Tuesday, 8 October 2024
NEWS FEED

แผนรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินส่อเค้าวุ่น หลังลือสะพัด ย้าย ‘สถานีพัทยา’ ตามใจนายทุนใหญ่ ด้าน 'ก้าวไกล' เกาะติด หวั่นประชาชนเดือดร้อนโดนเวนคืนฟรี 

แผนรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินส่อเค้าวุ่น หลังมีข่าวสะพัด เตรียมหาทางย้าย ‘สถานีพัทยา’ ตามใจนายทุนใหญ่ ห่างออกไปอีก 15 กม. ด้านส.ส.ก้าวไกล ‘สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ’ เกาะติด หวั่นประชาชนเดือดร้อนโดนเวนคืนฟรี 
.
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ รองเลขาธิการและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นหลังจากมีกระแสว่า ‘นายทุนใหญ่’ ที่สนับสนุนการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจซึ่งได้สัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ต้องการจะย้ายสถานีรถไฟความเร็วสูงพัทยาตามใจตัวเอง จากตำแหน่งเดิมคือทับกับสถานีรถไฟพัทยาในปัจจุบัน ไปเป็นตำแหน่งใหม่ใกล้ตลาดนํ้าสี่ภาคและสวนนงนุชซึ่งห่างออกไปนอกเมืองอีกถึง 15 กิโลเมตร 
.
“ได้เช็คข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโครงการแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบเรื่องอย่างเป็นทางการ เห็นแต่ในข่าว เรื่องนี้เคยทำหนังสือไปทวงถามแล้ว แต่นายทุนใหญ่ก็ไม่ยอมตอบ ทำให้การดำเนินงานในโครงการเกิดปัญหาคาราคาซัง ส่อแววล่าช้าและอาจเกิด ‘ค่าโง่’ ขึ้นได้หากเวนคืนและส่งมอบพื้นที่ตามแผนเดิมไม่ทัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าเร่งรัดตามแผนเดิมเต็มที่เพราะหากเปลี่ยนตำแหน่งสถานีจริง ประชาชนที่จะโดนเวนคืนก็เดือดร้อนฟรีและฟ้องร้องเอาได้”
.
รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ระบุอีกว่า ล่าสุด นายกเมืองพัทยาได้ออกมารับลูกจากนายทุนใหญ่ โดยจะมีการตั้งงบประมาณเพื่อศึกษาเพิ่มให้อีก 60 ล้านบาท หรือก็คือการใช้ภาษีประชาชนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนในการปรับแผนโมโนเรลให้สอดรับกับการพัฒนาพื้นที่ใหม่ของนายทุน ประเด็นคือนายทุนใหญ่ต้องสนิทสนมกับผู้มีอำนาจมากขนาดไหน ถึงได้ ‘กล้า’ สั่งเปลี่ยนตำแหน่งสถานีตามใจตัวเอง และผู้มีอำนาจทำไมถึงต้องยอมนายทุนใหญ่ขนาดนี้ 
.
นายสุรเชษฐ์ ชี้ว่า ตำแหน่งสถานีรถไฟความเร็วสูงพัทยาและโครงข่ายระบบโมโนเรลต้องถูกวางแผนเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก เมื่อวางแผนแล้ว ให้สัมปทานแล้ว ไม่ควรยอมให้เปลี่ยนตามใจนายทุนใหญ่ในลักษณะนี้ และพรรคก้าวไกลจะเกาะติดประเด็นนี้ต่อไป เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่  ผลประโยชน์ของโครงการควรต้องตกอยู่กับประชาชนโดยตรง และอย่าไปเชื่ออย่างที่เขาชอบหลอกลวงว่า “เมื่อทุนใหญ่ร่ำรวย รายเล็กรายน้อยก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย”

‘กสิกรไทย’ ประเมินเงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 29.80-30.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทย หวังแรงซื้อจากกลุ่มกองทุน มีแนวรับที่ 1,460 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,510 จุด

จับตาค่าเงินบาท และตลาดหุ้นไทยสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปี ‘กสิกรไทย’ ประเมินเงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 29.80 - 30.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทย หวังแรงซื้อจากกลุ่มกองทุน มีแนวรับที่ 1,460 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,510 จุด
.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 29.80 - 30.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนพ.ย. โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่นเดียวกับทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย รวมไปถึงบทสรุปของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค.2563 ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
.
ส่วนดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,475 และ 1,460 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,500 และ 1,510 จุดตามลำดับ โดยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทำ Window Dressing หรือการทำตัวเลขทางบัญชีของบริษัท และแรงซื้อจากกลุ่มกองทุนในช่วงปลายปี สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความชัดเจนเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ยอดขายบ้านที่รอการปิดการขายเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.ของญี่ปุ่น

รัฐสภา ไม่รอด! หลังพบผู้ติดโควิดจากระยอง เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการ พนันออนไลน์ เมื่อ 21 ธ.ค. ด้าน “เลขาสภาฯ” ร่อนไลน์ สั่งยกระดับความเข้มข้นสกัดโควิด -19 ในสภาฯแล้ว

มีรายงานข่าวจากรัฐสภาว่า ในช่วงเช้าไลน์ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รายงานสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุดด้วยความระทึกใจ จากนางพรพิศ  เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่า  

“เรียน ผู้บริหาร  ตามที่มีข่าวว่ามีผู้ป่วยโควิด เข้ามาสภา วันที่ 21 ธ.ค. เวลา 13.00น. เมื่อสักครู่เลขาสภาได้สัมภาษณ์ บุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า Mr A เข้ามาประชุม อนุ กมธ.พนันออนไลน์ เวลา 13.30-15.00 น เข้า-ออก ทาง B 2แล้วเดินทางกลับ ระยอง  วันที่ 23 ธ.ค. ไปพบป้า (ผู้ป่วยโควิด)ช่วงเที่ยง วันที่ 24 ธ.ค.Mr A พาครอบครัวไปตรวจโควิด ทุกคนผลเป็นลบ ยกเว้น Mr A มีผลก้ำกึ่ง สสจ.ระยอง ให้ Mr A ไปกักตัว@รพ ระยอง   ขณะนี้ Mr A กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการแยกมากักตัวที่ รพ.กทม.

นอกจากนี้ นางพรพิศ ยังได้มีข้อสั่งการ ระบุให้สำนักการแพทย์ติดตามข้อมูลการแพร่ระบาดให้ใกล้ชิด ยกระดับความเข้มข้นของการตรวจคัดกรองและแจ้งประสานทุกฝ่ายเฝ้าระวังและติดตามสังเกตอาการของตนตามมาตรการสาธารณสุขที่ได้แจ้งอย่างเคร่งครัด ทุกสำนัก ปฏิบัติตามมาตรการฯเร่งด่วนโดยเคร่งครัด  

สำหรับคณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.) ศึกษาผลกระทบคาสิโนออนไลน์ที่มาจากต่างประเทศ (กมธ.พนันออนไลน์) ใน กมธ.การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร มีนายวินท์ สุธีรชัย ส.ส. บัญชีรายชื่อ  พรรคก้าวไกล  เป็น ประธานคณะอนุกมธ.

ล่าสุด นายวินท์ สุธีรชัย ระบุว่า ตนได้โทรคุยกับบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ได้รับการชี้แจงข้อมูลเบื้องต้นว่า ก่อนหน้าที่จะประชุมกับคณะเราในวันที่ 21 ธ.ค. เจ้าตัวอยู่แต่ที่บ้าน มีแค่ออกไปเลือกตั้ง อบจ. วันที่ 20 ธ.ค. และใส่แมสตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน

ความเสี่ยงเดียวที่ได้เจอคือไปพบญาติที่บ้านญาติ(ซึ่งต่อมาพบว่าเป็นผู้ป่วยโควิด-19) ในวันที่ 23 ธ.ค. และได้ถูกเชิญไปตรวจหลังจากที่ญาติถูกพบว่าติดโควิด-19

ผลตรวจ Swab Test ในเบื้องต้นออกมาก้ำกึ่ง ทางสาธารณสุขระยองจึงส่งผลไปตรวจใน Lab ใหญ่ที่ชลบุรีเพื่อตรวจสอบแบบละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผ่านมาแล้ว 3 วัน แต่ยังไม่รู้ผล(ทาง Lab ชลบุรีแจ้งว่ามีคิวตรวจเป็นจำนวนมาก) ดังนั้น จึงยังไม่ทราบ 100% ว่าติดโควิด-19 แล้วหรือยัง

ทั้งนี้ ตนในฐานะประธานอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบคาสิโนออนไลน์ที่มาจากต่างประเทศ ได้กำชับทุกท่านในที่ประชุมวันที่ 21 ธ.ค. ถึงการใส่หน้ากากอนามัยและให้รักษาระยะห่าง ซึ่งทุกท่านรวมถึงเจ้าตัวเองได้แยกออกมากักตัวและได้ทำตามมาตรการได้อย่างดี และอีกทั้งในวันที่21 ธันวาคมที่ผ่านมาบุคคลดังกล่าวไม่ได้มีการพูดในที่ประชุมเข้ามาเพียงสังเกตการประชุม

“จากข้อมูลทั้งหมด ผมอยากให้ทุกท่านมั่นใจในมาตรการการป้องกัน โควิด-19 ของ รัฐสภา และ ที่ประชุมอนุกรรมาธิการ ของเรา โดยทางรัฐสภาจะมีการประชุมวันพรุ่งนี้เพื่อกำหนดมาตรการต่อไป ความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบทันทีหลังได้มติการประชุม” นายวินทร์ กล่าว

‘แรมโบ้’ โดดป้อง ‘ลุงตู่’ ยืนยันไม่เคยโทษใคร และรัฐบาลได้พยายามหยุดการระบาดเชื้อโควิดเต็มที่ พร้อมสวน ‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ หยุดปั้นน้ำเป็นตัว อย่าหวังตีกินทางการเมือง

สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มองว่าคำพูดนายกรัฐมนตรี ที่วอนนักการเมืองอย่าฉวยโอกาสใช้โควิด-19 เล่นเกมการเมืองเป็นการโยนบาป นั้น ตนมองว่า นายกฯพูดถูกที่สุดแล้ว โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายค้าน ที่นอกจากไม่เคยมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ในสถานการณ์เช่นนี้ กลับนำเอาโอกาสนี้มาหากินทางการเมืองให้ตัวเองดูดี และให้ประชาชนสับสนเข้าใจผิดในตัวนายกฯและรัฐบาล ทั้งที่เข้าใจดี แต่เสแสร้งไม่เข้าใจ ปั้นน้ำเป็นตัว ใส่ความเป็นเท็จเพื่อให้ประชาชนเข้าใจในคำพูดของนายกฯในทางผิด ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯไม่เคยกล่าวโทษใคร เพราะที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาต่างๆได้รับความช่วยเหลือและร่วมมือกับคนทุกภาคส่วน ขณะนี้นายกฯ และรัฐบาลได้พยายามหามาตรการต่างๆ เพื่อยังยั้งการระบาดเชื้อโควิด-19 มั่นใจว่านายกฯและรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วจนเป็นที่ยอมรับ 

"มองเห็นว่านักการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน และนายอนุสรณ์ ที่ไม่เคยช่วยอะไรประเทศชาติ มีแต่ใช้ปากเสียพูดมากไปวันๆ พูดแต่เรื่องที่ไม่มีสาระ น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง หาประโยชน์อะไรไม่ได้ หวังดิสเครดิตนายกฯและรัฐบาล คนเช่นนี้มักจะมีสมองทึบปัญญานิ่ม พูดอะไรไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวนายกฯ และอาจทำให้บ้านเมืองเสียหาย สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายค้านก็ควรคิดทบทวนให้ดีว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ และหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผมมองว่า ระวังประชาชนจะออกมาขับไล่พรรคฝ่ายค้านเช่นเดียวกัน"

นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ตนเคยย้ำหลายครั้ง ถ้ายิ่งปล่อยให้นายอนุสรณ์ ออกมาพูดยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยยิ่งตกต่ำ และก็เป็นจริง ดูได้จากการแตกแยกทยอยลาออกของแกนนำในพรรค และผลการเลือกตั้งท้องถิ่นนายก อบจ.เมื่อ 20 ธันวาคมที่ผ่าน แพ้เกือบราบคาบไม่เข้าเป้าที่ตั้งไว้ แถมพอคนของตัวเองแพ้แล้ว แกนนำ และบรรดา ส.ส.ก็ทะเลาะกัน ในพรรคจนวุ่นวายไปหมด นี่คือความเสื่อมของพรรคเพื่อไทย ที่ยังปล่อยนายอนุสรณ์ คนปากตลาดออกมาแสดงความโง่อ่อนเขลาเบาปัญญา ในที่สุดอาจทำให้พรรคเพื่อไทยถึงจุดล่มสลายไปเรื่อยๆ เพราะประชาชนเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมนักการเมืองปากตลาดพูดจ้อๆรายวันและพูดจาเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งประชาชนคนไทยไม่ได้โง่ตามนายอนุสรณ์และพรรคเพื่อไทย อย่าหวังตีกินทางการเมือง

‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ อัด ‘ลุงตู่’ เอาแต่โหนผลโพลที่เชียร์ตัวเอง จี้ลาออกรับผิดชอบ บริหารพลาดทำโควิดระบาดรอบใหม่

‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ อัด ‘ลุงตู่’ เอาแต่โหนผลโพลที่เชียร์ตัวเอง จี้ลาออกรับผิดชอบ บริหารพลาดทำโควิดระบาดรอบใหม่ ปล่อยประชาชนเผชิญชะตากรรม ทั้งที่เป็นความผิดพลาดจากมาตรการรัฐ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ให้เครือข่ายออกมาโหนผลโพล ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุดว่า ถ้าโพลไหนรัฐบาลได้ประโยชน์ รีบกระโดดเข้าใส่ ถ้าโพลไหนเข้าเนื้อ ติดลบ รีบออกมาปฏิเสธ กล่าวโทษคนอื่น ตั้งท่าจะตรวจสอบ ประชาชนตั้งคำถามว่าโพลสนับสนุนรัฐบาลไปถามประชาชนแถวไหนบ้าง กลุ่มตัวอย่างเพียงพอหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างโควิด หลบหลังผลโพลที่อวยรัฐบาล โดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ 

มีประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นสวนทางกับผลโพลอย่างกว้างขวางในช่องทางต่างๆ เฉพาะป้ายปริศนาที่ไปโผล่ในกระทรวงสาธารสุข  อาทิ COVID มาอีกรอบ แต่ประยุทธ์ยังอยู่ หนูการ์ดตก คุมเชื้อให้ดีเหมือนคุมม็อบ ปัญหาที่ใหญ่กว่าโควิดก็คือประยุทธ์ ล้วนเป็นภาพสะท้อนอรรถาธิบายผลงานพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มีโควิดมาให้อ้าง ป่านนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อาจอยู่ไม่ได้แล้ว ระหว่างการปราบม็อบกับปราบโควิด รัฐบาลยังตัดสินใจเลือกเครื่องมือไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะปราบอันไหนก่อน ความจริงระบบสาธารณสุขพร้อม ประชาชนให้ความร่วมมือมากขนาดนี้ ยังปล่อยให้โควิดมาระบาดระลอกใหม่ ถ้าเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำ ต้องประกาศลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปแล้ว

"โควิดกระจอก หากคิดจะใช้เป็นเพียงข้ออ้างในการกู้เงิน มาเยียวยาเพิ่มคะแนน จัดซื้อจัดจ้างอย่างเร่งรีบขาดการตรวจสอบ สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน โควิดไม่กระจอก เพราะกระทบต่อสุขภาพความเป็นความตายของประชาชน ที่ถูกลอยแพให้เผชิญชะตากรรมจากมาตรการรัฐที่ผิดพลาด" นายอนุสรณ์ กล่าว 

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (27 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 121 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,141 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 9 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,161 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,920 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 121 ราย เป็นคนไทย 3 ราย สัญชาติรัสเซีย 1 ราย,สวีเดน 2 ราย,โครเอเชีย 1 ราย,เยเมน 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากรัสเซีย 1 ราย , เยอรมนี 1 ราย , สวีเดน 2 ราย,ฮังการี 1 ราย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย , อียิปต์ 2 ราย

ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่เข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ สัญชาติเมียนมา 1 ราย มาจาก เมียนมา 1 ราย รักษาตัวที่เมียนมา

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 94 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 18 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 364 ราย รักษาหายแล้ว 356 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.07 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.77 แสน เสียชีวิต 20,994 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 83,414 ราย เสียชีวิต 451 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.21 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.02 ราย เสียชีวิต 2,579 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.69 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.31 แสน ราย เสียชีวิต 9,067 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,519 ราย รักษาหายแล้ว 58,362 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,440 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย

เกรียนคีย์บอร์ดมีหนาว! ตำรวจภูธรอุดรธานี ควบคุมตัวหนุ่มวัย 30 ปี ตามหมายจับคดีโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท “สนธิ ลิ้มทองกุล”

เมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ควบคุมตัว นายนัฐพล ส่อนไชย อายุ 30 ปี จากจังหวัดอุดรธานี เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อขออนุญาตฝากขัง หลัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกไปที่บ้านแล้ว ไม่มาศาลตามกำหนดนัด มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งนายนัฐพลยอมรับว่า เป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จากนั้นถูกตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ควบคุมตัวมาขึ้นศาลดังกล่าว นับเป็นผู้ต้องหาคนแรกจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ที่ถูกจับ

คดีนี้สืบเนื่องมาจากนายสนธิจัดรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ที่เพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ชีวิต เป็นแสงสว่างทางปัญญาให้ประชาชน มีผู้ติดตามมากกว่า 1.7 ล้านคน ปรากฏว่า คลิปไฮไลต์รายการตอนที่ 13 (EP13) หัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจในยุค สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Nattaphol Sonchai โพสต์ข้อความถึงนายสนธิด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย นายสนธิได้ดำเนินคดีกับผู้ที่คอมเมนต์ในลักษณะดังกล่าวตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้บทเรียนแก่ผู้ใช้สื่อโซเชียล และกวาดขยะโซเชียล

โดยที่ผ่านมา มีคนที่ใช้คำหยาบคายและพูดจาดูหมิ่น ติดต่อนายสนธิเพื่อขอขมาหลายครั้ง นายสนธิได้ให้อภัยตลอดมา โดยให้เหตุผลว่า บางรายอายุยังน้อย ไม่อยากให้มีคดีติดตัว บางรายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ สงสารครอบครัว จึงให้อภัยและถอนแจ้งความ แม้จะให้อภัยกับผู้ที่อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์หลายครั้ง แต่เหมือนคนที่คอมเมนต์หยาบคายยังไม่หยุดพฤติกรรม ทำให้นายสนธิกล่าวว่า จะไม่ให้อภัยใครอีกแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ต้องติดต่อเข้ามาขอขมา จะให้ศาลพิพากษาไปเลย นำไปสู่การดำเนินคดีกับนายนัฐพลดังกล่าว และนับจากนี้จะมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้สื่อโซเชียล ที่โพสต์ข้อความถึงนายสนธิ ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายตามมา

สำหรับโทษของการด่าหรือประจานคนอื่นบนสื่อโซเชียลฯ จะถูกดำเนินคดี 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าสร้างเครือข่ายออนไลน์ไทย - อินเดีย ช่วยส่งเสริมการค้าในกลุ่มที่เกื้อกูลกันได้ หวังเพิ่มศักยภาพส่งออกให้ SME – วิสหกิจชุมชน ประเดิมคลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับกลุ่มแรก

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย (สคต.มุมไบ) ว่าได้หารือกับผู้แทนภาคเอกชนของอินเดีย และทราบถึงความต้องการที่จะมีพื้นที่ออนไลน์ให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศได้ทำความรู้จักกันง่ายขึ้นก่อนที่จะเดินทางไปพบปะกันโดยตรง สคต. มุมไบ จึงได้ประสานจัดทำพื้นที่ออนไลน์ดังกล่าวภายใต้แพลตฟอร์มของ Global Linker ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์ที่คนอินเดียคุ้นเคยและมีสมาชิกอยู่แล้วกว่าแสนราย

พร้อมเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาครัฐ และ สถาบันการศึกษา เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางสนับสนุนด้วย เพื่อช่วยกันส่งเสริมการค้าในกลุ่มสินค้าที่ไทยและอินเดียสามารถเกื้อกูลกันได้ (Sister Clusters) โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างซื้อสินค้าของกันและกัน รวมถึงมีการลงทุนระหว่างกันด้วย จึงได้เลือกให้เป็นคลัสเตอร์แรกในการเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยมีชื่อว่า Sister Cluster of Thai – India Jewellery

สำหรับวัตถุประสงค์ในการสร้างเครือข่ายออนไลน์นี้คือการลดข้อจำกัดหลายประการ อาทิ ข้อกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะตัวตนของคู่ค้า และระบบการชำระเงินที่ผู้ประกอบการมั่นใจ ซึ่ง Sister Cluster of Thai – India Jewellery จะช่วยเอื้อให้ SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพในการส่งออก สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้นำเข้าและติดต่อนัดหมายเพื่อเจรจาการค้าได้ง่ายขึ้นและต่อเนื่อง 

โดยมีภาคีต่างๆ คอยช่วยเหลือ อาทิ สมาคมธุรกิจและมหาวิทยาลัยในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ รวมถึงธนาคารในไทยและอินเดีย ที่จะเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุน อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ของไทย และ HSBC India รวมถึง ICICI ซึ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Global Linker แล้ว และมีแผนจะทำระบบเอกสารการชำระเงินแบบบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาปรับใช้ด้วย

ทั้งนี้ในเดือนมกราคม 2564 ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ จะมีการจัดเสวนาออนไลน์ให้สมาชิกในเครือข่ายได้พบปะและแชร์ความเห็นกัน ทั้งนี้ คลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับเป็นสาขาที่ไทยและอินเดียสามารถแลกเปลี่ยนกันซื้อและลงทุนร่วมกันได้ เพราะอินเดียยอมรับในคุณภาพพลอยสีและทองคำจากไทยโดยนำไปต่อยอดมูลค่าเพิ่มเพื่อส่งออกได้ ในขณะที่ไทยก็ต้องการเพชรและใช้อินเดียเป็นช่องทางขยายตลาดเช่นกัน การติดต่อและความร่วมมือที่ใกล้ชิดจึงจะช่วยให้เติบโตไปด้วยกันได้

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมเครือข่ายออนไลน์ไทย-อินเดีย ผ่านสามารถติดต่อได้ที่ [email protected] สำหรับคลัสเตอร์ต่อไปที่ สคต.มุมไบ จะเชื่อมโยงเครือข่ายออนไลน์ระหว่างกันคาดว่าจะเป็นผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้

ก.กระทรวงดิจิทัลฯ กางข้อมูลมือโพสต์ข่าวปลอมอันดับ 1 ในรอบเกือบปีที่ผ่านมา พบกว่า 7.8 แสนคน แถมแชร์ต่ออีก 28 ล้านคน ส่วนแชมป์แชร์ข่าวเท็จ และปั้นข่าวลวงอยู่ในวัย 19-34 ปี สัดส่วน ชาย – หญิง สูสีครึ่งต่อครึ่ง

รายงานข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีดีเอส) ระบุว่าจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวบรวมระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 18 ธ.ค. 63 เกี่ยวกับพฤติกรรมการโพสต์และแชร์ข่าวปลอม ของชาวโซเชียลในไทย พบว่า มีจำนวนผู้โพสต์ข่าวปลอม 787,055 คน และผู้แชร์ข่าวปลอม 28,519,534 คน

ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่า ประชาชนในช่วงอายุ 25-34 ปี มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเผยแพร่ข่าวปลอมมากสุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 48.8% ส่วนกลุ่มอายุอันดับรองลงมา ได้แก่ 18-24 ปี, 35-44 ปี, 45-54 ปี และ 55-64 ปี ตามลำดับ โดยแบ่งกลุ่มตามเพศของพฤติกรรมเผยแพร่ข่าวปลอม มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ผู้ชาย 51.8% และผู้หญิง 48.2%

ขณะที่ อายุของผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม กลุ่มอายุ 25-34 ปี ยังนำเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 48.9% ตามมาด้วย อายุ 18-24 ปี, 35-44 ปี , 45-54 ปี และ 55-64 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย 53.0% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 47.0%

ในด้านพฤติกรรมการแชร์ข่าวปลอม พบว่าอายุของผู้แชร์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม เกินครี่งหรือประมาณ 53.3% อยู่ใน18-24 ปี อันดับรองลงมา คือ อายุ 25-34 ปี คิดเป็น 41.7% ตามมาด้วย อายุ 45-54 ปี และอายุ 55-64 ปี โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่แชร์ข่าวปลอมเป็นผู้ชาย 49.4% ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 50.6%

กมธ. การพาณิชย์ แนะรัฐนำบทเรียนราคาหน้ากาก-เจล-แอลกอฮอล์ พุ่งเป็นบทเรียน หลังประชาชนเริ่มเป็นห่วงสินค้าขาดตลาด และราคาอาจพุ่งเว่อร์

อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล และ ถุงมือยาง ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ตามที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเป็นห่วงมานั้น

เบื้องต้น กมธ.ได้ติดตามสถานการณ์โดยทั่วไปยังเป็นปกติ รัฐบาลดูแลได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าเหล่านี้ยังมีจำหน่ายภายในประเทศอย่างเพียงพอ ซึ่ง กมธ.ได้ขอให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คอยควบคุมปริมาณ รวมไปถึงราคาสินค้าทั้ง 3 อย่าง โดยนำประสบการณ์จากการแพร่ระบาดในรอบแรก ทั้งการเฝ้าติดตาม ลงโทษอย่างเฉียบขาด กับผู้กักตุน และขายเกินราคา เป็นต้น มาใช้สำหรับบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบปัญหาขาดแคลนสินค้า หรือขายเกินราคาควบคุม ก็สามารถร้องเรียนผ่านกรมการค้าภายใน หรือกมธ.พาณิชย์ ได้ แต่หากพบสัญญาณผิดปกติเมื่อใด กมธ.ก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงทันที


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top