Tuesday, 5 December 2023
NEWS FEED

พรรคประชาธิปัตย์ ระดม ส.ส.- อดีต ส.ส. เตรียมความพร้อมการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. บ่ายพรุ่งนี้ โวมีผู้สนใจสมัคร ส.ก.ในนามพรรคฯ จำนวนมาก

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวเตรียมจัดทำนโยบายกรุงเทพมหานคร ว่า วันพรุ่งนี้ (25 ม.ค.) เวลา 14.00 น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กรุงเทพมหานคร ได้นัดประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. อดีต ส.ส. อดีตผู้สมัคร  เพื่อหารือ ระดมความคิดเห็น ในเรื่องนโยบายกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) การเตรียมความพร้อมในเรื่องนโยบายซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการจะเข้าไปทำงานไม่ว่าจะในส่วนของ บุคคลที่จะไปทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะเป็นผู้บริหาร และในส่วนของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ส.ก.ซึ่งจะเข้าไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ

ทั้งสองส่วน มีความสำคัญที่จะต้องมีนโยบายเป็นหลักการทำงานพื้นฐานที่สำคัญ การระดมความคิดเห็นทุกนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีหลายเรื่องที่จำต้องมีนโยบายใหม่เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด มีหลายเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น และเรื่องใดที่เป็นของเดิมที่ดีอยู่แล้วก็จะมีการสานต่อและทำให้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำเสนอนโยบายที่ดี ในการทำงานให้กับพี่น้องชาว กทม ต่อไป

นายราเมศ กล่าวต่อว่า หลังจากที่เปิดให้ผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ในส่วนของการเลือกตั้ง ส.ก.ได้มีผู้ที่ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก หลายคนเป็นคนมีศักยภาพ อยู่ใกล้ชิดทำงานให้กับพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว มีส่วนของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจเข้ามาอาสารับใช้ประชาชนก็มีหลายคนความเป็นสถาบันทางการเมืองของพรรค การดำเนินการมีการดำเนินการรอบคอบ ผ่านการคิดที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วม นโยบายที่จะนำไปใช้ต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องชาวกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง

 

นักลงทุนแห่จองหุ้น OR ปตท.วันแรกท่วมท้น!! ส่งผลแอปฯ - เว็บฯ 3 แบงก์ล่ม ด้าน KTB ยืนยันระบบจองซื้อหุ้น OR ทำงานได้ปกติ แจงเหตุขัดข้อง-ล่าช้า เพราะคนเข้าจองพร้อมกัน แนะทยอยจองวันอื่น ย้ำไม่มียอดจองเต็ม จัดสรรให้นักลงทุนทุกคน

จากการที่บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือโออาร์ (OR) ได้เปิดให้จองซื้อหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ผ่าน 3 ธนาคารใหญ่  ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ของวันนี้ (24 ม.ค. 64 ) และจะเปิดให้จองไปจนถึงเวลา 12.00 น.วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 โดยเปิดให้จองซื้อผ่านออนไลน์ได้ด้วย นอกจากสาขาของ 3 ธนาคาร ผ่านเว็บไซต์ K-My Invest  ของธนาคารกสิกรไทย , ผ่านเว็บไซต์ Money Connect ของธนาคารกรุงไทย และผ่านโมบายแอปพลิเคชัน ธนาคารกรุงเทพ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มเปิดจองในเวลา 09.00 น.ที่ผ่านมา ทั้งเว็บไซต์ที่ให้ทำการจองซื้อหุ้น OR กับแอปพลิเคชันของ 3 ธนาคารดังกล่าว พบว่าไม่สามารถให้บริการได้ มีความล่าช้าในการใช้บริการ และบางช่วงติดขัดไม่สามารถทำรายการใด ๆ ได้ เนื่องจากมีผู้สนใจจองซื้อหุ้น OR เป็นจำนวนมาก

สำหรับการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยนั้น ทั้ง 3 ธนาคารแนะนำให้ทำรายการในช่วงระหว่างวันที่ 26-28 มกราคม 2564 เพื่อหลีกเลี่ยงความหนาแน่นในช่วงแรก และช่วงท้ายของระยะเวลาการจองซื้อ

ทางด้านธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้ออกมาชี้แจงว่า ระบบ Money Connect by Krungthai สามารถจองซื้อหุ้น OR ได้ตามปกติ เนื่องจากธนาคารได้เตรียมความพร้อมในการจองซื้อไว้ล่วงหน้า จึงยกระบบการบริการและเพิ่มระบบงานไอทีให้รองรับธุรกรรมการจองซื้อครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเช้าวันที่ 24 มกราคม 2564 เวลา 9.00 น. (เวลาเริ่มเปิดจองซื้อ) มีผู้ที่สนใจเข้ามาจองซื้อหุ้น OR ผ่านช่องทาง Money Connect by Krungthai พร้อมกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนรายใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาใช้บริการครั้งแรกจำนวนไม่น้อย ซึ่งต้องกรอกข้อมูลตั้งต้นสำหรับการจองซื้อหลักทรัพย์ เช่น ชื่อ ที่อยู่ วิธิการรับหลักทรัพย์ กรอกข้อมูลการลงทุนและแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุนในระบบ ทำให้ใช้เวลาอยู่ในระบบนาน จึงอาจส่งผลให้ระบบมีความล่าช้า ทำให้ลูกค้าบางท่านไม่สามารถทำรายการได้

ทั้งนี้ จึงขอแนะนำให้ผู้ใช้บริการกด refresh และลองใหม่อีกครั้ง หรือทยอยทำรายการจองซื้อหุ้น OR ในวันอื่นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาจองซื้อในวันนี้ เนื่องจากสามารถจองซื้อหุ้น OR ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน https://moneyconnect.krungthai.com

และจองผ่านสาขากรุงไทยทั่วประเทศ ได้จนถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 โดยไม่ปิดการจองซื้อก่อนกำหนด และไม่มียอดจองซื้อเต็ม ทุกคนมีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น เพราะใช้วิธิ Small Lot First โดยจะเป็นการจัดสรรหุ้นแก่นักลงทุนที่ต้องการอย่างทั่วถึงที่สุด

 

การรถไฟแห่งประเทศไทย ประกาศปรับการเดินรถชั่วคราว ให้สอดคล้องตามสถานการณ์โควิด-19 งดเดินรถเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการน้อยหรือขบวนรถที่มีความจำเป็นไม่มากต่อประชาชน

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีนโยบายขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยง หรือชะลอการเดินทางเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

การรถไฟฯ จึงต้องปรับการให้บริการเดินรถใหม่ให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของ ศบค. โดยมีการงดการให้บริการขบวนรถเชิงสังคม ได้แก่ ขบวนรถธรรมดา ขบวนรถท้องถิ่น และขบวนรถชานเมืองที่ไม่ได้วิ่งให้บริการในชั่วโมงเร่งด่วน จำนวน 57 ขบวน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนการให้บริการการเดินรถในครั้งนี้ การรถไฟฯได้คำนึงถึงความเหมาะสมในการให้บริการแก่ประชาชน โดยพิจารณางดเดินรถเฉพาะเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการน้อย หรือเป็นขบวนรถที่มีความจำเป็นไม่มากต่อประชาชนและไม่ได้วิ่งให้บริการในชั่วโมงเร่งด่วน โดยการรถไฟฯ ยังมีขบวนรถโดยสารให้บริการรองรับการเดินทางของประชาชนในทุกเส้นทางอย่างครบถ้วน

อีกทั้งการรถไฟฯ ยังได้มีการดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนเข้าในพื้นที่สถานี การตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ล้างมือ ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง พร้อมกับให้สแกนแอพพลิเคชันไทยชนะ ก่อนและหลังใช้บริการ แต่หากผู้โดยสารไม่สามารถใช้แอพพลิเคชันไทยชนะ สามารถกรอกข้อมูลการเดินทางแทนได้ สำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

สำหรับขบวนรถเชิงสังคมที่งดให้บริการตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2564 ประกอบด้วย

สายเหนือ จำนวน 13 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 207/208 กรุงเทพ – นครสวรรค์ – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 209/210 กรุงเทพ – บ้านตาคลี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 211/212 กรุงเทพ – ตะพานหิน – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 303/304 กรุงเทพ – ลพบุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 317/318 กรุงเทพ – ลพบุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 401/402 ลพบุรี – พิษณุโลก – ลพบุรี
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 409 อยุธยา – ลพบุรี

สายตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 18 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 233/234 กรุงเทพ – สุรินทร์ – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 339/340 กรุงเทพ – ชุมทางแก่งคอย – กรุงเทพ
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 417/416 นครราชสีมา – อุดรธานี – นครราชสีมา
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 419/420 นครราชสีมา – อุบลราชธานี – ลำชี
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 423/424 ลำชี – สำโรงทาบ – นครราชสีมา
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 427/428 นครราชสีมา – อุบลราชธานี – นครราชสีมา
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 433/434 ชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ – ชุมทางแก่งคอย
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 437/438 ชุมทางแก่งคอย – ลำนารายณ์ – ชุมทางแก่งคอย
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 439/440 ชุมทางแก่งคอย – ชุมทางบัวใหญ่ – ชุมทางแก่งคอย

สายใต้ จำนวน 12 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 251/252 ธนบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ – ธนบุรี
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 259/260 ธนบุรี – น้ำตก – ธนบุรี
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 261/262 กรุงเทพ – หัวหิน – กรุงเทพ
  • ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455/456 นครศรีธรรมราช – ยะลา – นครศรีธรรมราช
  • ขบวนรถรวมที่ 485/486 ชุมทางหนองปลาดุก – น้ำตก – ชุมทางหนองปลาดุก
  • ขบวนรถรวมที่ 489/490 สุราษฎร์ธานี – คีรีรัฐนิคม – สุราษฎร์ธานี

สายตะวันออก จำนวน 14 ขบวน

  • ขบวนรถธรรมดาที่ 275/276 กรุงเทพ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 277/278 กรุงเทพ – กบินทร์บุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 279/280 กรุงเทพ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก – กรุงเทพ
  • ขบวนรถธรรมดาที่ 281/282 กรุงเทพ – กบินทร์บุรี – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 367/368 กรุงเทพ – ชุมทางฉะเชิงเทรา – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 379/380 กรุงเทพ – หัวตะเข้ – กรุงเทพ
  • ขบวนรถชานเมืองที่ 389/390 กรุงเทพ – ชุมทางฉะเชิงเทรา – กรุงเทพ

สวนดุสิตโพล เผย ‘10 ความสุขยุคโควิด-19’ พบ สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ รองลงมาคือ ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ‘10 ความสุขในยุคโควิด-19’ กลุ่มตัวอย่าง 1,136 คน สำรวจวันที่ 15 – 22 มกราคม 2564 พบว่า สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือ

อันดับ 1 ได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ 86.92%

อันดับ 2 ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง 75.22%

อันดับ 3 ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเร่งรีบ 56.10%

อันดับ 4 ได้ออกกำลังกายหันมาดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น 29.81%

อันดับ 5 การปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ ได้พัฒนาทักษะเทคโนโลยี 13.46%

อันดับ 6 ยังมีงานทำ ยังไม่ถูกเลิกจ้าง 13.08%

อันดับ 7 รถไม่ค่อยติด เดินทางสะดวก 10.44%

อันดับ 8 บุคลากรทางการแพทย์ของไทยทำงานได้ดี 8.18%

อันดับ 9 ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย 5.03%

อันดับ 10 ทรัพยากรธรรมชาติได้พัก เป็นการฟื้นฟู 1.89%

จากผลการสำรวจ พบว่า ในความทุกข์ที่เกิดจากโควิด-19 นี้ ประชาชนก็ยังมีความรู้สึกสุขใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านเวลา ทั้งการให้เวลากับตนเอง การให้เวลากับครอบครัว เงื่อนไขเรื่องเวลานี้ทำให้ผู้คนได้มีโอกาสในการคิดพิจารณาและทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้ทำมากขึ้น อีกทั้งยังได้พัฒนาตนเองในด้านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เรียกได้ว่าต้องขอบคุณโควิด-19 ที่ทำให้คนไทยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองมากขึ้น

ในทุกสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น แม้มีปัญหามีความทุกข์แต่ก็มีสิ่งที่ดี ๆ และมีสิ่งที่เป็นความสุขเกิดขึ้นอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้น การปรับทัศนคติ การปรับมุมมองหรือการคิดเชิงบวกจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่ามองที่ปัญหาแต่ให้เลือกมองโอกาสที่เกิดขึ้น จากปัญหานั้น ๆ เช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยและคนทั้งโลก ซึ่งประเด็นปัญหาและความทุกข์ที่มีอยู่นี้ เราทุกคนรู้และสัมผัสได้อยู่แล้ว

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผยภาพถ่ายจระเข้ขนาดใหญ่ ขึ้นมานอนอาบแดดบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรี คาดเป็นจระเข้น้ำจืดหายากใกล้สูญพันธุ์ของไทย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ดูแลอารักขา เพราะเป็นพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ช่วงเวลาดีๆ ของธรรมชาติ!!

แม้ว่าประเทศไทยจะยังอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิดระบาด แต่ทว่าธรรมชาติเริ่มกลับมาสมบูรณ์ ล่าสุดเพจเฟสบุ๊กอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park ได้เปิดเผยภาพจากกล้องดักถ่ายสัตว์ป่า (Camera Trap) ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) ขึ้นมานอนอาบแดด

ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีที่พบเจอสัตว์ป่าที่หายากมากในธรรมชาติและกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คือ จระเข้สายพันธุ์ไทยดั้งเดิม นั่นเพราะจระเข้พันธุ์นี้หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติประมาณ 20 ตัวเท่านั้น

สำหรับจุดที่พบ อยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี เหนือบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย ยืนยันสถานะภาพ ยังคงอยู่ได้ ไม่ได้พบภาพใหม่มานานและยืนยันได้มากกว่าหนึ่งตัว ที่บันทึกภาพได้ จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทางเพจฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จระเข้น้ำจืด, จระเข้บึง, จระเข้สยาม หรือ จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) มีถิ่นกำเนิดในบริเวณประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม กาลีมันตัน ชวา และสุมาตรา จัดเป็นจระเข้ขนาดปานกลางค่อนมาทางใหญ่ (3–4 เมตร) มีเกล็ดท้ายทอด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10–12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20–48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68-85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว

โดยปกติจระเข้น้ำจืดจะกินปลาและสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ ในอดีตในประเทศไทยเคยพบชุกชุมในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่จระเข้ชุม เคยมีรายงานว่าพบจระเข้ถึง 200 ตัว หรือในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ เช่น ไกรทอง ของจังหวัดพิจิตร เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว

แต่ในต่างประเทศยังคงพบอยู่เช่นที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะทิวเขาพนมกระวาน ซึ่งช่วงแรกค้นพบเพียง 3 ตัว จนนำไปสู่การค้นพบจระเข้นับร้อยตัวที่อาศัยโดยไม่พึ่งพาอาศัยมนุษย์ แต่ที่นี่ก็ประสบปัญหาการจับจระเข้ไปขายฟาร์มจำนวนมาก[2] สถานะในอนุสัญญาของไซเตสได้ขึ้นบัญชีจระเข้น้ำจืดไว้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix 1)

ปัจจุบัน จระเข้สายพันธุ์นี้แท้ ๆ ก็ยังหายากในสถานที่เลี้ยง เนื่องจากถูกผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นจนเสียสายพันธุ์แท้ไปด้วยจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ

ด้านนายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี กล่าวว่า ชุดลาดตระเวนของอุทยานออกลาดตระเวนบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำบางกลอย พบร่องรอยจระเข้ จึงทำการติดตั้งกล้องไว้กว่าเดือน พอย้อนกลับไปตรวจสอบภาพดู ปรากฏว่าเจอจระเข้น้ำจืดกำลังขึ้นมาอาบแดด เป็นขนาดใหญ่สมบูรณ์มาก นอกจากนี้ยังเตรียมส่งกำลังเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลอารักขา เนื่องจากเป็นชนิดพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ที่มา : เพจ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park

 

‘ขนส่งทางบก’ ขานรับนโยบาย รมว.คมนาคม คุมเข้ม!!! รถบรรทุกและรถโดยสารควันดำ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ชี้หากพบค่าควันดำเกินกฎหมายกำหนด ปรับสูงสุด 5,000 บาท ห้ามใช้รถจนกว่าจะแก้ไขและนำเข้าตรวจสภาพ เดินหน้าสนับสนุนการใช้รถพลังงานสะอาดและรถพลังงานไฟฟ้า

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการลดปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน พร้อมให้ติดตามผลการดำเนินการแก้ไขตามข้อสั่งการที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามแผนที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งเข้มงวดการตรวจสภาพรถบรรทุกและรถโดยสาร ณ กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ตามมาตรฐานการตรวจสภาพรถที่กำหนดไว้ และออกตรวจวัดควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 จุด และบนถนนสายหลักและสายรองที่เข้าสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ และกองบังคับการตำรวจจราจร ตรวจสอบควันดำรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ณ เขตการเดินรถ และบริเวณที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูง โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

หากพบรถโดยสารหรือรถบรรทุกที่มีค่าควันดำเกินกำหนด เปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถทันที จนกว่าจะดำเนินการแก้ไขและผ่านการตรวจสภาพกับสำนักงานขนส่ง จึงจะนำรถกลับไปใช้งานได้ สำหรับผลดำเนินการตรวจสอบควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงปัจจุบัน (21 มกราคม 2564) ตรวจรถแล้วจำนวนทั้งสิ้น 689,333 คัน พบรถที่มีค่าควันดำเกินกำหนดและพ่นห้ามใช้ จำนวน 8,762 คัน สำหรับรถที่ค่าควันดำไม่เกินกำหนด แต่อยู่ในระดับสูง จะออกหนังสือแนะนำให้หมั่นตรวจสอบดูแลสภาพรถไม่ให้เกิดควันดำ หากตรวจพบบนท้องถนนจะลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ขยายการให้บริการตรวจสภาพรถพร้อมรับชำระภาษีรถประจำปี สำหรับรถโดยสารและรถบรรทุกตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ณ สถานีขนส่งสินค้าชานเมือง (พุทธมณฑล ร่มเกล้า และคลองหลวง) เพื่อลดจำนวนรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เกิดจากภาคขนส่งมีความยั่งยืน กรมการขนส่งทางบกได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดการตรวจสภาพรถยนต์ของสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) โดยควบคุมการดำเนินงานแบบเรียลไทม์ผ่านกล้อง CCTV เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่ทางราชการกำหนด และมีแผนที่จะยกระดับเครื่องมือตรวจวัดควันดำของสถานตรวจสภาพรถเอกชนให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสรถบรรทุกและรถโดยสารควันดำทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง, Line@: @1584DLT Facebook: 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ https://www.facebook.com/dlt1584/ แอปพลิเคชัน DLT GPS

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก ยังได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ด้วยการตรวจสอบสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเองเพื่อให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่มีควันดำ รวมถึงสนับสนุนให้หันมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดและไม่ก่อมลพิษเพิ่มมากขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ NGV ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้ลดอัตราภาษีรถประจำปี ต่ำกว่า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อร่วมสนับสนุนลดมลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5

‘บิ๊กตู่’ ไฟเขียว เอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 แต่ต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. ให้ถูกต้องก่อน ชี้ต้องผ่านเกณฑ์ 3 ด้าน ‘คุณภาพ -ความปลอดภัย – ประสิทธิผล’ เล็งระดมผู้เชี่ยวชาญร่วมพิจารณา เพื่ออนุมัติวัคซีนเร็วที่สุด

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ได้ โดยขอให้ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนวัคซีนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ถูกต้อง

ทั้งนี้ อย. จะพิจารณาตรวจสอบวัคซีนที่จะขอนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ซึ่งจะต้องได้รับการประเมินก่อนนำไปใช้จริง โดยทาง อย.จะประเมินทั้งในด้านคุณภาพ ด้านความปลอดภัย และด้านประสิทธิผลของวัคซีน ว่าเหมาะสมกับคนไทย โดยผู้ที่ต้องการขึ้นทะเบียนจะต้องแสดงข้อมูลเอกสารหลักฐานเพื่อประเมินคุณสมบัติของวัคซีนทั้ง 3 ด้านดังกล่าว

นายอนุชา กล่าวว่า โดย อย. ได้ปรับการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่ ด้วยการระดมเพิ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกมาร่วมพิจารณา เพื่อให้สามารถอนุมัติวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด แต่ยังคงไม่สามารถผ่อนคลายกฎเกณฑ์หรือลดหย่อนการกำกับดูแล เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน

“การจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 นี้ ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ภายใต้สถานการณ์ที่มีความต้องการใช้สูงทั่วโลก อีกทั้งวัคซีนที่มีอยู่ เพิ่งเสร็จจากงานวิจัยเข้าสู่กระบวนการผลิตของแต่ละบริษัท ดังนั้น การนำเข้าวัคซีนต้องมั่นใจว่าเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพมาตรฐาน และมีประสิทธิผล เนื่องจากวัคซีนที่ อย. รับขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ที่จะต้องมีระบบการกำกับติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้อย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว

‘กูเกิล’ ขู่เลิกฟังก์ชันสืบค้นข้อมูลในออสเตรเลีย หากถูกบีบให้จ่ายค่าคอนเทนท์สื่อ หลังรัฐบาลออสเตรเลีย เสนอร่างกฎหมาย Media Code ให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ จ่ายค่าคอนเทนท์สื่อท้องถิ่น เมื่อเดือนก่อน

บริษัท กูเกิล อิงค์ ประกาศว่า กูเกิลจะยกเลิกฟังก์ชันการสืบค้นข้อมูลในออสเตรเลีย หากรัฐบาลออสเตรเลียบังคับใช้กฎหมาย Media Code ซึ่งเป็นการบีบให้กูเกิลและเฟซบุ๊ก ต้องจ่ายเงินให้กับบรรดาบริษัทสื่อท้องถิ่น เมื่อมีการนำคอนเทนท์ของสื่อเหล่านั้นไปใช้

ขณะนี้ ทางรัฐบาลออสเตรเลียกำลังเร่งอนุมัติกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งจะทำให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างๆ ต้องเจรจาเรื่องการจ่ายเงินให้กับบรรดาสำนักข่าวและสถานีโทรทัศน์ในท้องถิ่นเมื่อมีการนำคอนเทนท์ของสื่อเหล่านั้นไปใช้

ทั้งนี้ หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ คณะอนุญาโตตุลาการของรัฐบาลออสเตรเลียจะเข้ามาเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดราคา

รัฐบาลออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมาย Media Code ในเดือนที่แล้ว หลังจากมีการตรวจสอบพบว่า กูเกิลซึ่งเป็นบริษัทลูกของอัลฟาเบท และโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก มีอำนาจทางการตลาดมากเกินไปในอุตสาหกรรมสื่อ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยที่เป็นไปด้วยดีในออสเตรเลีย

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกูเกิลครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงข้อพิพาทที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่มีรายงานว่า รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมออกกฎหมายที่จะบังคับให้เฟซบุ๊กและกูเกิลจ่ายค่าคอนเทนต์ข่าวให้กับธุรกิจสื่อ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่รัฐบาลมีคำสั่งในลักษณะดังกล่าว

ตลาดซื้อขายเงินดิจิทัล ส่อแววแข่งเดือด 3 นักลงทุนไทย ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ – ‘ปรีชา ไพรภัทรกุล’ – ‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ ร่วมลงขั้น เปิดตัว ‘Upbit Thailand’ บริการเทรดคริปโตฯออนไลน์ เปิดฉากอัดโปรโมชั่นหั่นค่าธรรมเนียมจูงใจ หลังก.ล.ต.ไฟเขียวใบอนุญาต

นายพีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Upbit Thailand เปิดเผยว่า Upbit Thailand ได้เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. 64 ที่ผ่านมาหลังจากที่ผ่านการตรวจสอบขั้นตอนสุดท้ายจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมได้รับอนุมัติให้เปิดให้บริการเรียบร้อยแล้ว

โดย Upbit Thailand ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี , ศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล , นายหน้าซื้อขายคริปโตเคอเรนซี และนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล ซึ่งบริษัทฯให้ความมั่นใจระบบการเทรดที่ปลอดภัยและเสถียร อีกทั้งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด 4 ประเภท จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี

“เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นอย่างมากสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตฯ ทั้งในไทยและในระดับโลก ด้วยความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงที่ Upbit ได้รับการยอมรับในระดับโลก เราตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การเทรดที่ดีเยี่ยม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภายใต้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจในประเทศไทย และความร่วมมือกับผู้ให้บริการระดับโลกจะทำให้เราสามารถนำเสนอบริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความล้ำสมัย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ และอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบและกรอบของกฎหมาย”

ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถใช้งาน Upbit Thailand ได้จากทุกแพลตฟอร์ม (เว็บไซต์ PC, Android App และ iOS App) สำหรับแคมเปญเปิดตัว Upbit Thailand เสนอส่วนลดค่าธรรมเนียมแก่ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนในช่วงแรกเหลือเพียง 0% สำหรับ makers และ 0.1% สำหรับ takers โดยใช้ได้กับคำสั่งทุกประเภท

สำหรับ Upbit Thailand เกิดจาการร่วมมือระหว่าง Upbit APAC Pte. Ltd. จากเกาหลีใต้ และนักลงทุนชาวไทยซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ ประกอบไปด้วย นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA, นายปรีชา ไพรภัทรกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท MOL Global จำกัด และนายชัชวาลย์ เจียรวนนท์ เจ้าของ Fortune Magazine

ขณะที่ Upbit ก่อตั้งโดย Dunamu Inc. ในปี 2560 ซึ่งถือว่าหนึ่งในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยวัดจาก volume การเทรด ปัจจุบัน Upbit เปิดให้บริการในประเทศเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

 

 

‘รมว.คมนาคม’ สั่งด่วน!! ทางหลวงเร่งตรวจสอบ-ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั่งร้านทรุด ขณะเทคอนกรีตบริเวณโครงการก่อสร้าง ทล.290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมาด้านเหนือตอน 2 พร้อมกำชับมาตรการความปลอดภัยทุกโครงการก่อสร้าง

จากกรณีเกิดอุบัติเหตุบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 205 ตอน โคกสวาย - แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 1 ที่ กม.217+500 โดยเกิดเหตุนั่งร้านทรุดตัวขณะกำลังดำเนินการเทคอนกรีตโครงสร้างพื้นส่วนบนของสะพานยกระดับคู่ขนานกับทางสายหลัก ส่วนที่ข้าม ทล.205 มุ่งหน้าโนนไทย ช่วงพื้นสะพานระหว่างคาน RA5-RA6 (1 ช่วง)

กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงที่ 10 (นครราชสีมา) และสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ โดยสภาพทางจุดตัดทางหลวงหมายเลข 205 และทางหลวงวงแหวนหมายเลข 290 ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวจราจรไม่มีหลุมบ่อ มีไฟฟ้าแสงสว่าง และการจราจรสามารถผ่านได้ปกติ เนื่องจากจุดโครงสร้างทรุดตัวไม่ได้อยู่ในช่องทางจราจรทางหลวงหมายเลข 205

และจากการตรวจสอบไม่มีทรัพย์สินของราชการเสียหาย ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน แบ่งเป็น ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 4 คน เป็นชาวกัมพูชา 7 คน พม่า 1 คน และคนไทย 1 คน ผู้บาดเจ็บขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และไม่มีผู้เสียชีวิต

สำหรับโครงการฯ 290 ตอน วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 มีกิจการร่วมค้า สี่แสง – โชคชัยเป็นผู้รับจ้าง เริ่มต้นสัญญาวันที่ 23 มกราคม 2561 ค่างานก่อสร้าง 1,400,998,295 บาท

ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน สำหรับแนวทางในการดำเนินการแก้ไข ทางโครงการฯ ได้ให้ทางผู้รับจ้างดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างนั่งร้าน และเศษวัสดุออกจากจุดเกิดเหตุโดยเร่งด่วน และให้เยียวยาผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บ พร้อมทั้งได้ประชุมวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

สำหรับในส่วนของแรงงานชาวกัมพูชา และแรงงานชาวพม่า เป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานกับทางโครงการฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้อยู่ในโครงการมาตั้งแต่ปี 2561 ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด อีกทั้งในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ทางโครงการยังไม่มีการรับแรงงานต่างด้าวมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด

พร้อมกันนี้ได้แจ้งให้ทราบบัญชาจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กำชับมาตรการความปลอดภัยระหว่างก่อสร้าง และเข็มงวดเต็มที่ ในทุกโครงการก่อสร้าง และให้ความช่วยเหลือดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top