Wednesday, 19 March 2025
ECONBIZ

ครม.อนุมัติเงินกู้ ให้สำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500 ล้านบาท เตรียมพร้อมรองรับคนใช้บริการราว 1.45 ล้านคน

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 ว่า ครม. อนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรองรับธุรกรรมการรับจำนำของประชาชนที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และเพื่อประกันการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน

ทั้งนี้เนื่องจากสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ประเมินว่า ในงบประมาณปี พ.ศ.2564 จะมีผู้มาใช้บริการประมาณ 1.45 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 48,333 ราย และมีจำนวนเงินรับจำนำประมาณ 20,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 609 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องเสนอแผนเงินกู้ดังกล่าวไว้รองรับ

“โรงรับจำนำของรัฐเป็นช่องทางหนึ่งที่เป็นแหล่งพึ่งพิงสำคัญ สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถกู้ยืมจากสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้ ซึ่งที่ผ่านมา สธค. มีผลประกอบการที่มีกำไรอย่างต่อเนื่อง มีความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ดี และวงเงินกู้ดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2564 ตามที่ ครม. ได้มีมติอนุมัติไปแล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563”

‘สุริยะ’ จี้ สมอ. คุมเข้มสินค้า 43 รายการ เสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิต ให้เร่งประกาศเป็นสินค้าควบคุม ทั้งไฟฟ้า ยานยนต์ เคมี วัสดุก่อสร้าง เครื่องมือแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ภายในปีนี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันจากที่เป็นอยู่ให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถดึงความสนใจของนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทยได้

ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมและกระทรวงอุตสาหกรรมต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างความมั่นใจภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ และในการผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำเป็นต้องมีมาตรการเสริมนอกเหนือจากการส่งเสริมการลงทุนโดยปกติ ซึ่งมาตรฐานก็เป็นหนึ่งในมาตรการที่มีความสำคัญต่อ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพสินค้าให้สามารถแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกได้

“ผมได้เร่งรัดให้ สมอ. เร่งดำเนินการกำหนดมาตรฐานเพื่อให้ทันกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนคุ้มครองประชาชนผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้เข้มงวด และควบคุมสินค้าที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยให้เร่งประกาศเป็นสินค้าควบคุมด้วย” นายสุริยะฯ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ได้ขออนุมัติบอร์ด สมอ. กำหนดมาตรฐานสินค้าทั้งสิ้นจำนวน 361 เรื่อง ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve จำนวน 117 เรื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve จำนวน 60 เรื่อง เช่น หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตอล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร กลุ่มอุตสาหกรรมเชิงนโยบายและอื่นๆ จำนวน 113 เรื่อง ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เกษตรแปรรูป พลาสติก ยาง สมุนไพร นวัตกรรม เป็นต้น และกลุ่มผลิตภัณฑ์พื้นฐานตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จำนวน 71 เรื่อง ได้แก่ เครื่องกล เหล็ก คอนกรีต วัสดุก่อสร้าง และโภคภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ไตรมาส 2 สมอ. กำหนดมาตรฐานแล้วทั้งสิ้นกว่า 250 เรื่อง และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด ภายในไตรมาสที่ 4 อย่างแน่นอน

“ขณะนี้ สมอ. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำมาตรฐานใหม่ที่จะประกาศเป็นสินค้าควบคุมอีกทั้งหมด 43 รายการ เช่น ยางหล่อดอกซ้ำ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนเคลือบสังกะสี หน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว ถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว กระดาษสัมผัสอาหาร ภาชนะพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำบริโภค เครื่องฟอกอากาศ ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร เก้าอี้นวดไฟฟ้า และเครื่องเล่นสนาม ได้แก่ ชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน อุปกรณ์โยก เป็นต้น และนำมาตรฐานเดิมมาทบทวนและเสนอบังคับต่อเนื่องอีกจำนวน 21 รายการ เช่น

มาตรฐานในกลุ่มสีย้อมสังเคราะห์ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างเครื่องจักรกล เตารีดไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ ท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ เครื่องดับเพลิง และแบตเตอรี่มือถือ เป็นต้น โดยทั้งหมดจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2564 นี้ จึงขอแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่จะทำสินค้าดังกล่าว ให้เตรียมตัวดำเนินการตามมาตรฐาน ทั้งที่ทำในประเทศ และนำเข้า เพราะท่านจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำหรือนำเข้า พร้อมทั้งให้เตรียมตัวยื่นขอใบอนุญาตก่อนวันที่มาตรฐานแต่ละรายการจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อได้ที่ สมอ. หรือจะยื่นขอ มอก. ออนไลน์ผ่านระบบ E-license ได้ที่ https://itisi.go.th/e-license/ ตลอด 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

“สุชาติ” เผย โครงการ ม.33 เรารักกัน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทำเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้าน เตรียมขอขยายตรวจหาเชื้อโควิดในแรงงานต่างด้าวไปอีก 1-2 เดือน

7 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุถึงการกระจายรายได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการ ม.33 เรารักกัน ว่า มีเม็ดเงินหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท จากจำนวนเงินในโครงการที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังได้ให้มา 37,000 ล้านบาท มีรอบเงินหมุนเวียนในตลาดมีการใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจำนวนเงิน 37,000 ล้านบาท หากมีการหมุนเวียน 1 เดือนจำนวนสามรอบจะมีเงินกว่าแสนล้านบาทขยายลักษณะแนวนอน ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากขยายตัวขึ้น

นายสุชาติ กล่าวถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ลามถึงทำเนียบรัฐบาลที่ทำให้รัฐมนตรีหลายคนต้องกักตัว ว่า ส่วนตัวมองว่ารัฐมนตรีทุกคนระมัดระวังตนเองอยู่แล้ว อย่างเช่นตน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามหามาตรการควบคุมอย่างดีที่สุดและในส่วนของกระทรวงแรง ตนได้กำชับสถานประกอบการและเดินหน้าตรวจโควิดให้กำแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนอย่างต่อเนื่อง และในวันนี้ขยายระยะเวลาการตรวจหาโควิดและเก็บอัตลักษณ์ในแรงงานต่างด้าวออกไป 1-2 เดือนเพราะกังวัลว่าจะไม่ทันวันที่ 16 เมษายนนี้

ปิดฉาก Motor Show 2021 ยอดจองในงานทะลักกว่า 2.7 หมื่นคัน ทะลุเป้าโต 51.5% เงินสะพัด 3 หมื่นล้าน ส่วนยอดเข้าชมกว่า 1.34 ล้านคน

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 42 ปี ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ได้รับความเชื่อมั่นจากค่ายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ต่างมั่นใจในศักยภาพของงานว่า มีส่วนช่วยกระตุ้นยอดจำหน่ายในช่วงที่เหลือของปีดังที่ปรากฏมาโดยตลอด และยังเป็นงานที่ผู้บริโภคต่างรอคอย เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการหาซื้อรถยนต์คันใหม่ เนื่องจากจะมีโปรโมชั่นและแคมเปญหลากหลายมากระตุ้นยอดขายในช่วงนี้

โดยที่ผ่านมาต้องเจอผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดจองลดลงจากช่วงปรกติ แต่ด้วยตัวเลขยอดจองในปีนี้ มีการเติบโตขึ้นจากปีก่อนถึง 51.5 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่ากำลังซื้อของคนไทยไม่ได้หายไปไหน แค่รอเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ในการออกแคมเปญ และโปรโมชั่นของค่ายรถช่วยให้ทุกคนเป็นเจ้าของรถคันใหม่ได้สะดวกขึ้น

ขณะที่ในส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคเองปีนี้ต่างให้การตอบรับกับรถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวก่อนหน้างาน และเปิดจองภายในงานมอเตอร์โชว์เป็นครั้งแรก เห็นได้จากบรรยากาศการเจรจาที่หนาแน่นดังเช่นทุกปีโดยเฉพาะในช่วงสุดสัปดาห์ที่มียอดจองเป็นสองเท่าของวันธรรมดา แต่ด้วยพฤติกรรมของคนผู้บริโภคเปลี่ยนไป เพื่อให้สมกับช่วงที่ต้องรัดเข้มขัด จึงหันมาซื้อหารถใหม่ที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่ามากขึ้น ขณะที่ตลาดรถหรูยังคงเติบโตตามเป้าด้วยสาเหตุที่ค่ายรถเองต่างชิงเปิดตัวสินค้าใหม่แทบทุกรุ่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย

ส่วนในด้านเทคโนโลยีปีนี้เป็นปีของยานยนต์ไฟฟ้า ผู้บริโภคต่างให้ความสนใจพร้อมเปิดรับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อค่ายรถหันมาทำตลาดรถยนต์ไฮบริด หรือรถปลั๊กอินไฮบริด เพิ่มมากขั้น ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อจากนี้คงต้องจับตาเมื่อมีผู้เล่นหน้าใหม่หันมาชิงตลาดนี้ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์ที่เกิดใหม่อย่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ที่เมื่อ 7 ปีที่แล้วเคยเข้ามาร่วมงานกับเราครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งการกลับมาในปีนี้พร้อมนำผลิตใหม่ ๆ เข้ามาสร้างสีสันภายในงาน คงต้องคอยดูว่า ในปีหน้าจะนำนวัตกรรมใหม่ๆอะไรบ้างเข้ามาร่วมงาน เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้เหนือสิ่งอื่นใด มาตรการป้องกันการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทางผู้จัดฯ วางไว้อย่างเข้มข้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย ทำให้ภาพรวมงานในปีนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี เหมือนกับธีมงานมอเตอร์โชว์ วิถีชีวิตใหม่ใจเป็นสุข เนื่องจากการจัดงาน นอกจากเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะในเรื่องของการจ้างงาน เพราะตั้งแต่การก่อสร้างจนลื้อถอน ต้องใช้แรงงานนับ 10,000 คนต่อวัน ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนตลอดระยะเวลาของการจัดงานกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมอีกด้วย

สำหรับปริมาณยอดจองรถยนต์ภายในงานมีจำนวนทั้งสิ้น 27,868 คัน คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 30,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 51.5% จากปีที่ผ่านมา และมีตัวเลขผู้เข้าชมงานสูงถึง 1.34 ล้านคน จากเดิม 1.049 ล้านคน เพิ่มขึ้น 28.6% ซึ่งบริษัทที่ทำยอดจองสูงสุดภายในงานได้แก่ อันดับ 1 โตโยต้า ยอดจองรวม 4,406 คัน,อันดับ 2 มาสด้า ยอดจองรวม 3,454 คัน,อันดับ 3 ฮอนด้า ยอดจองรวม 3,305 คัน,อันดับ 4 อีซูซุ ยอดจองรวม 2,829 คัน,อันดับ 5 ซูซูกิ ยอดจองรวม 2,689 คัน,อันดับ 6 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยอดจองรวม 1,863 คัน,อันดับ 7 เอ็มจี ยอดจองรวม 1,629 คัน,อันดับ 8 มิตซูบิชิ ยอดจองรวม 1,462 คัน,อันดับ 9 ฟอร์ด ยอดจองรวม 1,212 คัน และอันดับ 10 นิสสัน ยอดจองรวม 1,144 คัน

ส่วนแบรนด์รถจักรยานยนต์มียอดจองภายในงานรวมทั้งสิ้น 1,155 คัน ที่ทำยอดจองสูงสุดได้แก่ อันดับ 1 ยามาฮ่า ยอดจองรวม 815 คัน,อันดับ 2 ซูซูกิ 131 คัน,อันดับ 3 ฮาเลย์-เดวิสัน ยอดจองรวม 126 คัน,อันดับ 4 วรูม ผู้จัดจำหน่าย เคทีเอ็ม,บาจาจ และฮัสควาร์น่า ยอดจองรวม 83 คัน สำหรับยอดจองขอรถจักรยานยนต์ฮอนด้านั้น ทางบริษัทของดแจ้งยอด

LG Electronics Inc. กำลังปิดหน่วยสมาร์ทโฟน เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและมุ่งเน้นไปที่โครงการในอนาคตเช่นส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า หลังแผนกนี้ขาดทุนอย่างหนัก

LG จะยุติการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรในด้านการเติบโตรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV), บ้านอัจฉริยะ, หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์

ทั้งนี้ โทรศัพท์มือถือคิดเป็น 8.2% ของยอดขาย LG ในปีที่แล้ว โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีการสูญเสียรายได้อีกในระยะสั้น ฉะนั้นหากบริษัทปิดธุรกิจนี้ น่าจะเป็นผลดีทางการเงินในระยะยาว แล้วไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงไปทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีมือถือเช่นระบบเครือข่ายและกล้องรุ่นที่ 6

สำหรับ LG เริ่มผลิตโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในปี 1995 และ LG เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบปฏิบัติการ Android โดยร่วมมือกับ Google ของ Alphabet Inc. ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน Nexus และผลิตกล้องและเทคโนโลยีการแสดงผลที่ดีที่สุดในกลุ่มนี้

โดย LG Electronics เคยเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ยิ่งไปกว่านั้นในแง่ของส่วนแบ่งการตลาดในตลาดสหรัฐ LG ก็เคยเป็นอันดับสามรองจาก iPhone ของ Apple Inc. และSamsung Electronics Co. จากประเทศเดียวกัน

แต่ปัจจุบัน LG สู้คู่แข่งไม่ได้มาหลายปี และจากนั้น OnePlus ของจีน ก็พุ่งพรวดเข้ามาแทนที่ท่ามกลางการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปทั่วโลกให้กับคู่แข่งจากต่างประเทศ โดยธุรกิจมือถือของ LG ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่มาตั้งแต่ไตรมาสที่สองของปี 2015มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานสะสมถึง 5 ล้านล้านวอน (4,400 ล้านดอลลาร์) ในปีที่แล้วตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮัป

ดังนั้นในเดือนมกราคมผ่านมา ทางบริษัทจึงตัดสินใจทบทวนทิศทางของธุรกิจสมาร์ทโฟนใหม่ ด้วยการปิดไลน์ธุรกิจดังกล่าว ทั้งๆ ที่เมื่อเดือนก่อนหน้านั้นสัญญาว่าจะขายโทรศัพท์แบบพับได้ในปีนี้


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/649675

ไอเดียกระฉูด! รัฐบาล สั่งปั้นแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ต่อยอดระบบอี-เพย์เมนต์ เล็งเปิดให้ประชาชนกู้เงินกันเองผ่านแอปพลิเคชั่น

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังศึกษาแนวทางการต่อยอดการทำธุรกรรมของประชาชนผ่านระบบอี-เพย์เมนต์ ให้มากขึ้น โดยในอนาคตอาจให้ประชาชนสามารถปล่อยกู้ระหว่างกันเองผ่านแอพพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และประชาชนที่มีเงินออมเพียงพอที่จะสามารถปล่อยกู้และรับความเสี่ยงได้ก็ใช้ช่องทางนี้ปล่อยเงินกู้ได้ตามกฎหมายที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเชื่อว่าในอีกไม่นานจากนี้จะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น

สำหรับรูปแบบการดำเนินการในลักษณะนี้พบว่ามีต้นแบบการดำเนินการแล้วในต่างประเทศ เช่น ในประเทศจีนมีการดำเนินการโดยบริษัท อาลีบาบา ที่มีบริษัทลูกที่ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยวิเคราะห์เครดิตของผู้กู้เงินทำให้การปล่อยกู้เงินผ่านระบบแอพพลิเคชั่นสามารถทำได้

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การช่วยเหลือประชาชนผ่านระบบอีเพย์เมนต์ที่รัฐบาลโอนเงินช่วยเหลือให้ประชาชนผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตังหลายโครงการในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเรียนรู้การใช้จ่ายเงินผ่านระบบอีเพย์เมนต์ได้รวดเร็วโดยความสำเร็จในเรื่องนี้รวมทั้งข้อมูลที่รัฐบาลได้รับในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลกำลังพัฒนาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

จับตา 'คลัง'เคาะภาษีบุหรี่ใหม่ ตอบโจทย์ 4 ด้าน ระบุไม่จำเป็นต้องคงอัตราเดียวกัน

วันที่ 5 เมษายน  2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า จะนำผลการศึกษาเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่หารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็วที่สุด ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากโครงสร้างภาษีตุลาคม 2564 จึงต้องการสรุปรายละเอียดเพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและเตรียมปรับตัวในการดำเนินธุรกิจต่อไป

สำหรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่นั้น จะต้องตอบโจทย์ 4 เรื่อง คือ 1. ด้านสาธารณสุข 2. ด้านเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ จะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 3. ด้านรายได้ของรัฐบาลจะต้องไม่ลดลง และ 4. ด้านการดูแล บริหารจัดการบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอม ภายใต้โจทย์ทั้ง 4 เรื่องนี้ โครงสร้างภาษีใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มผู้ค้าบุหรี่บางกลุ่มต้องการ เพราะว่ามีข้อเสนอที่สุดโต่งเกินไป

นายลวรณ กล่าวอีกว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นอัตราเดียวเหมือนต่างประเทศ หรือตามกฎหมายเดิมที่ใช้ในปัจจุบัน โดยจะมีการปรับให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบริบทของผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากที่สุด จึงยังบอกไม่ได้ว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะอัตราเป็นอย่างไร จะเป็นอัตราเดียว หรือหลายอัตรา

"โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะมีการเสนอผลการศึกษาให้ รมว.การคลัง พิจารณาเห็นชอบมากกว่า 1 ทางเลือก ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เสนอว่าให้มีการจัดเก็บอัตราภาษีบุหรี่ 3 อัตรา โดยมีอัตราต่ำขึ้น เพื่อทำให้ ยสท. ขายบุหรี่ในราคาถูกได้นั้น ก็เป็นการเสนอได้ ส่วนการตัดสินใจทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกรมสรรพสามิต" นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันกรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีบุหรี่เฉลี่ยปีละ 60,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิตได้ให้ความสำคัญกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างภาษีบุหรี่ทั้งหมด ทั้งผู้ค้า และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ที่เริ่มใช้เมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้ขายใบยาสูบได้ลดลง ซึ่งทางกรมสรรพสามิตได้มีการจ่ายเงินเยียวยาให้มาเป็นเวลา 2 ปีก่อนเรื่อง

โดยล่าสุดกรมสรรพสามิตได้เสนอสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบประมาณปี 2564 วงเงิน 159 ล้านบาท ในการจ่ายชดเชยให้ผู้ปลูกใบยาสูบในปีการผลิต 2564

โควิดซาพาเงินเฟ้อเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมีนาคม 2564 ว่า  เงินเฟ้อในเดือนมีนาคม หดตัวลงเล็กน้อย โดยลดลง 0.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ถือเป็นการหดตัวที่น้อยสุดในรอบ 13 เดือน หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย โดยเฉพาะมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ทำให้ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานที่กลับมาเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 14 เดือน 

รวมทั้งน้ำมันพืช และเนื้อสุกรที่ยังมีราคาสูง โดยเนื้อสุกรปรับสูงขึ้นตาม ความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับมีต้นทุนในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มอาหารสด ยังหดตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา โดยลดลงร้อยละ 1.06 ตามการลดลงของ ข้าวสาร ไก่สด ไข่ไก่ และผักสด 

ขณะที่ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ปรับลดลงตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.นี้ สำหรับสินค้าในหมวดอื่น ๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตสินค้า การจัดโปรโมชั่น และอุปสงค์ที่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ ยังได้ปรับสมมุติฐานสำหรับคาดการณ์เงินเฟ้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต โดยคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในปี 2564 จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 0.7-1.7% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.2) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงจะมีการทบทวนอีกครั้ง

ททท. กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวกลุ่ม Expat ผ่านกีฬากอล์ฟ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยมาตรฐาน SHA

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬากอล์ฟในกลุ่มชาวต่างชาติที่พานักอยู่ในประเทศไทย (EXPAT) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวของประเทศไทยในกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง ผ่านทางโครงการ  “STAY PLAY SAFE”

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยและทั่วโลกได้เผชิญวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยตรง เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้เกิดการชะงักของระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลจึงได้เร่งสร้างความเชื่อมั่นด้วยมาตรการทางสาธารณสุขต่าง ๆ ควบคู่กับการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ โดยได้ดำเนินโครงการ “STAY PLAY SAFE” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข และ หน่วยงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 

“เพื่อสร้างการรับรู้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย AMAZING THAILAND SAFETY & HEALTH ADMINSTRATION : SHA และ การสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยปัจจุบันผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกิจการที่เกี่ยวข้องจานวนมากที่ได้ผ่านมาตรฐาน SHA

ทั้งนี้ ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย หรือ กลุ่ม EXPAT ซึ่งถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูง จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด อาทิ กรมการท่องเที่ยว ททท. การกีฬาแห่งประเทศไทย และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) บูรณาการการทำงานเพื่อร่วมสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มดังกล่าว

นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่า จากการทำงานอย่างหนักของรัฐบาล บุคลากรการแพทย์ และความร่วมมือของประชาชนชาวไทย ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนสามารถผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ตามลาดับ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ททท. ได้มุ่งเน้นในการสื่อสารไปยังนักท่องเที่ยวต่างชาติและกลุ่ม EXPAT เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในใจเสมอ (TOP OF MIND) รวมทั้ง สื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยและมาตรฐานด้านสาธารณสุขของไทยในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ 

ผ่านทางกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ กิจกรรมเดินทางท่องเที่ยวสัมผัส "ปอดกรุงเทพฯ" และ วิถีท่องเที่ยวชุมชน ณ คุ้งบางกะเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ชูจุดขายท่องเที่ยววิถีไทย วิถีธรรมชาติ ใกล้กรุงฯ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2563 กิจกรรมส่งเสริมการขาย “EXPAT FAIR 2020” (EXPAT TRAVEL DEAL 2020) ณ ควอเทียร์ แกลอรี ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ เมื่อวันที่ 11 – 13 กันยายน 2563 กิจกรรมเดินทางท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตที่สงบเรียบง่ายของเชียงคานและเสน่ห์ของจังหวัดเลย เมื่อวันที่ 10 – 11 ตุลาคม 2563 และกิจกรรมเดินทางท่องเที่ยวล่องเรือไฟฟ้า คลองดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563

ซึ่ง ททท. ได้วางแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการเดินทางของกลุ่ม EXPAT ที่มีความสนใจในกีฬากอล์ฟ โดยไ ด้กำห จัด กิจ THE MINISTER CUP 2 0 2 1 AMAZING THAILAND EXPAT GOLF TOURNAMENT SERIES เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจและกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยมี 2 กิจกรรม คือ

1) กิจกรรม THE MINISTER CUP 2021 ในวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 สนามกอล์ฟ อัลไพน์ กอล์ฟ คลับกรุงเทพฯ โดยการเชิญคณะทูตานุทูตและหอการค้าของประเทศต่าง เข้าร่วมกิจกรรมกอล์ฟเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้บริหารของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์โควิด-19 และ นโยบายการรับมือของประเทศไทยในปัจจุบัน รวมถึงแนวทางของรัฐบาลไทยในการดูแลชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และ การสร้างความมั่นใจต่อชาวต่างชาติถึง ความปลอดภัยในการทำกิจกรรมกอล์ฟ และ ท่องเที่ยวในเมืองไทย ที่มีมาตรฐานสุขอนามัย SHA รองรับ โดยได้รับเกียรติจากนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็น ประธานในพิธี

2) กิจกรรม AMAZING THAILAND EXPAT GOLF TOURNAMENT SERIES 2021 เพื่อกระตุ้นการเดินทางข้ามภูมิภาคของกลุ่ม EXPAT ในวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 สนามกอล์ฟสยาม คันทรี่ คลับ โอลด์คอร์ส จังหวัด ชลบุรี คาดว่า กิจกรรมดังกล่าว จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่ม EXPAT ในการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และสะท้อนถึงความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งประเทศไทย ได้ประสบความสำเร็จในการกักตัวในรูปแบบ Golf Quarantine อีกด้วย

ทีคิวเอ็ม เกาะกระแส ‘Surf Skate’ ฟีเวอร์ ผนึก 2 พันธมิตร ‘กรุงเทพประกันภัย - สินทรัพย์ประกันภัย’ ออกประกันออกประกันอุบัติเหตุ ‘Surf Skate’ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ความเสียหายอุปกรณ์ รวมทั้งร่างกายและทรัพย์สินบุคคลอื่นด้วย

นายอัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัท ได้จับมือกับ 2 พันธมิตร คือ บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) และบมจ.สินทรัพย์ประกันภัย ออกผลิตภัณฑ์ประกัน Surf Skate ผ่านคอนเซปต์ ‘Safe Before Surf’ เจ็บมา พังมา TQM ดูแล

เน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค กลุ่มลูกค้า Gen Y – Millennium ที่กำลังเกิดกระแส Surf Skate ฟีเวอร์ คาดว่า ปัจจุบันมีผู้เล่นมากกว่า 2 แสนคน โดยกรมธรรม์ดังกล่าว จะให้ความคุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาล ความเสียหายของอุปกรณ์เซิร์ฟสเก็ต และค่าเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินบุคคลอื่น ด้วยเบี้ยเริ่มต้นหลักร้อยบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเอาไว้ราว 10,000 กรมธรรม์ภายในปีนี้ แบ่งเป็นกรุงเทพประกันภัย 5,000 กรมธรรม์ และ สินทรัพย์ประกันภัย 5,000 กรมธรรม์

นายแพนพิทย์ พรรณนิภา Project Owner บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการคิดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกัน ‘Surf Skate’ ครั้งนี้ว่ามาจากประสบการณ์ของตนเองที่เป็นคนชื่นชอบการเล่นเซิร์ฟสเก็ตและกีฬาเอ็กซ์สตรีม เห็นโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บต่อตัวผู้เล่น รวมถึงอุปกรณ์เซิร์ฟสเก็ตที่มีโอกาสเกิดความเสียหาย ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวในปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูงมาก นอกจากนี้ในระหว่างการเล่นยังมีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บหรือทำให้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหายได้

ดังนั้น จึงร่วมมือกับพันธมิตรทั้ง 2 บริษัทออกแบบและพัฒนาประกันภัยดังกล่าว ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่รักการเล่นเซิร์ฟสเก็ตได้เป็นอย่างดี และประกันภัยดังกล่าวจะสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่นให้เข้าใจถึงความสำคัญของประกันภัยมากขึ้น และในอนาคตสามารถต่อยอดไปยังประกันภัยชนิดอื่นได้ เช่น ประกันชีวิตหรือประกันอุบัติเหตุอื่น ๆ ได้อีกด้วย

ด้านนายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BKI กล่าวว่า จากกระแสการกลับมาของเซิร์ฟสเก็ต ทำให้บริษัทเห็นโอกาสการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนให้ได้เล่นเซิร์ฟสเก็ตได้อย่างมั่นใจ จึงร่วมกับ TQM พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มครองรองรับการผู้เล่นเซิร์ฟสเก็ตโดยเฉพาะ ซึ่งทางบริษัทมีประกันภัยให้เลือก 2 แบบแผน คือ เบี้ย 999 และ 1,999 ต่อปี โดยให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ ความเสียหายของตัวบอร์ดจากอุบัติเหตุ

ขณะที่ นายสุริยน ศรีอรทัยกุล ผู้อำนวยการ บมจ.สินทรัพย์ประกันภัย กล่าวว่า สำหรับแผนประกัน Surf Skate ของสินทรัพย์ประกันภัยที่มีแผนประกันให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ ซึ่งมีทั้งหมด 4 แบบแผน คือ เบี้ย 499, 799, 999 และ 1,799 บาทต่อปี

แบงก์ชาติสำรองเงินสด 1.6 หมื่นล. รับคนเบิกใช้สงกรานต์

นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เดือน เม..นี้ ธปท. ประเมินว่า ความต้องการใช้ธนบัตรของประชาชนอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าปกติ โดยธนาคารพาณิชย์จะมีการเบิกจ่ายธนบัตรจาก ธปท. ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนเทศกาลสงกรานต์เพิ่มขึ้นจากการเบิกจ่ายปกติ เป็นมูลค่าสุทธิประมาณ 16,000 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นจากปี 2563 ที่มีการเลื่อนวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และใกล้เคียงกับปี 2562

ทั้งนี้การประเมินดังกล่าว สะท้อนถึงมาตรการภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ ในขณะที่แนวโน้มการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย  ธปท. ยืนยันว่า จะเตรียมสำรองธนบัตรชนิดราคาต่าง เพื่อรองรับความต้องการไว้อย่างเพียงพอ

ประเมินใช้จ่ายหยุดยาวสงกรานต์แค่คนละ 5,700 บาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผลสำรวจการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ พบว่า ในวันหยุดยาว 6 วันระหว่างวันที่ 10 - 15 เม.ย.นี้ การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนจะอยู่ที่ 5,700 บาท โดยการใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ 24,000 ล้านบาท หดตัว 4% แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเลี้ยงสังสรรค์รับประทานอาหารมากที่สุด อยู่ที่ 9,795 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนวันหยุดเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนและครอบครัว ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในกิจกรรมอื่น ๆ ปรับตัวลดลงทั้งหมด

สำหรับสาเหตุของค่าใช้จ่ายที่ลดลงนั้น เป็นเพราะความกังวลเรื่องสถานการณ์โควิด-19 และความเสี่ยงในการไม่มีงานทำหรือภาระค่าครองชีพ สะท้อนแนวโน้มสถานการณ์กำลังซื้อในระยะข้างหน้าจึงยังมีความเปราะบาง ดังนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเวลาและรูปแบบที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามจากการสำรวจมีสัดส่วน 67% ได้รับสิทธิจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน และมากกว่า 2 ใน 3 ของผู้ได้รับสิทธิ เห็นว่า ปัจจัยด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐมีผลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์

จ่อคุยสิงคโปร์จับคู่ประเทศเดินทางท่องเที่ยว

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว. การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะหารือกับทางสถานทูตสิงคโปร์ เพื่อพิจารณาแนวทางการเจรจาจับคู่การเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน (ทราเวลลบับเบิ้ล) โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 โดส และมีผลการตรวจไวรัสโควิด-19 เป็นลบ สามารถเดินทางไปมาระหว่างกันได้ ซึ่งกรรีนี้อาจเริ่มดำเนินการในระยะต่อไป หลังจากรัฐบาลได้เริ่มต้นนำร่องการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มนี้ให้เดินทางมาในประเทศไทยแบบไม่กักตัวในห้อง 7 วัน ในพื้นที่ของโรงแรมที่พักของจังหวัดภูเก็ตไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา 

“กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ถึงการทำบับเบิลระหว่างเมืองต่อเมือง หรือประเทศต่อประเทศ โดยมีหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น สิงคโปร์ ซึ่งตอนนี้รับทราบข้อมูลมาว่า สิงคโปร์เองนั้นมีการทำบับเบิลกับทางประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์มาก่อนหน้านี้ หากไทยสามารถหารือกับสิงคโปร์ได้ก็อาจทำเส้นทางร่วมกันได้ แบบ 1+3 คือ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ถือว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ โดยเฉพาะการเดินทางที่สามารถทำได้สะดวกมากขึ้น” 

ขณะเดียวกันรัฐบาลยังหาทางทำทราเวล บับเบิล ร่วมกับอีกหลายประเทศที่มีความน่าสนใจและอยู่ในอาเซียนอีกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิดน้อย จึงเป็นประเทศที่น่าสนใจที่จะทำการทราเวล บับเบิลร่วมกันได้ โดยจากนี้ไปคงต้องมีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องถึงรายละเอียดและความเป็นไปได้ว่าจะทำอย่างไร เช่นเดียวกับสปป.ลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านมีชายแดนติดกับไทยหลายจังหวัด และมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดน้อยเช่นเดียวกัน รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ด้วย คาดว่าการทำทราเวล บับเบิล น่าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป 

ประกันสังคม เปิดรับฟังความคิดเห็นลูกจ้าง ผู้ประกันตน ในการปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ

นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และผู้ประกันตน ยื่นข้อเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ซึ่งจากข้อเรียกร้องดังกล่าว นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้สำนักงานประกันสังคมเร่งดำเนินการศึกษาแนวทาง ถึงความเป็นไปได้ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกันตนให้มากที่สุด 

ในการนี้ สำนักงานประกันสังคมจึงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของนายจ้าง ผู้ประกันตน ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พร้อมทั้งได้จัดทำวีดิทัศน์ เพื่อให้ผู้ประกันตนรับชมก่อนตอบแบบสอบถาม โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญ เช่น กรณีขอเลือกให้ผู้ประกันตน เป็นผู้มีสิทธิในการเลือกรับประโยชน์ทดแทนบำเหน็จชราภาพหรือบำนาญชราภาพ กรณีขอคืน การคืนเงินสมทบกรณีชราภาพบางส่วนเมื่อผู้ประกันตนออกจากงาน กรณีขอกู้ ให้ผู้ประกันตนนำเงินสมทบกรณีชราภาพบางส่วน มาใช้เป็นหลักประกันเงินกู้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินได้ เป็นต้น

เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ประกันตน สำนักงานประกันสังคมจึงขอเชิญชวน นายจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ในเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมที่ http://www.sso.go.th หรือ แสดงความคิดเห็นผ่าน QR code ได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ / สำนักงานประกันสังคมจังหวัด / สาขา ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 นี้

นายกฯ ยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ดันเพิ่มป่า - เพิ่มเศรษฐกิจ จัดสรรที่ทำกินแล้วเกือบ 7 แสนไร่ ป่าชุมชนกว่า 6 ล้านไร่ 

วันที่ 2 เมษายน 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดูแลประชาชนให้มีพื้นที่ทำกินและยกระดับความเป็นอยู่ว่า ภายใต้การบริหารราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จัทน์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เดินหน้าการพัฒนาที่ดินเพื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง อีกทั้งมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า โดยยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ซึ่งรัฐบางได้ริเริ่มนโยบายใหม่ที่ครอบคลุมหลายมิติ ดังเห็นได้จาก การแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน ช่วยไม่ให้ชาวบ้านที่เก็บของป่ามาขายต้องถูกจับเหมือนในอดีต และให้อำนาจชาวบ้านในชุมชนในการตัดสินใจดูแลและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ของชุมชนตัวเอง ณ ปัจจุบัน มีการประกาศจัดตั้งป่าชุมชนไปแล้ว 11,327 ป่าชุมชน พื้นที่ 6.29 ล้านไร่ และมีแผนการจัดตั้งป่าชุมชนใหม่ในปี 2564 อีก 300 ป่าชุมชน 

มากไปกว่านั้น รัฐบาลยังได้ ปลดล็อก พระราชบัญญัติป่าไม้ อนุญาตให้ประชาชนปลูกไม้หวงห้าม 158 ชนิดในพื้นที่ของตัวเอง โดยไม่ถือเป็นไม้หวงห้ามอีกต่อไป ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลยังได้เปิดให้ลงทะเบียน “ปลูกไม้มีค่า” กับกรมป่าไม้ ถ้าปลูกในที่ดินของตัวเอง มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ก็สามารถทำไม้ ตัด แปรรูป ส่งออก หรืออื่น ๆ ได้ แต่ถ้าขึ้นอยู่ในป่า ยังถือเป็น “ไม้หวงห้าม” ปัจจุบันนี้ประชาชนปลูกไม้มีค่าและลงทะเบียนกับกรมป่าไม้แล้ว 7 หมื่นกว่าราย เนื้อที่รวม ล้านกว่าไร่ โดยมีโครงการคู่ขนานไปด้วย คือ ประชาชนสามารถนำไม้มีค่า ที่กำหนดไว้ 58 ชนิด (เช่น สัก ประดู่ พะยูง เต็ง มะค่าโมง เป็นต้น) ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรได้อีกด้วย

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประชาชนมี่ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลไกภาครัฐจึงต้องขับเคลื่อนในทิศทางที่ส่งเสริมโอกาสแก่ประชาชน ลดความขัดแย้ง ไม่ขัดกฎหมาย แนวคิด “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชน ทั้งนี้ แม้จะพบปัญหาเรื่องการใช้ที่ดินซ้ำซ้อนอยู่ในบางพื้นที่ ในภาพรวมของการดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ชุมชนให้สามารถอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ / ป่าชายเลน / ที่สปก. / ที่ราชพัสดุ / ที่สาธารณะประโยชน์ นับตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน จัดสรรให้แล้ว 60,419 ราย 74,612 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 665,000 ไร่ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น รัฐบาลยังได้ดำเนินการอย่างบูรณาการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงน้ำ ไฟฟ้า และถนน รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาอาชีพที่เหมาะสม เช่น การปลูกต้นไม้ในพื้นที่เป็นอาชีพเสริม เพื่อชุมชนมีรายได้เพี่มจากโครงการคาร์บอนเครดิตอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top