Monday, 1 July 2024
NEWS FEED

ห้ามลืม!! "ปุ่มเพิ่มเงิน" New Click คนละครึ่งเฟส 2 ย้ำกลุ่มสิทธิ์เดิมเฟสแรก "คลิกเพิ่ม" ได้เติมคนละ 500 บาท ส่วนสิทธิ์ใหม่หมดห่วง...เงินเข้าอัตโนมัติ

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ โดยอนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการซึ่งประกอบไปด้วย

1.) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มี บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2

2.) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2

โดยเฉพาะกับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 หรือเฟส 2 นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานรากต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องต่อไปในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ซึ่งทางรัฐเองจะช่วยอุ้มเรื่องค่าใช้จ่ายด้านอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ในสัดส่วน 50% ของราคาสินค้าแต่ไม่เกินคนละ 150 บาทต่อวันเหมือนเดิม

สำหรับในส่วนของเฟส 2 นั้น แบ่งกลุ่มผู้สามารถใช้สิทธิ์ได้ ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสิทธิ์เดิม ไม่เกิน 10 ล้านคน ซึ่งจะได้รับเงินเพิ่มอีกคนละ 500 บาท จากเดิม 3,000บาท ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2564 และผู้ลงทะเบียนใหม่ไม่เกิน 5 ล้านคน จะได้รับเงิน 3,500 บาททันที ซึ่งทั้งสองกลุ่มสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2564 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564

แต่เรื่องนี้มีข้อแม้นิดหน่อย ตรงกลุ่มผู้ที่มีสิทธิ์เดิม 10 ล้านคน ที่อยากเข้าร่วมโครงการระยะ 2 หากต้องการ 500 บาทเพิ่มจะต้องกดปุ่มเพิ่มเงินที่จะเตรียมไว้ในแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" เพื่อให้ยืนยันเข้าโครงการเฟส 2 ต่อ ถึงจะได้เงินเพิ่มเข้าไปอีก 500 บาท เป็น 3,500 บาท (เติมเงินเข้าไปเลยง่ายกว่าไหมเนี่ย?) ขณะที่กลุ่มผู้ลงทะเบียนใหม่ 5 ล้านคนจะได้ 3,500 บาทอัตโนมัติ

ส่วนใครโดนตัดสิทธิ์ในระยะแรกก็ไม่ต้องเสียใจไป เฟส 2 นี้เขาก็เปิดโอกาสให้ได้ลงทะเบียนกัน แต่ข้อย้ำกันสักหน่อยถ้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งแล้วจะใช้โครงการช้อปดีมีคืนไม่ได้แล้วนะจะบอกให้

ตามคาด!! "จีน" ยืนหนึ่งท่องเที่ยวไทย หลังทัวร์ล็อตแรกเข้าสยาม 1,201 คน

ปิดประเทศเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ไปนาน ตอนนี้ประเทศไทยก็ได้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนปรนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเสียที ซึ่งจุดนี้ถือเป็นสัญญาณดีที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความมั่นใจในการควบคุมโควิด - 19 ได้และพร้อมกลับมาฟื้นฟูการท่องเที่ยวอีกครั้ง

ทว่าตามหากพิจารณาถึงสถานการณ์ตั้งแต่เดือน มกราคม - ตุลาคม พ.ศ.2563 พบว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ซึ่งลดลงไปกว่า 25.89 ล้านคนหรือติดลบกว่า 79.46% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นรายได้อยู่ที่ 3.32 แสนล้านบาท ลดลง 1.21 ล้านล้านบาท หรือ ติดลบ 78.43% โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมรายได้จากนักท่องเที่ยวในช่วงเปิดใหม่เดือนตุลาคม รวมถึงข้อมูลมูลค่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตกค้างในประเทศไทย

สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวเดือนตุลาคม พ.ศ.2563 ที่เปิดให้กลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนปรนเข้ามาในไทยนั้น ทาง พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เผยว่า

"ตัวเลขของกลุ่มวีซ่าประเภทพิเศษ หรือสเปเชี่ยล ทัวร์ริส วีซ่า, ผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์อีลิทและกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยนั้นมีอยู่ 1,201 คน โดยถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนติดลบอยู่ 99.96% เหตุเพราะมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด - 19 ทำให้การเดินทางมีอุปสรรคค่อนข้างมาก ทั้งจำนวนเที่ยวบินที่ลดลงมาก การกักตัว 14วัน และการห้ามเดินทางหรือการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ"

ทั้งนี้หากพิจารณาถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนปรนจะแยกเป็น กลุ่มสเปเชี่ยล ทัวร์ริส วีซ่า 272 คน / กลุ่มผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์อีลิท159 คน และนักท่องเที่ยวกลุ่มที่รัฐผ่อนปรนให้ 770 คน

โดย 10 อันดับของประเทศที่เดินทางเข้ามามากที่สุดยังคงเป็น ประเทศจีน 471 คน รองลงมาคือ กัมพูชา 231คน และคูเวต 89 คน ที่เหลือคือ ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง, ฝรั่งเศส และไต้หวัน

ศบค.มท. สั่งเข้ม มาตรการควบคุมโควิด-19 ต้องข้น! หน่วยปฏิบัติท้องถิ่นต้อง "สกัด - ติดตาม" ผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด

แอบคิดว่าปีใหม่นี้จะได้มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตและเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็เกิดปัญหาใหญ่อย่างกลุ่มคนกลับเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่พร้อมพกโรคโควิด - 19 กลับมาด้วย

ทั้งนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย หรือ ศบค.มท. ได้เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีคำสั่งให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด - 19 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้จังหวัดต่าง ๆ แจ้งหน่วยปฏิบัติ ผู้ปกครองท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ด้าน ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ให้ดำเนินการตาม 3 มาตรการ ได้แก่

1.) ประสานแจ้งหน่วยปฏิบัติในพื้นที่สกัดและติดตามการลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรค โดยเฉพาะการลักลอบเข้าตามเส้นทางธรรมชาติ

2.) แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครในพื้นที่ เป็นหูเป็นตาและเฝ้าสังเกต นอกจากนั้นยังใช้การวางข่ายข่าว โดยการจัดตั้งแหล่งข่าว และอาจมีการตั้งด่านคัดกรองโรคสำหรับบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยถ้ามีการตรวจพบจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

3.) กำชับไม่ให้ข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ละเลยหน้าที่หรือรู้เห็นเป็นใจกับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง

ก็ได้แต่หวังว่ามาตราการต่าง ๆ ที่รัฐกำชับออกไปจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเจ้าโควิด - 19 ได้ เพราะตอนนี้เชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องหลาย ๆ คนก็คงหวั่นใจว่า โควิด - 19 จะมีระลอกสองหรือไม่ เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับมาตราการของทางรัฐที่น่าจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และคนไทยจะได้กลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติในเร็ววัน

ฮาวานา ซินโดรม ทำสหรัฐผวา!

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว เกี่ยวกับอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคลากร รวมถึงตัวท่านทูตสหรัฐประจำกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ที่มักเกิดอาการปวดศีรษะ วิเวียน หน้ามืด ตาลาย ถึงขนาดคลื่นไส้อาเจียนก็มี

ซึ่งไม่ใช่มีแค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ในสถานทูตสหรัฐเท่านั้น แต่ที่สถานทูตแคนาดา ที่กรุงฮาวานา ก็มีเจ้าหน้าที่เกิดอาการเช่นนี้เหมือนกัน จึงเรียกอาการเหล่านี้รวมๆกันว่าเป็น Havana Syndrome หรือ โรคฮาวานา

Havana Syndrome เริ่มมีกระแสข่าวลือมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 ที่สหรัฐยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่ก็ตั้งข้อสงสัยไว้แล้วว่าคงโดนคิวบาวางยาแน่ ๆ

ต่อมามีรายงานว่าเกิดอาการ Havana Syndrome กับเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐในกวางโจว ประเทศจีนเช่นเดียวกัน

นั่นไง คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ!!!

หลังจากที่ค้นหาสาเหตุมาเป็นปี ในที่สุด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ National Academies of Sciences ในสหรัฐได้ออกมายืนยันว่า อาการดังกล่าวเกิดจากผลข้างเคียงที่ร่างกายได้รับคลื่นวิทยุความถี่สูง แบบที่เคยมีการใช้ในสหภาพโซเวียตช่วงยุคสงครามเย็นเมื่อ 50 กว่าปีก่อน แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นคลื่นวิทยุที่เกิดจากการโจมตีโดยเจตนา หรือเป็นคลื่นที่ปล่อยจากอาวุธทางทหารหรือเปล่า

ประเด็นเรื่อง Havana Syndrome ทำให้สหรัฐมีปัญหากับรัฐบาลคิวบามาหลายปี โดยสหรัฐกล่าวหาว่ารัฐบาลคิวบาโจมตีสถานทูตสหรัฐด้วยคลื่นเสียงปริศนา แต่ถึงจะยังไม่รู้ที่มา รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมพ์ ก็มีการไล่ทูตคิวบาที่ประจำอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กลับทันที ถึง 2 คน เมื่อปี ค.ศ.2017 เป็นการตอบโต้ แม้ว่ารัฐบาลคิวบาจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็ตาม

แต่เมื่อมีการยืนยันว่า เกิดจากคลื่นวิทยุความถี่สูงที่มารบกวนการทำงานของประสาท ยิงมาจากที่ไหน ด้วยอะไร ไม่อาจรู้ได้ แต่ทำให้เกิดอาการโรคฮาวานาได้

ดังนั้น Havana Syndrome จึงกลายเป็นความหวาดระแวงรูปแบบใหม่ ที่เจ้าหน้าที่สหรัฐอาจต้องเจอเมื่อต้องไปประจำในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีเรื่องมีราวกับสหรัฐเป็นพิเศษ

และหากเจ้าหน้าที่สหรัฐไปเยือนประเทศไหนก็ตามแล้วเกิดอาการคลื่นไส้ วิงเวียน หูตาลายขึ้นมา แล้วตั้งข้อสงสัยว่าเป็น Havana Syndrome ขึ้นมา คงสืบกันให้วุ่น แถมมองหน้ากันลำบากเป็นแน่แท้


แหล่งข่าว

The Guardian

https://www.theguardian.com/us-news/2020/dec/06/havana-syndrome-directed-radio-frequency-likely-cause-of-illness-report

https://www.theguardian.com/world/2017/aug/09/cuba-embassy-diplomats-expelled-washington

Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Havana_syndrome

ศูนย์วิจัยกสิกร...ชี้!! เม็ดเงินปีใหม่สะพัด 3 หมื่นล้าน

เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ทุกครั้ง บรรยากาศของการออกมาจับจ่ายใช้สอยจะเป็นภาพที่เห็นกันโดยปกติ เพียงแต่บรรยากาศในปีนี้อาจจะไม่คึกคักจากผลพวงของเศรษฐกิจที่ได้รับการกระทบจากโควิด-19

อย่างไรก็ตามจากแรงหนุนของภาครัฐในการกระตุ้นนโยบายด้านเศรษฐกิจหลาย ๆ ประเภทออกมา ก็เริ่มทำให้บรรยากาศการจับจ่ายของคนไทยเริ่มฟื้นตัวและเป็นอีกตัวแปรที่จะทำให้เม็ดเงินในช่วงปีใหม่นี้สะพัดมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท

รายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2564 คาดคนกรุงเทพฯจะมีการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2564 อยู่ที่ประมาณ 30,050 ล้านบาท ซึ่งจำนวนตัวเลขนี้จะมีความใกล้เคียงกับปีก่อนหน้านี้

เหตุผลเพราะแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะเจอกับปัญหาด้านกำลังซื้อ และบรรยากาศทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภคเองก็ยังอยากรับสิทธิประโยชน์ที่ช่วยลดหย่อนค่าใช้จ่ายจากภาครัฐอยู่

อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในช่วงปีใหม่ พ.ศ.2564 ของศูนย์วิจัยกสิกรนั้น เชื่ออีกว่า คนส่วนใหญ่จะลดงบฉลองปีใหม่จากปีที่แล้ว โดยกว่า 42.5% จะเลือกฉลองในกรุงเทพฯ เพราะต้องการหนีปัญหารถติดและเลี่ยงมาฉลองกันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาที่มีวันหยุดยาวแทนไปเลย

ส่วนเรื่องจับจ่ายจะมีการวางแผนกิจกรรมและการใช้จ่ายต่างๆ ในช่วงปีใหม่อย่างระมัดระวังมากขึ้น เช่น มีการทยอยใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ตั้งแต่ช่วงแคมเปญลดราคาอย่าง 11.11 และ 12.12 และใช้สิทธิ์การท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งเหล่านี้เป็นการใช้เงินอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด

ทั้งนี้ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเผยอีกว่า ค่าใช้จ่ายรวมในช่วงปีใหม่ พ.ศ.2564 หากไม่มีมาตรการกระตุ้นของรัฐใดๆ ไปมากกว่านี้ จะเฉลี่ยอยู่ที่ 5,300 บาทต่อคน เพราะคนเริ่มกังวลกับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่

ฟ้องแพ่ง!! "โรงแรม - ร้านค้า" โกง!! หลังผู้ประกอบการหัวใสใส่ "คนละครึ่ง - เราเที่ยวด้วยกัน"

ช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่เพราะโควิด-19 ทางรัฐเองได้ออกมาตราการมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น "เราเที่ยวด้วยกัน" และ "คนละครึ่ง" มาช่วยทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ แต่ก็ไม่วายมีผู้ประกอบหัวใสแอบทำเรื่องที่ไม่สมควร

ล่าสุดมีกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม – ร้านค้าหัวใสที่เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของรัฐ แล้วแอบอัพราคาห้องพักและสินค้า เพื่อหวังกอบโกยรายได้เพิ่มจากโครงการเหล่านี้

งานนี้ ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมากล่าวถึงกรณีโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ฉวยโอกาสขึ้นราคาห้องพักว่า "เราได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้ส่งคนไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ยิ่งกว่านั้นยังมีมาตรการลงโทษด้วยการตัดออกจากโครงการและพิจารณา "ฟ้องทางแพ่ง" โดยก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่าเกิดการขายราคาห้องพักจากปกติ 1,800 บาท แต่อัพราคาสูงขึ้นไปถึง 7,500 บาท"

ทั้งนี้หากพบเจอหลักฐานได้อย่างชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อภาพใหญ่ของโครงการรัฐอย่างมาก ยุทธศักดิ์ จึงอยากขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แม้ว่าเงินที่นำมาใช้จะเป็น Co-Pay แต่อย่างไรนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเงินภาษี

ทางด้าน ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ กล่าวว่า "โครงการเราเที่ยวด้วยกัน หรือ คนละครึ่ง เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องการความร่วมมือเพื่อนำพาประเทศไทยทั้งหมด คนไทยทุกคน ทุกภาคส่วนในการช่วยกันนำพาประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้ ถ้าทราบว่ามีการฉวยโอกาสในลักษณะนี้ ขอให้รีบแจ้งเข้ามาให้ทางสภาพัฒน์ และกระทรวงการคลังทราบ และขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ถ้าทราบแล้วให้งดใช้บริการผู้ประกอบการและร้านค้าเหล่านั้น"

ทวงบังลังก์ ‘แชมป์ข้าว’ ในรอบ 4 ปี ข้าวหอมมะลิไทย ครองแชมป์สุดยอดข้าวโลก 2563

หลังจากเสียแชมป์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกไปให้เวียดนาม และกัมพูชา ล่าสุดไทยทวงบัลลังก์ข้าวที่ดีที่สุดในโลกกลับมาได้ในรอบ 4 ปี


จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ขณะนี้ข้าวหอมมะลิของไทย ได้รับรางวัล World’s Best Rice Award ประจำปี พ.ศ.2563 หรือ รางวัลข้าวที่ดีที่สุดในโลก จากเวทีการประชุมข้าวโลก หรือ World Rice Conference ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้จัดงานขึ้นในลักษณะของออนไลน์ วันที่ 1 – 3 ธันวาคม พ.ศ.2563
โดยรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ ถือเป็นผลงานร่วมกันของคนไทยทุกคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เกษตรกร โรงสี ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และรัฐบาล


ผลดีที่เกิดขึ้นจากการที่ไทยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดข้าวโลกครั้งนี้ จะเป็นผลดีต่อเกษตรกร และระบบการค้าข้าวของไทย อีกทั้งยังเป็นการยกระดับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพข้าวของไทยในตลาดโลก และการส่งออกข้าวของไทยต่อไปในอนาคต
สำหรับรางวัลนี้ยังถือเป็นการเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคมนี้อีกด้วย หลังจากพระองค์ทรงมีคุณูปการเป็นอย่างยิ่งกับวงการข้าวไทย และเป็นพระบิดาแห่งการวิจัยและการพัฒนาข้าวไทย


อีกทั้งยังเป็นการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ข้าวไทยปี พ.ศ.2563 - พ.ศ.2567 ที่มีการตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีต่อจากนี้ ประเทศไทยจะต้องเป็นผู้นำการผลิตการตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลกให้ได้

 

๙ คำที่พ่อสอน

9​ คำที่พ่อสอน
.
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top