Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

'รัฐบาลสหรัฐฯ' ล้างหนี้ 'กยศ.' คนละ 3 แสน เพิ่มพื้นที่หายใจครอบครัวชั้นกลาง-แรงงาน

(25 ส.ค. 65) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศเมื่อวันพุธ ปลดหนี้เพื่อการกู้ยืมทางการศึกษา เป็นวงเงินสูงสุด 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 359,890 บาท) ให้เป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้ที่มีความเดือดร้อนทางการเงิน ซึ่งจะมีเกณฑ์พิจารณา คือการเป็นผู้มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 125,000 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 4.49 ล้านบาท) หรือมีรายได้ครัวเรือนต่อปีไม่เกิน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.9 ล้านบาท)

ปัจจุบัน ในสหรัฐฯ มีชาวอเมริกันเป็นหนี้ กยศ.อยู่ประมาณ 43 ล้านคน รวมเป็นเงินถึง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ โดย 1 ใน 5 ของจำนวนนี้เป็นหนี้ไม่ถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

ประธานาธิบดี ไบเดน กล่าวที่ทำเนียบขาวในวันพุธ ระบุว่าแผนการของเขาจะทำให้ครอบครัวชั้นกลางและชั้นแรงงานมีพื้นที่หายใจมากขึ้น “ภาระมันหนักหนามากถึงขั้นที่คุณเรียนจบไปแล้ว คุณอาจจะยังไม่สามารถเข้าถึงการใช้ชีวิตของคนชั้นกลาง ที่ครั้งหนึ่งวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีเคยให้ได้” ไบเดนเสริมด้วยว่า 1 ใน 3 ของผู้กู้ กยศ. มีหนี้แต่ไม่มีปริญญา

 'ผบ.ทร.' ร่วมประชุม ผบ.ทร.อาเซียน ณ เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เพื่อสร้างความมั่นคงแข็งแรง ของกองทัพเรืออาเซียน

พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. และคณะ เข้าร่วมการประชุม ผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน ครั้งที่ 16 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในห้วง 21-23 สิงหาคม 2565 ตามคำเชิญ ของ ทร.อินโดนีเซีย ในฐานะเจ้าภาพ  

โดยในการประชุม ได้มีการบรรยายสถานการณ์ ความมั่นคงทางทะเลในภูมิภาค ซึ่งจากสถิติเห็นได้ชัดว่าภัยคุกคามทางทะเลมีจำนวนมากขึ้น รวมถึงได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่าง ผบ.ทร. ประเทศต่างๆ ซึ่งในภาพรวม เห็นว่า กองทัพเรืออาเซียน ควรจะมีความร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ในการนี้ ได้มีการรายงานผลการปฏิบัติต่างๆ ในรอบปี รวมถึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน จัดทำ Road map ทร.อาเซียน ในวงรอบ 8 ปี (ปี 67- 75) เพื่อสร้างความมั่นคงแข็งแรง ของกองทัพเรืออาเซียนในอนาคต อย่างต่อเนื่อง  

การประชุมในครั้งนี้ พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร.ได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายจากภัยคุกคามทางทะเล และอิทธิพลของประเทศต่างๆ ต่ออาเซียน และเน้นย้ำการสร้างความเข้มแข็ง ในกรอบของการไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Mutual thrust) บนผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual benefit) และการยอมรับนับถือซื่งกันและกัน (Mutual respect) และเน้นย้ำว่า "จะไม่มีชาติใดปลอดภัย หากมีชาติใดชาติหนึ่งไม่ปลอดภัย "

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งปล่อยขบวนคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภคมูลค่ากว่า 12.3 ล้านบาท เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี2565 โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี

วันนี้ (วันที่ 25 สิงหาคม 2565 เวลา 08.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีปล่อยคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภคแจกจ่ายชุดข้าวสารพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา บรรจุกระเป๋าผ้าดิบมูลนิธิฯ  ออกแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการฯ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ  คณะกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับและร่วมในพิธี  พร้อมด้วย  นายสัมฤทธิ์  สุมาลี ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นายฉัตรชัย อังสุเชษฐานนท์ หัวหน้าฝ่ายปกครอง เขตสาทร พันตำรวจเอก มนัส รุ่งนาค ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 1 และ พันตำรวจเอกพนม เชื้อทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 2  อาสาสมัครกิตติมศักดิ์  อาสาสมัครศิลปิน อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวาน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า สำหรับประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2565 นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดเครื่องอุปโภคบริโภค ลงพื้นที่ออกแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา  ชลบุรี และ สมุทรสาคร และในวันนี้มูลนิธิฯ จัดได้พิธีปล่อยคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเพื่อเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาลงพื้นที่แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนทั่วทุกเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต)

โดยประสานงานกับสำนักงานเขต และหน่วยงานภาครัฐในภูมิภาคในการจัดเตรียมสถานที่และชุมชนในพื้นที่ในแต่ละจุด รวมถึงมาตรการการแจกจ่ายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) พร้อมทั้งสนับสนุนข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ มูลนิธิ/สมาคมจีน ประจำจังหวัดต่างๆ รวมการแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งสิ้น 4 จังหวัด รวมมูลค่าการแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค เนื่องในประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2565 มูลค่ากว่า 12.3 ล้านบาท

'นครบาล' เตรียมพร้อม มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยให้สังคมกรณีมีการชุมนุมฯ วันที่ 25 ส.ค. 2565

​'นครบาล' เตรียมพร้อม มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยให้สังคมกรณีมีการชุมนุมฯ วันที่ 25 ส.ค. 2565 จำนวน 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มพักค้างแรมมีจำนวน 1 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มสภาประชาชนแห่งชาติสภาประชาชนแห่งโลก บริเวณหน้าสถานทูตรัสเซีย กลุ่มผู้ชุมนุมฯ จุดอื่น ๆ มีจำนวน 4 กลุ่ม คือ

1) กลุ่มศิลปินเพลงเพื่อราษฎร บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เวลา 17.00 น.

2) กลุ่มWe Volunteer (WEVO) บริเวณสะพานลอยหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด เวลา 17.00 น.

3) กลุ่มพลเมืองโต้กลับ บริเวณหน้าศาลฎีกา เวลา 17.30 น.

และ 4) เฝ้าระวัง กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเครือข่ายทะลุแก๊ส บริเวณแยกดินแดง​  
​​สำหรับการปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2565 กลุ่มคนแดงปฏิวัติ  จำนวนประมาณ 100 คน นำโดย รวมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเวลา 14.00 น. และได้เดินทางไปสมทบทำกิจกรรม ร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมฯ ที่ปักหลักค้างคืนบริเวณแยกนางเลิ้ง เวลา 17.00 น. จากนั้นได้ยุติชุมนุมฯ เวลา 18.30 น. ​​ส่วนกลุ่ม ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร กลุ่มทะลุคุก 100% กลุ่มทะลุแก๊ส และแนวร่วม ประมาณ 20 คน รวมตัวบริเวณแยกนางเลิ้งมาตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 65 และทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเวลา 19.28 น. 

กลุ่มผู้ชุมนุมฯ ได้ร่วมกันปาถุงสีข้ามแนวรั้วกั้นลงพื้นถนน จากนั้น 20.00 น. ได้แยกย้ายออกจากพื้นที่
​​ต่อมาเวลา 21.18 น. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทะลุแก๊ส ประมาณ 10 คน ได้ไปรวมตัวกันที่แยกดินแดง จนกระทั่งเวลา 21.30 น. ได้ก่อเหตุจุดพลุและปาประทัดบริเวณดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนได้รับเบ็ดเจ็บที่นิ้วมือ จำนวน 1 ราย จึงได้ประสานรถกู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้ากระชับพื้นที่ และกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้แยกย้ายออกจากพื้นที่ไป​​ การดำเนินการทางกฎหมาย ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2563 จนถึงปัจจุบันมี คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมฯ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 848 คดี ขณะนี้ได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นและสั่งฟ้องไปแล้ว 497 คดี อยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวน 351 คดี

ตร. แนะนำ '3 ไม่' วิธีการป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการถูกแบล็คเมล์ออนไลน์

วันที่ 25 ส.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในปัจจุบัน มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการถูกข่มขู่ในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการถูกข่มขู่ในลักษณะของการแบล็คเมล์หรือรีดเอาทรัพย์ ซึ่งมักจะมีต้นเหตุมาจากการที่คนร้ายสามารถเข้าถึงหรือครอบครองข้อมูลที่เป็นภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอของเหยื่อ ซึ่งหากข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้เหยื่อได้รับความอับอาย ทำให้คนร้ายฉวยเอาโอกาสนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่เหยื่อให้ส่งมอบทรัพย์สิน ภาพถ่าย หรือคลิปวิดีโอไปให้กับคนร้าย หรือบางกรณีอาจขู่ให้เหยื่อยอมมามีเพศสัมพันธ์ด้วย แลกกับการที่จะไม่ปล่อยภาพและคลิปวิดีโอดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอแนะนำ หลัก “3 ไม่” ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้พี่น้องประชาชนตกเป็นเหยื่อของการแบล็คเมล์ออนไลน์ ดังนี้

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เป็นประธานพิธีปิดและมอบเกียรติบัตรโครงการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบ Smart Safety Zone 4.0 ของนักเรียนนายร้อยตำรวจ

วันนี้ (24 ส.ค. 65) เวลา 16.30 น. ณ สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธีปิดฝึกอบรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบ Smart Safety Zone 4.0 ตามโครงการวิจัย
เรื่อง สมาร์ท เซฟตี้ โซน เพื่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (Smart Safety Zone for the Safety of People’s Lives and Properties) รุ่นที่ 2      

โดยหลังจากที่นักเรียนนายร้อยตำรวจได้ผ่านการฝึกอบรมดังกล่าวเป็นเวลา 2 วัน เพิ่มทักษะในการนำเทคโนโลยีที่มีการติดตั้งเพิ่มเติมตามสถานีตำรวจที่เข้าร่วมโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการติดตามสืบสวนสอบสวนหรือด้านจราจร และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาอาชญากรรมในพื้นที่ และเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีระบบ Smart Safety Zone 4.0 ตามแนวความคิด “เมืองอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และมีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน

SCBS ล้มดีล!! ซื้อหุ้น 'บิทคับ ออนไลน์' 1.78 หมื่นลบ. หลัง 'บิทคับ' ยังเคลียร์ปัญหากับ กลต. ไม่ลงตัว

ไม่นานมานี้ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ได้ออกประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊กของบริษัท ระบุว่า...

ประกาศ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2565 เวลา 13.22 น.

สืบเนื่องจากประกาศของบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS เข้าทำสัญญาธุรกรรมซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด นั้น

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ทางบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้ดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยบริษัทฯ ได้ให้ความร่วมมืออย่างดีกับบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ และได้ทำการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงถึงความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีศักยภาพ และแสดงผลประกอบการอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา ตลอดจนนำเสนอแผนกลยุทธ์การดำเนินงานและพัฒนาธุรกิจในอนาคต

จากการสอบทานธุรกิจ ทางบริษัทผู้ซื้อ (SCBS) “ไม่พบข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญที่ไม่สามารถแก้ไขได้” อย่างไรก็ดีเนื่องจากบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ยังคงมีประเด็นคงค้างกับสำนักงาน กํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการธุรกรรมดังกล่าว บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบริษัทผู้ซื้อ (SCBS) จึงได้ตกลงร่วมกันที่จะยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ เพื่อให้บริษัทดำเนินการหาข้อสรุปในประเด็นต่าง ๆ ตามคำชี้แนะและสั่งการโดยคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป

บริษัทขอเรียนว่าการดำเนินงานและการประกอบธุรกิจของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด บริษัทยังคงเป็นผู้นำในตลาดศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยพร้อมมีทรัพยากรสำหรับการดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องตามแผนงานและยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้ และยังคงเดินหน้าต่อไปตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ เพื่อสร้างระบบนิเวศของตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีคุณภาพและประกอบธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล เพื่อให้บริการผู้ลงทุนอย่างโปร่งใสและสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมแก่ผู้คนในสังคมต่อไป

ขณะที่ด้าน บมจ.เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ในการประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 2 พ.ย.64 ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCB เข้าทำสัญญาซื้อหุ้น ในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Bitkub คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาทนั้น

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ และ SCBS ได้ร่วมกันดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ขายและ Bitkub โดยในระหว่างกระบวนการสอบทานธุรกิจ บริษัทฯ และ SCBS ได้เห็นศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้านของกลุ่ม Bitkub และเห็นโอกาสในการร่วมมือพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ Bitkub ในอีกหลายด้าน

'ครูมิกกี้' แนะ หากมีเงินให้ส่งลูกเรียนเอกชน-ตปท. ชี้!! รร.รัฐ ครูทำแต่เอกสาร - ไม่มีเวลาเตรียมสอน

'ครูมิกกี้' ระบายร่ายยาวเรื่องราวเกี่ยวกับเอกสาร SDQ ชี้ทำให้ครูไม่มีเวลาสอนหนังสือ ถึงมีก็ทำไม่เต็มที่ แนะผู้ปกครองที่มีกำลังส่งลูกไปเอกชนหรือต่างประเทศ หนีไปให้ไกลจากโรงเรียนรัฐ ระบุโรงเรียนคือแหล่งผลิตเอกสารขยะรอวันทิ้ง ไม่ใช่ที่บ่มเพาะศักยภาพของเด็กอีกแล้ว

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'TeacherMickey Suphanta' หรือ 'ครูมิกกี้' ออกมาตำหนิระบบการศึกษาของไทยโดยเฉพาะโรงเรียนของรัฐบาล โดยเจ้าตัวแนะนำหากมีกำลังทรัพย์ให้ส่งลูกไปเรียนเอกชน หรือต่างประเทศไปเลยจะดีกว่า ชี้ครูโรงเรียนรัฐไม่เวลามาสั่งสอน มัวแต่ทำเอกสาร การศึกษาไทยถึงไม่พัฒนา ทั้งนี้ เจ้าตัวได้ระบุข้อความระบายออกมาว่า

"เชิญชมเอกสารงี่เง่าอีก 1 ชุดค่ะ SDQ ผู้ปกครองท่านไหนคิดอยากจะส่งลูกไปโรงเรียน ถ้ามีเงินมากพอ มีกำลังส่งไปเรียนเอกชน สาธิต หรือโปรแกรมดีๆ ไปต่างประเทศให้ รีบลาออก หรือผู้ปกครองทำบ้านเรียนเองเลย

อย่าส่งลูกคุณไปโรงเรียนรัฐค่ะ เพราะครูไม่มีเวลามาอบรมสั่งสอนลูกของคุณค่ะ ไม่ใช่ว่าครูไม่ดี หรือไม่อยากสอน แต่เป็นเพราะครูยุ่งอยู่ กรอกเอกสารอยู่ค่ะ นักเรียนมีกี่คนก็คูณเข้าไป

ถามว่ามีข้อมูลมันดีมั้ย มันก็ดีมากๆ ถ้ากรอกแล้วเอาไปใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนจริง ไม่ใช่กรอกส่งหน่วยเหนือแล้ว รายงานแล้ว ทิ้งไว้ให้ปลวกกิน (SDQ อันนี้คือครูต้องแจกให้ผู้ปกครองกรอก)

แต่ส่วนใหญ่แล้ว เขาแค่กรอกส่งเฉยๆ ตามหน้าที่ค่ะ นี่เป็นแค่เอกสาร 0.1% ที่ครู "ต้องทำ ต้องส่ง หรือต้องตามเก็บจากผู้ปกครองให้ครบ" ต้องทำอย่างปฏิเสธไม่ได้ เขาเลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมสอนกัน แล้วคุณภาพผู้เรียนก็ออกมาเละเทะ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ไง

จริงๆ ถ้าอยากได้ข้อมูลพวกนี้ แค่ปล่อยครูไปอยู่กับนักเรียนเยอะๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ ว่าจุดแข็ง จุดอ่อน ของนักเรียนแต่ละคนเป็นยังไง ก็เห็นหน้า เห็นพฤติกรรมกันอยู่ทุกวัน

แล้วคือถ้าถ่ายเอกสารออกมาเป็นแผ่นๆ แบบนี้ หมายความว่า ผปค./ครู แต่ละคนต้องใช้มือติ๊ก ทีละข้อ ทีละข้อ ของนักเรียนแต่ละคน เสร็จแล้วครูต้องไปไล่ตามเก็บไปเข้าเล่ม รายงาน หลังจากนั้นไปอีก 2-3 ปี หรือรอจนกระดาษเหลืองแล้ว เราก็เตรียมชั่งกิโลขายกระดาษค่ะ

เบื่อจริงๆ พวกนักสำรวจ สำรวจอย่างเดียว รอรายงานอย่างเดียว ไม่รู้เลยหรือไงว่าเอกสารพวกนี้คือสิ่งที่แย่งเวลาครูไป แย่งเวลาเรียนของนักเรียนไป คุณภาพการศึกษาบ้านเราถึงตกต่ำ ต่ำแบบต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดกันขนาดนี้

คิดว่าครูเขาว่างมากนักหรือไง เอกสาร 80 อย่าง จะแบ่งเวลาตรงไหนมาสอน ต่อให้สอนก็ไม่เต็มที่ เพราะเวลามีไม่พอที่จะเตรียมตัว หรือทำสื่อ หรือมีเวลามาใส่ใจลูกของคุณ

'ดร.นิว' แนะ 'บิ๊กตู่' ใช้ช่วงหยุดหน้าที่นายกฯ พักผ่อน หากหวนคืนตำแหน่ง ขอให้มุ่งสู่เส้นทาง 'รัฐบุรุษ'

(25 ส.ค. 2565) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาดังนี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ๕ ต่อ ๔ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ก็ขอให้ท่าน ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha พักผ่อนจากภาระอันหนักอึ้ง

หากท่านมีโอกาสได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ก็ขอให้ท่านเลือกเส้นทางของ 'รัฐบุรุษ' นำพาประชาชนไปสร้างประชาธิปไตยตามแนวทางราชประชาสมาสัยอย่างสันติให้เป็นผลสำเร็จ ถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง สถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องและมีความเป็นธรรม ตลอดจนมีรัฐธรรมนูญที่เป็นผลสำเร็จของการสร้างประชาธิปไตยในที่สุด

ดร.ศุภณัฐ
๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕

#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ

พลเอกประยุทธ์จะเป็น "โมฆบุรุษ" หรือ "รัฐบุรุษ" ? การเป็น "โมฆบุรุษ" หรือ "รัฐบุรุษ" ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำรงตำแหน่งครบแปดปีเมื่อไหร่ หรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและการกระทำของพลเอกประยุทธ์เอง

จริงๆ พลเอกประยุทธ์น่าจะเป็นรัฐบุรุษไปแล้วเสียด้วยซ้ำ หากยึดอำนาจแล้วนำมาสร้างประชาธิปไตย ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ได้นำพา วกกลับมาสู่ระบอบเผด็จการลัทธรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับการรัฐประหารทุกครั้ง

การไม่สร้างประชาธิปไตยของพลเอกประยุทธ์จึงทำให้อำนาจอธิปไตยยังคงเป็นของคนส่วนน้อยเหมือนเดิม ทำให้การเคลื่อนไหวที่ผิดหลักวิชาภายใต้ระบอบเผด็จการยังคงอยู่ ไม่ได้ยุติความขัดแย้งและความเห็นผิดทางการเมืองให้หมดสิ้นไปแต่อย่างใด

ถ้าพลเอกประยุทธ์ไม่สร้างประชาธิปไตย ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบอบเผด็จการต่อไป คอยรับใช้อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย เอื้อผลประโยชน์แก่นายทุนนักธุรกิจหลังม่านการเมือง แล้วปล่อยให้ระบอบปรสิตของนักการเมืองทำนาบนหลังคนร่ำไป

ในที่สุดพลเอกประยุทธ์ก็จะพังไปเองโดยไม่ต้องมีใครมาขับไล่ นำไปสู่จุดจบทางการเมืองแล้วกลายเป็น "โมฆบุรุษ" เฉกเช่นนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ในระบอบเผด็จการแห่งนี้ ที่เข้ามาแสวงอำนาจและผลประโยชน์โดยไม่สร้างประชาธิปไตยให้กับประชาชน

ถ้าพลเอกประยุทธ์สร้างประชาธิปไตย โค่นระบอบเผด็จการของคณะราษฎรเสียให้สิ้น บดขยี้การเคลื่อนไหวแนวทางผิดทั้งหมด ด้วยการเมืองกระแสสูงที่นำพาประชาชนไปสร้างประชาธิปไตย แล้วทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนได้เป็นผลสำเร็จ

พลเอกประยุทธ์ก็จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ และถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะ "รัฐบุรุษ" แถมยังเป็น "วีรบุรุษประชาธิปไตย" ของปวงชนอีกด้วย เพราะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านระบอบเผด็จการไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ ผมจะขอโทษประชาชนที่ไม่ได้ทำตามสัญญา ไม่ได้สร้างประชาธิปไตยที่ถูกต้องสมบูรณ์ตั้งแต่ตอนเข้าสู่อำนาจ แต่นับจากวินาทีนี้ไป ผมจะนำพาประชาชนไปสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติ เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย

วิกฤตภัยแล้งจีน ทำระดับน้ำลด เผยให้เห็นฐานพระใหญ่เล่อซาน

องค์พระใหญ่เล่อซาน หนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน นับเป็นพระพุทธรูปหินแกะสลักที่มีชื่อเสียงอีกแห่งของโลก ซึ่งในช่วงนี้ มีปรากฏการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำแยงซีลดลงจนปรากฏให้เห็นฐานด้านล่างทั้งหมดใต้องค์พระ

สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการของจีน เผยภาพถ่ายให้เห็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำแยงซี จำนวน 3 สาย มีระดับน้ำลดลงเพราะภัยแล้งในช่วงไม่นานนี้ ส่งผลให้เห็นส่วนฐานของพระใหญ่เล่อซานได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้พระพุทธรูปดังกล่าวแกะสลักขึ้นริมผาภูเขาเล่อซาน และตั้งอยู่ ณ จุดที่แม่น้ำสาขาทั้งสามสายไหลมาบรรจบกัน ได้แก่ แม่น้ำหมิ่นเจียง, แม่น้ำชิงอี และแม่น้ำต้าตู้ ที่มาของพระใหญ่ในสมัยราชวงศ์ถัง เกิดจากแนวคิดของพระสงฆ์รูปหนึ่งนามว่า “ไห่ทง” ที่ทราบว่าบริเวณจุดตัดแม่น้ำสามสายมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ น่าจะช่วยปกป้องให้การโดยสารทางน้ำปลอดภัย รวมทั้งป้องกันปัญหาจากอุทกภัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top