Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

ผู้นำสหรัฐฯ งัดไม้แข็ง สั่งเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานเอกชน ต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 หากไม่ปฏิบัติตามมีบทลงโทษแรง!! ด้านรีพับลิกันจ่อฟ้อง ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐ และพนักงานในสถานประกอบการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ตลอดจนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลต้องฉีดวัคซีน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่พุ่งสูงขึ้น

โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนภายใน 75 วันหลังจากนี้ หากผู้ใดปฏิเสธการฉีดวัคซีน 'อาจถูกไล่ออกได้' ขณะที่เจ้าหน้าที่เอกชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจะต้องตรวจโควิด-19 ทุกสัปดาห์

แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า "บริษัทต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานของตนได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน หรือกำหนดให้พนักงานที่ไม่ได้รับวัคซีนแสดงผลตรวจเชื้อเป็นลบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง"

ด้านกระทรวงแรงงานออกแถลงการณ์ว่า บริษัทใดที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต้องชำระค่าปรับประมาณ 14,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 448,000 บาท)

ทันทีที่ข่าวดังกล่าวสะพัด ด้านรอนนา แมคแดนเนียล ประธานคณะกรรมธิการพรรครีพับลิกัน ก็ได้ออกมาแย้งว่า การฉีดวัคซีนต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ อีกทั้งเป็นการผลักภาระให้แก่เจ้าของสถานประกอบการที่ต้องจัดหาชุดตรวจโควิด-19 หรือวัคซีนให้แก่พนักงาน โดยทางพรรคจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อปกป้องเสรีภาพของชาวอเมริกันทันทีที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้!! 

อย่างไรก็ตาม ไบเดน ได้ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ได้เป็นการละเมิดเสรีภาพหรือความต้องการส่วนบุคคล แต่เป็นความรับผิดชอบที่ต้องทำเพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ขอความร่วมมือให้สถานบันเทิงและสถานศึกษาดำเนินการฉีดวัคซีนหรือตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้แก่พนักงานของตน

ตลอดจนมีการออกมาตรการลงโทษสำหรับผู้โดยสารบนระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย และดำเนินการเพื่อเพิ่มการผลิตชุดตรวจหาเชื้อด้วย

ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้วราว 377 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วประมาณ 177 ล้านคนหรือคิดเป็น 54% ขณะที่ยังมีชาวอเมริกันอีกส่วนหนึ่งต่อต้านการฉีดวัคซีน

ส่วนยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมาอยู่ที่ 188,823 คน และผู้เสียชีวิต 2,276 คน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อสะสมราว 40.7 ล้านคน และผู้เสียชีวิต 6.56 แสนคน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/662827

‘ลิซ่า BLACKPINK’ สวมชุดไทยสไบเฉียง อวดสายตาชาวโลก ผ่านโซโล่แรก ‘LALISA’

สิ้นสุดการรอคอยของชาวบลิ๊งค์ทั่วโลก!! “ลิซ่า BLACKPINK” หรือ “ลลิษา มโนบาล” ไอดอลสาวชาวไทยสุดฮอต ได้ปล่อยซิงเกิลอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก โดยล่าสุดวันนี้ 10 กันยายน เวลา 11.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ค่าย YG ENTERTAINMENT ได้ปล่อยเพลงและเอ็มวีตัวเต็มเพลง “LALISA” ออกมาเป็นที่เรียบร้อย และบอกเลยว่า ยอดสตรีมผู้ชมสดและยอดเข้าเข้าชมวิดีโอทะลุล้านวิวไม่ถึง 2 นาที ซึ่งล่าสุดทะลุสูงกว่า 10 ล้านวิว และพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง!!

เรียกได้ว่าเป็นการปลุกกระแสความปังให้วงการเพลงได้ลุกเป็นไฟอีกครั้ง!! โดยเฉพาะ 1 ในฉาก ที่ทำให้แฟนคลับชาวไทย รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่น้อย คือฉากที่สาวลิซ่า ปรากฏตัวในชุดสไบเฉียง สวมชฎา โดยมีด้านหลังเป็นปราสาทหิน แสดงถึงบ้านเกิดที่ประเทศไทย 

ทั้งนี้ ชุดสไบดังกล่าว เป็นผลงานการออกแบบของ Asava แบรนด์ชื่อดังของไทย ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อเธอ โดยเป็นกระโปรงสั้น และ สไบเฉียง ตัดเย็บจากผ้าไหมยกลำพูนลายพานจักรพรรดิยกทอง ปักคริสตัลสวารอฟสกี้ด้วยมือ และดอกไม้อลังการประดับผมจาก SARRAN และชฎาทองสุดอลังการเป็นผลงานจาก Hook's by Prapakas 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้หลังจากที่ซิงเกิลอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ ลิซ่าได้สร้างสถิติงานเพลงของไอดอลหญิงในวงการเพลงเค-ป็อป ที่มียอด “พรีออร์เดอร์” ถึงหลัก 200,000 ออร์เดอร์ ซึ่งเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ภายในระยะเวลาเพียง 3 วันกับอีก 17 ชั่วโมงเท่านั้น และล่าสุด YG Entertainment ประกาศวันที่ 10 ก.ย. 64 ว่ายอดพรีออเดอร์สำหรับอัลบั้มโซโล่เดี่ยวบั้มแรกของ ลิซ่า BLACKPINK ‘LALISA’ มียอดเกิน 800,000 ก๊อบปี้แล้ว ซึ่งเป็นยอดของศิลปินเดี่ยวหญิง K-pop ที่มีสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เรียกได้ว่างานนี้สาวลิซ่า นอกจากสวยดังระดับโลกแล้วยังไม่ลืมบ้านเกิดจัดเต็มความเป็นไทยลงไปในเอ็มวีกันเลยทีเดียว ทำเอาเหล่าแฟนชาวไทยปลื้มปริ่มกับฉากสุดปังอลังการนี้ จนดัน #TodayIsLalisaDay ทะยานขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนโลกทวิตเตอร์ไทย และเทนรด์โลกไปเป็นที่เรียบร้อย

ญาติเหยื่อ 9/11 ถอดใจ!! หลังสหรัฐฯ ส่อแววเลื่อนการพิจารณาคดี

ข่าวดังที่ชาวอเมริกันเริ่มกลับมาให้ความสนใจใหม่ในช่วงนี้ก็คือ การไต่สวนคดีเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกา ช่วงวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่มีกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ 19 คน จี้เครื่องบินพาณิชย์อเมริกันพุ่งชนอาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก และ อาคารแพนทากอน ศูนย์บัญชาการฝ่ายกลาโหมสหรัฐฯ จนมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 2,996 คน และบาดเจ็บมากกว่า 2 หมื่นคน

เหตุการณ์ผ่านมาเนิ่นนานจนจะครบรอบ 20 ปีในปีนี้ แต่ทว่าคดีไต่สวนผู้ต้องหาที่เป็นเบื้องหลังคนสำคัญนอกเหนือจาก โอซามา บิน ลาเดน กลับยังค้างอยู่ในศาล จนถึงวันนี้ ก็ยังไต่สวนไม่แล้วเสร็จ

และยิ่งมาเจอการระบาด Covid-19 ครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ เลยทำให้ตลอดทั้งปี 2020 การพิจารณาคดีต้องถูกระงับไปโดยปริยาย จนญาติผู้เสียชีวิตบางคนถึงกับถอดใจว่า พวกเขาจะได้โอกาสเห็นผู้กระทำผิดถูกตัดสินลงโทษอย่างสาสมหรือไม่  

และผู้ต้องหาคดี 9/11 คนสำคัญ ที่เชื่อว่าเป็นผู้ชักใย เจ้าของแผนการโจมตีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ยังไม่ถูกตัดสินก็คือ นายคาลิด ชีค โมฮัมเหม็ด ที่สื่อสหรัฐฯ มักเรียกชื่อย่อว่า "KSM"

KSM เกิดในคูเวต และได้มีโอกาสมาเรียนจบด้านวิศวกรรมเครื่องกลถึงสหรัฐอเมริกา แต่กลับฝักใฝ่ในขบวนการใต้ดิน และเข้าร่วมขบวนการมูจาฮีดีนในปากีสถาน เพื่อต่อสู้กับกองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถาน จึงทำให้ได้รู้จักกับโอซามา บิน ลาเดน และร่วมก่อตั้งกลุ่มอัลกออิดะห์ด้วยกันในยุคบุกเบิก 

ทางการสหรัฐฯ เชื่อว่า KSM คนนี้จุดประกายให้เกิดแผนการที่จะโจมตีสหรัฐฯ ในวันที่ 11 กันยายน 2001 และถูกหน่วย CIA จับได้ที่ปากีสถานพร้อมผู้ร่วมขบวนการจำนวนหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2003 และส่งไปขังคุกที่กวนตานาโม ในเขตประเทศคิวบา 

ดังนั้นการสืบสวนคดี จึงต้องเริ่มที่นั่น ที่กลายเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำงานสืบคดีของบรรดาทนายของฝ่ายญาติ ไม่เว้นแม้แต่ทีมอัยการ ผู้พิพากษา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การต้องเดินทางไปถึงที่กวนตานาโมนั้น มัน 'นรก' ชัด ๆ 

ด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก กว่าจะไปถึง และการสอบปากคำของผู้ต้องหา ต้องทำผ่านห้องสอบสวนที่มีกระจกชนิดหนากั้น พูดคุยผ่านหูฟังที่เสียงปลายสายต้องดีเลย์ประมาณ 40 วินาทีเพื่อการตรวจสอบ และหากมีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนกระทบกับฝ่ายความมั่นคง ก็จะถูกเซ็นเซอร์ออกไป

แต่นอกเหนือจากกระบวนการสอบสวนที่ยุ่งยากแล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สุดที่ทำให้คดีไปต่อได้ยาก คือ ทีมกฎหมายไม่สามารถเข้าถึงเอกสารการสืบสวนที่ทางฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นความลับสุดยอด และเปิดเผยไม่ได้ 

ทำไมการสอบปากคำผู้ต้องหาถึงเป็นความลับเปิดเผยไม่ได้?

นั่นก็เพราะคำให้การของผู้ต้องหาเหล่านั้น ถูกเค้นออกมาจาก "เทคนิคการสอบปากคำพิเศษ" ของหน่วย CIA ในฐานลับ ก่อนที่จะถูกส่งตัวมาที่กวนตานาโมนั่นเอง 

ซึ่งเทคนิคพิเศษที่ CIA อ้างถึงนั้น ล้วนมาจากการบีบเค้น ทรมานผู้ต้องหาอย่างรุนแรง จนต้องยอมรับสารภาพ ซึ่งความจริงเรื่องนี้เองที่ทำให้ทางการสหรัฐฯ ไม่สามารถปล่อยเอกสารการสอบปากคำเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้

จึงทำให้กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 9/11 พยายามร้องเรียนมาตลอด ให้ช่วยลดขั้นตอน และอุปสรรคการสอบสวน รวมถึงให้เปิดเผยเอกสารการสอบสวนทั้งหมดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีออกมา 

โดยในสมัยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา มีการเสนอให้ส่งตัวผู้ต้องหาคดี 9/11 จากกวนตานาโม มาคุมขังที่สหรัฐฯ เพื่อง่ายต่อการสอบสวนกว่านี้ แต่ถูกสภาคองเกรซคัดค้าน และตีตกไป 

จนมาถึงสมัยของโจ ไบเดน ญาติผู้เสียชีวิตได้ร่วมกันส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้เปิดเผยเอกสารลับการสอบสวนคดีออกมาทั้งหมด ไม่เช่นนั้นพิธีไว้อาลัยในวันครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีก็ไม่ต้องมา! 

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน เองก็ยืนยันว่าคดีนี้มันต้องจบเสียที จึงได้เซ็นคำสั่งประธานาธิบดีถึงรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ FBI ให้เปิดเผยเอกสารการสืบสวนทุกอย่างที่เคยลับให้เผยแพร่ได้ แม้จะมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่อาจกระทบกับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียก็ตาม 

แต่ขั้นตอนไขเอกสารลับ ก็ต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน และสังเกตได้ว่าเอกสารที่โจ ไบเดนสั่งให้เปิดเผยได้ มีเพียงส่วนของฝ่ายกฎหมาย และ FBI เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงข้อมูลของ CIA และฝ่ายกลาโหมแต่อย่างใด 

และล่าสุดการพิจารณาคดีที่เคยระบุว่าจะกลับมาปัดฝุ่นเริ่มได้ภายในปีนี้ อาจต้องเลื่อนออกไปอีกจนถึงปี 2022 

คดีที่หลายคนคาดว่าจะจบได้ในปีนี้ ดูท่าจะไม่จบง่าย ๆ เสียแล้ว และเริ่มสงสัยว่าจะปิดคดีได้ภายในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดนได้จริงหรือ จากที่เคยสัญญาเสียดิบดี แต่สุดท้ายดูท่าจะกลายเป็นบัวแล้งน้ำเสียแล้ว

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

อ้างอิง: NY Times / NBC News / ABC News  /  Wikipedia

พม. จับมือสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ปี 2564 หัวข้อ "โควิด 19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ" 

นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2564 หัวข้อ "โควิด 19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ" (From COVID-19 to Development of Innovation for Persons with Disabilities) ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นเจ้าภาพหลัก 

นางพัชรี กล่าว่า ด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับสถาบันการศึกษา องค์กรด้านคนพิการ และหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำบันทึกความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนางานวิชาการ วิจัย นวัตกรรม เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้งานด้านวิจัย งานวิชาการ นวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมทั้งจัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา โดยได้นำเสนอผลงานวิชาการ งานนวัตกรรม และนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มากกว่า 250 เรื่อง  

นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า สำหรับปี 2564 กระทรวง พม. โดย พก. จึงได้ดำเนิน "โครงการบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" ภายใต้งานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2564 หัวข้อ "โควิด 19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ" (From COVID-19 to Development of Innovation for Persons with Disabilities) ด้วยรูปแบบออนไลน์ (Fully online) ลักษณะ Hybrid and Virtual Conference ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข ในการป้องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่าย ในการผลิตผลงานวิชาการด้านคนพิการ และเป็นช่องทางการสนับสนุนงานพัฒนางานวิจัยที่มีมาตรฐานสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งนำนวัตกรรมองค์ความรู้มาต่อยอดทางความคิดและสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ และขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในสังคม รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนอาจารย์ นักวิจัย บุคลากร นิสิต นักศึกษาในสถาบันการศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ร่วมศึกษา ค้นคว้า วิจัย วิชาการเพื่อพัฒนางานด้านคนพิการ

นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า งานสัมมนาวิชาการฯ ปี 2564 มีกิจกรรมที่สำคัญ คือ พิธีการลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ระหว่างกระทรวง พม. โดย พก. กับสถาบันการศึกษา และหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 72 แห่ง อีกทั้งพิธีการมอบธงเจ้าภาพการจัดงานสัมมนาวิชาการฯ ปี 2565 ให้แก่มหาวิทยาลัยนเรศวร นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ "โรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ" รูปแบบออนไลน์ โดย พก. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ และองค์กรด้านคนพิการ และการบรรยายพิเศษ ได้แก่ 1) หัวข้อ "Hone Isolation สำหรับคนพิการ" โดย สถาบันสิรินธรฯ และ 2) หัวข้อ "อาชีพที่ใช่สำหรับคนพิการหลังโควิด 19"  โดยมหาวิทยาลัยนเรศวร

‘หมอนิธิ’ วอน 3 หน่วยงาน กล้าตัดสินใจฉีดวัคซีนในเด็ก ชี้คิดช้าคงไปโรงเรียนไม่ได้

ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา มีเนื้อหาดังนี้...

ช่วงนี้ 27% ของเคสใหม่ใน อเมริกาเป็นเด็กเยาวชน สำหรับประเทศไทย อย. และกระทรวง สธ. และผมขอเพิ่มกระทรวงศึกษาธิการคงไม่อยากเห็นแบบนี้ในประเทศ ทางเดินมีได้สองทาง คือ 1.) ไม่ต้องเปิดเรียนไปเรื่อย ๆ และฉีดวัคซีนให้ผู้ใหญ่ให้ได้มากกว่านี้ก่อน 2.) ฉีดวัคซีนให้เด็กแล้วเปิดเรียนด้วยมาตรการรักษาระยะห่างใส่หน้ากากเลี่ยงที่แออัด อย่างเคร่งครัด

ยิ่ง อย. ยิ่งคิดและตัดสินใจช้า เด็กก็คงกลับไปโรงเรียนไม่ได้ หรือได้แต่เสี่ยง อย่างที่เคยพูดไว้นานมาแล้วว่า เรื่องของระบาดวิทยาการระบาดของโรคแบบโควิดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องทางการแพทย์อย่างเดียว แต่สังคมวิทยามีความสำคัญพอ ๆ กันหรือมากกว่า

เด็ก ๆ ทั้งวัยเรียนประถม มัธยม และอุดมศึกษา ไม่ได้กลับไปชั้นเรียนมากันกว่าปีแล้ว เด็ก ๆ ไม่ได้เจอเพื่อนตัวเป็น ๆ ไม่ได้คุยกันเสียงดัง ๆ ไม่ได้แอบกินขนมหรือแอบเล่นโทรศัพท์ในห้องเรียนให้ครูดุ กันทั้งปี เด็กที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ยังไม่เคยได้ไปใช้ชีวิตใหม่ที่โลดโผนในปีแรกของการเป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย

เด็กรุ่นช่วงนี้คงเกิดแผลเป็นในการพัฒนาทางสังคมไปตลอดจนเป็นผู้ใหญ่

นี่ไม่นับคุณภาพการเรียนการสอนออนไลน์ที่เด็กและครูในเมืองกับคุณภาพอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างจะยิ่งทำให้ช่องว่างทางการศึกษาที่มีมากอยู่แล้วยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะแน่นอนว่าลูกคนมีฐานะย่อมมีอุปกรณ์และการสื่อสารที่แตกต่างกับในที่ห่างไกลอย่างมาก

ไม่ต้องพูดถึงเด็ก ๆ ชายขอบ!!!

เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาพิจารณาการใช้วัคซีนในเด็กของ อย. จะมีความรู้ความชำนาญด้านการแพทย์และวัคซีนที่เก่งที่สุดในประเทศแล้ว แต่ผมไม่มั่นใจว่าใคร ๆ ใน อย. และผู้กำหนดนโยบายจะคำนึงถึงเรื่อง สังคม และคุณภาพการศึกษาด้วยแค่ไหนครับ ไม่อยากให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแผลเป็นทางสังคมให้เด็ก ๆ และทำให้ช่องว่างทางการศึกษาในเยาวชนไทยกว้างขึ้นกว่านี้ โดยที่เยาวชนเหล่านี้จะเป็นพลเมืองทรัพยากรของชาติเราในอนาคตอันใกล้...อยากให้คนเก่งประเทศไทย คิดแล้วทำเองได้ก่อนใคร ๆ บ้าง อย่าไปรอให้ชาติใด ๆ ตัดสินใจก่อนเลยครับ กล้าตัดสินใจกันหน่อยครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/nithi.mahanonda/posts/10159490288503895

'หมอยง' ชี้ ก่อนเลือกให้วัคซีนโควิดในเด็ก ต้องมีความปลอดภัยสูงมากจึงจะคุ้มค่า

10 ก.ย. 64 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

โควิด-19 วัคซีน
การให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็ก

ทุกคนควรได้รับวัคซีน แต่ปัญหาโรคโควิด-19 มีความรุนแรงในผู้สูงอายุหรือกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว

เด็กถึงแม้จะเป็นโควิด จะมีอาการน้อย โอกาสเป็นปอดบวมน้อยมาก และยิ่งน้อยมาก ๆ ที่จะเสียชีวิตจากโควิด-19

การให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็ก วัคซีนจะต้องมีความปลอดภัยสูงมาก จึงจะคุ้มค่า เพราะตัวเด็กเอง โดยเฉพาะวัยเรียน เป็นแล้วไม่รุนแรง นอกจากจะนำเชื้อมาสู่ผู้แก่ ผู้เฒ่าที่บ้าน หรือทำให้เกิดการระบาดได้โดยเฉพาะในโรงเรียน ที่มีคนอยู่ร่วมกันมาก ๆ  

การให้ mRNA วัคซีนในเด็กอายุ 12-17 ปี มีความเสี่ยงในการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ถ้าคำนึงถึงผลได้ ผลเสียในระยะเวลา 120 วัน เด็กอายุ 12-17 ปี ถ้าฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 mRNA 1 ล้านคน จะป้องกันการเสียชีวิตในเด็กชายได้  2 คน และถ้าเป็น เด็กหญิง 1 คน

ถ้าฉีดวัคซีน mRNA เข็มที่ 2 มีโอกาสเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในเด็กวัยชาย (12 ถึง 17 ปี) 59-69 คน เด็กวัยหญิง 8-10 คน ใน 1 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนใน (ประเทศสหรัฐอเมริกา) MMWR July 9 2021; 70 (27): 977 -982

กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ควรจะได้รับวัคซีนก่อนให้มากที่สุด เพื่อลดความรุนแรงของโรค และอัตราการเสียชีวิตก่อน แล้วถ้าวัคซีนมีมากเพียงพอ ทุกคน ก็ควรได้รับวัคซีน รวมทั้งเด็กด้วย

ความเสี่ยงและประโยชน์ที่ได้ จะต้องนำมาประกอบการตัดสินใจของผู้ปกครอง


https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/6265384423504122

โควิดกระหน่ำซ้ำเติม! ชุมชนบนตึกร้างบางพลัด ขาดรายได้ - ไร้อาหารประทังชีวิต ด้าน “พันธมิตรจิตอาสา” สานพลังปันสุข ลุยส่งข้าวกล่องได้ปันอิ่ม

ส่งความสุขปันอิ่มถึงบ้าน! วันที่ 9 กันยายน 2564 เริ่มจุดแรก ที่ชุมชนคลองสวนแดน ซอยจรัญสนิทวงศ์ 96/2 กรุงเทพมหานคร นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรม ตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) พร้อมด้วย นายนพดล ลิปิเวชกุลกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเมดะ ประเทศไทย จำกัด ตัวแทนหลักสูตร เสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 12 (สสสส.) และคุณสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการมูลนิธิสหชาติ พร้อมกลุ่มช่วยเหลือสังคมในสถานการณ์โควิด-19 ในนาม “พันธมิตรจิตอาสา”

ลงพื้นที่เขตบางพลัด นำยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย น้ำดื่ม พร้อมข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมทาน รับจากจุดส่งมอบห้างโลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" บริษัทในเครือซีพี ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นระยะที่ 2 ที่จะมีไปจนถึงในที่ 26 กันยายน โดยมีนายศีลธรรม พัชรประกาย หรือลุงตุ๊ อดีตประธานสภาเขตบางพลัด พร้อมชาวบ้านมารับมอบ

จากนั้นเดินทางต่อไปยังชุมชนตึกร้าง สุดซอยจรัญสนิทวงศ์ 95/1 นำสิ่งของต่างๆ และอาหารพร้อมทาน ส่งมอบให้กับชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ในตึกร้าง โดยพันธมิตรจิตอาสา เป็นสะพานบุญรับมอบส่งต่อให้ถึงมือชาวบ้านตามชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่ขาดรายได้ คนว่างงาน กลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่กักตัวดูอาการ หรือทำ Home Isolation อยู่ที่บ้าน ในพื้นที่กรุงเทพ ปริมณฑล และพื้นที่สีแดง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

นางสุนันท์ พวงประเสริฐ ผู้ดูแลชุมชนตึกร้าง เปิดเผยว่า ชุมชนแห่งนี้มีประชากรกว่า 150 ครัวเรือน มีผู้พักอาศัยกว่า 200 คน หลายครอบครัวที่มาอาศัยบนตึกร้าง จากการถูกไล่ที่ก่อสร้างทางด่วน จึงมาอาศัยอยู่บนตึกร้าง ส่วนใหญ่มีอาชีพเก็บของเก่า อาชีพแม่บ้าน และขายของตามตลาดนัด เมื่อเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา ทำให้ต้องประสบปัญาขาดรายได้ ส่งผลให้ความเป็นอยู่ขาดแคลน และขอขอบพระคุณกลุ่มพันธมิตรจิตอาสา และผู้ใหญ่ใจดี นำอาหารมาแบ่งปันช่วยบรรเทาทุกข์ และขอวิงวอนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทางชุมชนของเรายังประสบปัญหาขาดแคลนสิ่งของในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะข้าวสาร อาหารแห้ง

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า พันธมิตรจิตอาสายังลงพื้นที่แบ่งปันความสุขต่อเนื่อง ทางเรายินดีต้อนรับ หน่วยงาน ห้างร้าน องค์กร หรือบุคคลทั่วไป มาเป็นพันธมิตรช่วยพี่น้องคนไทยในยามที่ลำบาก เพื่อให้ก้าวข้ามผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ติดต่อได้ที่หมายเลข 065-982-6689

ผต.ก.ศึกษาธิการ เปิดงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “สธ. และ ศธ. ห่วงใยคนในสถาบันศึกษาปอเนาะ จ. ปัตตานี” หวังผู้สอนสถาบันศึกษาปอเนาะ สร้างความเข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดแก่ผู้เรียน

วันที่ 9 กันยายน 2564  นายณัฐพงษ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เขตตรวจราชการที่ 7 เป็นประธานการเสวนาออนไลน์ภายใต้กิจกรรม “สธ. และ ศธ. ห่วงใยคนในสถาบันศึกษาปอเนาะ จังหวัดปัตตานี” เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหารสถาบันศึกษาปอเนาะรวมถึงครูอาสาสมัครในสถาบันศึกษาปอเนาะ โดยมี นายแพทย์สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต นายนันท์ สังข์ชุม รองศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี นายวาทิต มีสนุ่น ผอ.ศปบ.จชต. นายอุดร สิทธิพาที ผอ.กศน. ปัตตานี นายอามีน กะดะแซ ผอ.สช.ปัตตานี นางเปรมจิต หงษ์อำไพ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี และนายอับดุลอาซิส ยานยา นายกสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ และครูผู้สอนในสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดปัตตานี เข้าร่วมรับฟังการเสวนาผ่านช่องทางออนไลน์ในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมรูสะมิแล สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี

พร้อมกันนี้ผู้ตรวจราชการและคณะได้ทำพิธีส่งมอบน้ำดื่มจำนวน 1,728 แพ็ค, หน้ากากอนามัยจำนวน 40 กล่อง และพืชสมุนไพรตามโครงการล้านเมล็ดพันธุ์ ศธ.ห่วงใยต้านภัยโควิดเฉลิมพระเกียรติให้กับ รพ.สนามจังหวัดปัตตานี ผ่านตัวแทนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี

ทางด้านนายณัฐพงษ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เขตตรวจราชการที่ 7 กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)สถาบันศึกษาปอเนาะ จังหวัดปัตตานี มีข้อกำหนดโดยการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ระบบ On-Hand เป็นหลักเพราะจะมาอยู่ร่วมกันไม่ได้ ในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา โควิด-19 จำนวนมาก ซึ่งประเด็นที่น่ากังวลก็คือการที่นักเรียนกลับไปบ้านแล้วกลับเข้ามาในสถาบันปอเนาะ ถ้าหากมีนักเรียนคนใดคนหนึ่งกลับมาอยู่ในสถาบันการศึกษาปอเนาะจะต้องกักตัวก่อน 14 วัน ซึ่งในบางสถาบันศึกษาปอเนาะ จะเป็นนักเรียนที่อยู่ประจำ เพราะฉะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้จะออกนอกพื้นที่ไม่ได้ โดยจะต้องอยู่ในสถาบันศึกษาปอเนาะทุกวันและต้องได้รับการดูแลอย่างเต็มที่แบบ 100% โดยห้ามคนในออกคนนอกเข้าไม่เช่นนั้นการแพร่ระบาดจะเกิดขึ้น

ส่วนในการจัดการเรียนการสอนจะเป็นไปใน 3 รูปแบบ ดังนี้

1.ใช้ระบบ ON-HAND เป็นหลัก ซึ่งครูจะสามารถที่จะประสานกับนักเรียนในสถาบันศึกษาปอเนาะ ผ่านทางบาบอโดยมอบนโยบายในการจัดการเรียนการสอนต่างๆให้กับนักเรียนได้อ่านและตอบ

2.ใช้ระบบ ON–DEMAND ซึ่งบางคนมีมือถือเครื่องมือสื่อสารที่จะสามารถติดต่อสื่อสารกับครูได้ ซึ่งจะใช้คลิปเป็นหลักในการจัดการเรียนการสอนดังกล่าว

3.ใช้ระบบ ON-AIR ซึ่งในบางพื้นที่ก็สามารถจัดการเรียนการสอนได้แต่ก็มีน้อย ก็จะสามารถจัดการเรียนการสอนใน 3 รูปแบบได้

ซึ่งในขณะนี้การจัดการเรียนการสอนแบบ ON-SITE ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพื้นที่จังหวัดปัตตานีเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม การจัดการเรียนการสอนแบบ ON-SITE ต้องได้รับการอนุมัติจาก ศบค. จังหวัดปัตตานีเป็นหลัก ในขณะนี้การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์เป็นปัญหาและอุปสรรคในด้านเครื่องมือต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ค รวมถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้รับทราบถึงปัญหาดังกล่าวแล้ว และร่วมหารือหาทางแก้ไข และในส่วนของเด็กยากจนที่ยังขาดอุปกรณ์ในการเรียนการสอนนั้นในขณะนี้ต้องยึด ศบค.เป็นหลักคือเงินอุดหนุนบางส่วน สามารถที่จะสนับสนุนจัดอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งต้องรอทำการตกลงกันระหว่างกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ยังกล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ในกิจกรรม “สธ. และ ศธ. ห่วงใยคนในสถาบันปอเนาะ” สืบเนื่องจากการตรวจราชการในหลายพื้นที่ในห้วงที่ผ่านมานั้น ยังมีประเด็นที่น่ากังวลคือ การสร้างการรับรู้รวมถึงแนวทางการป้องกันมาตรการการป้องกัน Covid-19 ยังไม่รัดกุมเท่าที่ควรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งสร้างการรับรู้ระหว่างรัฐกับประชาชนทั่วไป รวมถึงนักเรียนนักศึกษาในประเด็นดังกล่าวให้มากขึ้น และควรจะต้องดำเนินการให้เร็ว ครอบคลุมให้มากที่สุด ทางสาธารณสุขในพื้นที่ และศึกษาธิการจังหวัดจึงได้ร่วมกันประชุมหารือ หาแนวทางมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับสถานศึกษาในพื้นที่ โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือสถาบันการศึกษาปอเนาะ โดยสถานศึกษานั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 ตามที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กำหนด

ส่วนเรื่องของการฉีดวัคซีนโควิด-19 นั้น ขณะนี้ทางศึกษาธิการจังหวัดได้ดำเนินการให้บุคลากรทางการศึกษาทุกแห่งได้ฉีดวัคซีนวัคซีน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนแล้ว โดยหลังจากนี้ศึกษาธิการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้เร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจถึงมาตรการต่าง ๆ ต่อสถานศึกษาในความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดการรับรู้ และมีการปฏิบัติเรื่องการป้องกันโควิด-19 ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป

‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’ ไม่ทน ส่งทนายฟ้องแล้ว ชี้! จงใจทำให้อาย ปมถูกถอดพ้นศิลปินแห่งชาติ

9 กันยายน 2564 นายสุชาติ สวัสดิ์ศรี โพสต์เฟซบุ๊กภาพถ่ายร่วมกับคณะทนายจาก "ภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน" พร้อมกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) มีมติยกเลิกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติของตน ว่า 

เรื่อง "ยกเลิกการยกย่องเชิดชูเกียรติการเป็นศิลปินแห่งชาติ" ของผมนั้น ผมขอบคุณในคำแนะนำและกำลังใจจากหลายท่าน ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน ด้วยความรู้สึกปีติอย่างยิ่ง คำแนะนำของท่านในประเด็นเรื่องข้อกฎหมายทำให้ผมรู้สึกว่าต้อง "ไม่เฉย" ความจริงผมก็ปรึกษาหารือกับเพื่อนมิตรมาตลอด และเห็นว่า แม้ผมจะไม่แยแสแล้ว แต่ก็จำต้องถามหาบรรทัดฐานของความถูกต้อง ยิ่งเห็นวิธีปฏิบัติที่มีธงนำมาอย่างสามานย์ โดยตั้งใจทำให้ผมเสียหาย อับอาย ก่อนจะได้รับหนังสือ "ยกเลิกการยกย่อง" จากกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ ที่มาล่าช้ากว่าข่าวที่ปรากฏถึง 10 วัน ทำให้เห็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบมาพากลและ "ผิดปกติ" มากขึ้น

ทั้งที่ก็น่าจะให้เกียรติกันบ้างในฐานะที่ผมเคยมีส่วนร่วมก่อตั้งโครงการนี้มาตั้งแต่ครั้งริเริ่มโครงการเมื่อ พ.ศ. 2527 ในสมัยที่นายชวน หลีกภัย เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และอีกทั้งผมยังเคยเข้าไปช่วยงานเป็นคณะอนุกรรมการ สาขาวรรณศิลป์ ในช่วงปี พ.ศ. 2533 - 2535 ขณะเมื่อกระทรวงวัฒนธรรมยังมี "สถานะ" เป็นแค่หน่วยงานเล็ก ๆ ในกระทรวงศึกษาธิการที่เรียกว่า "สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ" (สวช.) โดยได้รับเชิญจาก ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ที่เป็นเลขาธิการของสำนักงานนี้ในขณะนั้น

เอาเป็นว่าการประชุมลับของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน และ นายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ที่ร่วมมือกันแก้ไขกฎกระทรวงเมื่อปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้สามารถยกเลิกการยกย่อง "ศิลปินแห่งชาติ" ในครั้งนี้ได้นั้น สาธารณชนคงจะได้ทราบว่า คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติคณะนี้เหมือนจะตั้งธงไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม คือมีเป้าทางการเมืองที่จะทำให้ผมอับอายและเสียหายในประวัติชีวิตการทำงาน

เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมที่ได้รับจากการปฏิบัติราชการอย่างไม่ถูกต้อง และเพื่อสร้างบรรทัดฐานเรื่องนี้ไว้ให้ปรากฏแก่ "ศิลปินแห่งชาติ" คนอื่น ๆ ในเวลาต่อไป ไม่ว่าท่านจะมีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไร บัดนี้ เรื่องนี้ก็ได้ปรากฏให้สาธารณชนได้ร่วมพิจารณารับทราบเรียบร้อยแล้ว

เพื่อดำรงขั้นตอนต่าง ๆ ตามกฎหมายให้ถูกต้อง ผมจึงได้มอบอำนาจให้กับทนายจาก "ภาคีนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน" เพื่อช่วยทำความจริงให้ปรากฏว่า "การยกเลิกการยกย่องเชิดชูเกียรติการเป็นศิลปินแห่งชาติ" ของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ครั้งนี้มีความชอบธรรมในคำสั่งทางราชการหรือไม่

ความคืบหน้าในเรื่องนี้จะเป็นเช่นใด ผมจะรายงานให้สาธารณชนรับทราบเป็นระยะต่อไป ขอขอบคุณในทุกคำแนะนำและความปรารถนาดีที่ท่านได้มอบเป็นไมตรีมาให้แก่ผมในช่วงบั้นปลายของชีวิต”


ที่มา : https://www.facebook.com/people/สุชาติ-สวัสดิ์ศรี/100007995606560

การรถไฟแห่งประเทศไทย แจง ญี่ปุ่นให้รถไฟดีเซลรางฟรี สภาพยังดี เสียแค่ค่าขนส่ง เตรียมพัฒนาใช้ส่งเสริมการท่องเที่ยว

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีการออกประกาศจัดจ้างขนย้ายรถดีเซลรางจากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 เพื่อนำตู้โดยสารดังกล่าวมาปรับปรุงและใช้งาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยระบุว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย และ บริษัท JR Hokkaido ในการส่งมอบให้กับประเทศไทยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่การรถไฟฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเท่านั้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสภาพตู้รถโดยสารในเบื้องต้นอยู่ในสภาพดี สามารถนำมาใช้งานได้ แม้จะเป็นตู้โดยสารที่ถูกปลดระวางในปี 2559 แต่ก็ได้รับการดูแล บำรุงรักษาเป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อการรถไฟฯ ได้รับตู้โดยสารดังกล่าวมา ก็จะเข้าไปตรวจสอบด้านความปลอดภัย และนำมาดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และระบบของการรถไฟฯ เบื้องต้น คาดว่าจะนำตู้โดยสารดังกล่าวมาใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ก่อนหน้านี้ การรถไฟฯ เคยได้รับตู้โดยสารรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น (บริษัท JR-West) เพื่อใช้ในกิจการรถไฟมาแล้ว โดยนำมาปรับปรุงและดัดแปลงเป็นรถโดยสาร และรถจัดเฉพาะ เช่น รถ SRT Prestige รถประชุมปรับอากาศ ฯลฯ ให้บริการแก่ประชาชน โดยสามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างการรถไฟฯ กับ JR Hokkaido ในความร่วมมือด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาระบบราง การพัฒนาบุคลากร และเทคโนโลยี เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับการรถไฟฯ ซึ่งความร่วมมือระหว่างการรถไฟฯ และ JR Hokkaido ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการมอบตู้โดยสารเป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกได้ส่งมาให้ประเทศไทยแล้ว จำนวน 10 ตู้ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 และอยู่ระหว่างกระบวนการปรับปรุงดัดแปลงเพื่อใช้สำหรับเป็นขบวนรถด้านการท่องเที่ยวแล้ว 

โดยการออกแบบนั้น ใน 1 ขบวน มีตู้โดยสาร 5 คัน แบ่งเป็นรถนั่งทั่วไป 3 คัน รถสำหรับครอบครัว 1 คัน และรถพักผ่อน 1 คัน ซึ่งการออกแบบและสีสันจะเป็นไปตามลักษณะของเส้นทางที่ให้บริการของรถไฟท่องเที่ยวขบวนนั้น ๆ โดยสามารถนำออกให้บริการได้ในช่วงประมาณปี 2565 พร้อมยืนยันการประกาศจัดซื้อจัดจ้างขนย้ายตู้โดยสารดังกล่าว เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของการรถไฟฯ ทุกประการ


Cr. ภาพ https://www.facebook.com/photo?fbid=4036375893124979&set=pcb.4036376136458288


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top