Saturday, 15 February 2025
NEWS FEED

‘สรยุทธ’ คืนจอ ช่อง 3 เริ่มพฤษภาคมนี้ ผนึกกำลัง 5 พิธีกรข่าว จัดทัพครอบครัวข่าว 3 ลุยสู้ศึกทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง New Media และ Old Media

หลังจากช่อง 3 ได้แต่งตั้ง ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายข่าว เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายสรยุทธได้เข้าร่วมวางแผนปรับเพิ่มศักยภาพรายการข่าวของสถานี โดยนำเสนอจุดเด่นของแต่ละรายการข่าวที่ช่อง 3 มีพิธีกรข่าว ซึ่งมีเอกลักษณ์การนำเสนอโดดเด่นแตกต่างกัน นำเสนอให้ผู้ชมเห็นว่า นอกจากข่าวสารและความคืบหน้าที่แตกต่างกันแล้ว แต่ละช่วงเวลา ผู้ชมยังสามารถติดตามข่าวสารและความคืบหน้าในรสชาติที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับผู้ชมในแต่ละช่วงเวลาจนเป็นที่มาของการเปิดตัวโฆษณา “ครอบครัวข่าว 3... 5 พิธีกรข่าว 5 คาแรคเตอร์ 5 การนำเสนอ” ที่คุณสรยุทธได้เข้ามาควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน และได้เริ่มปรากฏให้เห็นทางหน้าจอแล้ว

นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเปิดตัวโฆษณา "5 พิธีกรข่าว" ในครั้งนี้ว่า “ช่อง 3 มีบุคลากรด้านข่าวที่ได้รับการยอมรับกันอย่างสูง แต่ละท่านมีความแข็งแกร่งในวิธีการนำเสนอข่าวที่แตกต่างกัน เท่าที่เห็นมีเฉพาะที่ช่อง 3 เท่านั้น แต่ที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ถูกนำเสนอให้เห็นภาพรวมว่าเรามีพิธีกรข่าวที่โดดเด่นเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการในทุกรูปแบบการนำเสนอแต่ละด้านผมยินดีที่นอกจากคุณสรยุทธจะกลับมาทำรายการเรื่องเล่าเช้านี้และเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์แล้ว คุณสรยุทธยังมาเติมเต็มให้คำว่า “ครอบครัวข่าว 3” เด่นชัดมากยิ่งขึ้น จากนี้ไปทุกรายการข่าวจะนำเสนอตามความถนัดเฉพาะและศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ และผู้ชมจะได้ประโยชน์และความสนุกสนานจากความหลากหลายของการเสนอข่าวของเราอย่างแน่นอน”

นายสุรินทร์ กล่าวด้วยว่า “ในระยะต่อไป ช่อง 3 จะออกอากาศรายการข่าวในทุกแพลตฟอร์ม นอกเหนือจากหน้าจอช่อง 3 เราไม่คิดว่าจะมุ่งให้ความสำคัญเฉพาะไปในสื่อทางหนึ่งทางใด ไม่ว่าจะเป็น New Media หรือ Old Media แต่ช่อง 3 จะอยู่ในทุกสื่อ ทั้งสื่อออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ แม้กระทั่งสื่อวิทยุ ที่ยังมีผู้ชมจำนวนหนึ่งชอบฟังวิทยุ ตัวอย่างรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ก็มีผู้ฟังประจำจำนวนมากจนสร้างรายได้หล่อเลี้ยงธุรกิจได้ ไม่ว่าผู้ชมของเราจะอยู่ในแพลตฟอร์มไหน สื่อใหม่หรือสื่อเก่า ช่อง 3 จะอยู่กับผู้ชมเสมอ และแต่ละสื่อจะส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน” นี่เป็นที่มาของ “ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ช่อง 3 อยู่กับคุณ”

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ปรึกษาฝ่ายข่าวช่อง 3 กล่าวเพิ่มเติมว่า “ช่อง 3 มีทรัพยากรด้านข่าวที่แข็งแรงอยู่แล้ว เราเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีพิธีกรข่าวที่มีบุคลิกไม่เหมือนกันเลย ไม่นับประสบการณ์ของแต่ละคน ลักษณะแบบนี้มีเฉพาะที่ช่อง 3 เท่านั้น”

“คุณกิตติ ข่าวสามมิติ มีบุคลิก จริงจัง ลุ่มลึก หาตัวจับยาก คุณไก่ ภาษิต เรื่องเด่นเย็นนี้ เป็นผู้ประกาศข่าวรุ่นใหม่ พูดจากระฉับกระเฉงฉับไว นำเสนอแบบจัดจ้าน คุณหนุ่ม กรรชัย เที่ยงวันทันเหตุการณ์ เกาะติดเคสดราม่า และเอามาขยี้ ไม่มีใครสู้เขาได้ คุณเอ ดนยกฤต ขันข่าวเช้าตรู่ ข่าวก่อนสว่างไม่มีอะไรดีไปกว่าลีลาคุยข่าวชาวบ้านแบบลูกทุ่ง ส่วนผม เรื่องเล่าเช้านี้ ข่าวเข้มข้นยามเช้า ทุกข่าวที่เกี่ยวกับคนดูแต่เข้าใจง่ายๆ เข้าถึงทุกคน นี่คือความแตกต่างที่ผมว่าลงตัว”

นายสรยุทธ กล่าวด้วยว่า การเริ่มโปรโมทแค่ 5 คน เป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้าเรารวม ผู้ประกาศหลายสิบคนที่เรามีอยู่ ภาพมันจะไม่ชัด เราจะดึงจุดเด่นให้เห็นเป็นชุด เราไม่ได้มีแค่ 5 คนนี้ เรายังมีของดีอีกมาก และเราจะมีบอร์ดข่าวส่งต่อการนำเสนอกันในแต่ละรายการและแต่ละแพลตฟอร์ม ซึ่งจะทยอยนำเสนอต่อไป เป้าหมายของช่อง 3 เราอยากเป็นอันดับ 1 ในทุกแพลตฟอร์มข่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

JP Morgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอัดงบหนุน 'ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์ลีก' กว่า 1.5 แสนล้านบาท จบปัญหาด้านเงิน ๆ ทอง ๆ ของลีกพลิกโลก

ข่าวใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลช่วงนี้น่าจะหนีไม่พ้นการที่ 12 สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ร่วมกันจัดตั้ง European Super League ท่ามกลางการคัดค้านเต็มที่จากทั้งสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) และสมาคมฟุตบอลของแต่ละประเทศ รวมถึงพรีเมียร์ลีกอังกฤษด้วย

สำหรับ 12 สโมสร ที่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมกับโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่นี้ ประกอบไปด้วย...

6 ทีมจากอังกฤษ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล

3 ทีมจากอิตาลี ได้แก่ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน

3 ทีมจากสเปน ได้แก่ เรอัล มาดริด, แอตเลติโก้ มาดริด และ บาร์เซโลน่า

อย่างไรก็ตาม มีคำถามอยู่ว่า ใครจะเป็นผู้สนับสนุนเม็ดเงินเพื่อจัดตั้งลีกดังกล่าว?

คำตอบเผยแล้ว โดยตัวละครลับที่จะมาหนุนลีกนี้ คือ JP Morgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ได้ออกมาประกาศให้เงินสนับสนุนหรือเป็นสปอนเซอร์หลักด้านการเงินให้การแข่งขันนี้เกิดขึ้นได้ ผ่านเงินอุดหนุนกว่า 4 พันล้านยูโร หรือ 1.5 แสนล้านบาท

แน่นอนว่าปัญหาของการจัดลีกนี้ จะไม่ใช่เรื่องของเงินอีกต่อไป!!

แต่ตอนนี้ความเห็นของแฟนบอลกำลังแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนว่าจะ ‘สนับสนุน’ ให้ทีมเหล่านี้แยกตัวออกมาจัดลีกกันเอง หรือฝ่ายที่ ‘ต่อต้าน’ และอยากให้ทุกอย่างกำลังเป็นเหมือนระบบปัจจุบัน

เลือกฝ่ายไหนดี?

ที่มา: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/751542252065787/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เจ้าแม่นาคี ‘แต้ว ณฐพร’ โชคช่วย? แชร์ 5 สูตรเด็ดสู้โควิด เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ ฝากทุกคนดูแลสุขภาพ

ไม่รู้ว่าบุญบาปแต่อย่างใด? แต่ที่แน่ “แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์” ถือว่าเป็นบุคคลที่รอดโควิด-19 ในทุก ๆ รอบที่เกิดการระบาด เพราะไม่ว่าจะใกล้ชิดกับกลุ่มความเสี่ยงสูงแค่ไหน แต่ “เจ้าแม่นาคี” อย่าง “สาวแต้ว” ก็สามารถรอด ปลอดภัย สุขภาพดีสมบูรณ์เรื่อยมา ล่าสุดเจ้าตัวได้โชว์ผลการตรวจรอบที่ 3 หลังจากการกักตัวครบ 14 วัน ก็ยังไม่พบเชื้อ

หลังคนบอกเพราะบุญกรรมที่ทำมา นั่นก็ส่วนนึง แต่การที่ "เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ" นั้นนอกจากบุญที่ทำมาแล้ว นางเอกสาวยังเผย 5 ข้อสำคัญในการปฏิบัติตัวให้รอดพ้นจากโรคระบาดโรคนี้แบบไม่มีกั๊กอีกด้วย

“3rd time in a row of 14 days quarantine”

“ถึงจะกักตัวครบแล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาดเพราะเชื้อโรคอยู่รอบตัว...รอบตัวจริงๆ ค่ะ ยิ่งตอนนี้อยู่ในช่วงที่ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นทุกวัน ยิ่งต้องมีสติและระมัดระวังในการใช้ชีวิตเป็นพิเศษค่ะ

หลายคนถาม...ว่าแต้วดูแลตัวเองยังไงให้ปลอดภัย เสี่ยงทุกรอบ รอดทุกรอบ แต้วเลยขออนุญาตแชร์ ประสบการณ์การดูแลตัวเองของแต้วเผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ”

1.) พยายามไม่เอามือมาสัมผัสหน้าตัวเองค่ะ เพราะเราคงเลี่ยงที่จะใช้มือหยิบจับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งเชื้อ COVID-19 เป็นเชื้อโรคที่สะสมและติดได้ง่ายบนผิวสัมผัส มากกว่าการไอจามกันตรง ๆ ในอากาศ (แต่ก็ไม่ใช่จะติดจากการฟุ้งในอากาศไม่ได้เลย) และพยายามล้างมือให้เป็นนิสัยทุกครั้งที่นึกได้เลยค่ะ

2.) อีกหนึ่งสิ่งสำคัญมาก ๆ คือ ไม่ใช่แค่ใส่มาสก์นะคะ แต่เราต้องรักษาสุขอนามัยให้มาสก์สะอาดอยู่ตลอดด้วย เพราะมาสก์ควรเป็นสิ่งที่ป้องกันเราจากเชื้อโรคภายนอก แต่ถ้าเราไม่รักษาความสะอาดให้ดี มาสก์จะกลายเป็นตัวพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายที่สุดเลยค่ะ

เลือกใช้มาสก์แบบมีสายคล้องเพื่อความสะดวก หมดกังวลที่จะต้องถอดเข้าออกและหาที่เก็บ

ถ้าเป็นมาส์ปกติ อย่าวางมาสก์ไว้บนโต๊ะ หาที่เก็บเป็นถุงหรือกระดาษทิชชู่ที่สามารถป้องกันมาสก์สัมผัสกับพื้นผิวภายนอก

ถ้าต้องไปในที่ชุมชน ที่ทำงาน โดยเฉพาะโรงพยาบาล ให้เลือกใช้มาสก์แบบใช้แล้วทิ้ง อย่าใช้มือสัมผัสแมสทั้งด้านนอก-ใน เวลาถอดเข้าออกให้จับที่สายรัดเกี่ยวหูทุกครั้ง ถ้าต้องขยับมาสก์ก็ขยับจากด้านข้าง

3.) การพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ก็ควรใช้ในปริมาณที่จะทำความสะอาดมือได้ทั่วไม่ต่างจากตอนล้างมือ อย่าแค่พ่น 1-2 ครั้ง แต่ต้องถูให้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อให้ทั่วด้วยนะคะ

4.) พยายามรักษาระยะห่างของตัวเองกับผู้อื่น โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก แต้วหมายถึงกับทุกคนจริง ๆ โดยเฉพาะกับครอบครัว คนสนิทที่เรามักจะประมาทได้ง่าย ให้จินตนาการเสมอว่า ทุกคนอาจเป็นพาหะของเชื้อโรค ไม่ใช่ให้วิตกนะคะ แต่เพื่อเป็นการเตือนให้ตัวเองมีสติมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

5.) รักษาภูมิคุ้มกันของตัวเองจากภายในให้ดีอยู่เสมอ จากการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่จะส่งเสริมให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี และการพักผ่อนให้เพียงพอ ข้อนี้สำคัญมากๆๆๆ เพราะถือเป็นด่านสุดท้ายที่เราจะป้องกันตัวจากเชื้อโรคได้ ข้อนี้ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ แต่เชื่อเถอะค่ะว่าในเวลานี้มันคุ้มค่าจริง ๆ

ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพ และปลอดภัยจากโรคภัยทุก ๆ อย่างนะคะ”

ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000037243


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

อย. เตือน! อย่าซื้อชุดตรวจโควิด มาตรวจเอง เสี่ยงแปลผลผิด กลายเป็นผู้แพร่เชื้อไม่รู้ตัว

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง (Self- test) เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจเชื้อได้ด้วยตนเอง เหมือนในประเทศอังกฤษ พร้อมเสนอให้ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักรักษาตัวที่บ้านได้นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ชุดตรวจโควิด-19 โดยการหาเชื้อจากโปรตีนดังกล่าว เรียกว่า Rapid Ag test มีลักษณะเป็นแถบตรวจ ให้หยดน้ำยาที่มีเนื้อเยื่อจากการแยงจมูก (swab) ชุดทดสอบนี้หากตรวจในช่วงแรกหลังรับเชื้อ หรือเลยช่วง 7-10 วันหลังมีอาการ อาจให้ผลลบปลอม จนนำไปสู่การแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้

ดังนั้น การแปลผลต้องอาศัยความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ซึ่งต่างจากการตรวจหาเชื้อจากสารพันธุกรรมด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR ที่สามารถตรวจพบเชื้อได้แม้มีปริมาณเชื้อไม่มาก นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยวิธีอื่น ได้แก่ RT-LAMP ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.แล้ว เช่น COXY-AMP ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางห้องปฏิบัติการในการตรวจ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง

รองเลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า การใช้ชุดตรวจมาตรวจเอง มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ขั้นตอนและเทคนิคในการเก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก หากเก็บไม่ถูกวิธีจะเสี่ยงต่อการแปลผลที่คลาดเคลื่อนและให้ผลลบปลอมได้ หากผู้ใช้แปลผลไม่ถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงการกระจายการติดเชื้อในวงกว้าง ประสิทธิภาพของชุดตรวจด้วยตัวเอง มีความแม่นยำน้อยกว่าวิธีมาตรฐาน RT-PCR ที่ตรวจโดยห้องปฏิบัติการโดยตรง ส่งผลให้มีโอกาสเกิดผลลบปลอมที่สูงกว่า และถึงแม้ว่าผลทดสอบจะปรากฏผลลบ ยังจำเป็นต้องประเมินอาการและปัจจัยอื่นร่วมด้วย ซึ่งต้องอาศัยการให้คำแนะนำโดยบุคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญหากพบผลบวกต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่สามารถกักตัวที่บ้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที และป้องกันกรณีไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสม อาจแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว จนนำไปสู่การแพร่ระบาดรอบใหม่

ปัจจุบัน อย. ได้อนุญาตน้ำยาที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก มีความแม่นยำมากที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ โดยจำนวนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่ได้รับอนุญาตแล้ว มีมากกว่า 80 ผลิตภัณฑ์ จากหลากหลายบริษัท เพียงพอสำหรับการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีมากกว่า 270 แห่งทั่วประเทศ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

คดีพลิก!! Elon Musk เฉลยผู้เสียชีวิต 2 รายจากอุบัติเหตุบนรถ Tesla เหตุไม่ได้ซื้อบริการ ‘ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ’

เพจ ทันโลกกับ Trader KP ได้เผยข่าวใหญ่ในวงการรถยนต์เมื่อวานนี้ หลังจากมีผู้โดยสารรถเทสล่า เปิดใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot) แต่รถเกิดเสียหลัก พุ่งเข้าชนต้นไม้ในเมือง Houston จนเกิดไฟลุกท่วม เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่เนื่องจากการดับไฟที่ลุกจากแบตเตอรี่ของรถ Tesla นั้น ต้องใช้วิธีการดับไฟที่แตกต่างจากไฟปกติ ทำไม่ให้สามารถคุมไฟไว้ได้ จนเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 2 ราย"

ข่าวนี้ได้ส่งผลให้หุ้น Tesla ร่วงลงทันที -7% คืนนี้ จากระดับ 740 เหรียญลงมา -50 เหรียญจนเหลือ 690 เหรียญไปเลยทันที เพราะตลาดมองว่าระบบ Autopilot ของ Tesla มีช่องโหว่

อย่างไรก็ตามคดีนี้ อาจพลิกอีกครั้ง หลังจากเช้านี้ทาง Elon Musk ได้ออกมาทวีตเฉลยว่า “จากการกู้ข้อมูลจากระบบบันทึกของรถ (Data Logs) เราพบว่ารถคันนี้ไม่ได้เปิดใช้งานเทคโนโลยี Autopilot เพราะรถคันนี้ไม่ได้ทำการซื้อบริการไว้ด้วยซ้ำ”

โดยรถของ Tesla นั้นไม่ต่างอะไรกับ App Store ของ Apple เลยที่หลังจากซื้อรถยนต์ไปแล้วหากผู้ใช้ต้องการใช้บริการเทคโนโลยีอะไรเพิ่มเติมก็สามารถจ่ายเงินซื้อได้ แต่รถคันนี้ไม่ได้ทำการซื้อไว้ และ Elon กล่าวต่อว่า

“ด้วยระบบ Autopilot ปัจจุบัน ทาง Tesla กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องใช้บนถนนที่ต้องมีเส้นปะแยกระหว่างเลน ซึ่งถนนดังกล่าวไม่ได้มี”

ทาง Elon อธิบายว่าด้วยการที่ระบบ Autopilot ปัจจุบันยังไม่ถึงระดับ 5 ทำให้ตอนนี้หากจะใช้ระบบนี้รถ Tesla ต้องวิ่งบนถนนที่มีเส้นปะแยกเลน แต่ผู้ขับไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น

แต่คำถามที่หลายฝ่ายตั้งตามมาก็คือ ถ้าพวกเขาไม่ได้ซื้อระบบ Autopilot ไว้ ทำไมพวกเขาถึงไม่มีใครนั่งอยู่บนที่คนขับเลย เพราะสิ่งที่ตำรวจพบหลังจากมาถึงที่เกิดเหตุคือ #ผู้โดยสารที่เสียชีวิตทั้งคู่ไม่มีใครนั่งอยู่ที่พวงมาลัยเลย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า พบศพชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้า (ที่นั่งข้างคนขับ) และศพชายคนที่สอง นั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลัง

ทำให้หลายฝั่งตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือชายทั้ง 2 พยายามที่จะขยับตัวหลังจากที่รถได้ชนไปแล้ว?

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจาก Elon ได้ทวีตข้อความดังกล่าว ก็ทำให้หุ้น Tesla ดีดขึ้นกลับไปที่ระดับเดิม โดยราคาหุ้น Tesla ช่วงหลังตลาดปิด (Post Market Trade) ได้ดีดกลับขึ้นไปที่ระดับ 730 เหรียญต่อหุ้น หลังจากทาง Elon ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง

ถึงกระนั้น ตัวแปรของมูลเหตุความจริงทั้งหมด ก็คือรถยนต์ Tesla ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างได้ผ่านระบบ Online ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการขับขี่หรือการเปิดปิดอุปกรณ์ต่างๆบนเครื่องยนต์ ซึ่งทางบริษัทย่อมต้องมีข้อมูลทุกอย่างและง่ายต่อการสืบสวนอุบัติเหตุ และตรงนี้เองจะแสดงให้เห็นว่า ดราม่า Tesla รอบนี้ อันไหนจริง อันไหนเท็จต่อไป

ที่มา: https://www.facebook.com/108586193028066/posts/751807305372615/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘หมอยง’ ชี้!! ติดโควิดแล้ว ‘ติดได้อีก’ แต่ติดได้ยากขึ้นกว่า ‘คนไม่เคยติด’

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการติดเชื้อโควิด-19 ในรายของผู้ที่เคยติดมาก่อนหน้านี้แล้วว่า…

โควิด-19 ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้ว ติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่ ต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่?

จากการติดตามบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบกลุ่มที่ติดเชื้อมาแล้วกับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเป็นระยะเวลา 7 เดือน พบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำใหม่น้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อนร้อยละ 84 จากข้อมูลก็เปรียบเสมือนว่าคนที่เคยติดเชื้อมาแล้วมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยละ 84 (Hall VJ et al, Lancet 2021; 397: 1459–69)

น่าจะพูดง่าย ๆ ให้เข้าใจว่า ถ้าการติดเชื้อจริงหรือเอาไวรัสจริงมาเป็นวัคซีน ทำให้เกิดโรค ยังป้องกันได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้มีประสิทธิภาพร้อยละ 84 วัคซีนถ้าสร้างภูมิต้านทานให้ได้เท่ากับการติดเชื้อจริงในธรรมชาติจะป้องกันได้ร้อยละ 84 การติดเชื้อซ้ำถึงแม้ว่าเคยติดเชื้อมาแล้วก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็น้อยกว่าคนที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ในระยะยาวถึงแม้ว่าติดเชื้อมาแล้ว ภูมิต้านทานไม่ได้ปกป้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนโรคบางโรค เช่น โรคหัด โรคสุกใส ที่เป็นแล้วจะไม่เป็นอีกในชีวิตนี้

จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า การที่เคยเป็นโรคแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก ทำนองเดียวกันการฉีดวัคซีนก็เหมือนกับการกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานแบบการติดเชื้อ วัคซีนจึงไม่สามารถป้องกันได้ 100% วัคซีนที่ป้องกันได้เกินกว่า 84% ก็ถือว่าเหนือกว่าการติดเชื้อโดยธรรมชาติแล้ว

ในอนาคตการให้วัคซีน จำเป็นต้องมีการให้ซ้ำอีกแน่นอน ในวัคซีนทุกชนิดจะต้องมีการกระตุ้นน่าจะเป็นหลัง 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันในระยะยาวหรืออาจจะต้องกระตุ้นทุกปีหรือทุก 2-3 ปีก็คงขึ้นอยู่กับข้อมูล

ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้วก็ยังคงต้องให้วัคซีนในการป้องกันโรค ระยะเวลาในการให้วัคซีนหลังติดเชื้อควรจะอยู่ในระยะ 3-6 เดือนหลังจากติดเชื้อ จำนวนครั้งในการให้วัคซีนในผู้ติดเชื้อมาแล้ว เป็นที่น่าสนใจเพราะเชื่อว่าการกระตุ้นเพียงครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าติดเชื้อมาแล้วเป็นปี การให้วัคซีนก็อาจจะต้องให้แบบคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นโอกาสทองของบริษัทวัคซีนแน่นอน

ที่มา: https://www.facebook.com/108692177438990/posts/290843352557204/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รัฐบาลลาว เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายแล้ว 85% และคาดว่า อีก 22% ของประชากร จะได้ฉีดภายในปีนี้

รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำลังดำเนินการตามแผนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยขณะนี้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว

รายงานระบุว่า รัฐบาลลาววางแผนที่จะฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างน้อย 150,000 รายในขั้นตอนแรกของโครงการ

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทมส์ รายงานโดยอ้างคำพูดของนายพอนปะเสิด อุ่นพม อธิบดีกรมอนามัยและส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขลาว โดยระบุว่า 85% ของประชากรกลุ่มเป้าหมายในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้น ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 เปิดเผยข้อมูล ณ วันที่ 4 เม.ย. ว่า ลาวได้ฉีดวัคซีนโดสแรกให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงประมาณ 103,000 ราย ส่วนโดสที่ 2 จำนวน 6,171 ราย การฉีดวัคซีนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขกำลังเร่งดำเนินการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลลาวได้ขยายโครงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น นอกเหนือจากผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข

นอกจากนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากกระทรวง, องค์กรเทียบเท่ากระทรวง, หน่วยงานท้องถิ่น, สถานทูตต่างประเทศ, องค์กรระหว่างประเทศ และครอบครัวตลอดจนธุรกิจบางประเภทที่มีความความเสี่ยง ได้ถูกผนวกรวมเข้ากลุ่มเป้าหมายภายใต้โครงการเพิ่มเติมด้วย

รายงานก่อนหน้านี้ ยังระบุว่า ประมาณ 22% ของจำนวนประชากรลาว หรือประมาณ 1.6 ล้านคน จะได้รับการฉีดวัคซีนในปี 2564

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของจำนวนประชากร ภายในปี 2565 และจะมีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/foreign/464176


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมช.แรงงาน มอบ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ปรับแผนการประชุมสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทำงานต่อเนื่องไม่หวั่นพิษโควิด-19 เดินหน้าจัดงานหาแนวร่วมช่วยคนพิการ

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากมาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐ จัดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ จนถึง 30 เมษายน พ.ศ.2564 และงดการจัดงานประชุม สัมมนา ที่มีการรวมคนเกินกว่า 50 คน นั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ควรมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน มีกำหนดจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ภายใต้ชื่องาน “เสริมฝีมือ สร้างสุข ให้อาชีพคนพิการ” และเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการให้ความร่วมมือดำเนินการมาตรา 33 และมาตรา 35 ให้มากยิ่งขึ้น จึงมีการปรับแผนการสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ.2564

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวต่อว่า การจัดงานในครั้งนี้ต้องการเชิญชวนให้สถานประกอบกิจการจ้างคนพิการเข้าทำงานตามมาตรา 33 และดำเนินการตามมาตรา 35 ให้มากขึ้น ซึ่งการปฏิบัติตามมาตรา 35 มีหลายกิจกรรมที่สถานประกอบกิจการสามารถทำได้ เช่น จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน จัดให้มีอุปกรณ์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ เป็นต้น เพื่อลดการจ่ายเงินมาตรา 34 ให้น้อยลง

ปัจจุบัน มีสถานประกอบกิจการที่กระทรวงแรงงานมีข้อมูลหรือดำเนินการตามมาตรา 34 มีประมาณ 10,000 กว่าแห่ง จึงต้องการเชิญชวนสถานประกอบกิจการในกลุ่มนี้ ดำเนินการตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 35 นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับมูลนิธิฯ สมาคมคนพิการทั้งหลายในการขับเคลื่อนการทำงานในครั้งนี้ด้วย

การสัมมนาในครั้งนี้ จัดสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ดังนั้นสถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูล สามารถแจ้งเข้าร่วมงานดังกล่าวได้ที่กองพัฒนาศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบกิจการ 022453705 และติดตามการไลฟ์สด ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

“ปัจจุบันมีหลายบริษัทดำเนินการแล้ว แต่ต้องการกระจายความร่วมมือนี้ออกไปให้มากยิ่งขึ้น ตามแนวทาง “เพิ่มการจ้าง มีการจัดและลดการจ่าย” เพื่อนำไปสู่การพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิตคนพิการได้อย่างยั่งยืน การช่วยเหลือคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ 1 คน ถือว่าได้ช่วยคนในครอบครัวนั้นได้ 3-4 คน และจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในเทศกาลตะจ่านหรือสงกรานต์ในเมียนมาปีนี้ ไม่ได้มีการจัดและฝั่งกองทัพก็ไม่ได้จัดทำเวทีขึ้นในแต่ละเมืองเหมือนที่เคยทำมาในครั้งก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาด

ในขณะที่ฝั่งผู้เรียกร้องประชาธิปไตยก็รณรงค์ว่าช่วงวันหยุดสงกรานต์ครั้งนี้ให้งดการเล่นน้ำเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยบางกระแสถึงขั้นพูดว่าหากใครเล่นน้ำหรือครอบครัวไหนเล่นน้ำ ครอบครัวนั้นเข้าข้างกองทัพ เดือดร้อนเอาผู้ปกครองที่มีเด็กเล็กๆ ที่ต้องหาเหตุผลอีกทีว่าทำไมปีนี้พวกเขาถึงเล่นน้ำไม่ได้

แต่ในขณะเดียวกัน ณ บรรยากาศบริเวณชายหาดอิรวดีไม่ว่าจะเป็นชายหาดงุยเซา หรือ ชายหาดชองตา ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวจนการจราจรติดขัด หาดเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาเที่ยวจากทุกสารทิศ สวนกระแสกับสงกรานต์เงียบจนมีคนออกมาบอกว่าก็ไม่เล่นน้ำแล้วไง Beach Strike แทน

 

บรรยายกาศที่ชายหาดงุยเซาในช่วงเทศกาลตะจ่านที่ผ่านมา

 

เส้นทางการจราจรในบริเวณชายหาดงุยเซาคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจนจราจรติดขัด

 

ในเทศกาลตะจ่านหรือสงกรานต์ในเมียนมาทุกปีนั้น ถ้าหากตัดงานกิจกรรมการเล่นน้ำออกไปแล้วละก็ ในอดีตย่างกุ้งหรือเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองก็แทบเป็นเมืองร้าง เพราะห้างร้านเกือบ 100% จะปิดบริการหมด เนื่องจากพนักงานในร้านกลับบ้านต่างจังหวัดก็ดี หรือเจ้าของร้านเดินทางกลับต่างจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดภูมิลำเนาของตนเองก็ดี

ซึ่งการเปิดบริการของร้านค้าจะเริ่มมีมากขึ้นในช่วงวันหยุดหลังรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีได้เข้ามาบริหารประเทศ แล้วปรับเปลี่ยนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์จากในอดีตที่เคยกำหนดให้หยุด 10 วัน แต่ตอนหลังให้เหลือเพียง 7 วัน แล้วนำวันที่เหลือไปหยุดชดเชยในวันหยุดอื่น ๆ แทน

ในอดีตในเมียนมาไม่มีวันหยุดสากลอย่างวันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันหยุดวันสิ้นปีและวันที่ 1 มกราคมเป็นวันหยุดวันขึ้นปีใหม่

ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์รัฐบาลเมียนมาในอดีตจะกำหนดให้วันที่ 11 - 16 เมษายนเป็นวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ หรือ ตะจ่าน และวันที่ 17 - 20 เมษายน เป็นวันหยุดวันขึ้นปีใหม่ รวม 10 วัน เพื่อให้คนเมียนมาที่ทำงานไกล จากบ้านเกิดมีโอกาสได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเพื่ออยู่สังสรรค์กับครอบครัว เช่น คนที่มีบ้านเกิดในรัฐคะฉิ่น แต่มาทำงานที่ทวาย จะต้องเดินทางโดยรถบัสประมาณเกือบ 30 ชั่วโมงบนเส้นทางมากกว่า 1,600 กิโลเมตร แต่มาเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มมีวันหยุดวันปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม เมื่อปี 2018 และเพิ่มวันหยุดวันสิ้นปีในวันที่ 31 มกราคม 2019 เมื่อเปรียบเทียบจำนวนวันหยุดราชการในอดีตของเมียนมาในยุคของรัฐบาลเต็งเส่งจะมีวันหยุด 23 วัน แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มวันหยุดและวันหยุดชดเชยในกรณีที่หากวันหยุดนั้นตรงกับวันเสาร์หรืออาทิตย์เป็นจำนวนทั้งหมด 33 วันตามลำดับ


ที่มา: AYA IRRAWADEE

‘เจ้าสัวซีพี’ ทุ่ม 200 ล้าน มอบน้ำดื่ม-อาหาร-อุปกรณ์แพทย์ ให้ใช้เน็ตทรูฟรี หนุน รพ.สนามรักษาโควิด ฝากนายกฯ ต้องช่วยเอกชนนำเข้าวัคซีนแบ่งเบาภาระรัฐ

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวผ่านระบบทรู วีรูม ถึงแนวทางให้การสนับสนุนวงการแพทย์ในการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสวิด-19 ว่า การกลับมาระบาดของโควิดรอบ 3 ในประเทศ พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งอย่างรุนแรงกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับรอบก่อน ๆ จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือกัน ในทางการแพทย์ ถือว่าประเทศไทยสามารถทำได้ดีที่สุด ทั้งในด้านโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความเสียสละเพื่อประชาชน

ดังนั้น เพื่อให้การติดเชื้อโควิดรายใหม่ มีจำนวนน้อยที่สุด ก็อยากให้ทุกคนร่วมมือกัน โดยในส่วนของเครือซีพี ที่เรามีความสามารถในเรื่องของการผลิตอาหาร ก็จะให้การสนับสนุน ทีมบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งไม่ได้มีการเตรียมพร้อมในเรื่องอาหารและน้ำไว้รองรับ แต่ต้องใช้เวลาในการกักตัวดูอาการกว่า 10 วัน จึงจัดตั้งงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ในการสนับสนุนด้านน้ำดื่ม อาหาร และอุปกรณ์ที่จำเป็น ให้กับโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ในจำนวนงบประมาณทั้ง 200 ล้านบาท จะให้การสนับสนุนโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มูลค่า 50 ล้านบาท รวมถึงโรงพยาบาลอื่นๆ ต่อไป อาทิ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี และวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เรือ อากาศ เพื่อเป็นกำลังใจให้หมอและพยาบาล ที่สู้กับศัตรูที่ไม่มีตัวตน เนื่องจากหมอและพยาบาลสูงมาก มีความอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่ย่อท้อในการทำงาน โดยมองว่าการทำงานของหมอและพยาบาลดีอยู่แล้ว รวมถึงรัฐบาลที่มีความกระตือรือร้นในการควบคุมการระบาดโควิด-19 แต่อาจยังไม่เพียงพอ เครือซีพีจึงต้องการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือครั้งนี้ ในการช่วยออกแรงคืนประโยชน์สู่สังคม

“ฝากถึงรัฐบาลให้การส่งเสริมและสนับสนุนเอกชนนำเข้าวัคซีนต้านโควิด อย่างน้อยก็เพื่อให้แต่ละบริษัทสามารถนำวัคซีนเข้ามาดูแลพนักงาน หรือลูกค้าของตัวเองได้ ซึ่งจะเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง โดยอยากฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยตรง” นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวว่า หากรัฐบาลจะมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จะสร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจในมูลค่าที่สูง ดังนั้นควรใช้วิธีการร่วมมือเพื่อสกัดการแพร่ระบาดไวรัส ขณะที่ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากมองว่า ไม่ว่าจะเป็นคนตัวใหญ่หรือตัวเล็กก็ต้องช่วยกัน อาทิ คนตัวเล็กแบบประชาชน ก็ต้องป้องกันตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัย พยายามไม่ออกจากบ้าน ส่วนตัวใหญ่อย่างบริษัท ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองและพนักงานให้ปลอดภัยด้วย นอกจากนี้ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด จะสนับสนุนสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ใช้ในโรงพยาบาลสนาม ที่สามารถใช้ได้ฟรี เพื่อให้ผู้กักตัวที่ติดเชื้อโควิด สามารถทำงานได้ ซึ่งถือเป็นการใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งการติดต่อกับที่บ้าน รวมถึงการสื่อสารระหว่างกันของแพทย์และพยาบาลด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top