Thursday, 2 May 2024
NEWS FEED

“บิ๊กตู่”เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 เร่งอาเซียนขับเคลื่อนข้อริเริ่มต่างๆ และการร่วมมือแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม

ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 ผ่านระบบการประชุมทางไกล พร้อมผู้นำสมาชิกอาเซียน โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 นี้ ซึ่งที่ประชุมมีประเด็นหลักที่หยิบยกขึ้นหารือหลักได้แก่ การรับมือกับความท้าทายสำคัญ โควิด – 19 บรูไนในฐานะประธานได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดและผลกระทบของโควิด – 19 ซึ่งได้ติดตามความคืบหน้าและพัฒนาการที่สำคัญของประชาคมอาเซียนด้วย 

นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงว่า การต่อสู้กับโควิด – 19 สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของภูมิภาคต่อภัยคุกคาม ดังนั้น นอกจากเราจะต้องร่วมมือกันแก้ไขเรื่องการแพร่ระบาดและผลกระทบของโควิด – 19 แล้ว ควรถอดบทเรียนจากโควิด – 19 มาใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประชาคมอาเซียนพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ในอนาคต ซึ่งก็แต่ง จึงขอเสนอประเด็นที่อาเซียนควรให้ความสำคัญ 3 ประการประการแรก ต้องดำเนินการตามข้อริเริ่มในกรอบอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพ และยินดีที่มีความคืบหน้ากรณีการเงินจากกองทุนอาเซียนจัดซื้อวัคซีนโควิด –19 และหวังว่าประเทศสมาชิกจะได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงโดยเร็ว

ทั้งนี้ ไทยได้แจ้งรายการสิ่งของที่บริจาคแก่คลังสำรองอุปกรณ์ทางการแพทย์อาเซียนแล้ว หวังว่าจะมีการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งอาเซียนควรเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่และเสริมสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขในระยะยาว ส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งไทยกำลังพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ และยินดีร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในเรื่องนี้ต่อไป 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประการที่สอง ควรเริ่มเปิดภูมิภาคและส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่กันอย่างปลอดภัย ใช้ประโยชน์จากกรอบการจัดทำระเบียงการเดินทางของอาเซียน และควรจัดทำแนวทางการรับรองวัคซีนระหว่างกัน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เปิดพื้นที่นำร่องต้อนรับนักท่องเที่ยวภายใต้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และสมุยพลัสไปแล้ว และจะเริ่มเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป เราต้องหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายสินค้า เพื่อรักษาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน และใช้ประโยชน์จากตลาดภายในอาเซียนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในการนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่าเพื่อส่งเสริมสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุน ความตกลง RCEP จะมีผลใช้บังคับตามเป้าหมาย และจะเดินหน้าการเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดาได้โดยเร็ว ประการที่สาม โควิด–19 ตลอดจนภัยธรรมชาติอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุทกภัย ไฟป่า และหมอกควันข้ามพรมแดน สะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของแนวทางการพัฒนาในปัจจุบันที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยละเลยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นที่มาของวิกฤตต่าง ๆ ที่รุนแรง ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องปรับกระบวนทัศน์ในการใช้ชีวิตทุกด้าน    เพื่อสร้างความสมดุล ทำให้การฟื้นฟูและพัฒนาอาเซียนเป็นไปอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ไทยดำเนินการอยู่ 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วาระสีเขียวของอาเซียน ควรเป็นแนวทางของภูมิภาคในอนาคตเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเป็นมิตรกับโลก โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวเข้ามาช่วยสนับสนุน และต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงจากทุกภาคส่วน อาทิ

ทบ.เปิด “รพ.สนามศูนย์คัดกรอง ” ตรวจโควิดครบวงจร แห่งใหม่ที่แหล่งชุมนุมนายทหาร พร้อมปรับปรุงสโมสร ทบ. รับนโยบายเปิดประเทศ 

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.ต.หญิง ปวีณา ศรีบัวชุม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน รัฐบาลได้ปรับมาตรการและเตรียมการเปิดประเทศใน 1 พ.ย. นี้ ในส่วนกองทัพบกยังคงดำรงความต่อเนื่องในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อคลี่คลายสถานการณ์และได้ปรับการปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) 

ทั้งการสกัดกั้นตามแนวชายแดนทั่วประเทศโดยกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และควบคุมให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกคนต้องผ่านการตรวจคัดกรองโควิด-19 ตามมาตรการของสาธารณสุข 

พ.ต.หญิง ปวีณา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้กองทัพบกยังได้ใช้ศักยภาพของหน่วยสายแพทย์ในการสนับสนุนงานด้านสาธารณสุข ทั้งเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนตามการจัดสรรของรัฐบาล, โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่งทั่วประเทศ ได้จัดทีมบุคลากรทางการแพทย์ รับผิดชอบดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่กักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และอยู่ในระบบการกักตัวในชุมชน(Community Isolation) อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามศูนย์คัดกรองกองทัพบกใน 3 พื้นที่ ได้แก่ โรงพยาบาลสนามศูนย์คัดกรอง (กรมการทหารช่าง), โรงพยาบาลสนามศูนย์คัดกรอง (มณฑลทหารบกที่ 11) และ โรงพยาบาลสนามศูนย์คัดกรอง (สโมสรทหารบก) ถ.วิภาวดี  ซึ่งเปิดดำเนินการ ตั้งแต่ 2 ส.ค. 64  ที่ให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชน รวม 42,793 ราย 

จนเมื่อสถานการณ์ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น กองทัพบกจึงร่วมกับสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค กรุงเทพมหานคร ย้ายสถานที่มาจัดตั้ง “โรงพยาบาลสนามศูนย์คัดกรอง (กรมแพทย์ทหารบก)” ณ แหล่งชุมนุมนายทหาร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถ.ราชวิถี เขตราชเทวี กทม. เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการตรวจคัดกรองโควิด-19, การเอกซเรย์ปอด, การรักษาโดยทีมแพทย์, รับยากลับบ้าน และการส่งต่อผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาตามระบบสาธารณสุขและสิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. 64 ในวันและเวลาราชการ ให้บริการประชาชนทั่วไป วันละ 500 คน ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า 1 วัน ผ่านทางแอปพลิเคชั่น QueQ เพื่อรับรหัสการนัดหมาย จากนั้นสามารถเข้ารับบริการได้ โดยแสดงหลักฐานดังกล่าวพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน

“บิ๊กบี้” ชูปลูกจิตสำนึกความรักชาติ พร้อมสนับสนุนนโยบายเปิดประเทศ พร้อมส่งกำลังพลช่วยปชช. รับมือพายุลูกใหม่

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานการประชุมสถานการณ์ประจำวันผ่านระบบออนไลน์ของกองทัพบก  โดยได้กล่าวถึงการจัดงานน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 5 และ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พสกนิกรทุกภาคส่วนและหน่วยทหารของกองทัพบก ได้จัดกิจกรรมอย่างสมพระเกียรติในช่วงที่ผ่านมา

ซึ่งพระราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ อันนำมาซึ่งความเจริญและความผาสุกของบ้านเมืองรวมทั้งประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นเรื่องที่กองทัพบกจะนำไปเผยแพร่ให้กำลังพลทุกระดับ ครอบครัวและทหารกองประจำการได้ศึกษา ได้รับทราบ เพื่อปลูกจิตสำนึกในความรักชาติ รักแผ่นดิน การทำความดี เป็นไปตามอุดมการณ์ของกองทัพบก เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ซึ่งนอกจากจะใช้เรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยและความเป็นชาติ ในการปลูกจิตสำนึกกับกำลังพลแล้ว กองทัพบกมีแนวคิดที่จะนำความรู้ในข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนทหาร และข้าราชการของกองทัพบกในวาระต่าง ๆ ต่อไป  

สำหรับนโยบายของรัฐบาลในการกำหนดมาตรการเพื่อเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวในเดือนพฤศจิกายนนี้ นั้น ผู้บัญชาการทหารบกกำชับให้ทุกส่วนได้สนับสนุนตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยการประสานทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการสกัดกั้นลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ ย้ำให้กองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ดำเนินการสกัดกั้นอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการประสานกับส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูล พยานหลักฐาน และติดตามการปฏิบัติทุกขั้นตอนนำไปสู่ต้นตอของขบวนการนำพา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด

ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ และที่อาจจะเกิดขึ้นในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมทั้งจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ทุกเหล่าทัพสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการช่วยเหลือประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์ เตรียมบูรณการร่วมฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด เพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนช่วงอุทกภัย คือ ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ระมัดระวังอุบัติเหตุในทุกเรื่อง 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับมอบเรือพาย จำนวน 40 ลำ จากบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้ในภารกิจช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันที่ 25 ต.ค. 64 
เวลา 14.00 น. ณ ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับผู้แทนจากบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)(CPN) นำโดย คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)(Deputy CEO), คุณเลิศวิทย์ ภูมิพิทักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน (SEVP Property Management) และคุณรุจิเรศ  นีปัทมะ ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานรัฐกิจสัมพันธ์ (SVP สรรหาที่ดินและรัฐกิจสัมพันธ์) พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบและมอบเรือพาย จำนวน 40 ลำ ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้ในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  

 

จับอีก 2 ล็อตใหญ่แรงงานพม่าหนีเข้าเมือง จ่ายค่าหัว 2 หมื่น แลกเข้าสมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ (กกล.สุรสีห์) เจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการข่าว กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ ร้อย.ตชด.136 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ไทรโยค เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ไทรโยค รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อ.ไทรโยค ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่บริเวณบ้านพุน้อย หมู่ 7 ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี 

ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่พบรถตู้หมายเลขทะเบียนนครปฐม วิ่งผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจค้น ผลปรากฏพบแรงงานชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั่งมาเต็มคันรถ นับรวมกันได้ 14 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 4 คน ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวไทยที่เป็นผู้นำพาได้ 2 คน ประกอบด้วยนายหรรษา อายุ 27 ปี คนขับ และ นายสุพล อายุ 30 ปี ทั้ง 2 เป็นชาว ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค 

จากการสอบถามผู้ต้องหาที่เป็นแรงงานชาวเมียนมา ทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อข้ามมาถึงชายแดนฝั่งไทย ผู้ต้องหาคนไทยทั้ง 2 คน ได้ขับรถตู้มารับเพื่อมุ่งหน้าไปทำงานในพื้นที่จังหวัดชั้นใน แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าจะไปทำงานในพื้นที่ใด โดยได้จ่ายค่าหัวให้กับผู้นำพาไปแล้วคนละ 20,000 บาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวแรงงานชาวเมียนมา รวมทั้งผู้ต้องหาที่เป็นชาวไทย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมก่อนที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘รอมแพง’ เอาจริง! ไม่มียอมความ เดินหน้าฟ้องผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ ‘พรหมลิขิต’

‘รอมแพง’ แจ้งความดำเนินคดีคนละเมิดลิขสิทธิ์ ‘พรหมลิขิต’ แล้ว งานนี้แฟนคลับแห่ซัพพอร์ตพร้อมบอกว่าให้สู้ๆ และนิยายสนุกมากๆ อีกด้วย

ทำเอาแฟนคลับและคอละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ ในภาค 1 โมโหตามเจ้าของบทประพันธ์ รอมแพง ทันทีหลังพบว่านิยายเรื่อง ‘พรหมลิขิต’ ซึ่งเป็นเสมือนภาค 2 ของบุพเพสันนิวาสที่กำลังดำเนินการถ่ายทำอยู่นั้นมีคนละเมิดลิขสิทธิ์ไป โดยรอมแพงได้ลงรูปเอกสารที่ยืนยันเรื่องลิขสิทธิ์ทางปัญญาของนิยายเรื่องนี้ว่าเป็นของเธอในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเล่าผ่านแคปชั่นว่า...

“ผบ.ทร.” สั่งทุกพื้นที่บังคับใช้กม.อย่างจริงจัง สกัดลักลอบเข้าเมือง -สิ่งผิดกม. คาดโทษจนท.เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องฟันไม่เลี้ยง ทั้งวินัย-อาญา /พร้อมย้ำกำลังพล-ครอบครัว ในการใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวัง ในการแสดงความคิดเห็นที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร

ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (บก.ทร.) พล.ร.ท. ปกครอง  มนธาตุผลิน เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ในฐานะ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.สมประสงค์  นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยการประชุมในครั้งนี้ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 โดยได้มีการตรวจ ATK เพื่อทำการคัดกรองผู้เข้าประชุม ก่อนเข้าร่วมการประชุม


 
ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มีการสั่งการในที่ประชุม ให้กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำที่กองทัพเรือมีหน้าที่รับผิดชอบ ร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะการนำแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง การค้ายาเสพติด สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด

นอกจากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยเน้นย้ำกำลังพล และครอบครัวเกี่ยวกับการใช้สื่อออนไลน์ การสร้างการรับรู้กรณีเฟคนิวส์ ซี่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีการใช้สื่อออนไลน์ในการแสดงความคิดเห็นที่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องทำให้สร้างความแตกแยกและขาดความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยเคารพเทิดทูน

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่อว่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะ รอง ผอ.ศรชล.ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆ บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวดและหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะต้องถูกลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น

‘ดร.ชัยภัฏ’ ขู่ถอดถอน ผู้บริหารจุฬาฯ ยกแผง หากยังเพิกเฉย ปมยกเลิกอัญเชิญพระเกี้ยว

ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ในฐานะอดีตนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงกรณี องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) ออกแถลงการณ์ ยกเลิกกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ ว่า การยกเลิกโดยอ้างเหตุผลว่าให้คนเท่าเทียมกันนั้น เป็นการโกหก ตลบตะแลง และสร้างความแตกแยก ซึ่งกิจกรรมขบวนอัญเชิญพระเกี้ยวเป็นการแสดงความกตัญญูรำลึกถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ในฐานะผู้พระราชทานกำเนิดมหาวิทยาลัย แต่การที่มายกเลิกกิจกรรม ถือเป็นการเนรคุณบุญคุณพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 คนที่ทำให้คนเท่ากันจริงคือพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระองค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงเลิกทาส เลิกไพร่ และส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี คนพวกนี้เหมือนอ่านหนังสือวนไปวนมาไม่เข้าใจ เนรคุณ ใช้คำพูดบิดเบือนสร้างความแตกแยก ทรยศผู้มีพระคุณ ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไร แต่เป็นพวกแหกคอก

ซึ่งทางคณะพิทักษ์เกียรติภูมิจุฬาฯ จะออกแถลงการณ์เรื่องนี้ในไม่ช้า ถึงผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ดำเนินการจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้ที่ทำผิดซ้ำซาก โดยเฉพาะนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากผู้บริหารจุฬาลงกรณ์ยังนิ่งเฉยไม่ยอมดำเนินการ ตนก็จะหาวิธีการถอดถอนอธิการบดี และนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อไป เพราะเมื่อเกิดเรื่องแล้วควรเรียกประชุมด่วนทันที สิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ต้องการสร้างความแตกแยก แต่มหาวิทยาลัยกลับไม่สนใจดำเนินการ

จีนพบเชื้อระบาดอีกระลอก หลังคุมได้ก่อนหน้า คาดอาจลามใหญ่ในอีกไม่กี่วัน

จากการรายงานของ Bloomberg มีคำเตือนจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนว่า การแพร่ระบาดจะยังคงเลวร้ายลงต่อไป และการติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของจีนจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดอาจยังคงขยายตัวต่อไป

อู๋เหลียงโหย่ว เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวในการบรรยายสรุปในกรุงปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ การระบาดของโควิด-19 ในจีนในปัจจุบัน เกิดจากสายพันธุ์เดลตาจากต่างประเทศ

หมี่เฟิง โฆษกคณะกรรมาธิการกล่าวว่าคลื่นของการติดเชื้อแพร่กระจายไปยัง 11 มณฑลตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีประวัติการเดินทางข้ามภูมิภาค และเขาเรียกร้องให้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ใช้ ‘โหมดฉุกเฉิน’

เตือนใจนักบุญโอนไว เหยื่อโหนสถาบันฯ ชั้นดี เจอบล็อกกลับ หากถามหา 'ความโปร่งใส'

จากเรื่องดีๆ สุดท้ายดันต้องกลายเป็นการเตือนภัยไปเสียนี่ หลังกลุ่มคนรักสถาบันได้มีการวิจารณ์ถึงบุคคลรายหนึ่ง ที่มักนำเสนอตนเองว่ารักในหลวง ปกป้องสถาบันฯ อย่างต่อเนื่อง จนโกยแม่ยกมาติดกันตรึม ชวนทำบุญเลี้ยงอาหารบุคลากรทางการแพทย์ ขอรับเงินโอนตั้งแต่พัน-สองพันยันหมื่นได้หมด!! 

แต่เหตุเจ้ากรรมดันโป๊ะแตกตรง พอมีคนถามถึงบัญชีกลับบล็อกผู้มีพระคุณเหล่านั้นเสียนี่!! 

ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อ 10 ต.ค. 64 ในโซเชียลมีเดีย กลุ่มคนรักสถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่มักจะเขียนสเตตัสแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการรับเงินบริจาคจากผู้สนับสนุนแล้วไม่แจงบัญชีรายรับ-รายจ่าย แต่กลับบล็อกคนที่เคยบริจาคให้ โดยบุคคลรายนี้ไม่ได้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่มีนามแฝงบนเฟซบุ๊ก นามสกุลคล้ายกับดารานักแสดงอาวุโสชื่อดัง มีไลฟ์สไตล์ชอบขับขี่รถจักรยานยนต์ราคาแพง รักการออกกำลังกายและผจญภัย มักจะเขียนบทความปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง

บุคคลรายนี้มีชื่อเสียงมาจากคลิปวิดีโอที่อ้างว่าไม่รู้ใครทำ นำเสนอตนเองขี่รถจักรยานยนต์ราคาแพง กล่าวถึงกลุ่มที่ถูกคนบางกลุ่มด้อยค่าว่าสลิ่ม ไม่เดือดร้อนเลยไม่ได้เข้าร่วมม็อบขับไล่รัฐบาล ความจริงคือทุกคนเดือดร้อน แต่ไม่โวยวายเพราะมีสถาบันพระมหากษัตริย์ยึดเหนี่ยวจิตใจ คลิปดังกล่าวมีคนกดไลก์กดแชร์จำนวนมาก สร้างชื่อเสียงให้แก่บุคคลรายนี้ และเจ้าตัวได้เขียนสเตตัสบนเฟซบุ๊กในเชิงปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง ทำให้มีผู้ติดตามและผู้สนับสนุนที่เรียกว่าแม่ยกจำนวนหนึ่ง

เมื่อถึงคราวที่ทำอาหารเพื่อทำบุญให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์โควิด-19 ก็จะชวนแม่ยกเหล่านั้นร่วมสมทบทุนค่าอาหาร และแจ้งเลขที่บัญชีธนาคารส่วนตัวที่กล่องข้อความ ซึ่งมีแม่ยกโอนเงินให้บุคคลรายนี้ครั้งละ 1,000-2,000 บาททุกเดือน บางคนโอนให้ 6,000-10,000 บาท เพราะตั้งใจอยากจะช่วยสมทบทุนค่าอาหาร ปรากฏว่าเมื่อมีแม่ยกสอบถามรายรับ-รายจ่ายเพื่อความโปร่งใส ก็ไม่มีการแจกแจงบัญชี กลับบล็อกเฟซบุ๊กคนที่เคยโอนเงินไปให้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top