Sunday, 16 March 2025
NEWS FEED

เปิดโพสต์ ‘วิว’ พลเมืองดี ก่อนลาลับ ฝากข้อคิดจับใจถึงความสุขในชีวิต

เปิดโพสต์ ‘วิว’ พลเมือง ‘หรือ ‘นพดล พิมพ์ดี’ พลเมืองดีที่ช่วยจับชายคลั่งชิงรถแท็กซี่ ด้วยการกระโดดเกาะรถ จนตัวเองพลัดตกลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิต โดยทางนายศักดิ์ดา ถวัลย์วรกิจ เจ้าของร้านบุหลันดั้นเมฆ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นรูปภาพข้อความของวิวที่เคยเขียนไว้ตอนมีชีวิต ซึ่งเขียนถึงเรื่องความสุขที่แท้จริงกับการใช้ชีวิต บางช่วงบางตอนของข้อความ ระบุว่า... 

“คนเราเกิดมาล้วนต้องตาย แล้วใยต้องกลังความตายด้วยละ มนุษย์ก็แค่คนคนหนึ่ง ชีวิตคนเราจะเป็นยังไงไม่มีทางรู้หรอก การเผชิญหน้ากับความเป็นจริงคือสิ่งสำคัญ คนเราต้องยอมรับดีกว่าที่จะจมปลักอยู่กับมัน นั่นละความสุขที่แท้จริง I will Always be alone = เดียวดายอยู่เสมอ”

ปตท. ‘ยืดหนี้ - ไม่คิดดอก’ กฟผ. หวังช่วยแบ่งเบาต้นทุนค่าไฟ

ปตท .ร่วมแบ่งเบาต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ประชาชน ยืดระยะเวลาชำระหนี้ให้ กฟผ. มูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท และไม่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยล่าช้า

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แบกรับภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนในการช่วยตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (FT) ตามนโยบายของภาครัฐตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์พลังงานโลกที่มีความผันผวนสูง ส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนสูงขึ้นมาก ประกอบกับประชาชนยังคงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 จึงมีมติอนุมัติให้ ปตท. ร่วมช่วยบรรเทาภาระต้นทุนผลิตไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยการเลื่อนกำหนดชำระเงินค่าก๊าซฯ งวดเดือนพฤษภาคม 2565 มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท ออกไปเป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยไม่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยมูลค่าประมาณ 340 ล้านบาทที่จะเกิดขึ้น เพื่อมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับ กฟผ. ในการแบกรับต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชน

“ปตท. และ กฟผ. ต่างเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน และจากวิกฤตการณ์พลังงานดังกล่าว ทั้งสององค์กรได้หารือร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งจากกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อพิจารณาการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายเพื่อลดกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด และคำนึงถึงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศตาม พันธกิจหลักของทั้งสององค์กร” นายอรรถพล กล่าว


 ที่มา: https://www.thaipost.net/economy-news/145507/

‘อาม่าวารุณี’ บริจาคที่ดิน 25 ไร่ เงิน 200 ล้าน สร้างศูนย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ จ.สมุทรสาคร

นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่งเมื่ออาม่าวัย 72 ปี บริจาคที่ดินจำนวน 25 ไร่ พร้อมเงินสด 200 ล้าน สร้างศูนย์เวชศาสตรผู้สูงอายุ โรงพยาบาลศิริราช ที่จังหวัดสมุทรสาคร

สำหรับโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งอยู่ที่ คลองสี่วาพาสวัสดิ์ ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

โดยมีแผนจะเปิดให้ให้บริการ ในเดือนมกราคม 2566  นับเป็นความโชคดีของคนไทย โดยเฉพาะชาวสมุทรสาคร

ทั้งนี้ “ศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ” สร้างบนที่ดิน 25 ไร่ ซึ่งคุณสัมพันธ์ และคุณวารุณี อยู่พูนทรัพย์ ได้บริจาคให้กับศิริราช และได้รับการสนับสนุนงบประมาณแผ่นดินผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ

เผย 4 เดือนแรก ต่างชาติมาไทยครบล้านคน ชี้ ตัวเลขมากกว่าปีที่แล้วทั้งปี มีหวังช่วยฟื้นศก.

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมาตรการผ่อนคลายการควบคุมโควิด-19 รัฐบาลได้ประกาศเปิดประเทศเต็มรูปแบบรองรับนักเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม - วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 จำนวน 1 ล้านกว่าคน มากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2564 ทั้งปี ถึง 5.88 แสนคน 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 จะมีการปรับแผนการผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น โดยยังคง Thailand Pass แต่ปรับรูปแบบการกรอกข้อมูลให้ง่าย คงเหลือข้อมูลที่จำเป็น ได้แก่ 1. Vaccine 2. Insurance และ 3. Passport ซึ่งสามารถออก QR code ได้ทันทีหลังลงทะเบียนเสร็จ สำหรับคนไทยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ยกเลิกระบบ Thailand Pass 

ทั้งนี้ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลตัวเลขรายได้ไตรมาสแรกปี 2565 เพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2564 กว่า 2,000 % ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) มีมติให้เปิดสถานประกอบการที่มีลักษณะสถานบริหาร สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป ภายใต้มาตรการตรวจคัดกรองผู้ให้บริการอย่างเข้มงวด ซึ่งจะต้องมีการตรวจ ATK ทุก ๆ 7 วัน หรือเมื่อมีอาการและมีความเสี่ยง

ศบค. ไฟเขียว!! เปิดผับ-บาร์-คาราโอเกะ เคาะพื้นที่สีเขียว-สีฟ้า ดีเดย์ 1 มิ.ย.นี้

ศบค.ยกเลิกกักตัวผู้เสี่ยงสูง เปลี่ยนมาสังเกตอาการแทน พร้อมไฟเขียวเปิดผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด พื้นที่สีเขียว-สีฟ้า ลงอ่างต้องสวมหน้ากาก เห็นชอบคนไทยเข้าประเทศไม่ต้องลงไทยแลนด์พาส เริ่ม 1 มิ.ย. ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 2 เดือน จนกว่าจะเป็นโรคประจำถิ่น 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,463 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 6,439 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 6,429 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 10 ราย มาจากเรือนจำ 23 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 1 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 7,091 ราย อยู่ระหว่างรักษา 58,910 ราย อาการหนัก 1,037 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 510 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 41 ราย เป็นชาย 23 ราย หญิง 18 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 36 ราย มีโรคเรื้อรัง 4 ราย ไม่มีโรคเรื้อรัง 1 ราย มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,401,378 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,312,790 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 29,678 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 525,864,514 ราย เสียชีวิตสะสม 6,297,053 ราย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ทิศทางการติดเชื้อ ป่วยหนัก และเสียชีวิตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถือว่าการเข้าสู่การประกาศโรคประจำถิ่นในระยะที่สามเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่การประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นยังคงวันที่ 1 ก.ค.ไว้ก่อน เพราะต้องรอดูมาตรการผ่อนคลายต่างๆ ทั้งการเปิดสถานบันเทิง และการเปิดภาคเรียนที่เป็นตัวแปรว่าเป็นอย่างไร

โฆษก ศบค.กล่าวอีกว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบปรับมาตรการการกักตัวในส่วนของผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จากเดิมให้กักตัว 5 วัน และสังเกตอาการอีก 5 วัน เปลี่ยนเป็นไม่ต้องกักตัว แต่ให้สังเกตอาการเป็นเวลา 10 วัน และให้ตรวจเอทีเคเมื่อมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ขณะเดียวกัน ยังเห็นชอบปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ จากเดิมมีพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 65 จังหวัด ปรับลดลงเหลือ 46 จังหวัด และเพิ่มพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) 14 จังหวัด ประกอบด้วย ชัยนาท ตราด นครพนม น่าน บุรีรัมย์ พิจิตร อ่างทอง มหาสารคาม ยโสธร ลำปาง สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ อุดรธานี และอำนาจเจริญ พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 12 จังหวัด เป็น 17 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ กทม. กาญจนบุรี จันทบุรี ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง สงขลา

‘ปศุสัตว์’ ยัน!! ไร้ไข่ปลอมระบาดในไทย ชี้!! คลิปแชร์ว่อน ของเก่าตั้งแต่ปี 63

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า หลังมีกระแสการแชร์ข่าวไข่ไก่ปลอมทางสื่อออนไลน์ ขอย้ำว่าเป็นคลิปเก่าตั้งแต่ปี 2563 ที่มีการวนนำกลับมาแชร์ในโลกโซเชียลหลายครั้งแล้ว ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้มีการลงพื้นที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้ชี้แจงข้อมูลทุกครั้ง โดยขอย้ำผู้บริโภคอย่าตื่นตระหนก ไม่แชร์ต่อและตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัด ขอรับรองว่าประเทศไทยไม่มีไข่ไก่ปลอมอย่างแน่นอน ประเทศไทยสามารถผลิตไข่ไก่ได้ปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ ไม่จำเป็นต้องทำไข่ปลอมซึ่งต้นทุนผลิตแพงกว่าไข่จริง

“กรมปศุสัตว์รับรองไม่มีไข่ปลอมในประเทศไทยแน่นอน เนื่องจากการผลิตไข่ปลอมต้นทุนการผลิตแพงกว่าไข่จริง ไข่ไก่ในประเทศไทยมีราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาดอยู่แล้ว อีกทั้งประเทศไทยยังสามารถผลิตไข่ไก่ได้ในปริมาณมากเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ ไม่มีความจำเป็นต้องผลิตไข่ปลอมขึ้นมาหลอกขายแต่อย่างใด”

'ผู้เชี่ยวชาญ' ชี้!! ฝีดาษลิงระบาดในยุโรป ความเสี่ยงระบาดต่ำ ไม่แพร่เหมือนโควิด

ยุโรปพบผู้ติดเชื้อหรือสงสัยว่า ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง หรือ ไข้ทรพิษลิง (Monkeypox) เพิ่มอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส, อิตาลี และสวีเดน รวมเป็น 6 ประเทศ เพิ่มจากเดิม คือ สหราชอาณาจักร, สเปน และโปรตุเกส โดยทั้ง 3 ประเทศแรกนี้ยืนยันชัดว่าพบผู้ติดเชื้อแล้ว 

ด้านสหราชอาณาจักร ประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงเมื่อวันที่ 7 พ.ค. ยืนยันยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มอีกเป็น 9 คน จากเดิม 6 คน ส่วนโปรตุเกสสถานการณ์หนักที่สุด พบทั้งผู้ติดเชื้อและสงสัยว่าติดเชื้อมากที่สุด โดยยืนยันผู้ติดเชื้อแล้ว 14 คน และพบผู้ต้องสงสัยติดเชื้ออีก 20 คน 

ขณะที่ สหรัฐฯ ยืนยันพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 1 คนในรัฐแมสซาชูเส็ตส์ เพิ่งเดินทางกลับจากแคนาดา และล่าสุดพบเคสต้องสงสัย 1 คนในนครนิวยอร์ก ส่วนในแคนาดาพบผู้สงสัยว่าติดเชื้อฝีดาษลิง 13 คน แต่ยังไม่ยืนยัน

ประเทศยุโรปที่พบผู้ติดเชื้อหรือสงสัยว่าติดเชื้อฝีดาษลิง ได้เริ่มสอบสวนหาที่มาที่ไปของโรคนี้แล้ว รวมถึงสหรัฐฯ และแคนาดาก็เริ่มสอบสวนด้วยเช่นกัน

“เฉลิมชัย” ไฟเขียวแผนพัฒนาประมงแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืนฉบับแรกของประเทศ

“อลงกรณ์” เดินหน้า 8 โครงการเชิงรุกทันที พร้อมมอบกรมประมงร่วมมือทุกภาคีเครือข่ายจัดฟอรั่มเสนอประเด็นแม่น้ำโขงต่อที่ประชุมประมงเอเปค 2022 ตีเส้นห้ามการเมืองเรื่องมหาอำนาจเกี่ยวข้อง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของแม่น้ำโขงเปิดเผยวันนี้ (20 พ.ค.) ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/ 2565 เป็นการประชุมแบบ Hybrid ณ ห้องประชุม 134 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผ่านการประชุมออนไลน์ zoom cloud meeting พร้อมด้วยคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ 

โดยมี นายประพันธ์ ลีปายะคุณ รองอธิบดีกรมประมงทำหน้าที่เลขานุการการประชุมว่า คณะกรรมการฯ ได้เสนอแผนพัฒนาด้านการประมงในพื้นที่แม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2566 - 2570 และได้รับความเห็นชอบจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมแล้วให้ดำเนินการตามแผนเป็นฉบับแรกของประเทศเพื่อป้องกันและรองรับปัญหาการเปลี่ยนแปลงระนิเวศที่เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและประชาชนริมแม่น้ำโขง 

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้กรมประมงเดินหน้าขับเคลื่อน 8 โครงการ ดังนี้ 
1.) โครงการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างรายได้ 
2.) โครงการส่งเสริมอาชีพประมง กิจกรรมพัฒนาศักยภาพเกษตรกร 
3.) โครงการธนาคารผลผลิตสัตว์น้ำแบบมีส่วนร่วม 
4.) โครงการปล่อยปลาเอิน (ปลายี่สกไทย) คืนสู่แม่น้ำโขง 
5.) โครงการ “ประมงอาสาพาปลากลับบ้าน ในพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ” ด้วยชุดอุปกรณ์เพาะฟักแบบเคลื่อนที่ (Mobile hatchery) 
6.) กิจกรรมการติดตามผลจับสัตว์น้ำในแม่น้ำโขงและการศึกษาความชุกชุมและความหลากหลายสัตว์น้ำในแม่น้ำโขง ประเทศไทย (FADM) 
7.) กิจกรรมบริหารจัดการทรัพยากรประมงเชิงระบบนิเวศ (EAFM) ชุมชนประมงแม่น้ำโขง
8.) โครงการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพระบบนิเวศแหล่งปลาหน้าวัดบริเวณแม่น้ำโขง 

‘ในหลวง – พระราชินี’ เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ทรงรับทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

เมื่อเวลา 17.35 น. วันที่ 19 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์นายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และองค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ พร้อมฉลองพระองค์ครุย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระวิริยะเพื่อประโยชน์สุขของราษฎรมาโดยตลอด ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการแพทย์และการสาธารณสุข อันเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ พระวิสัยทัศน์ที่ทรงตั้งมั่นที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสริมสร้างและสนับสนุนความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องของระบบการแพทย์และการสาธารณสุขไทย

และทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์และองค์ประธานหน่วยงานและมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยให้สำเร็จตามพระราชปณิธาน ทั้งยังพระราชทานพระบรมราโชบาย และพระราชทานพระราชทรัพย์ในการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ประชาชนในทุกมิติ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙  ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก (Pandemic) ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนไทยในทุกระดับ

จากพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุขอันมีคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างอเนกอนันต์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น  สภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงมีมติขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ต่อมาเวลา 17.46 น.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคล นายสรจักร เกษมสุวรรณ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีสิ่งทอและการออกแบบแฟชั่น แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
     
ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถที่เป็นเลิศและทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยทรงตั้งมั่นในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง ยั่งยืน และบริบูรณ์ในทุกด้าน เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์  ทรงมีพระปรีชาญาณยิ่งในศาสตร์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ และด้านการเกษตรผ่านโครงการตามพระราชดำริต่างๆ  อีกทั้งในช่วงที่ประเทศต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวพระราชดำริในการพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางวิศวกรรมเวชศาสตร์

รวมถึงพระราชทานรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัย รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ แก่บุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลทั่วประเทศ  เพื่อใช้ตรวจหาและรักษาพยาบาล ผู้ติดเชื้อ รวมทั้งเพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากโรคโควิด ๑๙ นอกจากนี้  ทรงสนพระราชหฤทัยและมุ่งมั่นศึกษาศาสตร์ด้านการควบคุมยานยนต์ การควบคุมการบินและอากาศยาน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของวิศวกรรมเครื่องกล โดยทรงเข้ารับการศึกษาหลักสูตรการฝึกบินอากาศยานประเภทต่าง ๆ ทั้งทางทหารและการพาณิชย์จนทรงเชี่ยวชาญเป็นที่ประจักษ์  และทรงนำความรู้และประสบการณ์ทางด้านการบินมาก่อให้เกิดประโยชน์แก่กองทัพอากาศ  และประเทศชาติ โดยทรงปฏิบัติหน้าที่นักบิน ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

  ด้วยพระราชกรณียกิจนานัปการอันเปี่ยมล้นด้วยพระปรีชาญาณยังประโยชน์อย่างหาที่สุดมิได้แก่ปวงพสกนิกรชาวไทย และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จึงมีมติขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

'รัสเซีย' พร้อมส่งน้ำมันให้ 'เอเชีย-ภูมิภาคอื่น' หากบางชาติยุโรปไม่เอา เพราะแผนคว่ำบาตร

สำนักข่าวรอยเตอร์ - รัสเซียจะส่งน้ำมันที่ถูกปฏิเสธโดยประเทศในยุโรปไปยังเอเชียและภูมิภาคอื่น ๆ รองนายกรัฐมนตรี อเล็กซานเดอร์ โนวัค ของรัสเซีย กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี และเสริมว่ายุโรปจะต้องหาน้ำมันทดแทนที่จะมีราคาแพงกว่า

คณะกรรมาธิการยุโรปเมื่อวันพุธ (18พ.ค.) เปิดเผยแผนมูลค่า 210,000 ล้านยูโร (220,00 ล้านดอลลาร์) สำหรับยุโรปที่จะยุติการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซียภายในปี 2570 และใช้เรื่องนี้เป็นการสลัดตัวจากการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว

ยุโรปได้รับน้ำมันรัสเซียประมาณ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) โนวัค กล่าว และเสริมว่ารัสเซียพร้อมที่จะเปลี่ยนเส้นทางเสบียงเหล่านั้นออกจากยุโรป และยุโรปต้องแทนที่น้ำมันดิบที่มีราคาแพงกว่าจากแหล่งอื่น

มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่บังคับใช้กับรัสเซียหลังจากกองทหารบุกเข้าไปในยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ บีบให้ผู้ซื้อน้ำมันจำนวนหนึ่งต้องชะลอหรือปฏิเสธการขนส่งสินค้า ซึ่งทำให้การผลิตน้ำมันของรัสเซียลดลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top