Thursday, 3 July 2025
ECONBIZ NEWS

ธปท.สั่งรื้อค่าธรรมเนียมแบงก์ 300 รายการ

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมออกประกาศหลักเกณฑ์เรื่องการกำกับดูแลค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์กว่า 300 รายการ ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อให้การคิดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของธนาคารพาณิชย์ให้สะท้อนต้นทุนและรายได้ที่เกิดขึ้นจริง โดยทุกธนาคารจะต้องทบทวนและเปิดเผยค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจนบนเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบเลือกใช้บริการแต่ละธุรกรรมได้ว่า คิดค่าธรรมเนียมเท่าไรบ้าง

“การออกหลักเกณฑ์นี้ เพื่อให้การคิดค่าธรรมเนียมสะท้อนต้นทุน และ รายได้ที่เกิดขึ้นจริง โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวทุกธนาคารจะต้องทบทวน และเปิดเผยค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจนบนเว็บไซต์ รวมทั้งให้ ธปท. ดึงข้อมูลเพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบเลือกใช้บริการแต่ละธุรกรรมได้ แต่ ธปท.จะไม่กำหนดเป็นอัตราว่าค่าธรรมเนียมแต่ละประเภทจะอยู่ในสัดส่วนเท่าใด เนื่องจากต้นทุนแต่ละธนาคารแตกต่างกัน และทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างธนาคาร  อย่างไรก็ดี หลังประกาศหลักเกณฑ์ไปแล้ว ธปท.จะสุ่มตรวจอีกครั้งว่า อัตราค่าธรรมเนียมของแต่ละธนาคารเป็นอย่างไร สอดคล้องกับต้นทุนธนาคารหรือไม่” 

ส่วนการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ในปีหน้า ธปท. เตรียมที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรด้วย ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้พักชำระหนี้นั้น ธปท. ชี้แจงว่า การพักหนี้ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน แต่การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่ดีและ เหมาะสมมากกว่า ที่ผ่านมาธปท. ได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน ให้กับนายจ้างและลูกจ้าง ที่ได้รับผลกระทบ เริ่มตั้งแต่ ก.ค. นี้ ซึ่งถือมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้อย่างตรงจุด

รมช.แรงงาน เปิดสัมมนาออนไลน์ “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” เปิดมุมมองใหม่ เร่งช่วยเหลือคนพิการทุกกลุ่ม ให้มีอาชีพ มีรายได้ สู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดงานสัมมนา “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “เปิดมุมมอง ปรับแนวคิด เข้าใจคุณค่าของผู้พิการ” ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม Microsoft Team และถ่ายทอดสดทาง Facebook Live เพจสำนักงาน ก.ล.ต.  กระทรวงแรงงาน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยกล่าวว่า งานสัมมนาในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้เพิ่มการจ้างงานคนพิการ  เพิ่มการจัดสัมปทาน และเพิ่มกิจกรรมทางสังคม เพื่อให้คนพิการสามารถได้รับความช่วยเหลือในหลายๆ เรื่อง มีโอกาสที่จะพัฒนา หารายได้เลี้ยงดูตนเอง และได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเครือข่ายภาคเอกชนและภาครัฐ และสร้างกลไกตลาดทุนเพื่อเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ โดยกระทรวงแรงงาน และคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพ มีความพร้อมที่จะร่วมดำเนินการเพื่อให้เรื่องดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม 

รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการจัดสัมปทานตามมาตรา 35 และกิจกรรมด้าน CSR เพื่อพี่น้องคนพิการ เป็นความช่วยเหลือที่ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการเพื่อสร้างโอกาสให้คนพิการมีอาชีพ มีรายได้ และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และในวันนี้ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมเสวนาผ่านระบบออนไลน์ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะช่วยให้พี่น้องคนพิการได้รับโอกาสทั้งในการทำงาน การพัฒนาตนเอง และการหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ขอขอบคุณ สำนักงาน ก.ล.ต. และทุกหน่วยงานที่ร่วมจัดงานเป็นอย่างสูง และขอให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จลุล่วงและเกิดประโยชน์แก่พี่น้องคนพิการอย่างแท้จริง

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การสัมมนาในวันนี้ ภายใต้ชื่อ “ให้กลไกตลาดทุนเกื้อหนุนผู้พิการสร้างงานสร้างอาชีพ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดกิจกรรมด้านสังคมเพื่อคนพิการให้มากขึ้น ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจจากตัวอย่างของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนที่มีการจ้างงานคนพิการ ซึ่งมีหลากหลายกิจกรรมที่สามารถสนับสนุนและช่วยเหลือคนพิการและครอบครัวได้ ก.ล.ต. จึงคาดหวังว่า การร่วมกันจัดกิจกรรมในลักษณะนี้จะช่วยให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการเพื่อรองรับการประกอบอาชีพที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ทำหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูล และกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ เพื่อรองรับการประกอบอาชีพ โดยบูรณาการการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงนโยบายของรัฐบาล การจัดงานวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนงานช่วยเหลือคนพิการตามกลไกดังกล่าว ซึ่ง กพร. ดำเนินกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือคนพิการมาโดยตลอด ทั้งการฝึกอบรมทักษะอาชีพเพื่อส่งเสริมการมีงานทำ รวมถึงการพัฒนาและรับรองหลักสูตรการฝึกเพื่อคนพิการ ตาม ม.35  นอกจากนี้ กพร.ยังมีภารกิจ และกิจกรรมที่สถานประกอบกิจการสามารถมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม CSR ได้ เช่น การฝึกอบรม การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน และการจัดการแข่งขันฝีมือคนพิการ เป็นต้น

การสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ในวันนี้ ยังมีผู้ร่วมเสวนาอีกหลายหน่วยงาน ได้แก่ คุณสมชาย มรกตศรีวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ในประเด็น ข้อกฎหมาย แนวทางการให้ความช่วยเหลือ และสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องสำหรับสถานประกอบการ  และคุณสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในประเด็น การให้ความช่วยเหลือคนพิการตาม พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายท่าน ได้แก่ คุณชูศักดิ์ จันทนานนท์ ประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย คุณอภิชาต การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม คุณดวงพร เที่ยงวัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ดร.ชาติชาย นรเศรษฐาภรณ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในนามบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณกรณิศ ธนสุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และคุณอาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายสื่อสารองค์กรและเครือข่ายตลาดทุน สำนักงาน ก.ล.ต.

“โฆษกศบศ.”เผย”นายกฯ”ถกศบศ.หารือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน 22ก.ค.นี้  ยัน เยียวยานายจ้าง-ผู้ประกันตน ม.33,39,40 คาดต้น ส.ค.เงินเข้าบัญชี

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.)กล่าวว่า ในวันที่22ก.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.)ครั้งที่3/2564 หารือสถานการณ์เศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน รวมไปถึงมาตรการเยียวยาต่างๆ

สำหรับความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเร่งด่วนผู้ประกอบการนายจ้าง ลูกจ้าง แรงงานกลุ่มอาชีพอิสระ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย  9สาขากิจการ ในพื้นที่ 10 จังหวัด ที่ครม.อนุมัติวงเงินโครงการเยียวยา ม.33 เพิ่มอีก10,985.316 ล้านบาท รวมเป็น 13,504 .696 ล้านบาท ทางสำนักงานประกันสังคมได้เปิดให้ผู้ประกอบการรายใหม่และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 40 ตามลำดับ ภายในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เพื่อได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ และความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ประกันสังคม สำหรับผู้ประกอบการในระบบ  161,839 ราย ลูกจ้างมาตรา 33 สัญชาติไทย จำนวน 2,871,592 ราย ที่เข้าสู่ระบบแล้ว ส่วนอีก 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และอยุธยานั้น จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามลำดับต่อไป 

นายธนกร กล่าวว่า สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาลูกจ้าง นายจ้าง และผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33, 39 และ 40 เมื่อสำนักงานประกันสังคมได้รับจัดสรรเงินงบประมาณจากรัฐบาล และตรวจสอบข้อมูลถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะโอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน ส่วนนายจ้างมาตรา 33 ที่เป็นนิติบุคคลที่เคยผูกบัญชีกับธนาคารเอาไว้แล้ว จะโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ตั้งแต่แรก โดยรายละเอียดการจ่ายเงินให้กับลูกจ้างตามมาตรา 33 กระทรวงแรงงานจะจ่ายเงินกองทุนประกันสังคมเป็นเงินเยียวยา 50% ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท โอนเข้าบัญชีให้กับลูกจ้างที่กรอกมาในระบบ E-Service  และรัฐบาลจะสมทบเพิ่มเติมอีก 2,500 บาท ผ่านพร้อมเพย์  ส่วนนายจ้างตามมาตรา 33 รัฐบาลจะจ่ายเงินเยียวยาให้นายจ้าง 3,000 บาท ต่อจำนวนลูกจ้างไม่เกิน 200 คน ผ่านพร้อมเพย์  และผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 จะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล 5,000 บาท โอนเงินผ่านพร้อมเพย์เช่นเดียวกัน คาดว่าจะโอนเงินช่วยเหลือรอบแรกได้ภายในต้นเดือนส.ค.นี้  

นายธนกร กล่าวว่า ผู้ที่มีอาชีพอิสระ ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีแต่ไม่เกิน 65 ปี ที่ยังไม่เคยเข้าระบบประกันสังคม สามารถลงทะเบียนมาตรา 40 เพื่อรับการช่วยเหลือและความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียวสมัครผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) บิ๊กซี (Big C)หรือสมัครด้วยตนเองที่ www.sso.go.th โดยสามารถเลือกการจ่ายเงินสมทบเพื่อได้รับความคุ้มครองที่ต่างกันใน 3 ทางเลือก คือ จ่าย 70 บาท จ่าย 100 บาท และจ่าย 300 บาท ต่อเดือน ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองทันทีเมื่อชำระเงินงวดแรก 

“ประยุทธ์” มอบทีมเศรษฐกิจหาทางเยียวยากลุ่มเพิ่มเติม “ระบุ”เห็นใจปชช.ใช้ชีวิตลำบากหลังยกระดับล็อกดาวน์ แนะรีบลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมโดยเฉพาะอาชีพรถจักรยานยนต์รับจ้าง Taxi รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าที่หาเงินวันต่อวัน ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะไปจ่ายเงินเพื่อเข้าระบบประกันสังคม ว่า ในส่วนการเยียวยาต่างๆ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ฝ่ายเศรษฐกิจไปพิจารณาในพื้นที่ที่มีการล็อกดาวน์เพิ่มเติม โดยยืนยันว่านายกฯ พยายามจะดูแลอะไรที่สามารถเยียวยาได้เร็วก็จะนำเข้าพิธีการพิจารณาอนุมัติในที่ประชุมครม.เร็วที่สุด ดังนั้นสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งนายจ้างลูกจ้างที่อยู่ในมาตรา 33 มาตรา 39 มาตรา 40 และแม้กระทั่งคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนขอให้รีบลงทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนก.ค.นี้ เพื่อจะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาตามมาตรการ 

นายอนุชา กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มอื่นๆที่ยังไม่ได้รับการเยียวยานายกฯ ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาหาทางเยียวยาเพิ่มเติม จึงขอให้ทุกคนมีความมั่นใจว่านายกฯ มีความใส่ใจดูแลเพื่อให้มีการเยียวยาเพิ่มเติมในกลุ่มอื่นๆได้ อย่างไรก็ตามขณะนี้นายกฯและครม. เห็นใจประชาชน โดยเฉพาะที่ไม่สะดวกสบายในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่คณะแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมดที่ขนาดนี้ต้องดูแลพี่น้องประชาชนต่างมีความเหน็ดเหนื่อย จึงต้องให้กำลังใจกัน 

นายอนุชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้นายกฯ ติดตามการดำเนินงานของทุกส่วนราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถสั่งการและมอบหมายนโยบายเพิ่มเติมให้ได้ตลอดเวลา โดยมีการประชุมพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ดังนั้นขอให้ทุกคนพิจารณาข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันด้วย ซึ่งรัฐบาลพยายามให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและชัดเจนให้มากที่สุด

ออมสินช่วยลูกหนี้กู้ไม่เกิน 2 แสน “พักต้น-ดอก” นาน 6 เดือน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน ได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ สูงสุด 6 งวด (พักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย) เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์ยากลำบากให้กับลูกหนี้กลุ่มที่เป็นลูกค้ารายย่อย ซึ่งจากฐานข้อมูลลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร ประเมินว่าจะสามารถช่วยเหลือลูกค้าที่มีสิทธิ์พักหนี้ตามมาตรการนี้ ในจำนวนมากถึงกว่า 750,000 ราย เป็นยอดหนี้คงเหลือกว่า 50,000 ล้านบาท

สำหนับมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท และไม่ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับผู้ได้รับผลกระทบทำให้ต้องเลิกกิจการ ถูกเลิกจ้าง ขาดรายได้ ฯลฯ (ยกเว้นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ) โดยพักเงินงวดผ่อนชำระให้สูงสุด 6 งวด เริ่มตั้งแต่งวดเดือนกรกฎาคม – เดือนธันวาคม 2564 หลังจากนั้นเมื่อสิ้นสุดระยะการพักชำระหนี้ ให้กลับมาจ่ายเงินงวดตามเงื่อนไขเดิม โดยเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้พักไว้ จะถูกนำไปรวมชำระในงวดสุดท้ายของสัญญาเงินกู้หรือข้อตกลงที่ทำกับธนาคาร 

ทั้งนี้ ช่วงระยะเวลาที่พักชำระหนี้ ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระและไม่ส่งผลต่อข้อมูลเครดิตของลูกค้า รวมถึงไม่มีดอกเบี้ยผิดนัดชำระและค่าปรับใด ๆ โดยธนาคารแบ่งความช่วยเหลือเป็น 2 เฟส เริ่มเฟสแรกวันที่ 25 กรกฎาคม 2564 และเฟสที่สองช่วงเดือนสิงหาคม ลูกค้าจะทยอยได้รับ SMS หรือ Notification แจ้งทางแอป MyMo ให้สามารถกดรับสิทธิ์เพื่อขอพักชำระหนี้ผ่านแอป MyMo จนเสร็จสิ้นกระบวนการ กรณีที่ลูกค้ายังไม่มีแอป สามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานด้วยตนเอง หรือ ติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

กรมการจัดหางาน  แนะประชาชนรับบริการผ่านระบบออนไลน์ ปลอดภัยจาก COVID-19

อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำประชาชนใช้บริการช่องทางออนไลน์ของกรมการจัดหางาน เลี่ยงการเดินทางไปสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 – 10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามมาตรการล็อกดาวน์ 

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน  เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศข้อกำหนดและข้อปฏิบัติออกตามความในมาตรา 9  แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ . 2548 (ฉบับที่  28) ข้อ 9 ให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด สั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรในความรับผิดชอบ ดำเนินมาตรการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเต็มจำนวน และมุ่งเน้นการปฏิบัติงานหรือจัดกิจกรรมโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มากที่สุด เพื่อลดจำนวนและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคล ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป 

“อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานได้เตรียมช่องทางการให้บริการประชาชน ผ่านทางออนไลน์ (E – Services) เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว ลดความเสี่ยงรับเชื้อโควิด -19 จากการเดินทางและการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก โดยสามารถใช้บริการผ่านช่องทางต่อไปนี้
1. ผู้ที่ต้องการหางานทำ หรือนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการหาคนทำงาน สามารถใช้บริการได้ที่ smartjob.doe.go.th หรือ ไทยมีงานทำ.com  
2. ขึ้นทะเบียน/รายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน  ใช้บริการได้ที่  empui.doe.go.th 
3. ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co-Payment) ได้ที่ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com  
4. ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทำงานต่างประเทศ แจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง /แจ้งการเดินทางกลับไปทำงานต่างประเทศ ใช้บริการได้ที่ toea.doe.go.th 
5. ระบบแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ทาง Application ชื่อ  e-inform

นอกจากนี้ยังมีสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ให้บริการตอบข้อซักถามแก่ประชาชน ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปติดต่อราชการ ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ขอให้ตรวจสอบวันและเวลาให้บริการก่อนเดินทางเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาหากมีการปิดสถานที่ให้บริการ รวมทั้งสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ และปฏิบัติตามมาตรการที่เจ้าหน้าที่แนะนำอย่างเคร่งครัด  ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ครม.ปรับ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ขยายเวลาใช้สิทธิ์ถึง30พ.ย.-เพิ่มวงเงินคำนวณเป็น 10,000 บาทต่อคนต่อวัน- ลดคนใช้สิทธิ์-ลดงบประมาณเกือบ2หมื่นล้านบาทเหตุประกาศ ศบค. ทำคนเดินห้างน้อยลง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แหลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีว่า(ครม.)ว่า ครม.อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้”โดยขยายระยะเวลาการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรือรับบริการที่ได้รับการสนับสนุนบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์(  e-Voucher )จากเดิมระหว่าง 1 ก.ค.- 30 ก.ย.2564เป็นตั้งแต่ 1 ก.ค.-30 พ.ย.2564 และเพิ่มวงเงินใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณสิทธิ ไม่เกิน 10,000 บาทต่อคนต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. -30 พ.ย.นี้ โดยจำกัดวงเงินใช้จ่ายสูงสุดที่จะนำมาคำนวณสิทธิe-Voucher ไม่เกิน60,000 บาทต่อคน นอกจากนั้นปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ จากเดิมไม่เกิน  4 ล้านคน เป็นไม่เกิน 1.4 ล้านคน ทำให้กรอบวงเงินโครงการลดลงจาก 28,000 ล้านบาท เป็น 9,800 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 18,200 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า จากประกาศข้อกำหนดของศบค.ที่ผ่านมา ให้ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกัน ในเขตพื้นที่กทม.และปริมณฑล และในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ของประเทศ เปิดดำเนินการได้ถึงเวลา 20.00 น.เฉพาะการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน ส่วนร้านค้าและร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าต้องปิดชั่วคราว อาจมีผู้ใช้สิทธิ์น้อยลง จึงมีการปรับเปลี่ยนโครงการเพื่อความเหมาะสมด้วย

หวั่นเศรษฐกิจเจอผลกระทบล็อกดาวน์หนักสูญ 1.2 แสนล.

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งหอการค้าไทยมีความเป็นห่วงสถานการณ์อย่างมาก โดยเฉพาะการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดอีก 3 จังหวัด รวมเป็น 13 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สายการผลิตเพื่อการส่งออก โดยต้องการให้รัฐบาลแยกผู้ติดแยกออกมาให้ได้ และเร่งกระจายการฉีดวัคซีนควบคู่ไปกับการเยียวยา โดยหากดูตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่ารัฐบาลจะต้องขยายล็อกดาวน์เพิ่มมากกว่า 14 วัน 

นายสนั่น กล่าวว่า หากมีการขยายล็อกดาวน์ออกไปมากกว่า 14 วัน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ล่าสุดหอการค้าประเมินความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจเบื้องต้น คาดว่า จะเพิ่มจากเดิมที่ประมาณไว้ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อวัน เป็นวันละ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อวัน ถ้าคำนวณผลกระทบ 1 เดือน ประมาณ 90,000-120,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตามเพื่อให้การล็อกดาวน์ มีประสิทธิภาพมากขึ้น คนลดการเคลื่อนย้ายจริง ต้องมีมาตรการช่วยลดค่าใช้จ่ายและเสริมรายได้ในช่วงนี้ เงินกู้ที่เตรียมไว้ 500,000 ล้านบาท จำเป็นต้องนำมาเร่งใช้ในช่วงนี้ หรือภายในไตรมาส 3 และหากไม่พอรัฐบาลก็สามรถกู้เพิ่มเติมได้ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลมีแผนจะกู้เพิ่ม 7 แสนล้านบาท แต่กู้เพิ่มล่าสุด 5 แสนล้านบาท ก็ยังมีกรอบที่จะดำเนินการเพิ่ม

“อนุชา” เผย รัฐ เร่งช่วยลูกหนี้กลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ “พักชำระหนี้ 2 เดือน ก.ค.-ส.ค.นี้ เน้นช่วยธุรกิจที่ถูกปิดสั่งปิด ให้ยืนได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเข้าใจผลกระทบจากการออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้น เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงเร่งประสานหน่วยงานทางการเงินออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางโดยเร็ว โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ออกมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ขนาดกลางและขนาดย่อม( SMEs )และรายย่อย ที่เป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง ในสถานประกอบการที่ต้องปิดกิจการจากมาตรการหรือตามคำสั่งของรัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงระยะเวลาระยะเวลา 2 เดือนนี้  เริ่มตั้งแต่งวดการชำระหนี้เดือนก.ค. -ส.ค.2564 นี้ โดยมาตรการพักชำระหนี้ คือเลื่อนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปเป็นระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งเป็นเพียงมาตรการที่ช่วยเหลือระยะสั้น ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศ ส่วนลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพและสามารถชำระหนี้ได้ แนะนำให้ชำระหนี้ต่อเนื่องไม่ให้ภาระหนี้ในอนาคต เช่นเดียวกับลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินในขณะนี้ ควรดำเนินการต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

นายอนุชา กล่าวว่า สถาบันการเงินที่เข้าร่วม ครอบคลุมธนาคารพาณิชย์ไทย ต่างประเทศสถาบันและการเงินเฉพาะกิจ (Non-bank)ชมรมผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต จำนำทะเบียนรถ  ครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภท รวมถึงหนี้บัตรเครดิตของลูกหนี้ขนาดกลางและขนาดย่อม และลูกหนี้รายย่อย ซึ่งลูกหนี้สามารถติดต่อสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. เป็นต้นไป

นายอนุชา กล่าวว่า ธปท. ย้ำว่าที่สถาบันการเงินพักชำระหนี้ให้เป็นเวลา 2 เดือน เป็นการให้ลูกหนี้ไม่ต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ให้แก่สถาบันการเงินในระยะเวลาดังกล่าว สถาบันการเงินต้องห้ามไปเรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้พักชำระไว้จากลูกหนี้หลังพ้น 2 เดือนนี้แล้วทันที แต่ให้ทยอยเรียกเก็บเงินจำนวนนี้หรือเรียกเก็บในช่วงท้ายของสัญญา และจะไม่ถือว่าลูกหนี้มีสถานะผิดนัดชำระหนี้ และไม่เป็นหนี้ค้างชำระในเครดิตบูโร และสถาบันการเงินจะไม่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยในการผิดนัดชำระหนี้ได้ เพราะยังถือว่าเป็นหนี้ดีอยู่

"การพักชำระหนี้ เป็นเพียงมาตรการเร่งด่วน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ที่ธปท.และสถาบันการเงินร่วมกันช่วยลูกหนี้ที่ฐานะทางการเงินอ่อนแอ ยืดเวลา ชะลอภาระทางการเงินเป็นการชั่วคราว สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะคนตัวเล็ก ที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างเต็มที่ในช่วงเวลานี้ ให้รักษาและดำเนินกิจการได้ต่อไปในขณะที่ยังต้องมีการจำกัดกิจกรรม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกระยะหนึ่ง" นายอนุชา ฯ กล่าว

รัฐเดินหน้าแก้ปัญหาสินเชื่อ-ไกล่เกลี่ยเจ้าหนี้ อุ้มร้านค้า/ร้านอาหารฝ่าวิกฤต"โควิด"  พรุ่งนี้! เริ่มลงทะเบียนพักหนี้ ช่วยSMEและรายย่อย ที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการรัฐ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ทุกภาคส่วนออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้มีความสามารถประคับประคองธุรกิจให้ก้าวข้ามความยากลำบากช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 โดยเฉพาะผู้ประกอบการSME ซึ่งขณะนี้ธนาคารรัฐและธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ได้ขานรับโดยออกมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 2เดือน ช่วยSME และรายย่อย ที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการของรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นความประสงค์ที่ธนาคารเจ้าหนี้ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. ถึง 15 ส.ค. บางแห่งถึง31ส.ค.นี้ สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ร้านตึกแถว ร้านในห้าง ฟู้ดทรัค บู๊ทขายอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบมาหลายระลอก  ธนาคารออมสินได้ออกสินเชื่อเป็นการเฉพาะ โครงการ ”สินเชื่ออิ่มใจ” ให้วงเงินกู้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย  ไม่ต้องใช้หลักประกัน ปลอดการชำระเงินงวด 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี นาน 5 ปี  โดยเปิดให้ยื่นขอสินเชื่อแล้วจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. หรือจนกว่าจะครบวงเงินโครงการ

ขณะที่ กรมบังคับคดียังเร่งให้ความช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้า ร้านค้าและร้านอาหาร ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับเจ้าหนี้ ซึ่งจะมีถึงวันที่ 31 ส.ค.นี้ ณ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี และสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ จำนวน 116 แห่ง ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้และลูกหนี้ ได้เจรจากันด้วยความพึงพอใจ สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ และลูกหนี้ก็สามารถชำระหนี้ได้เช่นกัน อีกทั้งช่วยลดปัญหาหนี้สิน ส่งผลให้ลูกหนี้ไม่ถูกยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ หรือนำไปขายทอดตลาดในที่สุด จึงขอเชิญชวนประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้สินซึ่งศาลมีคำพิพากษาแล้ว และอยู่ระหว่างการบังคับคดี เข้าร่วมการไกล่เกลี่ย โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถยื่นคำร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์กรมบังคับคดีwww.led.go.th และแอปพลิเคชัน Session call หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 02 881 4840 /02 887 5072 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top