Monday, 1 July 2024
NEWS FEED

รู้จัก​ 'จิมมี่ ไล' เจ้าพ่อสื่อฮ่องกง เบื้องหลังแรงสนับสนุนม็อบ​ 'โจชัว​ หว่อง'​ เตรียมขึ้นศาลหลังติดชนักข้อหาฉ้อโกง

จิมมี่ ไล เจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ชื่อดังของฮ่องกง  Apple Daily ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญของกลุ่มม๊อบชาวฮ่องกง ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกง พร้อมกับผู้บริหารสำนักพิมพ์อีก 2 คน ได้แก่ รอยสัน โชว และ หว่อง ไวก๊อก เนื่องจากใช้พื้นที่สำนักงาน ผิดวัตถุประสงค์การเช่า 

หลังจากที่ถูกตั้งข้อหา จิมมี่ ไล ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับคดีโดยอ้างว่า ยังอยู่ในกระบวนการต่อสู้ทางคดีในชั้นศาล 

จิมมี่ ไล ถือว่าเป็นเจ้าพ่อสื่อที่ทรงอิทธิพลทางความคิดคนหนึ่งในเกาะฮ่องกง หนังสือพิมพ์ Apple Daily ของเขามียอดพิมพ์ต่อวันสูงถึง 2 แสนฉบับ นับเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดพิมพ์สูงเป็นอันดับ 2 ของฮ่องกง และเป็นสื่อที่ให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮ่องกงอย่างเปิดเผย 

ในช่วงที่มีการประกาศใช้กฏหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ในเกาะฮ่องกง จิมมี ไล อยู่ในกลุ่ม 10 แกนนำที่โดนจับกุมด้วยข้อหาสมคบกับต่างชาติในการก่อความไม่สงบในฮ่องกง และถูกคัดค้านการประกันตัว 

แต่สำหรับคดีที่โคนตั้งข้อหานี้ ยังไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายความมั่นคงโดยตรง นั่นหมายความว่านี่เป็นแค่คดีเรียกน้ำย่อย ที่รอสำนวนจากคดีใหญ่ที่น่าจะตามมาในเร็ว ๆ นี้ 

คดีของจิมมี่ ไล ตามหลังคดีของ 3 แกนนำคนสำคัญของกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮ่องกงเพียงไม่กี่วัน ได้แก่ อีวาน ลัม  แอ็กเนส โชว และ โจชัว หว่อง ที่ต่างรับโทษจำคุกกันไปแล้วตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 1 ปี ที่ยังมีคดีตามหลังมาอีกหลายกระทง และคาดว่าน่าจะติดกันยาวกว่านั้น

ดังนั้นจึงคาดเดาว่า คดีของจิมมี่ ไล และแกนนำคนสำคัญ นับจากนี้ ที่จะเริ่มถึงคิวของคดีที่เกี่ยวกับกฏหมายความมั่นคง ก็คงหนีไม่พ้นโทษจำคุกเช่นเดียวกัน แต่จะยาวนานเท่าไหร่นั้น ยังไม่มีใครตอบได้ 

และน่าจะกลายเป็นประเด็นที่สร้างความอึมครึมกันไปอีกนานระหว่างชาวฮ่องกง และรัฐบาลจีน ที่ต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมากทั้ง 2 ด้านเพื่อผ่านวิกฤติทางสังคมครั้งนี้ แม้จะอยู่ในจุดยืนที่ต่างกันก็ตาม


ที่มา :
หรรสาระ​ By​ Jeans Aroonrat

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/hong-kong-media-tycoon-jimmy-lai-charged-with-fraud-13690616

https://www.theguardian.com/world/2020/dec/03/hong-kong-media-tycoon-and-pro-democracy-figure-jimmy-lai-charged-with

“ศรีสุวรรณ” ย้ำรัฐบาลต้องฟังเสียง ประชาชน หลังชาวจะนะ ปักหลักชุมนุมรอคำตอบยกเลิกโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏว่า มีประชาชนชาวจะนะ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาและเครือข่าย เดินทางมาปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ หน้าทำเนียบรัฐบาลและถูกให้ย้ายไปอยู่ริมฟุตบาทถนนพระราม 5 เลียบคลองเปรมประชากรเพื่อรอคำตอบจากรัฐบาลเพื่อขอให้ยกเลิกโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

โครงการดังกล่าว เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ ครม. ปี 2562 พยายามที่จะผลักดันนิคมอุสาหกรรมจะนะให้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและอุตสาหกรรมหนัก-เบา รวมทั้งการเปลี่ยนพื้นที่ตามผังเมืองจากเดิมเป็นสีเขียวเป็นสีม่วง และการที่รัฐบาลกำหนดให้ ศอ.บต เป็นกลไกหลักในการผลักดันโครงการดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการผิดฝา ผิดตัว ซึ่งทำให้กลไกทางกฎหมายผิดเพี้ยนไปเสียสิ้น 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นกิจการของเอกชนมิใช่ของรัฐ และต้องใช้เนื้อที่กว่า 16,700 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล คือ ตำบลสะกอม ตำบลตลิ่งชัน และตำบลนาทับ ถือได้ว่าเป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้

ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับประชาชนในพื้นที่ในหลายมิติ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม การกัดเซาะชายฝั่งทะเล มลพิษ สูญเสียแหล่งจับสัตว์น้ำของชาวประมงพื้นบ้าน เสียพื้นที่เพาะปลูก รวมถึงสังคมวัฒนธรรมของชาวไทยพุทธ และชุมชนชาวมุสลิมที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่สามารถหวลกลับมาได้ ดังเช่น กรณีมาบตาพุด เป็นตัวอย่างที่เห็นกันได้ชัด ๆ การผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ส่อไปในทางที่ขัดต่อกฎหมายหลายประการ มีการเร่งรีบในการผลักดันอย่างน่าเกลียด โดยไม่ฟังเสียงประชาชนในพื้นที่และประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากร

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า “การปรากฏตัวของตัวแทนประชาชนชาวจะนะ ที่ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อหยุดยั้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะก้าวหน้าแห่งอนาคต คือ ความกล้าหาญในทวงคืนสิทธิชุมชน ทวงคืนความเป็นธรรมของพวกเขาและชุมชน 


“การปักหลักรอคำตอบของประชาชนชาวจะนะโดยสงบสันติ เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐบาลที่อ้างว่าเข้าใจและฟังเสียงของประชาชนมาโดยตลอด จะต้องเงี่ยหูรับฟังเจตจำนงของชาวจะนะเหล่านั้น ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และจะต้องมีคำตอบที่งดงามให้กับชาวจะนะ ในการหวลกลับคืนบ้านเกิดในวันข้างหน้า หาใช่ใช้วิธีการอันไม่เหมาะสมในการยุติการชุมนุมโดยสงบของพี่น้องชาวจะนะ


“รัฐบาลที่ดี ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ เป็นโครงการที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง เป็นโครงการจะละเมิดทำลายทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อมโดยไม่สามารถเรียกฟื้นเอากลับคืนมาได้ หากรัฐบาลจะอ้างการพัฒนาจะต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องชอบธรรม เคารพต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ จึงจะชอบ”

“เทพไท” ชี้ความแตกแยกร้าวลึกกว่าอดีต แนะรัฐบาลจัดการผู้ดึงเบื้องสูงมาเป็นคู่ขัดแย้ง

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบรรยากาศทางการเมืองของประเทศในขณะนี้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกในสังคมกำลังร้าวลึกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา  ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนระบอบทักษิณ กับกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณ 

จนเกิดการชุมนุม หรือม็อบสีเสื้อขึ้นมา และขยายผลมาเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จากกลุ่ม กปปส. จนมีการยุบสภา และบอยคอตการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง จนบ้านเมืองเข้าสู่ทางตัน และมีการรัฐประหารของ คสช. เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศในฐานะคนกลาง 

เพื่อต้องการให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติไม่มีความขัดแย้งใดๆต้องการสลายสีเสื้อทางการเมือง จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ปกครองประเทศ และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน จึงได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ คสช. ยกร่างขึ้นมาเอง จนเป็นที่มาของการสืบอำนาจ และเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งในปัจจุบันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกำลังลุกลามไปอย่างกว้างขวาง 

มีการดึงเอาสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมืองด้วย ซึ่งแตกต่างกับความขัดแย้งในอดีต ที่เกิดขึ้นระหว่าง ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มการเมือง2กลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบันเป็นความขัดแย้งที่พยายามจะดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งด้วย มีการเคลื่อนไหวยื่นข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน และมีการเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการใช้มาตรา 112 ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ก้าวข้ามรัฐบาลในการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออก หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว 

นายเทพไท กล่าวอีกว่า “จึงขอให้รัฐบาลได้รีบตัดไฟแต่ต้นลม ตัดตอนความขัดแย้งไม่ให้ลุกลามไปถึงสถาบันเบื้องสูง และต้องไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแอบอ้างดึงสถาบันเบื้องสูง มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง และห้ามไม่ให้มีการจาบจ้วง ก้าวล่วงถึงสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย  ถ้าหากรัฐบาลไม่รีบตัดตอนหรือแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง จำกัดให้เป็นแค่คู่ขัดแย้งกับรัฐบาล ก็จะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน อาจจะพัฒนาไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นได้ แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
 

พบแท่งประหลาดผุดขึ้นในหลายประเทศ ลือหนักว่าเป็นเสาเอเลี่ยนจากนอกโลก สุดท้ายเกมพลิก คาดว่าเป็นโฆษณาสินค้าบางอย่าง

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ที่สร้างความฉงนให้คนทั้งโลก เมื่อเกิดแท่งเสาโลหะทรงประหลาดและยังไม่ทราบที่มา ผุดขึ้นในหลายประเทศ และที่แปลกใจก็คือหลังจากที่มีข่าวว่าค้นพบแท่งเสาประหลาด หลังจากนั้นไม่กี่วัน มันก็หายไป

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ อยู่ที่กลางทะเลทรายในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา ทีมนักสำรวจธรรมชาติกำลังบินเฮลิคอปเตอร์สำรวจเขตพื้นที่ในทะเลทราย ก็มาพบเสาโลหะสีเงิน สูงราว ๆ 3 เมตร ตั้งอยู่ในหุบเขากลางทะเลทราย ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งเสาทรงประหลาดนี้ ชวนให้นึกถึงเสาเอเลี่ยนจากหนังไซไฟเรื่องดัง 2001: A Space Odyssey ที่ไม่ทราบทั้งที่มา และวัตถุประสงค์ว่าตั้งไว้เพื่ออะไร

แต่เสาประหลาดตั้งอยู่เพียงไม่กี่วัน ก็หายไป แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้พบเสาลักษณะเดียวกันนี้ ที่ Batca Doamnei Hill ในประเทศโรมาเนีย และพบอีกต้นที่เมือง Atascadero รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คล้ายกับเสาที่พบในยูทาห์ คือตั้งอยู่ไม่กี่วันก็หายไป

ห่างไปอีกไม่กี่วัน ก็มีผู้พบเสาเอเลี่ยนผุดขึ้นอีกหลายที่ ทั้งในอังกฤษ เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ สเปน โคลัมเบีย จนตอนนี้ผู้คนเริ่มสนใจว่าเจ้าเสาประหลาดนี้จะไปโผล่ต่อที่ไหน พร้อมกับทฤษฎีลี้ลับที่ผุดขึ้นมากมาย

แต่มาวันนี้ ก็มีผู้ที่ออกมาประกาศตัวว่า เสาโลหะประหลาดนี้เป็นผลงานของเขาเอง

บุคคลผู้อาจหาญชาญชัยคนนั้นมีชื่อว่า นายแมทตี้ โม เจ้าของสตูดิโอ The Most Famous Artist ตั้งอยู่ในเมือง ซานตา เฟ รัฐนิว เม็กซิโก ได้ออกมาโพสต์ภาพที่ทีมเขากำลังผลิตเสาโลหะ รูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายกับเสาที่กำลังเป็นข่าวดังใน Instragram ของร้าน แถมประกาศขายด้วย ในราคาต้นละ 45,000 เหรียญ ผ่านเว็บไซท์รับงานที่ www.monolith-at-a-service.com

แต่เมื่อมีสำนักข่าวขอติดต่อสัมภาษณ์ เจ้าตัวก็ปฏิเสธที่จะออกอากาศ และบอกว่าเสาต้นแรกที่พบในยูทาห์ไม่ใช่ผลงานของเขา

สำนักข่าวบางแห่งก็ว่า น่าจะเป็นการเล่นตลกเพื่อหวังกระแสด้านการตลาดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เกิดจุดสนใจก่อนปล่อยสินค้าจริง

บางคนก็ว่า น่าจะเป็นแคมเปญล้อเลียนเสียดสีสังคม ที่เปรียบมนุษย์เราไม่ต่างจากฝูงลิง แบบในหนังเรื่อง 2001: A Space Odyssey

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เสาโลหะต้นนี้ก็กลายเป็นทั้งจุดสนใจว่า เป้าหมายของผู้สร้างนั้นคืออะไร และต้องการคำตอบอะไรจากสังคม หรือจะยังคงปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปริศนาคาใจชาวโลกต่อไป ให้เราได้สืบค้นหาประหนึ่งหลักฐานของการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาวก็เป็นได้


แหล่งข่าว

https://www.newsweek.com/how-many-monoliths-every-location-mysterious-objects-appeared-1552834

https://www.independent.co.uk/news/world/why-monoliths-where-around-globe-b1767403.html

https://www.dailymail.co.uk/news/article-9022119/New-Mexico-artist-collective-claims-mysterious-steel-monoliths.html

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (12 ธันวาคม พ.ศ.2563)


ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 12 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,192 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 12 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,915 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 217 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 12 ราย เป็นสวีเดน 1ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย เยอรมัน 1 ราย บาห์เรน 7 ราย อินเดีย 1 ราย คูเวต 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 357 ราย รักษาหายแล้ว 307 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.92 แสน เสียชีวิต 18,336 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 33 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 78,499 ราย รักษาหายแล้ว 66,236 ราย เสียชีวิต 396 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 82,813 ราย เสียชีวิต 2,201ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.46 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.09 แสน ราย เสียชีวิต 8,701 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,297 ราย รักษาหายแล้ว 58,188 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,385 ราย รักษาหายแล้ว 1,225 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

การบินจีนแนะ​ 'นางฟ้า'​ สวมผ้าอ้อมกัน Covid-19 หลังพบห้องน้ำบนเครื่อง​ พร้อมเป็นจุดเสี่ยงในการติด-แพร่เชื้อ

มีสุภาษิตสอนไว้ว่า “กันไว้ดีกว่าแก้” ป้องกันไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าจะให้แน่ ต้องคิดเผื่อไว้ถึง 2 ชั้นเพื่อความชัวร์ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้บริการผู้โดยสารเครื่องบินในยุค Covid-19 ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องดูแลผู้โดยสารแล้ว ลูกเรือต้องสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยที่สุด เพราะหากลูกเรือติด Covid อาจต้อง Lockdown กันหมดทั้งสายการบิน 

ดังนั้น เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา การบินพลเรือนของจีน หรือ Civil Aviation Administration of China (CAAC) ได้ออกมาตรการพิเศษ เป็นแนวทางปฏิบัติให้กับลูกเรือ และเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการในสายการบินจีน ในเที่ยวบินไป-กลับจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกับเที่ยวบินเหมาลำที่เดินทางไปยังเมืองที่มีความเสี่ยงสูง โดยวัดจากสถิติยอดผู้ติดเชื้อ  Covid-19 ตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป ต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน

โดยประกาศให้ลูกเรือ สจ๊วต แอร์โฮสเตส และเจ้าหน้าที่ต้องทำงานบนเครื่องบินโดยสาร จำเป็นต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน ทั้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ถุงมือ 2 ชั้น แว่นตากันลม ถุงสวมรองเท้า หมวก และเสื้อคลุมสำหรับใช้ครั้งเดียว 

และยังแนะนำให้ลูกเรือใส่ “ผ้าอ้อมอนามัย” เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำบนเครื่องที่เป็นจุดเสี่ยงในการติดเชื้อ Covid-19 

พออ่านถึง guideline หัวข้อนี้ ทุกคนก็ได้แต่ หือ? ต้องถึงขนาดนั้นเลยหรือ?

ถึงจะฟังดูเกินจริง แต่การติดเชื้อ Covid-19 จากการใช้ห้องน้ำก็มีความเป็นไปได้จริง เพราะมักเป็นสถานที่รโหฐานเดียวบนเครื่องบินที่ผู้โดยสารมักถอดหน้ากากขณะใช้งาน

ดังตัวอย่างเช่น เคสของผู้โดยสารหญิงที่เดินทางจากอิตาลี มาเกาหลีใต้ กับสายการบินหนึ่งในช่วงเดือนสิงหาคม ก่อนขึ้นเครื่องตรวจไม่พบเชื้อ และสวมหน้ากาก N95 ตลอดการเดินทาง แต่ไปถอดหน้ากากขณะใช้ห้องน้ำ จึงเป็นข้อสันนิษฐานว่าอาจติดเชื้อจากการใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้โดยสารอื่นที่ติดเชื้อมา

และยังพบว่า เครื่องบินเป็นจุดเสี่ยงในการติดเชื้อเป็นจำนวนมาก อย่างกรณีเที่ยวบินหนึ่งจากตะวันออกกลาง ไปไอร์แลนด์ช่วงเดือนตุลาคม ที่เป็นไฟลท์ยาว 7 ชั่วโมง แม้จะมีผู้โดยสารไม่เต็มลำ เพียง 49 คน แต่ปรากฏว่าพบผู้โดยสารติดเชื้อเป็นจำนวนมากถึง 13 คนหลังถึงที่หมาย ที่หลายคนมีผลตรวจว่าปลอดเชื้อก่อนขึ้นเครื่อง และยังสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทางทุกคน 

ดังนั้น การเดินทางบนเครื่องบินเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงจริงๆ ยิ่งลูกเรือ แอร์โฮสเตสที่ใกล้ชิดผู้โดยสาร และต้องเคลียร์ที่นั่งผู้โดยสาร ดูแลความสะอาดเรียบร้อยก่อนการเดินทางเที่ยวต่อไปยิ่งเสี่ยงมาก ทางจีนจึงจำเป็นต้องมีประกาศมาตรการพิเศษ ที่รวมถึงการแนะนำให้สวมผ้าอ้อมอนามัย เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำบนเครื่อง เพื่อความปลอดภัยของลูกเรือ

แต่ข่าวดีก็คือ ลูกเรืออาจไม่จำเป็นต้องสวมผ้าอ้อมอนามัยกันตลอดไป จนกลายเป็น New normal เพราะตอนนี้บางสายการบินอย่าง ANA ของญี่ปุ่นกำลังพัฒนาห้องน้ำผู้โดยสารแบบใหม่ ที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสอุปกรณ์ใดๆเลย หรือเครื่องโบอิ้งกำลังยื่นขอรับรองสิทธิบัตร ห้องน้ำปลอดเชื้อโรคด้วยแสง UV ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% ทุกครั้งที่มีการใช้งาน 

แต่ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีใช้ ก็ต้องใส่ผ้าอ้อมกันไปก่อน เพื่อความปลอดภัยนะจ๊ะ 

นายกเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าไร้คนขับสายสีทอง เที่ยวแรก 16 ธ.ค. 63 นี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานการเปิดบริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทอง 

โดยนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชน จะได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีกรุงธนบุรี ไปยังสถานีคลองสาน เพื่อเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีทอง เที่ยวปฐมฤกษ์ ในวันพุธ ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ 

ด้วยการพัฒนาระบบรถขนส่งมวลชนแบบไร้รอยต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทองนี้ ทำให้สามารถเชื่อมการเดินทางของประชาชนถึง 3 จังหวัด คือ ปทุมธานี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เพิ่มทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชน รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีทองยังเป็นระบบรถไฟฟ้าล้อยางไร้คนขับสายแรกของประเทศไทย ช่วยลดมลพิษและประหยัดพลังงานอีกด้วย

ทั้งนี้ การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพิ่มจำนวน 7 สถานี (สถานีพหลโยธิน59 สถานีสายหยุด สถานีสะพานใหม่ สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ สถานีแยกคปอ. และสถานีคูคต)

ซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย เป็นผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ประสบความสำเร็จ ในการเปิดให้บริการครบทุกสถานี  ตลอดเส้นทาง ทั้ง 59 สถานี รวมระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร คาดว่าเมื่อรวมกับเส้นทางที่เปิดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,500,000 เที่ยว/คนต่อวัน  

ขณะที่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นโครงการขนส่งมวลชนขนาดรอง ระยะที่ 1 มีระยะทาง 1.8 กิโลเมตร ประกอบด้วย 3 สถานี คือ กรุงธน - เจริญนคร - คลองสาน  เป็นระบบขนส่งมวลชนแบบนำทางอัตโนมัติ Automated Guideway Transit (AGT) หรือรถไฟฟ้าระบบ Automated People Mover (APM)  คาดการณ์ผู้โดยสาร 42,000 เที่ยวคน/วัน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบล้อ ราง รวมทั้งการเดินทางด้วยเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้ง 14 สาย ระยะทางกว่า 553.41 กิโลเมตร ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 9 เส้นทาง และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในทุกๆ ปี เช่น พ.ศ.2564 ได้แก่ สีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) สีแดงอ่อน (บางซื่อ–ตลิ่งชัน) ปี พ.ศ.2565 สีชมพู (แคราย-มีนบุรี)  สีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ ปี พ.ศ.2566  สีแดงเข้ม (รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต)  สีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) - สีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศิริราช) เป็นต้น  

"ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีการลงทุนพัฒนาระบบราง ทั้งรถไฟฟ้า​  รถไฟ​ทาง​คู่ รถไฟ​ทางสาย​ใหม่​ และ​รถ​ไฟความเร็ว​สูง​ที่อยู่รหว่างการดำเนินสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเป็นแกนหลักการเดินทางและขนส่งของประเทศ ยกระดับการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ ให้มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน" โฆษกรัฐบาลกล่าวย้ำ

จับตาค่าเงินบาท - ตลาดหุ้นไทย สัปดาห์หน้า

ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสำหรับสัปดาห์หน้า (14 - 18 ธันวาคม พ.ศ.2563) โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 29.80 - 30.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ 

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทของธปท. ผลการประชุมนโยบายการเงินของ Fed (15-16 ธ.ค.) เช่นเดียวกับกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนปัจจัยทางการเมืองและสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ 

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตาม ได้แก่  ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของเฟดนิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟด สาขาฟิลาเดลเฟียเดือนธ.ค. ข้อมูลยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม BOJ และ BOE การเจรจาข้อตกลง BREXIT ข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน รวมถึงดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ ยูโรโซนและอังกฤษเช่นกัน 


ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า จะมีแนวรับที่ 1,470 และ 1,455 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,500 และ 1,530 จุดตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ประเด็นการเมืองของไทย การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ สัญญาณตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน ตลอดจนประเด็น Brexit เช่นเดียวกับข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ

ควบรวม FWD - SCBLIFE เห็นผล เบี้ยรับใหม่แซงขึ้นเบอร์ 1

การระบาดของไวรัส COVID-19 แม้จะทำให้คนตื่นตัวในเรื่องการซื้อประกันชีวิตและสุขภาพมากขึ้น แต่เมื่อดูในภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิต กลับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน

เมื่อมองย้อนกลับไปในรอบเกือบ 10 ปี จะเห็นว่า ธุรกิจประกันชีวิต เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตที่ถดถอยเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา จากตัวเลขการเติบโตติดลบเป็นปีแรกที่ -2.63% และในปีนี้ยังมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โดนพิษ COVID-19 กระหน่ำซ้ำอีก

จากตัวเลขคาดการณ์โดยสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อต้นปีที่ประเมินว่าปี พ.ศ.2563 ธุรกิจประกันชีวิต จะไม่เติบโตจากปีที่แล้ว โดยตัวเลขจะอยู่ราว 6.1 แสนล้านบาท แต่จากรายงานสถิติเบี้ยประกันภัยล่าสุดของธุรกิจประกันชีวิต 10 เดือนแรก พบว่า เบี้ยรับรวมของธุรกิจประกันชีวิต มีทั้งสิ้น 477,220.39 ล้านบาท หรือ ติดลบ 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562

ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ของธุรกิจประกันชีวิตทั้งระบบ 10 เดือนแรก รวมทั้งสิ้น 127,411 ล้านบาท แยกเป็นเบี้ยประกันภัยปีแรก 82,477.43 ล้านบาท ติดลบ 3% และเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียว (ซิงเกิลพรีเมี่ยม)  44,934.12 ล้านบาท ติดลบถึง 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี พ.ศ.2562

แต่ที่น่าสนใจ คือ โดยบริษัทเอฟดับบลิวดีประกันชีวิต (FWD) มีเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่สูงสุดอันดับ 1 จำนวน 25,031.91 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 19.65%

ทั้งนี้ ข้อมูลเบี้ยประกันภัยข้างต้นของบริษัท เอฟดับบลิวดี (ภายใต้นิติบุคคลใหม่) มาจากการควบรวมระหว่างบริษัท ไทยพาณิชย์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (SCB LIFE) และบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)(FWD) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา จากเดิม SCB LIFE อยู่อันดับ 4 และ FWD อยู่อันดับ 6 ณ สิ้นปี 2562

การขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในส่วนของเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ของ เอฟดับบลิวดี ดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกที่มีบริษัทอื่น นอกจากเอไอเอ และเมืองไทยประกันชีวิต ที่สามารถสอดแทรกขึ้นมาได้

โดย 5 อันดับแรกของธุรกิจประกันชีวิต ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่สูงสุด 10 เดือนแรก ปี พ.ศ.2563 ประกอบด้วย

อันดับ 1 เอฟดับบลิวดี จำนวน 25,031.91 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 19.65%

อันดับ 2 เอไอเอ จำนวน 21,953.31ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 17.23%

อันดับ 3 เมืองไทยฯ จำนวน 17,104.07 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 13.42%

อันดับ 4 ไทยประกันชีวิต จำนวน 16,324.49 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 12.81%

อันดับ 5 กรุงไทย-แอกซ่า จำนวน 9,616.04 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 7.55%

ส่วน 5 อันดับแรกที่มีเบี้ยรับรวมสูงสุด

อันดับ 1 เอไอเอ จำนวน 111,990.54 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 23.47%

อันดับ 2 ไทยประกันชีวิต จำนวน 69,899.96 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 19.65%

อันดับ 3 เอฟดับบลิวดี จำนวน 67,337.85 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 14.11%

อันดับ 4 เมืองไทยฯ จำนวน 60,239.38 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 12.62%

อันดับ 5 กรุงไทย แอกซ่า จำนวน 44,078.34 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 9.24%

ทั้งนี้ ต้องติดตามดูว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นช่วงที่ธุรกิจประกันชีวิตทำยอดขายได้สูงสุดในรอบปี จะช่วยทำให้ตัวเลขธุรกิจประกันชีวิตติดลบได้น้อยกว่า 3% หรือไม่ และเอฟดับบลิวดี จะยังสามารถเข้าป้ายเป็นอันดับ 1 ในแง่เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์หรือไม่ อีกไม่นานคงได้รู้กัน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (11 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 11 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,180 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 15 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,903 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 217 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 11 ราย เป็นสวีเดน 1ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย โปรตุเกส 1 ราย เกาหลีใต้ 1ราย บาห์เรน 2 ราย ซาอุดีอาระเบีย 2ราย เมียนมา 3 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 147 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 356 ราย รักษาหายแล้ว 307 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.93 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.87 แสน เสียชีวิต 18,171 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 28 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 76,265 ราย รักษาหายแล้ว 65,124 ราย เสียชีวิต 393 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.03 แสน ราย รักษาหายแล้ว 81,715 ราย เสียชีวิต 2,174 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.46 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.09 แสน ราย เสียชีวิต 8,701 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,297 ราย รักษาหายแล้ว 58,188 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,385 ราย รักษาหายแล้ว1,225 ราย เสียชีวิต 35 ราย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top