ ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน

(2 ม.ค. 68) นายดาว์ปกรณ์ รัตนสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร ‘บริษัท เดอะ เจ็นซ์ จำกัด’ จับมือโปรกอล์ฟของ ‘บางจากฯ’ จัดกิจกรรม Inspirational Talk With Pro ถ่ายทอดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน นำทีมโดย ‘โปรเมียว’ ปาจรีย์ อนันต์นฤการ, ‘โปรเปียโน’ อาภิชญา ยุบล นักกอล์ฟไทยที่จบอันดับดีที่สุด ท็อป 5 ในยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น รายการเมเจอร์ของแอลพีจีเอ ทัวร์ และ ‘โปรเพชร’ พชร คงวัดใหม่ ผู้เล่นในลิฟ กอล์ฟ ลีก, ‘โปรแจน’ วิชาณี มีชัย, ‘โปรมิ้ม’ วรรษวัลย์ สังขพงษ์ และ ‘แพงกี้’ แอลล่า แกลิทสกีย์ มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์ทั้งในและนอกสนามแข่งขัน ส่งต่อพลังและสร้างแรงบันดาลใจให้นักกอล์ฟเยาวชนไทยมุ่งสู่ความสำเร็จ ที่ Golfing Ground Performance Center สาขาบางนา 

‘โปรเมียว’ ปาจรีย์ อนันต์นฤการ นักกอล์ฟสาววัย 25 ปีเจ้าของแชมป์แอลพีจีเอ 2 รายการ ที่สำคัญนับตั้งแต่เทิร์นโปรเมื่อปี 2017 ก่อนเข้ามาเล่นในแอลพีจีเอ ทัวร์เมื่อปี 2019 นั้น เธอลงเล่นมา 6 ฤดูกาลโดยไม่เสียทัวร์การ์ดแม้แต่ปีเดียว ซึ่ง ปาจรีย์ เผยเคล็ดลับว่า “ต้องบอกว่าเมียวเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง พยายามแก้ไขและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านค่ะ ถึงตอนนี้ชนะไป 2 รายการแต่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากพัฒนาให้ดีขึ้น เมียวมีเป้าหมายให้ตัวเองตลอดค่ะ...เมียวเชื่อว่าตราบใดที่เราไม่ท้อและไม่หยุด ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราก็มีความสุขที่ได้ทำค่ะ”

ทางด้าน ‘โปรเปียโน’ อาภิชญา ยุบล ประสบการณ์ 2 ปีในแอลพีจีเอทัวร์ เล่าถึงรายการยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น ที่เธอบอกว่าเป็นรายการเปลี่ยนชีวิต “หลังจากจบท็อป 100 รักษาทัวร์การ์ดในปีแรกได้ เข้าปีสองรู้สึกเล่นได้ดีแต่ไม่สามารถผ่านการตัดตัว ซึ่งโนไม่เคยตกรอบเยอะขนาดนี้ในชีวิต ตอนนั้นเครียดมากตามด้วยความคิดไม่ดีเลย กระทั่งมาชนะควอลิฟายเข้าไปเล่นในยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น ซึ่งเป็นแมทช์เปลี่ยนชีวิตเพราะเป็นเมเจอร์แรกที่ผ่านตัดตัวและจบท็อป 5 เป็นเงินรางวัลมากที่สุดในชีวิต เรื่องเครียดทั้งหมดหายไปเลย หลัก ๆ คือเรื่องเงิน จากนั้นผลงานดีขึ้นเลย ๆ จนได้มาเล่นซีเอ็มอี กรุ๊ป”

ส่วน ‘โปรเพชร’ พชร คงวัดใหม่ ดีกรีแชมป์เอเชียนทัวร์ 1 รายการและชนะรายการอย่างไม่เป็นทางการของยูโรเปียน ทัวร์อีก 1 รายการกล่าวถึงประสบการณ์การเข้าไปเล่นกับมือระดับเวิลด์คลาสในลิฟ กอล์ฟ ลีก ว่า “ประสบการณ์เขาผ่านมาเยอะกว่าเรามาก ๆ ครับ ทำให้เขารู้ว่าช็อตนั้น ๆ ต้องเล่นแบบไหน ส่วนผู้เล่นเก่ง ๆ ที่เคยเล่นด้วยผมชอบ อับราฮัม อันเซอร์ ผู้เล่นตัวเล็กและสามารถเล่นได้ทุกช็อตจริง ๆ ผมสัมผัสด้วยตัวเองแล้วต้องบอกว่า เรายังต้องพัฒนาอีกเยอะ เขาเก่งกว่ามากจริง ๆ”

‘อ.อุ๋ย’ เห็นต่าง ปมตบรางวัลตำรวจปล่อย นทท. กระชากคอเสื้อ ชี้! เป็นดาบสองคม ทำกฎหมายไทยไร้ความศักดิ์สิทธิ์

(2 ม.ค. 68) อาจารย์อุ๋ย ปชป. ชี้!  มอบรางวัลตำรวจไม่ตอบโต้นักท่องเที่ยวกระชากคอเสื้อ เป็นดาบสองคม สร้างบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยว ทำกฎหมายไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์ ตำรวจไทยปฏิบัติหน้าที่ยากขึ้น ย้ำ! การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยว 

เมื่อวันที่ (1 ม.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “จากกรณีที่ มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอยสีแดง บริเวณถนนคชสาร ซอย 3 ใกล้กับประตูท่าแพ โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากห้อมล้อม และเชียร์กันอย่างสนุกสนาน จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปห้ามปราม จนมีการกระชากคอเสื้อของตำรวจ นั้น

แม้สุดท้ายเหตุการณ์จะจบลงด้วยดี จนมีการมอบรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีความอดทนอดกลั้น ซึ่งผมก็เคารพในการตัดสินใจของตำรวจผู้ปฏิบัติงานและผู้มอบรางวัล อย่างไรก็ดี ผมมีข้อกังวลว่าการมอบรางวัลให้กับการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะนี้ คือการไม่ตอบโต้กับผู้ที่พยายามใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ และไม่ดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอย จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานว่า การไม่ใช้อำนาจจับกุมผู้กระทำผิด กับการไม่บังคับใช้กฎหมายในเวลาที่ต้องใช้ คือการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าหน้าตำรวจทุกนายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง งั้นหรือ ? แบบนี้ต่อไปใครจะกระชากคอเสื้อตำรวจก็ได้ สุดท้ายขอโทษแล้วจบ งั้นหรือ ? 

ซึ่งผมเชื่อว่าหากเหตุการณในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและยึดถือสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่นเอง หากมีผู้ที่ทำผิดกฎหมาย และพยายามกระชากคอเสื้อเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ จะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยสามถึงห้าคนเข้ามารุมล้อมและจับใส่กุญแจมือและส่งเข้ารถคุมขังทันที ซึ่งหากทำอย่างถูกต้องตามหลักการการจับกุม ผู้ถูกจับกุมจะไม่เกิดการบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด และจะต้องถูกดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพราะถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว เพราะทำให้เกิดความวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อย 

นักท่องเที่ยวปกติ (ขอเรียกว่านักท่องเที่ยว “สีขาว”) เขาจะนิยมเที่ยวประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขาและครอบครัวสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้อกังวลกับโจรผู้ร้าย ในขณะที่นักท่องเที่ยวสีเทาหรือสีดำ จะชอบไปท่องเที่ยวประเทศที่การบังคับใช้อ่อนแอ หละหลวม สามารถใช้เงินและอิทธิพลเหนือกฎหมายได้ ผมจึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา ว่าอยากได้นักท่องเที่ยวแบบไหน และขอย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยความปรารถนาดี” 

เชียงใหม่-มอบเงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ ตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” 

วันที่ 1 มกราคม 2568 เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 และ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เป็นตัวแทนมอบเงินรางวัลจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ ตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทนและเสียสละ และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือให้แก่องค์กรตำรวจ

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 เวลา 00.30 น. ร.ต.ต.ทวีศักดิ์ วงศ์ใจ รอง สว.(ป.) สภ.เมืองเชียงใหม่ พบกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่กำลังจะปล่อยโคมลอยบริเวณประตูท่าแพ จึงเข้าประชาสัมพันธ์ข้อห้าม แต่เกิดความเข้าใจผิดจนมีการโต้เถียงกัน

ภายหลังประสานล่ามช่วยสื่อสาร นักท่องเที่ยวเข้าใจและแสดงความเสียใจที่ไม่ทราบข้อห้ามมาก่อน เจ้าหน้าที่เห็นว่าไม่มีเจตนาละเมิดกฎหมาย จึงไม่ดำเนินคดี และเหตุการณ์จบลงด้วยความเข้าใจ ไม่มีผู้บาดเจ็บ

‘หมูเด้ง’ เกิดมาเพื่อเป็นซุปตาร์ดังไกลกระฉ่อนโลก

นับตั้งแต่ลืมตาดูโลก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ‘หมูเด้ง’ ลูกฮิปโปแคระสุดน่ารัก จากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในความสนใจและส่งต่อความน่ารัก เด้ง ดีด ไปทั่วโลก เรียกว่าสร้างกระแสฟีเวอร์ชนิดไม่มีแผ่วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

สำหรับ หมูเด้ง เป็นลูกฮิปโปแคระ เพศเมีย เกิดจากแม่ชื่อโจนา อายุ 25 ปี และพ่อชื่อโทนี่ อายุ 24 ปี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ในช่วงแรกที่หมูเด้งเกิดมา ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้มีการเปิดโหวตให้ประชาชนได้ช่วยกันตั้งชื่อให้ลูกฮิปโปแคระตัวนี้ โดยมี 3 ชื่อให้เลือก คือ หมูเด้ง หมูแดง และหมูสับ ซึ่งชื่อ “หมูเด้ง” ก็ได้รับการโหวตมากที่สุด ซึ่งเกิดจากการอยู่ไม่นิ่งและพร้อมจะสวบคนเลี้ยงตลอดเวลาของเจ้าฮิปโปตัวน้อยนั่นเอง

หลังจากน้องหมูเด้งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ก็ได้สร้างวีรกรรมแสนซนทั้งเด้ง ดีด สวบ วิ่งวุ่น กลายเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลก ชนิดรันไปทุกวงการ หลาย ๆ คลิปและภาพความน่ารักของหมูเด้งถูกเผยแพร่ออกไปจนกลายเป็นไวรัล พร้อมกับเกิดปรากฏการณ์ “หมูเด้งฟีเวอร์” มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเฝ้ารอชมความน่ารักที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียวอย่างเนืองแน่น

ไม่เพียงเท่านั้น สื่อดังจากตะวันตกไม่ว่าจะเป็น BBC, the Guardian, The Independent, TIME และรอยเตอร์ ต่างก็พร้อมใจกันนำเสนอเรื่องราวความน่ารักของฮิปโปแคระแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียวกันโดยพร้อมเพรียง 

นอกจากนี้ ยังมีคนดังจำนวนมากที่แวะเวียนมาเยี่ยมหมูเด้งที่สวนสัตว์อย่างไม่ขาดสาย และต้องยอมรับว่าผู้ที่มีกระแสฟีเวอร์มากที่สุดในปีนี้ คงหนีไม่พ้น ‘น้องหมูเด้ง’ ที่สร้างกระแสสุดปัง พร้อมเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนไทยและคนทั่วโลก

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี งดงามทั้งใจและใบหน้า

ในห้วงวิกฤตต่าง ๆ ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในช่วงโควิด – 19 ระบา หรือ เหตุอุทกภัยใหญ่ ทุกคนจะได้เห็นผู้หญิงแกร่งที่งดงามทั้งจิตใจและใบหน้า อย่าง ‘บุ๋ม – ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ระธานมูลนิธิองค์กรทำดี ที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ

สำหรับบุ๋ม ปนัดดา นั้นได้ชื่อว่านางฟ้าบนดินอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นนางงามที่มักทำความดีช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่เป็นประจำตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นขาลุยที่พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในหลากหลายรูปแบบอยู่เสมอ อย่างในอุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บุ๋ม ปนัดดา พร้อมทีมงานได้ลงช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่วันแรกๆ ที่เกิดเหตุน้ำท่วม และอยู่ร่วมฟื้นฟูหลังน้ำลดอีกนานนับเดือน จนกระทั่งสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ

ดังนั้น บุ๋ม ปนัดดา จึงถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลในวงการบันเทิงที่เป็นต้นแบบแห่งการทำความดี และไม่เพียงแต่การช่วยเหลือคนในห้วงเวลาที่ประสบภัยเท่านั้น แต่เธอยังเป็นอีกหนึ่งคนที่ออกตัวเพื่อชนกับปัญหาที่ผู้หญิงถูกทำร้ายและถูกข่มขืนมาโดยตลอดด้วยเช่นกัน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใคร ๆ จะเรียกเธอว่า ‘นางฟ้าบนดิน’ ที่งดงามทั้งจิตใจและใบหน้ามาตลอดหลายปี

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

ปฏิบัติการเด็ดปีกเหล่าบอส ธุรกิจหมื่นล้านสู่ข้อหาฉ้อโกง-แชร์ลูกโซ่

ย้อนมหากาพย์คดีดิไอคอน จากเครือข่ายบริษัทขายออนไลน์หมื่นล้าน 'บอสพอล' สู่ข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ ความเสียหาย 3,000 ล้านบาท

ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับ 'มหากาพย์คดีดิไอคอน' ซึ่งปัจจุบันพบยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ มากกว่า 9 พันคน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท

TST พาไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ของ 'มหากาพย์คดีดิไอคอน' ตั้งแต่เริ่มต้นที่กลายมาเป็นประเด็นร้อน จนถึงความคืบหน้าล่าสุดในปัจจุบัน

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCON GROUP) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 โดยมีการแจ้งประเภทธุรกิจเป็นการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต และ 'บอสพอล' วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ได้รับการจดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัท โดยในระหว่างปี 2562-2566 รายได้รวมของบริษัทฯ สูงถึง 10,613,171,867 บาท

อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจของบริษัทเริ่มถูกตั้งข้อสงสัยในปี 2567 ว่าอาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ หลังจากกลุ่มผู้เสียหายที่เปิดบิลแล้วไม่สามารถขายสินค้าได้ เริ่มออกมาร้องเรียนในเพจต่างๆ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อ 'กบ ไมโคร' หรือ นายไกรภพ จันทร์ดี นักร้องรุ่นใหญ่ โพสต์เฟซบุ๊กแฉว่าเขาลงทุน 2 ล้านบาทกับบริษัทแห่งนี้ แต่สุดท้ายต้องเลิกลงทุน พร้อมกับกล่าวหาว่ามีผู้สูงอายุหลายคนลงทุนจนแทบสูญเสียทุกอย่าง และเรียกร้องให้หยุดธุรกิจที่อันตรายกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ

จากนั้น ผู้เสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลายเพจเฟซบุ๊กดังเริ่มเปิดเผยข้อมูลไม่พอใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งวิธีการธุรกิจที่มีการเชิญชวนให้เข้าร่วมอบรม-สัมมนาก่อนชวนเปิดบิลขายสินค้าหรือเป็นดีลเลอร์ นั้นถูกมองว่าเหมือนการทำแชร์ลูกโซ่ แม้ว่าจะมีการขายสินค้า แต่สินค้าหลายรายการกลับไม่ได้รับความนิยมตามที่โฆษณาไว้

เมื่อประเด็นร้อนเริ่มขยายตัว 'บอสพอล' วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอของดิไอคอนกรุ๊ป ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กยืนยันว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ทำธุรกิจ ผ่านระบบตัวแทนของบริษัทฯ เขาเชื่อมั่นว่าได้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและไม่ผิดกฎหมาย พร้อมยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลของบรรดา 'บอสดิไอคอน' ที่มีชื่อเสียงเริ่มถูกขุดคุ้ยออกมาเผยแพร่ ซึ่งประกอบด้วย 'บอสกันต์' กันต์ กันตถาวร (CMO), 'บอสแซม' ยุรนันท์ ภมรมนตรี (CRO), และ 'บอสมีน' พีชญา วัฒนามนตรี (CCO) ทำให้บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท แต่เป็นเพียงผู้ช่วยในการทำการตลาด

หลังจากที่ผู้เสียหายออกมาแจ้งความร้องทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตำรวจได้ออกหมายจับผู้บริหารและบอสใหญ่ของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป 18 คน ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงข้อหาฉ้อโกงประชาชนเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง

รายชื่อผู้ถูกจับรวมถึง 'บอสพอล' และบอสจากวงการบันเทิงอีกหลายคน ทั้ง 'บอสกันต์' กันต์ กันตถาวร, 'บอสแซม' ยุรนันท์ ภมรมนตรี, และ 'บอสมีน' พีชญา วัฒนามนตรี

ในขณะที่กลุ่มบอสดิไอคอนยังคงยืนยันว่า ธุรกิจของบริษัทไม่ได้เป็นแชร์ลูกโซ่หรือการฉ้อโกงประชาชน แต่ทางคดีได้มีการขุดข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและความเชื่อมโยงกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่ถูกเปิดเผยโดย 'เอกภพ เหลืองประเสริฐ' ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด โดยอ้างว่ามีการใช้เงินสดฟอกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลและจ่ายสินบนในรูปแบบต่างๆ โดยมีการเซ่นไหว้ 'เทวดา' เพื่อขอความคุ้มครอง

เรื่องราวนี้ยังคงเป็นที่จับตามองในสังคม และยังคงมีการขยายผลสืบสวนอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top