Sunday, 12 May 2024
ECONBIZ

ผลลัพธ์ความสำเร็จจาก APEC 2022 ต่อยอดความพร้อมศูนย์ฯ สิริกิติ์ สู่ เวทีโลก

(24 พ.ย. 65) ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จอย่างงดงามและภาคภูมิใจ สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (29th APEC Economic Leaders’ Meeting and Related Meetings) ภายใต้แนวคิดหลัก ‘เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล’ หรือ ‘Open. Connect. Balance.’ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยให้การต้อนรับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และผู้แทนจาก 20 เขตเศรษฐกิจ แขกเชิญพิเศษ รวมถึงสื่อมวลชน รวมกว่า 5,000 คน นับเป็นภาพความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยในทุกมิติ 

นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการ APEC 2022 Task Force กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “เบื้องหลังความสำเร็จของการจัดงาน APEC 2022 Thailand มาจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน ที่มุ่งมั่นเตรียมความพร้อมมาเป็นเวลาหลายปี รวมถึงคนไทยทุกคนที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดี เพื่อสร้างความประทับใจสูงสุดแก่ผู้มาเยือน” 

“ผมในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการ APEC 2022 Task Force ขอขอบคุณในทุกความทุ่มเท ที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของไทยในทุกด้าน ที่สำคัญยังยืนยันความพร้อมของไทยในการจัดการประชุมระหว่างประเทศ ด้วยสถานที่จัดงานที่มีมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี ที่ทันสมัย และบุคลากรที่มีความเป็นมืออาชีพที่พร้อมให้บริการด้วยความอบอุ่นแบบไทย” 

นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กล่าวว่า “ในฐานะสถานที่จัดประชุม ศูนย์ฯ สิริกิติ์ได้ให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยี และบริการ ความสำเร็จในครั้งนี้ได้ตอกย้ำการเป็น “ที่สุดของอีเวนต์แพลตฟอร์ม” ที่สามารถรองรับการจัดงานได้ทุกรูปแบบอย่างไร้ขีดจำกัด และยังเป็นพื้นที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงานทุกคน” 

นอกจากด้านพื้นที่แล้ว ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ยังได้รับความไว้วางใจให้บริการจัดงานเลี้ยงรับรองในระดับผู้นำ รัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมประชุม ไปจนถึงสื่อมวลชน ตลอดทั้งสัปดาห์การประชุม ภายใต้โจทย์ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว 

รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ 'แรงงานไทยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอนโดมิเนียม'

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา 13.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ 'แรงงานไทยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอนโดมิเนียม' ในพิธีเปิดงานสัมมนา 'ผ่ากลยุทธ์ธุรกิจคอนโดมิเนียม ปี 2023' เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ให้มีการขยายตัวเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ณ โรงแรมอโนมา แกรนด์ ถนนราชดำริ กรุงเทพฯ

นายสุรชัย กล่าวว่า งานสัมมนา 'ผ่ากลยุทธ์ธุรกิจคอนโดมิเนียม ปี 2023' เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะแต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลุ่มคอนโดมิเนียมเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก ที่จะได้รับทราบถึงสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ แนวโน้มการตลาดในอนาคต ซึ่งวันนี้ทุกท่านจะได้รับความรู้และ แนวทางการปรับแผนกลยุทธ์ของธุรกิจท่านให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

‘ไทย สมายล์ บัส’ เข้ากลุ่ม EA ควบรวมรถ – เรือโดยสาร ยกระดับบริการขนส่งมวลชนด้วยยานยนต์ไฟฟ้า

ไทย สมายล์ บัส เข้าร่วมเป็นบริษัทในกลุ่ม EA สยายปีก ควบรวมรถโดยสารเข้ากับเรือโดยสารยกระดับการขนส่งมวลชนด้วยยานยนต์ไฟฟ้าไร้มลพิษครบวงจร นำร่องช่วยลดการปล่อย CO2 พร้อมสะสม Carbon credit

(24 พ.ย.65) ณ ไทย สมายล์ บัส สาขาตลิ่งชัน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ทำพิธีเปิดให้บริการรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าสาย 515 เส้นทาง ศาลายา – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งในวันดังกล่าว บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (หรือ 'ไทย สมายล์ บัส') ยังได้ประกาศผลสำเร็จในการขยายธุรกิจของบริษัทที่สามารถควบรวมกิจการรถโดยสารและเรือโดยสารรวมทั้งสิ้น 21 บริษัท ไว้เป็นกลุ่มเดียวกันภายใต้แนวคิด Thai Smile as One ไทยสมายล์รวมใจเป็นหนึ่ง เป็นผลให้กลุ่มไทย สมายล์ และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) (หรือ 'BYD') ได้เข้าไปเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (หรือ “EA”) ผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานสะอาดและด้านยานยนต์ไฟฟ้า กล่าวว่า EA มีจุดยืนที่ชัดเจนที่จะพัฒนาและส่งเสริมการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ PM2.5 ตลอดจนลดต้นทุนพลังงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถเพื่อการพาณิชย์ที่มีการใช้งานสูง เช่น รถโดยสารประจำทาง รถบรรทุก เป็นต้น EA ได้มองเห็นศักยภาพของ BYD ซึ่งมีการลงทุนในบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด อันเป็นกลุ่มบริษัทที่เป็นเจ้าของใบอนุญาตให้บริการรถโดยสารประจำทางจากกรมการขนส่งทางบกจำนวนรวมสูงถึง 80 เส้นทาง และกำลังจะลงทุนเพิ่มอีก 6 เส้นทาง โดยมุ่งเน้นให้บริการด้วยรถโดยสารไฟฟ้าเป็นหลัก จึงนับว่ามีวิสัยทัศน์และแนวคิดที่สอดประสานกันกับกลุ่ม EA อย่างลงตัว จึงตัดสินใจนำบริษัทย่อยเข้าลงทุนใน BYD ร้อยละ 23.63 คิดเป็นมูลค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6,997 ล้านบาท และมีการจัดโครงสร้างด้วยการขายกลุ่มธุรกิจให้บริการรถโดยสารในเครือ EA จำนวน 37 เส้นทาง และเรือโดยสาร 3 เส้นทาง ให้แก่ไทย สมายล์ บัส เพื่อให้มีการควบรวมกิจการในคราวเดียวกัน ส่งผลให้กลุ่มไทยสมายล์มีสายการเดินรถในกรุงเทพฯและปริมณฑลกว่า 120 เส้นทาง และเรือโดยสารอีก 3 เส้นทาง นับเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่เสริมศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่ม EA ให้ครบวงจรอย่างแท้จริง และยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโอกาสทางธุรกิจจากการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าของบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง อีกทั้ง EA ได้ร่วมมือกับ BYD ในโครงการขายคาร์บอนเครดิตกับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมขึ้นอีกในอนาคตได้ ส่งเสริมให้กลุ่ม EA เป็นผู้นำทางด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจร

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะเดินหน้าลงทุนในกิจการรถโดยสารและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าตามแผนที่วางไว้ โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก BYD ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในรูปเงินให้กู้ยืมถึง 8,550 ล้านบาท และยังได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ทั้งในด้านเทคโนโลยี บุคลากร การวางแผนกลยุทธ์ การบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ และการสนับสนุนในทุกๆ ด้านที่สอดประสานกันอย่างเป็นระบบ ทำให้ไทย สมายล์ บัสเชื่อมั่นว่า จะสามารถขยายการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อตอบโจทย์ให้ทันใจต่อความต้องการของผู้ใช้บริการได้ตามแผน ทั้งนี้ ได้ประมาณการไว้ว่าต้องใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นอีกกว่า 18,000 ล้านบาท และสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน มากกว่า 7,500 ตำแหน่ง

“เราจะเป็นผู้นำในการพลิกโฉมการให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะของกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้เป็นเครือข่ายของระบบให้บริการขนส่งมวลชนด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่ไร้มลพิษและไร้ PM2.5 มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และครบวงจรเป็นประเทศแรกและใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยการให้บริการเส้นทางเดินรถและเดินเรือจำนวนกว่า 120 เส้นทาง เราได้นำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมต่อการเดินทางและการเก็บค่าโดยสารทางบกและทางน้ำเป็นโครงข่ายเดียวกัน  (หรือ Single Network) ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ยกระดับคุณภาพการให้บริการและจัดระบบการควบคุมได้อย่างรัดกุมแบบรวมศูนย์ หรือ (Single Service) และจะนำระบบการคิดค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย ภายในโครงข่ายของกลุ่มไทยสมายล์ (หรือ Single Price) เพื่อลดภาระของผู้โดยสาร แนวคิด 3-Single นี้  จะนำไปสู่การสร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกคนต่อไป” นางสาวกุลพรภัสร์กล่าว

รมว.สุชาติ ลุยสงขลา เปิดประชุมวิชาการประกันสังคม เร่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน ฟื้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว ภาคใต้

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการจัดงานประชุมวิชาการประกันสังคม 5 ภาค ประจำปี 2565 (ภาคใต้) Modernizing SSO 2022 : ก้าวสู่ระบบประกันสังคมที่ทันสมัย พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'นโยบายการพัฒนา และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้แรงงาน' โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม ลากูน่า แกรนด์ แอนด์สปา สงขลา จังหวัดสงขลา 

นายสุชาติ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจความสำคัญของงานประกันสังคมแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อรับฟังความคิดเห็นในการพัฒนางานประกันสังคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสำนักงานประกันสังคมสามารถนำไปใช้ขยายผลได้ในอนาคต โดยรัฐบาลภายใต้การนำของ ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็ว ภายหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมเป็นกลไกสำคัญของรัฐบาลในการช่วยเหลือนายจ้าง และผู้ประกันตน ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ โครงการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน โครงการ Factory Sandbox โครงการ ม.33 เรารักกัน โครงการเยียวยานายจ้าง และผู้ประกันตนในพื้นที่เข้มงวดสูงสุด โครงการเยียวยาผู้ประกันตนกิจการสถานบันเทิง ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ได้คลี่คลายลง รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลา และจังหวัดฝั่งอันดามัน 

‘อลงกรณ์’ รุกเปิด ‘ตลาดเกษตรกร’ 50 เขตในกทม. พร้อมดัน ‘ตลาดน้ำคลองบางซื่อ’ เป็นแลนด์มาร์กใหม่กลางกรุง

‘อลงกรณ์’ ดึง ‘อ.ต.ก.’ ผนึก ‘กทม.’ และการเคหะ เร่งเปิดตลาดเกษตรกร (Farmer Market) 50 เขตและตลาดน้ำคลองบางซื่อ ภายใต้โครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Urban Agriculture) เน้นเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมฯ ครั้งที่ 5/2565 ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting วันนี้ว่าที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้ดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 

1.) ความคืบหน้าโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้นและการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบัน กทม. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ภาคเอกชน ภาคประชาชน ปลูกต้นไม้ในพื้นที่ กทม. แล้ว 177,246 ต้น โดยมีเป้าหมายปลูกให้ครบ 1 ล้านต้น ภายใน 4 ปี ในพื้นที่ทั้ง 50 เขต รวมทั้งพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตสวนสาธารณะของ กทม.ด้วย ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานเกษตรจังหวัดพื้นที่กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการกรรมการโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) รวมทั้งมอบหมายให้คณะทำงานอื่น ๆ เช่นคณะทำงานโรงเรียน-วิทยาลัยสีเขียว (Green School-Green College) คณะทำงานมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green Campus) เป็นต้นร่วมสนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้ในกรุงเทพมหานครและอาจเพิ่มโครงการเป็น 2 ล้านต้นตามข้อเสนอของผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

2.) การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการปลูกผักสวนครัวเกษตรพอเพียงในสวนสาธารณะนำร่อง 5 แห่ง ได้แก่ 
(1) สวนจตุจักร เขตจตุจักร มีการทำศูนย์เรียนรู้ปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร และเลี้ยงไก่ 
(2) สวนเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา (ฝั่งพระนคร) เขตบางคอแหลม มีการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ผัก และให้ความรู้ แก่ผู้ที่สนใจ 
(3) สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง ศูนย์เรียนรู้ปลูกพืชผักสวนครัว 
(4) สวนสราญรมย์ เขตพระนคร เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้และศึกษาดูงานแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจ 
(5) สวนสันติภาพ เขตราชเทวี เป็นแหล่งเรียนรู้และเปิดรับแลกขยะรีไซเคิล

3.) ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการตลาดเกษตรกรหรือฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต (Farmer Market ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มีการขยายตลาดในรูปแบบตลาดเกษตรกรให้ครอบคลุม 50 เขต ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอผู้ว่าราชการฯ ซึ่งมอบหมายสำนักงานสิ่งแวดล้อมและสำนักงานเขต 50 เขต ให้พิจารณาสถานที่ที่เหมาะสม และโครงการปลูกพืชผักเกษตรปลอดสารพิษ 200 แปลง อีกทั้ง กิจกรรม Bangkok Green Market ตลาดสุขใจ ‘Green Clean Craft’ มียอดจำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคม - 20 พฤศจิกายน รวม 250,961 บาท ร้านค้าผู้ประกอบการ 185 ร้าน และผู้ใช้บริการฝึกอาชีพจำนวน 1,560 คน

4.) ผู้แทนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ประชาสัมพันธ์และเชิญร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งมีการจัดแสดงสินค้าผลผลิตเกษตร และมอบกระเช้าของขวัญแก่ผู้บริหาร และผู้ร่วมงาน ซี่งเป็นผลผลิตจากการดำเนินโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

5.) ผู้ช่วยผู้ว่าการเคหะแห่งชาติแจ้งว่าการเคหะพร้อมสนับสนุนการจัดตั้งตลาดเกษตรกรในโครงการการเคหะดินแดงซึ่งมีผู้อยู่อาศัย 6,000 ยูนิตรวมทั้งโครงการอื่นๆ

ทั้งนี้ประธานฯ แจ้งว่าจะประสานกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ ให้มาสนับสนุนโครงการตลาดเกษตรกรหรือฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต (Farmer Market) 50 เขตในกรุงเทพมหานคร

รวมทั้งการร่วมพัฒนาโครงการตลาดน้ำของอ.ต.ก. ในคลองบางซื่อเป็นตลาดเกษตรกรประเภทตลาดน้ำซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ โดยให้ฝ่ายเลขาประสานงานการลงพื้นที่พร้อมกับผู้ว่ากทม. และผู้ว่าการเคหะฯ สำรวจพื้นที่ตลาดน้ำอตก. และโครงการเคหะดินแดง

'อลงกรณ์' ดึง อตก.ผนึก กทม. และ การเคหะ เร่งเปิดตลาดเกษตรกร(Farmer Market) 50 เขตและตลาดน้ำคลองบางซื่อ

ภายใต้โครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Agriculture) เน้นเกษตรปลอดภัยอาหารปลอดภัย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมฯ ครั้งที่ 5/2565 ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting วันนี้ว่าที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ได้ดำเนินการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 

1. ความคืบหน้าโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้นและการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบัน กทม. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ภาคเอกชน ภาคประชาชน ปลูกต้นไม้ในพื้นที่ กทม. แล้ว 177,246 ต้น โดยมีเป้าหมายปลูกให้ครบ 1 ล้านต้น ภายใน 4 ปี ในพื้นที่ทั้ง 50 เขต รวมทั้งพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตสวนสาธารณะของ กทม.ด้วย ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานเกษตรจังหวัดพื้นที่กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการกรรมการโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank)รวมทั้งมอบหมายให้คณะทำงานอื่นๆเช่นคณะทำงานโรงเรียน-วิทยาลัยสีเขียว(Green  School-Green College) คณะทำงานมหาวิทยาลัยสีเขียว (Green Campus) เป็นต้นร่วมสนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้ในกรุงเทพมหานครและอาจเพิ่มโครงการเป็น2ล้านต้นตามข้อเสนอของผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

2. การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการปลูกผักสวนครัวเกษตรพอเพียงในสวนสาธารณะนำร่อง 5 แห่ง ได้แก่ 1) สวนจตุจักร เขตจตุจักร มีการทำศูนย์เรียนรู้ปลูกพืชผักสวนครัว พืชสมุนไพร และเลี้ยงไก่ 2) สวนเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา (ฝั่งพระนคร) เขตบางคอแหลม มีการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ผัก และให้ความรู้ แก่ผู้ที่สนใจ 3) สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง ศูนย์เรียนรู้ปลูกพืชผักสวนครัว 4) สวนสราญรมย์ เขตพระนคร เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้และศึกษาดูงานแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจ 5) สวนสันติภาพ เขตราชเทวี เป็นแหล่งเรียนรู้และเปิดรับแลกขยะรีไซเคิล

3. ความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการตลาดเกษตรกรหรือฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต (Farmer Market )ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มีการขยายตลาดในรูปแบบตลาดเกษตรกรให้ครอบคลุม 50 เขต ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอผู้ว่าราชการฯ ซึ่งมอบหมายสำนักงานสิ่งแวดล้อมและสำนักงานเขต 50 เขต ให้พิจารณาสถานที่ที่เหมาะสม และโครงการปลูกพืชผักเกษตรปลอดสารพิษ 200 แปลง อีกทั้ง กิจกรรม Bangkok Green Market ตลาดสุขใจ “Green Clean Craft” มียอดจำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคม – 20 พฤศจิกายน รวม 250,961 บาท ร้านค้าผู้ประกอบการ 185 ร้าน และผู้ใช้บริการฝึกอาชีพจำนวน 1,560 คน

4. ผู้แทนการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ประชาสัมพันธ์และเชิญร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน นี้ ซึ่งมีการจัดแสดงสินค้าผลผลิตเกษตร และมอบกระเช้าของขวัญแก่ผู้บริหาร และผู้ร่วมงาน ซี่งเป็นผลผลิตจากการดำเนินโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
5. ผู้ช่วยผู้ว่าการเคหะแห่งชาติแจ้งว่าการเคหะพร้อมสนับสนุนการจัดตั้งตลาดเกษตรกรในโครงการการเคหะดินแดงซึ่งมีผู้อยู่อาศัย6,000ยูนิต
รวมทั้งโครงการอื่นๆ

ทั้งนี้ประธานฯ แจ้งว่าจะประสานกับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.)และคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ.ให้มาสนับสนุนโครงการตลาดเกษตรกรหรือฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต(Farmer Market) 50 เขตในกรุงเทพมหานครรวมทั้งการร่วมพัฒนาโครงการตลาดน้ำของอตก.ในคลองบางซื่อเป็นตลาดเกษตรกรประเภทตลาดน้ำซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ.โดยให้ฝ่ายเลขาประสานงานการลงพื้นที่พร้อมกับผู้ว่ากทม.และผู้ว่าการเคหะฯ.สำรวจพื้นที่ตลาดน้ำอตก.และโครงการเคหะดินแดง

แอควา พาวเวอร์ - ปตท. - กฟผ. ร่วมลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนไทย เดินหน้าสู่ฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว

ปตท. เดินหน้าเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไทย ผนึก แอควา พาวเวอร์ - กฟผ. ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนไทย สู่ฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ตอบรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดของประเทศและภูมิภาคอาเซียนในอนาคต 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - เจ้าชายอับดุลอาซิซ บิน อับดุลอาซิซ อัล-เซาด์ (His Royal Highness Prince Abdulaziz bin Abdulaziz AL-Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (Minister of Energy of the Kingdom of Saudi Arabia) และ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนาและลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง (Derivatives) เพื่อตอบสนองการใช้พลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงโอกาสการส่งออกไปยังภูมิภาคใกล้เคียง ระหว่าง บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด (ACWA Power) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน ณ บ้านปาร์คนายเลิศ กรุงเทพฯ

ตามที่รัฐบาลได้ประกาศคำมั่นว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 ประเทศไทยมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเป็นฐานการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ในอนาคต ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนตํ่า (Low-Carbon Circular Economy) ของประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ท้าทายนี้ แอควา พาวเวอร์ ปตท. และ กฟผ. จึงได้ร่วมกันศึกษาโอกาสการลงทุนด้านพลังงานสะอาด เพื่อจัดตั้งโรงงานขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ ในการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย และมีเป้าหมายผลิตไฮโดรเจนสีเขียวในประเทศไทยประมาณ 2.25 แสนตันต่อปี หรือเทียบเท่ากรีนแอมโมเนีย 1.2 ล้านตันต่อปี ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบรับเทรนด์การใช้พลังงานสะอาดที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมถึงตอบสนองความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และศึกษาโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน

นายแพดดี้ ปัทมานาทาน รองประธานกรรมการ บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า การประกาศความร่วมมือกับ ปตท. และ กฟผ. แสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของซาอุดีอาระเบีย ในการสนับสนุนพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การสนับสนุนและร่วมศึกษาโอกาสการลงทุนในโครงการไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง (Derivatives) ในประเทศไทย ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในทิศทางเดียวกับซาอุดีอาระเบีย ส่งมอบพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพึ่งพาได้ เป็นการส่งเสริมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับวาระด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ความร่วมมือกับ ปตท. และ กฟผ. ในครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานที่จำเป็น รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม ตลอดจนทรัพยากรและความเชี่ยวชาญระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและบรรลุเป้าหมายต่อไป

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. มุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมสร้างเสถียรภาพทางด้านพลังงานแห่งอนาคตให้กับประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์ 'Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต' ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการสร้างความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ ในการผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดเพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญระดับประเทศและระดับโลก ปตท. จึงตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15  ภายในปี ค.ศ. 2030  บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ

TGPRO รุกธุรกิจกัญชงต้นน้ำ-ปลายน้ำ จับมือพันธมิตร 'แคนนาเจน' ตั้งเป้ารายได้ 120 ลบ.

TGPRO ส่งบริษัทย่อย เวิลด์ คลาส สมาร์ท ฟาร์ม ผนึกพันธมิตร แคนนาเจน รุกธุรกิจกัญชงต้นน้ำ-ปลายน้ำ เพาะปลูก ผลิต และ จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ช่อดอกกัญชงมาตรฐาน Medical-Grade ด้วยเทคโนโลยี Smart Farm หนุนเทรนด์ความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ เครื่องสำอาง ตั้งเป้าหมายรายได้ 120 ล้านบาท รับรู้ภายในปี 66 

นายรชต ลีลาประชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย-เยอรมัน โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGPRO ผู้ผลิตและจำหน่ายท่อสแตนเลส ภายใต้เครื่องหมายการค้า 'TGPRO' เปิดเผยว่า บริษัทมีการลงทุนในบริษัท เวิลด์ คลาส สมาร์ท ฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจผลิต และ จำหน่ายเรือนเพาะชำโดยเป็นการต่อยอดธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส ในการสร้างโรงเรือนเพาะปลูกด้วยวัสดุที่มีคุณภาพ มีความทนทาน ด้วยมาตรฐานระดับโลก เนื่องจากสเตนเลสทนการกัดกร่อนมากกว่าเหล็ก อายุการใช้งานยืนยาวกว่า อีกทั้งไม่เป็นสนิมและไม่มีผลร้ายต่อผลิตผลที่ได้ และยังรวมถึงการปลูกและจำหน่ายสินค้าเกษตรภายใต้แบรนด์ 'FUJI MEIJI' 

ทั้งนี้ บริษัท เวิลด์ คลาส สมาร์ท ฟาร์ม จำกัด จึงมีความพร้อมในการร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท แคนนาเจน จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการเพาะปลูกกัญชง เพื่อดำเนินการ เพาะปลูก ผลิต และ จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ช่อดอกกัญชงมาตรฐาน Medical-Grade แบบครบวงจร รวมถึงนำผลผลิตมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ โดยการสร้างโรงเรือนพร้อมระบบการจัดการแบบสมาร์ทฟาร์ม

“บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท แคนนาเจน จำกัด ด้วยความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงร่วมกันพัฒนากัญชงสายพันธุ์ใหม่ให้มีความทนทานต่อสภาพอากาศ เพิ่มผลการผลิต ลดความสูญเสียในการเพาะปลูก รวมถึงการเพิ่มมาร์จิ้นจากการต่อยอดผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อขยายตลาดให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม” นายรชต กล่าว

‘ท๊อป Bitkub’ เล็งขยายธุรกิจไป ‘ฮ่องกง’ หลังโดน ก.ล.ต. สั่งปรับหลายครั้ง

'ท๊อป จิรายุส' ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub เผยผ่าน The South China Morning Post ว่าเตรียมย้ายบ้านธุรกิจซื้อขายเหรียญคริปโต จากประเทศไทย ไปจดทะเบียนในฮ่องกง

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตชื่อดังของไทยเปิดเผยในระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่การประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC2022 ว่า กระดานเทรด Bitkub ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจแลกเปลี่ยน cryptocurrency มากที่สุดของประเทศไทย กำลังเล็งการขยายธุรกิจ ไปยังเขตพื้นที่ปกครองพิเศษฮ่องกง โดยเป็นจุดหมายปลายทางในการจดทะเบียนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าเป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดภายในปี 2567

"เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกฮ่องกงมากกว่านิวยอร์ก เช่นเดียวกับศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียที่มีหลักนิติธรรมและสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผมคิดว่าจุดแข็งของเราอยู่ที่ภูมิภาคอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะเชื่อมต่อกับตลาดใกล้บ้าน”

นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการล้มละลายของ FTX อีกด้วยว่า ความผิดพลาดของ FTX ซึ่งเป็นหนึ่งในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งได้ยื่นฟ้องล้มละลายในสหรัฐอเมริกา สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมันในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ท๊อป จิรายุส ยังคงไม่หวั่นไหวเกี่ยวกับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล

“บริษัทส่วนกลางไม่กี่แห่งจัดการเงินของลูกค้าผิดพลาดหรือมีธรรมาภิบาลที่แย่มากไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นไม่ดี จริงไหม ซึ่งจริง ๆ แล้ว Cryptocurrency เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่ามาก และลูกค้าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาเสมอ” ท๊อป จิรายุส กล่าว

อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการ เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งปฏิรูปกฎระเบียบสำหรับแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล หากตั้งใจที่จะแสวงหาบริษัทด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่ได้ยกตัวอย่างเฉพาะเจาะจงก็ตาม

“ฮ่องกงเป็นผู้นำด้านการเงินเสมอมา แต่เพื่อให้โมเมนตัมดำเนินต่อไปและยังคงเป็นผู้นำ พวกคุณควรมีกฎระเบียบที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น” ท๊อป จิรายุส กล่าวถึงกฎระเบียบที่ฮ่องกงควรมีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมคริปโต

ขณะที่ Bitkub ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสัดส่วนปริมาณธุรกรรมเงินเสมือนจริงมากถึง 90% ในประเทศ โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 23,000 ล้านบาทไทย (642 ล้านเหรียญสหรัฐ) ต่อวัน

อย่างไรก็ตาม Bitkub เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย แม้ว่าบริษัทมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ประกาศในเดือนสิงหาคมว่าได้ล้มเลิกแผนการที่จะซื้อหุ้น 51% ในบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัท ท่ามกลางปัญหาด้านกฎระเบียบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า จากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างชัดเจน ทำให้การขยายธุรกิจสู่สาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ Bitkub ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้ โดยเรียกปีที่จะมาถึงนี้ว่าเป็น 'ฤดูหนาว' สำหรับทุกภาคส่วน แต่บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การรวมผลผลิตให้มากขึ้น ในขณะที่ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง

“ปี 2567 เป็นปีที่เราหวังว่าจะสามารถเปิดเผยแผนงานระยะต่อไปสู่สาธารณชนได้ เมื่อสถานการณ์ต่างๆ กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจ” ท๊อป จิรายุส กล่าว

เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในด้านการลงทุน ท๊อป จิรายุส ให้ความเห็นว่า ฮ่องกงมีสภาพคล่องสูงกว่า หมายความว่าการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดทำได้ง่ายกว่า โดยปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มีบริษัทจดทะเบียนจากประเทศไทยเกือบ 40 แห่ง

นอกจากนี้ ท๊อป จิรายุส ยังได้ ฉายภาพเศรษฐกิจในอนาคตว่า 2 ชาติมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือจีนและสหรัฐฯ แบ่งประเด็นระดับโลกตั้งแต่การค้าไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างๆ ที่เข้าจดทะเบียนด้วย โดยเฉพาะบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะชอบฮ่องกง ในขณะที่บริษัทตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์ก

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 14 – 18 พ.ย. 65 จับตาปัจจัย ‘บวก - ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 21 – 25 พ.ย. 65

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 14 – 18 พ.ย. 65 จับตาปัจจัย ‘บวก - ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 21 – 25 พ.ย. 65

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ล่าสุดปรับตัวลดลง ICE Brent ลดลงเกือบ 4% WoW ส่วน NYMEX WTI ลดลงเกือบ 5% WoW โดยวันที่ 18 พ.ย. 65 ราคา ICE Brent และ NYMEX WTI ปิดตลาดต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีนยังไม่คลี่คลาย กดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันทางการจีนประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ อาทิ เมืองกว่างโจว, กรุงปักกิ่ง โดยให้ประชาชนอยู่ภายในที่พักอาศัย ปิดกิจการธุรกิจและโรงเรียนชั่วคราว และปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 65 ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการสาธารณสุขของจีน (National Health Commission: NHC) รายงานผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทั่วประเทศ วันที่ 19 พ.ย. 65 อยู่ที่ 24,435 ราย สูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 65 ทางเทคนิค ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent สัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 85-90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

• สำนักสถิติแห่งชาติจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Crude Throughput) ในเดือน ต.ค. 65 ลดลงจากเดือนก่อน  20,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 13.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอัตราการกลั่น (Utilization Rate) อยู่ที่ 73.6%

• รมว.กระทรวงต่างประเทศฮังการี นาย Peter Szijarto รายงานท่อน้ำมันดิบ Southern Druzhba (กำลังการขนส่ง 250,000 บาร์เรลต่อวัน) กลับมาดำเนินการเป็นปกติ หลังหยุดชั่วคราวเพียง 1 วัน เนื่องจากโรงไฟฟ้าซึ่งจ่ายไฟให้สถานีเพิ่มแรงดันตามแนวท่อถูกขีปนาวุธรัสเซียโจมตี ทั้งนี้ท่อดังกล่าวส่งน้ำมันดิบจากรัสเซียผ่านเบลารุส และยูเครน สู่ฮังการี สโลวาเกีย สาธารณะรัฐเช็ก และออสเตรีย

เบอร์ 2 AWS พบ ‘บิ๊กตู่’ ตอกย้ำลงทุนในไทย 1.9 แสนล้าน ช่วยขับเคลื่อนศก.ดิจิทัลไทย สอดรับกลยุทธ์ 3 แกน

รัฐบาลไทย ปลื้ม!! เบอร์ 2 AWS เยือนไทย ชี้ ความร่วมมือกับ AWS (Amazon web service) ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำของโลก จะทำให้ไทยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ระดับโลกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมาสู่ประเทศ สอดคล้องกับภารกิจในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาส่งเสริมกิจการของประเทศ ภายใต้ 3 แกนกลยุทธ์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยได้กล่าวไว้

ไมเคิล พังก์ รองประธานด้านนโยบายสาธารณะ เอมะซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) / (Mr.Michael Punke, Global Vice President, Public Policy AWS : ยืนข้างนายกรัฐมนตรี) เปิดเผยว่า การกำกับดูแลเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลทั่วโลก โดยบทบาทของรัฐบาลต้องทำให้เรื่องซับซ้อนนั้นง่ายขึ้น และจัดการปัญหาให้เล็กลง เช่น การคุ้มครองด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ดังนั้นรัฐบาลต้องมีการพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกันกับภาคเอกชน

"สำหรับภูมิภาคนี้มีศักยภาพ รัฐบาลจะต้องให้ธุรกิจเทคโนโลยีสามารถทำงานได้ตามข้อบังคับ เพื่อที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าพวกเขาสามารถไว้ใจแบรนด์ไหนได้บ้าง เพราะการทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของเรา เป็นพื้นฐานที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าหลายอย่างถูกใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะเรื่อง Data localization มีผลสำรวจว่า ประเทศที่มีข้อบังคับเรื่องนี้มากเกินไป มีค่าใช้จ่ายด้านไอทีเพิ่มขึ้น 30% ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ดังนั้นจึงยากมากที่จะสร้างการแข่งขันได้ในระดับโลก"

พังก์ กล่าวอีกว่า สำหรับ AWS เทคโนโลยีคลาวด์เป็นพื้นฐานของการสร้างนวัตกรรม คลาวด์เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning) และ 5G เทคโนโลยีเหล่านี้ต่างดำรงอยู่ได้เพราะมีระบบคลาวด์รองรับทั้งสิ้น

ทั้งนี้การประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ของ AWS ได้มีการเผยงบลงทุนในไทยราว 1.9 แสนล้านบาท เป็นการเปิดตัว Region ในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ AWS เอเชียแปซิฟิก (กรุงเทพฯ) เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานและจัดเก็บข้อมูลในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย

โดย AWS Asia Pacific (Bangkok) จะประกอบด้วย Availability Zone 3 แห่ง ซึ่งเพิ่มเติมจาก Availability Zone ของ AWS ที่มีอยู่แล้ว 87 แห่งใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก

นอกจากนี้ AWS ได้ประกาศแผนที่จะสร้าง Availability Zone ทั่วโลกอีก 24 แห่งและ AWS Region อีก 8 แห่งในออสเตรเลีย, แคนาดา, อินเดีย, อิสราเอล, นิวซีแลนด์, สเปน, สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทย AWS Region ที่กําลังจะมีขึ้นในประเทศไทย

โดยการลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยให้นักพัฒนา สตาร์ตอัพ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ, การศึกษา และองค์กรไม่แสวงผลกําไร สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันของตนและให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลของตนไว้ในประเทศไทยสามารถทําได้ โดยส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มีต่อภูมิภาคนี้ AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี

รมว.สุชาติ ชี้!! IMF คาดจีดีพีไทยโต - ว่างงานต่ำสุดในโลก ผลพวงนโยบายรัฐบาลบิ๊กตู่ช่วงโควิด-19

(21 พ.ย. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าถึงกรณีที่ IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานคาดการณ์ GDP ปี 2023 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผลปรากฏว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต มี GDP เป็นบวก คือ จาก 2.8 เป็น 3.7 โดยในเอเชีย มีเพียงไทยและจีน 3.2 เป็น 4.4 เท่านั้น ที่ IMF คาดการณ์ว่า GDP จะเป็นบวก ไม่นับฮ่องกงและมาเก๊า (ข้อมูลอ้างอิงจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetary Fund (IMF) ที่ได้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉบับเดือนตุลาคม 2565) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวไหลกลับเข้ามา รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลได้ไปเจรจาไว้ โดยเฉพาะ EEC และเสถียรภาพทางการคลังของประเทศด้วย

‘สุริยะ’ มอบ กนอ. เร่งดำเนินการ หลัง ‘ไทย-จีน’ เซ็น MOU ปั้นนิคมฯ ในไทย พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน 

‘สุริยะ’ มอบ กนอ.เร่งดำเนินการประสานงาน หลังกระทรวงอุตสาหกรรม (MOI) จับมือ กระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณประชาชนจีน (MOFCOM) ลงนามบันทึกความเข้าใจตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน เจาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ และเศรษฐกิจหมุนเวียนชีวภาพ 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม แห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงพาณิชย์ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมนโยบายความคิดริเริ่ม ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ (Belt and Road initiatives) เชื่อมโยงสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ตลอดจนร่วมกันเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เร่งศึกษาและดำเนินการประสานงานต่อไป

ม.หอการค้า คาดการลงทุน BCG ตามมากว่า 6 แสนล้าน หลังรัฐ 'จุดติด-สร้างความตื่นตัว' ในเวที APEC 2022

(21 พ.ย.65) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยได้ผลักดันให้เกิดการรับรอง 'เป้าหมายกรุงเทพฯ' ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bangkok Goals on BCG Model) ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2022 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุดของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้ ถือเป็นกรอบการดำเนินการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง สมดุล มั่นคง และยั่งยืน โดยผ่านความร่วมมือ 4 ด้าน คือ...

1.) การจัดการผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ 
2.) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่ยั่งยืนและครอบคลุม 
3.) การอนุรักษ์บริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยังยืน 
และ 4.) การบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! IMF ชี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัว ท่ามกลางการชะลอตัวของทั่วโลก

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้รับทราบถึงรายงานที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.7 ในปี 2566 จากร้อยละ 2.8 ในปีนี้ พร้อมกับคาดว่าการว่างงานของไทยจะอยู่ในอัตราต่ำที่สุดในเอเชียแปซิฟิกที่ 1.0% โดยไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ IMF มองว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวได้ท่ามกลางการชะลอตัวของทั่วโลกที่เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนการครองชีพที่สูงขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยินดีกับผลการประเมินของ IMF และเห็นว่าความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับแต่สามารถจัดการกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้ รัฐบาลได้เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเตรียมภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ แรงงานจำนวนมากให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว การมีมาตรการดึงดูดนักลงทุน เปิดพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ มาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top