Saturday, 15 March 2025
NEWS FEED

ผบ.ทสส. ห่วงใยปชช. จากการแพร่ระบาดโควิด-19 คลัสเตอร์หลักสี่ เร่งส่งมอบถุงยังชีพ สนับสนุนรัฐบาล แก้ไขปัญหาในทุกมิติ

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ตามที่ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ จึงได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในกองบัญชาการกองทัพไทย เร่งให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 

พล.ต.ภาณุพงศ์ สุวัณณุสส์ รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร เป็นผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย มอบถุงยังชีพ จำนวน 200 ชุด ให้กับสำนักงานเขตหลักสี่เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ในพื้นที่คลัสเตอร์ชุมชน บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีนายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผู้อำนวยเขตหลักสี่ เป็นผู้รับมอบ 

โดยสิ่งของอุปโภค-บริโภคประกอบด้วย เจลแอลกอฮอล์ เครื่องวัดอุณหภูมิ หน้ากากอนามัย และไข่ไก่ ซึ่งจะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงเวลาของการกักตัวต่อไป

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย ยังคงเคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับความเดือนร้อน โดยจะใช้ทุกศักยภาพที่มีในการดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมทั้งจะดำเนินการช่วยเหลือในพื้นที่อื่น ๆ อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย

ทบ. สนับสนุนรัฐบาลดูแลพื้นที่แพร่ระบาดแบบเฉพาะกลุ่ม พร้อมส่งรถครัวสนามดูแลประขาชนหลังเทศกาลฮารีรายอ

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกยังคงสนับสนุนรัฐบาลช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะโรงพยาบาลสนามกองทัพบกทั้ง 12 แห่งสามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ 1,632 เตียง รวมทั้งโรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก ทั้ง 36 แห่งทั่วประเทศสามารถดูแลกำลังพลและครอบครัวได้ระดับหนึ่ง

กองทัพบกยังสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์เข้าปฏิบัติที่โรงพยาบาลสนามผู้สูงอายุบางขุนเทียน และโรงพยาบาลสนามเรือนจำกลางเชียงใหม่ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่ม (Cluster) ใน กทม. 

ทั้งนี้กองทัพบกร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.) จัดรถครัวสนามพระราชทาน ปรุงอาหารมอบให้ประชาชนในชุมชนคลองเตย ชุมชนดุสิต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ควบคู่กับการแจกหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ สร้างการรับรู้ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19

ในพื้นที่ต่างจังหวัดครัวสนามออกดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลฮารีรายอของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ภาคใต้ หน่วยทหารได้จัดชุดปฏิบัติการล้างสิ่งปนเปื้อน ช่วยทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ พร้อมจัดครัวสนามอาหารฮาลาล รถปันสุขนำเครื่องอุปโภคบริโภค และแจกจ่ายผลิตผลการเกษตรจากโครงการทหารพันธุ์ดีให้ประชาชนชาวไทยมุสลิมในหลายพื้นที่

โฆษก กห. ระบุ มีการปรับลดงบประมาณลงต่อเนื่องหลายปีหลังโควิด ยัน พร้อมแจงในสภา ชี้ ภารกิจหลักของทหารป้องกันประเทศ และการช่วยเหลือปชช. ในทุกเหตุภัย 

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึง กรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ได้ให้ข้อสังเกตถึงงบประมาณประจำปี 65 ที่กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรมากกว่ากระทรวงสาธารณะสุขนั้น กระทรวงกลาโหมพร้อมให้ข้อมูลถึงเหตุผลความจำเป็นตามกระบวนพิจารณาของรัฐสภาที่จะมีขึ้นใน มิ.ย.64  

อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหม มีภารกิจหลักในการป้องกันประเทศและการช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่องที่ผ่านมา โดยเฉพาะสถานการณ์ของโรคระบาดร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นเป็นวงกว้างและเป็นความท้าทายร่วมกันของทุกฝ่ายที่ต้องหันหน้าช่วยเหลือกัน ซึ่งกระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพ ได้ตระหนักถึงภาระงบประมาณของรัฐบาล ที่จำเป็นต้องนำไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ และเยียวยาช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น 

“กระทรวงกลาโหม ได้มีส่วนร่วมพิจารณาปรับลดงบประมาณในภาพรวมของทุกเหล่าทัพลงกว่า 18,000 ล้านบาทในปี 63 และในปี 64 กระทรวงกลาโหมก็ได้รับการจัดสรรงบประมาณลดลงกว่าปี 63 จำนวนกว่า 17,200 ล้านบาท ต่อเนื่องมาถึง ปี 65 ทั้งนี้ แต่ละกระทรวงก็มีภารกิจที่แตกต่างกัน และ กระทรวงกลาโหม ขอยืนยันถึงความพร้อมในทุกภารกิจเพื่อประชาชน จึงไม่อยากให้นำงบประมาณของแต่ละกระทรวงไปเปรียบเทียบกัน” พล.ท.คงชีพ กล่าว   

รมว.จุติ ผนึก คณะสัตวแพทย์ จุฬาฯ ร่วมโครงการ “ตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 โดยใช้สุนัขดมกลิ่น” สร้างอาสาสมัครตรวจคัดกรองโควิด ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เตรียมส่งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เข้าร่วมโครงการ “ตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 โดยใช้สุนัขดมกลิ่น” ซึ่งอบรมโดยคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า มีความแม่นยำในการตรวจหาเชื้ออยู่ในระดับสูง และมีความปลอดภัยสูง

ศ.สพ.ญ.ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการนำศักยภาพของสุนัขที่มีความสามารถในการดมกลิ่นดีกว่าคนถึง 50 เท่ามาใช้ในการดมกลิ่นเหงื่อของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีการเจือปนของเชื้อไวรัส โดยนำสำลีและถุงเท้ามาใส่กระป๋องเพื่อให้สุนัขดมกลิ่น เมื่อสุนัขได้กลิ่นก็จะนั่งลงเพื่อบอกว่าคน ๆ นั้นติดเชื้อ

ที่ผ่านมาได้ทำการฝึกสุนัข พันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ 6 ตัว พบว่ามีความแม่นยำในการพบผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการสูงถึง 94.8% ซึ่งนับเป็นต้นแบบในการฝึกสุนัขเพื่องานทางการแพทย์ชุดแรก และถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในไทย ในการฝึกฝูงสุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อเสริมปฏิบัติการคัดกรองปกติ เนื่องจากการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 ด้วยอุปกรณ์วัดอุณหภูมิแบบต่าง ๆ เป็นวิธีการคัดกรองเบื้องต้น และได้ผลสำหรับผู้ที่ติดเชื้อและแสดงอาการแล้วเท่านั้น ส่วนผู้ที่ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการ เครื่องมือเหล่านี้ยังไม่สามารถตรวจพบได้ แต่สุนัขที่ได้รับการฝึกมาแล้วสามารถทำสิ่งนี้ได้

นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม. มีเป้าหมายที่จะฝึกอบรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ให้ครบทุกเขต อย่างน้อยเขตละ 2 คน รวม 100 คน โดยแบ่งการอบรมเป็นรุ่น ๆ ละ 15 คน เพื่อเป็นกลไกในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถออกมาตรวจคัดกรองจากนอกชุมชนได้

ทบ.เข้มชายแดน สั่งสกัดแรงงานต่างด้าวลอบเข้าไทย ระดมเฝ้าตลอด 24 ชม.

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ต.หญิง จุฑาทิพย์ วุฒิรณฤทธิ์ ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวว่า จากการปฏิบัติภารกิจอย่างเข้มข้นตลอดแนวชายแดนของกองกำลังชายแดนทบ. ทุกพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันตก, เหนือ และตะวันออก ล่าสุดระหว่างวันที่ 7-16 พ.ค. 64 กองกำลังป้องกันชายแดน สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 455 คน เป็นชาวกัมพูชา 68 คน เมียนมา 328 คน ลาว 19 คน จีน 7 คน อินโดนีเซีย 1 คน ไทย 67 คน รวมถึงผู้นำพาชาวไทย 16 คน ผู้นำพาชาวเมียนมา 3 คน โดยในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังสุรสีห์ลาดตะเวนเส้นทางและได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ส่งผลให้เมื่อ 12 พ.ค.64 สามารถจับกุมแรงงานชาวเมียนมาได้ 102 ราย บริเวณพื้นที่เส้นทางธรรมชาติ จ.กาญจนบุรี และพื้นที่ภาคตะวันออก จ.สระแก้ว ในวันที่ 13 พ.ค.64 จับกุมแรงงานชาวกัมพูชาลักลอบเข้าประเทศผ่านผู้นำพา จำนวน 23 ราย

พ.ต.หญิง จุฑาทิพย์ กล่าวว่า โดยการปฏิบัติของกองกำลังชายแดนทบ.ในขณะนี้ นอกจากการตรวจสกัดเข้มบริเวณแนวชายแดน เพื่อสร้างความมั่นใจในการควบคุมสูงสุด ยังคงร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังในพื้นที่ตอนใน ด้วยมาตรการเฝ้าตรวจและคัดกรองไม่ให้แรงงานต่างด้าวสามารถลักลอบเข้ามาได้ ตลอดจนเข้าพูดคุยกับผู้ประกอบการขอความร่วมมือการจ้างงาน ผ่านการลงทะเบียนแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นการช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 ได้เป็นอย่างดี โดยเป็นไปตามความห่วงใยของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในการระดมกำลังพล ทรัพยากรที่มีของทบ.เข้าช่วยเหลือประชาชนจากภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันให้ยึดมาตรการ “พิทักษ์พล” โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันชายแดนของทบ. ซึ่งขณะนี้ได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรให้กำลังพลด่านหน้าแล้ว 5,946 นาย ตั้งแต่ 9 มี.ค.-16 พ.ค. 64 เพื่อพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เป็นกำลังสำคัญและเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาสต่อไป

‘กรณ์-วรวุฒิ’ เปิดตัว ‘กล้าหางาน’ ช่วยประชาชนหางาน สู้วิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 ย้ำแค่รับเงินแจกเงินคงไม่พอ เปิดเพจ-ทำงานเชิงรุกพื้นที่ บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หวังช่วยคนไทยนับล้านมีงานทำ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า แถลงเปิดตัวโครงการ ‘กล้าหางาน’ เพื่อเป็นช่องทางช่วยหางานให้ผู้ที่ตกงานหรือหางานไม่ได้ มีงานทำ และเป็นช่องทางเชื่อมกับผู้ประกอบการให้ได้คนที่เหมาะสมเข้าทำงาน 

นายกรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิค-19 ทำให้พี่น้องประชาชนหลายล้านคน ไม่มีงานทำขาดรายได้ เป็นประเด็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่ดูผู้ได้รับผลกระทบภาคธุรกิจท่องเที่ยว จะเห็นว่าประชาชนนับล้านคน ขาดรายได้ไม่มีงานทำ ด้วยเหตุผลนี้ พรรคกล้าพยายามหาวิธีแก้ไข ผ่อนหนักให้เป็นเบา ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 ด้วยโครงการ ‘กล้าหางาน’ เพื่อเชื่อมโยงประชาชนที่หางานทำ ให้กับบริษัทห้างร้านที่ยังต้องการคนอยู่ บนเป้าหมายต้องการยื่นเบ็ดให้ประชาชนสามารถดูแลครอบครัว หารายได้ให้กับตัวเอง ดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี มั่นใจว่าจะเป็นโครงการที่ยั่งยืน ช่วยพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการหาคนมีคุณภาพ มีโอกาส มีงานทำ มีรายได้ 

“กล้าหางาน เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่อยากให้ทุกคนลองใช้ดู เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นโครงการสำคัญของพรรคกล้า เพื่อที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจ เพียงแค่รับเงินหรือแจกเงินคงไม่เพียงพอ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการมีงานทำ ตามหลักเศรษฐกิจเพื่อคนตัวเล็กของพรรคกล้า” นายกรณ์ กล่าว 

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า โครงการ ‘กล้าหางาน’ เป็นรูปแบบการเปิดเพจเฟซบุ๊ก และเปิดกลุ่มสำหรับผู้สนใจ โดยเนื้อหามี 3 ส่วนด้วยกันคือ 

1.) ‘คนหางาน’ สำหรับคนที่ตกงานหรืออยากมีรายได้เสริม อยากมีงานทำ สามารถลงรายละเอียดส่วนตัวว่าตนเองมีคุณสมบัติอย่างไร ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่อย่างไร เพื่อให้คนที่มาดูข้อมูล อ่านข้อมูลแล้วเรียกไปสัมภาษณ์ได้ 

2.) ‘งานหาคน’ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก ถ้าต้องการคน สามารถมาลงข้อความที่รับสมัครบุคคลที่ต้องการได้ 

และ 3.) ข้อมูลความรู้ บทความที่เป็นประโยชน์ เช่น เทคนิคการสัมภาษณ์งานอย่างไรให้ได้งาน บทความน่าสนใจเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน พนักงานลูกจ้าง เป็นข้อมูลความรู้ที่สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มทักษะตัวเองได้ 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า เพจ ‘กล้าหางาน’ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยจะพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพต่อไปเรื่อย ๆ จนมีผู้ใช้จำนวนมากเข้ามา ซึ่งวันนี้มีตำแหน่งงานรองรับไว้หลายตำแหน่งแล้ว และอยากจะเชิญชวนทุกคนให้ลองเข้าใช้งาน ทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และมีทีมงานผู้กล้า (ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.) ของพรรคทั่วประเทศ เป็นทีมงานหลังบ้าน ทำงานเชิงรุกคอยติดตามว่ามีบริษัทห้างร้ายใดในพื้นที่ต้องการบุคลากร ช่วยหางานที่เหมาะสม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ ช่วยแบ่งเบาภาระและปัญหาวิกฤตแรงงานช่วงโควิด-19 ได้ 

ลิ้งค์เพจ ‘กล้าหางาน’
https://www.facebook.com/klahangarn/

ลิ้งค์กลุ่ม ‘กล้าหางาน’
https://www.facebook.com/groups/klahangarn/?ref=share
 

ทช.ลุยสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ เสร็จแล้ว 36 โครงการ กว่า 418 กม. ตั้งงบปี 65 อีก 158 ล้านบาท ลุย 3 โครงการ 18.8 กม. ช่วงประจวบฯ และชุมพร

ทช.ลุยสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ เสร็จแล้ว 36 โครงการ กว่า 418 กม. ตั้งงบปี 65 อีก 158 ล้านบาท ลุย 3 โครงการ 18.8 กม. ช่วงประจวบฯ และชุมพร ขณะที่กำลังก่อสร้างอยู่ 4 โครงการ ระยะทางกว่า 77 กม. กำหนดเสร็จในปี 64-65 พัฒนาโครงข่ายต่อเนื่องหนุนท่องเที่ยว

นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Thailand Riviera) ว่า ทช.มีแผนการดำเนินการก่อสร้างโครงข่ายถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3 โครงการ ระยะทางรวม 18.829 กิโลเมตร งบประมาณรวม 158.143 ล้านบาท เพื่อให้มีความต่อเนื่อง ได้แก่

1.) ถนนสายเพชรเกษม-สถานีรถไฟทุ่งประดู่-วัดทับสะแก อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 3.418 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 20.655 ล้านบาท

2.) ถนนสายบ้านบางคอย-บ้านทุ่งคาน้อย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ระยะทาง 8.658 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 31.994 ล้านบาท

3.) ถนนสายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4002 (กม.ที่ 13+100) - บ้านแหลมสันติ (ตอนที่ 2) อำเภอหลังสวน, ละแม จังหวัดชุมพร ระยะทาง 6.753 กิโลเมตร งบประมาณในการก่อสร้าง 105.494 ล้านบาท

ทั้งนี้ ทช.ได้ดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง เพื่อพัฒนาโครงข่ายถนนดังกล่าวให้มีความต่อเนื่อง ส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง ตลอดจนการแก้ไขปัญหาจราจรและเหมาะสมเป็นถนนท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลระดับสากล

ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 ถึงปัจจุบัน โดยได้ก่อสร้างไปแล้วจำนวน 36 โครงการ รวมระยะทาง 418.653 กิโลเมตร และในปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอีกจำนวน 4 โครงการ รวมระยะทาง 77.134 กิโลเมตร ได้แก่

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4012 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4198-เทศบาลปากน้ำหลังสวน อำเภอทุ่งตะโก, หลังสวน จังหวัดชุมพร ระยะทาง 23.589 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 90 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 195.478 ล้านบาท

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4008 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4001-บ้านโพธิ์แบะ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ระยะทางรวม 24.569 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 94 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 180.780 ล้านบาท

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4011 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4003 (กม.ที่ 14+350)-บ้านท้องเกร็ง อำเภอสวี, ทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ระยะทาง 9.085 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 27 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2564 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 55.900 ล้านบาท

ถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4019 สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4002 (กม.ที่ 13+100)-บ้านแหลมสันติ อำเภอหลังสวน, ละแม จังหวัดชุมพร ระยะทาง 19.891 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 27 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2565 ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 172.082 ล้านบาท


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3655046867934187&id=209934979112077
https://ibusiness.co/detail/9640000046424
 

ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อของไทย ถึงแนวทางที่ประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา พร้อมที่จะหนุนไทยในการพัฒนาธุรกิจสายกรีน และพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่จะเป็นภัยคุกคามในอนาคต

โดยนายไบรอัน เดวิดสัน ได้กล่าวว่า อังกฤษสนับสนุนไทยที่มีความมุ่งมั่นลดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือในหลายโครงการ ล่าสุด เป็นโครงการเกษตรสมัยใหม่ผสมผสานกับการลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ Thai Rice NAMA เพื่อปลูกข้าวอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 14.9 ล้านดอลลาร์ และดำเนินงานผ่านโครงการ NAMA Facility มีระยะเวลาการดำเนินโครงการ 5 ปี (2562-2566) มุ่งพัฒนาการผลิตข้าวของเกษตรกรจำนวน 100,000 ครัวเรือนในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลางได้แก่ จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานีและสุพรรณบุรี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.8 ล้านไร่ มีเป้าหมายปรับเปลี่ยนระบบการทำนาในปัจจุบัน ไปสู่ระบบการทำนาแบบยั่งยืน

นายไบรอัน ระบุว่า แนวทางการปลูกข้าวแบบใหม่เน้นประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น ตรงตามมาตรฐานการผลิตข้าวที่ยั่งยืน (Thai Rice GAP ) โดยที่เกษตรกรสามารถปฏิรูปกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจให้ขยายใหญ่ขึ้น นำไปสู่การปรับเปลี่ยนการผลิตข้าวทั้งระบบให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต

นอกจากนี้ อังกฤษยังยืนยันที่จะสนับสนุนไทยในการปฏิรูปให้เกิดระบบการเงินสีเขียว (Green Financing) ผ่านโครงการ ASEAN Low Carbon Energy Programmed ขณะที่ในเดือน พ.ค.นี้ อังกฤษจะจัดเวิร์คช็อปด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยีขับเคลื่อนแห่งอนาคต

ด้าน ไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สหรัฐฯ มีความพยายามจะช่วยไทยบรรลุเป้าหมายลดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจโครงการแรกคือ กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ซึ่งมีโครงการย่อย ๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตฐานรากทางเศรษฐกิจ และพลังงานอย่างยั่งยืน

ส่วนโครงการที่สอง ดำเนินการภายใต้องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเสด) ซึ่งสหรัฐฯ สนับสนุนระบบพลังงานที่ทันสมัย เชื่อมโยง และไว้ใจได้ให้กับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่องด้วยงบประมาณ 33 ล้านดอลลาร์ ตามข้อริเริ่ม Asia EDGE เพื่อให้มีการซื้อขายพลังงานในระดับภูมิภาคและเข้าถึงเงินทุนมากขึ้น ตลอดจนภาคเอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

โครงการนี้ จะช่วยขยายการค้าและการลงทุนด้านพลังงานในภูมิภาคนี้ โดยดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น บนพื้นฐานการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนให้น้อยที่สุด ไปพร้อม ๆ กับการสร้างเมืองอัจฉริยะที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาแบตเตอรีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น และปฏิรูประบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ​ ยังทำงานร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ในภาคเอกชนด้านพลังงานหมุนเวียน เช่น ให้การสนับสนุนติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี 33 แห่งในประเทศไทย ทั้งยังสนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้กับบางโรงงานใน จ.ปทุมธานี ซึ่งช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 27 เมกะวัตต์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอากาศถึง 390,000 ตัน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนหน่วยงานในไทยในเชิงเทคนิค เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าหลายแห่งทั่วประเทศไทย

อุปทูตสหรัฐ ย้ำว่า ในฐานะเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งประวัติศาสตร์ โดยมุ่งเน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50-52% ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี​ 2548 หรือในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นจากเป้าเดิมเกือบสองเท่า

ขณะที่เอกอัครราชทูตอังกฤษ เสริมว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจะออกกฎหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 78% ภายในปี 2578 เมื่อเทียบกับปี 2533 นับเป็นหนึ่งในเป้าด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ท้าทายที่สุดในโลกขณะนี้ และทั่วโลกกำลังเตรียมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศอังกฤษในเดือน พ.ย.นี้

เอกอัครราชทูตอังกฤษ และอุปทูตสหรัฐ ได้กล่าวปิดท้ายด้วยการ ยกย่องบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศในภูมิภาค พร้อมทั้งกระตุ้นให้ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเพิ่มเป้าการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกให้เร็วขึ้น


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/938346
 

ชีวิตแม่ค้า ‘ม้า อรนภา’ ยืนขายห่อหมกกลางสายฝนรอลูกค้า

ในช่วงเวลาที่โควิดยังระบาดหนักแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับพ่อค้า-แม่ค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบมีหน้าร้านหรือแผงลอยก็ตาม และทุกคนก็โดนผลกระทบนี้กันไปหมด อย่างอดีตนางแบบตัวแม่ ‘ม้า อรนภา กฤษฎี’ ที่หลังจากไร้งานในวงการก็ผันตัวเองมาเป็นแม่ค้าออนไลน์ ไลฟ์สดขายเสื้อผ้าบ้าง และจากนั้นก็เริ่มมาขายห่อหมกฝีมือคุณแม่ของเจ้าตัวนั่นเอง

ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เจ้าตัวก็เพิ่งออกมาบอกว่าใกล้จะกลับมามีงานพิธีกรเหมือนเดิมแล้วแท้ ๆ แต่ก็ดันมาเกิดโควิดระบาดใหม่ระลอก 3 ก็เลยทำให้ทุกอย่างชะลอตัวไปอีก รวมถึงการขายห่อหมกตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเดิม ล่าสุดเจ้าตัวก็โพสต์ภาพกำลังยืนรอลูกค้าอยู่ในเต้นท์ท่ามกลางสายฝน พร้อมกับคำบรรยายภาพว่า “ขีวิตต้องสู้ เดี๋ยวฝนหยุดลูกค้าก็มา เชิญนะคะ”

งานนี้ก็เลยมีทั้งเพื่อน ๆ และแฟนคลับแห่แหนให้กำลังใจกันมากมาย บางคนก็มีแอบเห็นใจ แต่เจ้าตัวก็ตอบแทบทุกคอมเม้นท์ขอบคุณแทบจะทุกคอมเม้นท์เลยทีเดียว


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000046902

https://www.instagram.com/maornapa/

ศปก.ศบค.จับตาแคมป์คนงานหลักสี่ ขยายวง 11 บริษัทซับคอนแทร็ก หวั่นกระจายเพิ่ม จับตา 6 ชุมชนพื้นที่ใกล้เคียง

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. กล่าวว่า ในที่ประชุมอีโอ กระทรวงสาธารณสุข และศปก.ศบค. พุ่งเป้าไปที่คลัสเตอร์ระบาดในกรุงเทพฯ ชั้นใน 5 เขต ได้แก่ เขตหลักสี่ ที่มีปริมาณผู้ติดเชื้อสูง รองลงมาคือป้อมปราบศัตรูพ่าย ราชเทวี คลองเตย และเขตห้วยขวาง

โดยพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ได้ให้ทำจุดตรวจสอบการกระจายเชื้อ เพื่อดูความหนาแน่นของพื้นที่ต่อการกระจายของประชากรแต่ละพื้นที่ในกรุงเทพฯ แยกพื้นที่สีแดงยังพบติดเชื้อต่อเนื่อง สีเหลืองไม่พบผู้ป่วยในช่วง 14 วันและเฝ้าระวังอยู่ ซึ่งแบ่งเป็น 4  กลุ่มใน 50 เขต คือ พื้นที่ที่มีปริมาณระบาดมากและเพิ่มขึ้นเร็ว จำนวน 25 เขต ปริมาณระบาดมากแต่เพิ่มช้า 6 เขต ไม่มากแต่เพิ่มเร็ว 17 เขต และปริมาณระบาดไม่มากและเพิ่มช้าเฝ้าระวังตามระบบ 2 เขต

โดยแยกเป็น 28 คลัสเตอร์กระจายอยู่ใน 18 เขต คือดินแดง วัฒนา คลองเตย หลักสี่ลาดพร้าว ราชเทวี พระนครป้อมปราบศัตรูพ่าย สวนหลวง ปทุมวัน สาทร สัมพันธวงศ์ จตุจักร บางรัก ประเวศ วังทองหลาง รามคำแหง บางกอกน้อย และห้วยขวาง 

สำหรับคลัสเตอร์ระบาดสูงสุด 5 อันดับแรก คือ แคมป์ก่อสร้าง เขตหลักสี่ แขวงดินแดง เขตดินแดง ตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง คลองถมเซ็นเตอร์ และวงเวียน 22 เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแคมป์คนงานก่อสร้าง เขตวัฒนา

โดยแคมป์ก่อสร้างในเขตหลักสี่และอิตาเลี่ยนไทย ได้ถูกยกขึ้นมาหารือถึงแผนการจัดการ เนื่องจากอยู่กันแออัด และยังมีบริษัทซับคอนแทร็กที่รับเหมาต่อเนื่องไปที่ต่าง ๆ อีก 11 บริษัท และอื่น ๆ อีก ซึ่งในกลุ่มนี้กำลังติดตาม ส่วนสถานที่อื่นอีก 8 แคมป์ ที่กระจายตัวอยู่ยังติดตามหาต่อและเป็นแผนการที่ต้องเข้าไปดู จึงขอความร่วมมือพี่น้องคนไทยและชาวต่างชาติ ขอให้เสียสละช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ช่วยตัวเองและคนอื่นในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ตามที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเข้าไปปรับปรุงสถานที่ให้ถูกสุขลักษณะ ฝ่ายความมั่นตรวจสอบห้ามเข้าออกพื้นที่เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่และเคลื่อนย้าย เป็นเวลา 14 วัน

ซึ่งผู้อำนวยการเขตหลักสี่ได้มีประกาศมาตรการขอความร่วมมือ เฝ้าระวังในแคมป์, แยกกักผู้ป่วยกับการผู้สัมผัสเสี่ยงสูง, เฝ้าระวังนอกแคมป์, ซีลแคมป์ก่อสร้าง , จัดการสิ่งแวดล้อมในแคมป์, บริหารวัคซีนสำหรับพื้นที่ระบาด, และปิดการทำงานของอีก 11 บริษัทซับคอนแทร็กหากเป็นผู้เกี่ยวข้องขอให้รายงานและแจ้งให้สำนักงานเขตหรือสำนักอนามัยกทม. รับทราบว่าไปรับงานที่ไหนบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายของโรค

นอกจากนั้นต้องดูอีก 6 ชุมชนรอบข้าง คือ แฟลตตำรวจอิสระ ชุมชนอยู่แล้วรวย ชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลาง ชุมชนกองบัญชาการศึกษา ชุมชนรักถิ่น และชุมชนเปรมสุขสันต์ ทั้งนี้ ผอ.ศปก.ศบค. ได้พูดคุยกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการขอความร่วมมือกับผู้นำแต่ละชุมชน ทำความเข้าใจในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันเราจะผ่านช่วงเวลาความยากลำบากไปด้วยกัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมีความหมายต่อทุกคนและทุกชีวิต ทุกคนไม่ต้องการเจ็บไข้ได้ป่วย พรากจากคนที่รัก เราจะผ่านไปได้ด้วยความร่วมมือกันโรคระบาดสอนเรามาในอดีตว่าสิ่งที่จะผ่านไปได้คือภูมิคุ้มกันหมู่การดูแลสุขลักษณะส่วนตัวและส่วนรวม และคนในครอบครัวจะช่วยให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top