Thursday, 12 December 2024
ECONBIZ NEWS

'อนุชา' เปิดกิจกรรม 'ไทยพร้อม APEC พร้อม' โชว์ความพร้อมการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทย

'อนุชา' เปิดกิจกรรมรณรงค์ 'ไทยพร้อม APEC พร้อม' มุ่งเน้นนำเสนอภายใต้แนวคิด 'เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล' ในการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทย

(14 ก.ย. 2565) ห้องบอลรูม 1-3 โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมรณรงค์ “ไทยพร้อม APEC พร้อม” ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทย ปี พ.ศ. 2565 โดยในพิธีเปิดกิจกรรมนี้ มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมด้วย ได้แก่ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์, นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, นายธนวัต ศิริกุล รองอธิบดีกรมสารนิเทศ, นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และตัวแทนจากเขตเศรษฐกิจทั้งจาก 20 เขตเศรษฐกิจ

ชาวนาเฮ!!! 'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' เผยงบข้าวอินทรีย์ผ่านฉลุย 'ครม.' เห็นชอบ 1,747 ล้าน เงินชดเชยผลิตข้าวอินทรีย์รายละ 15 ไร่ๆ ละ 2-4 พันบาท

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเปิดเผยวันนี้ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบกลางปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,747.90 ล้านบาท สำหรับเป็นเงินอุดหนุนเกษตรกรของโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ปี 2563 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์กรมการข้าว ได้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2560 - ปัจจุบัน มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 58 จังหวัด 5,818 กลุ่ม รวม 130,082 ราย มีพื้นที่ผลิตข้าวอินทรีย์รวม 1,209,911 ไร่

โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินชดเชยรายได้จากการผลิตข้าวที่ได้ผลผลิตลดลงในระยะเริ่มต้นของการผลิตระบบอินทรีย์ไม่เกิน รายละ 15 ไร่ ในอัตราตามที่กำหนด คือ 
.
1.) เกษตรกรที่ผ่านการประเมินเตรียมความพร้อม (T1) ไร่ละ 2,000 บาท 
2.) เกษตรกรที่ผ่านการประเมินระยะปรับเปลี่ยน (T2) ไร่ละ 3,000 บาท 
และ 3.) เกษตรกรที่ได้รับรองมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ Organic Thailand (T3) ไร่ละ 4,000 บาท

‘บิ๊กป้อม’ ถก แผนแม่บทบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 ย้ำ!! ‘โปร่งใส - คุ้มค่า - เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’

พล.อ.ประวิตร ประชุม คกก. 'แร่แห่งชาติ' เน้นการมีส่วนร่วมปชช. ยึดหลักธรรมาภิบาล เห็นชอบแผนแม่บทแร่ ฉบับ 2 (ปี 66-70) มุ่งรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจ และประเทศชาติ ได้ประโยชน์คุ้มค่า ยั่งยืน

เมื่อ 14 ก.ย. 65 เวลา 10.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2565 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ มติครม. เมื่อ 15 ก.พ. 65 เห็นชอบให้แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560-2564 มีผลใช้ได้จนถึง 31 ธ.ค. 65 และรับทราบ มติครม. เมื่อ 2 ส.ค. 65 เห็นชอบหลักการต่อนโยบายด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกระทรวงอุตสากรรมประสานความร่วมมือกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป

'ทิพานัน' แจงถก IPEF ไทยไม่เสียเปรียบการค้า วอนเพื่อไทย 'อย่าจินตนาการ-สื่อสาร' เพื่อทำลายชาติ

'ทิพานัน' แจงถกกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ไทยไม่เสียเปรียบการค้า ยกประเด็นสำคัญ4 ข้อ วอนเพื่อไทยอย่าโยง-จินตนาการเกินจริง ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ปิดโอกาสเงินเข้ากระเป๋าคนไทย

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทีมโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเรื่อง กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ว่าไทยจะเสียเปรียบการค้า เสียเปรียบต่างๆ นาๆ และพูดถึง เรื่องความเชื่อมั่นของต่างประเทศในการจัดประชุมเอเปคของไทยว่า สะท้อนให้เห็นเป็นการแสดงความคิดเห็นแบบคนที่ขาดวุฒิภาวะและความรู้ ความเข้าใจ ตื้นเขิน ที่อาจส่งผลต่อการเข้าใจผิดของประชาชน จึงต้องสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้อีกครั้ง 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) เมื่อวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ณ นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้ภายใต้ 4 เสาความร่วมมือ ได้แก่ ด้านการค้า, ด้านห่วงโซ่อุปทาน, ด้านพลังงานสะอาด, การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน, โครงสร้างพื้นฐาน และด้านภาษีและการต่อต้านการทุจริต เพื่อความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เพื่อประโยชน์ที่จับต้องได้สำหรับประชาชน รวมทั้งไทยที่เข้าร่วมก็จะกล่าวถึงวาระการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้ด้วย 

น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้เป็นการพูดคุยที่เปิดกว้าง ในการฟื้นฟูด้านต่างๆ ตามกรอบ 4 เสา ที่สำคัญการประชุมได้เปิดตัวโครงการ IPEF Upskilling Initiative ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือด้านการศึกษาและการฝึกอบรมทางด้านดิจิทัลสำหรับสตรีและเด็กหญิงสำหรับ 8 ประเทศหุ้นส่วน IPEF โดยเป็นโครงการความร่วมมือโดยภาคเอกชนชั้นนำในภาคดิจิทัลของสหรัฐอเมริกา จำนวนรวม 14 บริษัท ซึ่งจะครอบคลุมความร่วมมือด้านการศึกษาและการฝึกอบรมสำหรับสตรีและเด็กหญิง กว่า 7 ล้านคน ภายในระยะเวลา 10 ปี จนถึงปี 2575 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือ IPEF อย่างเป็นรูปธรรม ที่จะมีโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายใต้กรอบความร่วมมือIPEF  ซึ่งกรอบความร่วมมือ IPEF จะสามารถเป็นประโยชน์เกื้อกูลกันกับความร่วมมือภายใต้กรอบเอเปคที่ไทยจะจัดนี้ด้วย  

ดังนั้นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยกังวลโยงไปถึงข้อเสียเปรียบทางการค้า หรือข้อกังวลอื่น ๆ เป็นข้อคิดเห็นที่ไม่เป็นความจริง ไม่มีเรื่องการค้าที่จะเสียเปรียบใด ๆ ทั้งนั้น ท่านจินตนาการเกินเลยข้อเท็จจริงไปมาก และข้อเท็จจริงอีกประการคือนานาประเทศมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลไทยและมีแนวโน้มความสำเร็จที่จะนำประโยชน์มาสู่ประเทศชาติและคนไทยทั้งประเทศอย่างมาก

น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า ส่วนเรื่องการประชุมเอเปคเป็นการ 'เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล: Open Connect Balance' ที่เป็นแนวคิดหลักของการประชุมเอเปคที่ไทย ซึ่งหลายการประชุมที่เกี่ยวข้องกับ APEC ในไทยที่ผ่านมา ก็ประสบผลความสำเร็จด้วยดี โดยที่ประชุมฯ มุ่งเน้นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของ Start-up และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSME) ในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก เพื่อขับเคลื่อน 4 ประเด็นสำคัญ เพื่อการฟื้นตัวของ Start-up และ MSME ในภูมิภาคเอเปคดังนี้...

1. เร่งรัดการประยุกต์ใช้ BCG Model ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของธุรกิจขนาดเล็ก และยังสนับสนุนความพยายามของโลกที่จะรับมือกับภาวะโลกร้อน

2. การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น และ MSME ที่มีทักษะในด้านดิจิทัลจะเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าและยืนหยัดต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

3. การจัดหาเงินทุนและการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน

รู้จัก ‘ชาคริต ทีปกรสุขเกษม’ แห่ง CPANEL สร้างสมดุล เทคโนฯ แผนงาน การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และทัศนคติ ฝ่าวิกฤตสวนกระแสโต

เทคโนโลยีชั้นนำ แผนงานที่ดี การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และทัศนะคติของแม่ทัพ คือสามประสานทรงพลังของ ชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ CPANEL ผู้นำพาตลาดคอนกรีตสำเร็จรูปโตพุ่งทะยานสวนโควิดฯ และยังไปต่อไม่หยุด

สำหรับอุตสาหกรรมอสังหาฯ ในบ้านเรา การก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูนกลายเป็นข้อด้อยด้านความรวดเร็ว ทันเวลา และผู้สร้างมีต้นทุนสูงทั้งแรงงานและวัสดุอุปกรณ์มากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัสดุก่อสร้างหลายอย่างเริ่มขาดแคลน อาทิ อิฐมวลเบา เมื่อเทียบกับการใช้คอนกรีตสำเร็จรูป ฉะนั้นเจ้าของเทคโนโลยีเบอร์ต้นๆ ของไทย หัวเรือใหญ่ CPANEL อย่าง “ชาคริต ทีปกรสุขเกษม” จึงรวมสามประสานให้ลงตัว ทั้งเทคโนฯ แผนงาน และ ทัศนคติการบริหารทีม มุ่งสู่ความเป้าหมาย

ท่ามกลางศึกแข่งขันในวงการอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างตลอดหลายสิบปีที่ เริ่มต้นจากร่วมงานกับพ่อผู้เป็นเจ้าของ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP (ผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ คอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานโครงสร้างงานระบบ และคอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานตกแต่ง) เขาจึงมีต้นทุนความเข้าใจรูปแบบและแนวทางธุรกิจวัสดุใช้ก่อสร้าง โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนอิฐมอญ ราคาจึงถีบตัวสูงต่อเนื่อง และปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือก่ออิฐฉาบปูน นั่นคือจุดเริ่มต้นอีกครั้งในการศึกษาโครงการลงทุน Precast Concrete ที่ใช้ในงานอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย และอาคารประเภทอื่นๆ ด้วยระบบ Fully Automated

จากจุดนั้น ทำให้ผมก่อตั้งบริษัท ซีแพนเนล จำกัด ขึ้นในปี 2555 ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มประสิทธิภาพของทั้งอุตสาหกรรมก่อสร้าง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้ผู้บริโภคได้บ้านหรืออาคารในราคาที่เข้าถึงได้ครับ”

การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับปูนซีเมนต์ และงานคอนกรีตนับตั้งแต่บริหารงานที่ CCP “ชาคริต” มุ่งมั่น เรียนรู้ ต่อยอด และทำเป้าหมายให้สำเร็จ ปรับความเข้าใจในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างประเภทงานคอนกรีตสมัยใหม่ และกล้าลงทุนนำเข้าและใช้งานเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต Precast Concrete จากวิศวกรผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรจาก Vollert Anlagenbau GmbH ประเทศเยอรมนี “มันต้องนำความรู้มาประยุกต์ เชื่อมโยงด้านระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ Management Information System (MIS) ที่ผมจบการศึกษามา และทำงานร่วมกับวิศวกรผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรในการออกแบบสายการผลิตอย่างเข้าอกเข้าใจ และมีประสิทธิภาพ และควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ทุกขั้นตอนการผลิตครับ” เขาชี้จุดสำคัญว่า เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงระบบเป็นแกนสำคัญของงาน

ชาคริตและทีมนับว่าเป็นผู้ริเริ่มพัฒนานวัตกรรมด้วยการนำ Software ต่างๆ มาทำงานเชื่อมโยงกันและบริหารงานก่อสร้างบนระบบ Building Information Modeling หรือ BIM ในการบริหารจัดการ ตั้งแต่การออกแบบ ควบคุมการผลิต การทำงานหน้างาน ทำให้บริษัทสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล

การผลิต Precast Concrete ด้วยระบบ Fully Automated ช่วยทำให้เกิดความรวดเร็วและมิติที่แม่นยำของชิ้นงาน ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์และคำนวณค่าตามหลักวิศวกรรม ปัจจุบัน CPANEL ถือเป็นผู้ผลิต Precast หนึ่งในไม่กี่รายที่ผลิตโดยออกแบบให้โครงสร้างรองรับ แรงแผ่นดินไหว 100% ตามกฎกระทรวง ปี 2564 ทุกหลัง การควบคุมแผนการผลิตและเครื่องจักรภายในโรงงาน กระบวนการผลิตที่เป็นไปตามที่ออกแบบไว้ จนกระทั่งส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามความต้องการของลูกค้าในเวลาอันสั้น ด้วยระบบและกระบวนการผลิตที่วางแผนไว้ กอปรกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้บริษัทสามารถผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปได้หลากหลายรูปแบบ ที่มีความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรม และความซับซ้อนทางวิศวกรรมโครงสร้าง เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า (Made-to-Order) ในหลากหลายโครงการ

ผลิตภัณฑ์ Precast Concrete ของ CPANEL สามารถแก้ Pain Point การก่อสร้างในปัจจุบัน ทั้งลดต้นทุนแรงงานได้ถึงประมาณ 50% ลดระยะเวลาและขั้นตอนในการก่อสร้าง (รวมงาน Finishing) ประมาณ 30% ส่งผลให้ต้นทุนรวมของการก่อสร้างลดลง 15% ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งค่าแรง ลดเวลาการก่อสร้างส่งงานได้รวดเร็วขึ้น สุดท้ายลูกค้าจะได้ประโยชน์จากการที่สามารถประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยรวมของโครงการ ทำให้ลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้รับเหมาก่อสร้างนิยมหันมาเลือกใช้ Precast Concrete มากขึ้น นับเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของ CPANEL

ในวันนี้ CPANEL มีลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว่า 10 ราย ที่มีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง อาทิ สัมมากร, ศุภาลัย, ริสแลนด์, บริทาเนีย, กานดา พร็อพเพอร์ตี้, เพอร์เฟค, เรียลแอสเสท, แสนสิริ, เอสเตทครีเอชั่น, มาย-กรีน, โนเบล อีกทั้งลูกค้าที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อาทิ รุ่งฟ้าเสริม คอร์ปอเรชั่น, โกลว์ ไลท์ เอ็นจิเนียริ่ง, พรีบิลท์, กรีไทย คอนสตรัคชั่น, เชียร์ยู คอนสตรัคชั่น, คอนสตรัคชั่น ไลนส์”

คำถามสำคัญที่ข้ามไม่ได้ คือ อีเว้นต์ระดับโลกสองปีที่ผ่านมา อย่าง โควิด 19 ซ้ำเติมด้วย เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูง ต้นทุนราคาวัตถุดิบ ส่งผลต่อคุณอย่างไร? ชาคริตเคลียร์ประเด็นนี้ว่า “ต้นทุนการผลิต ราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น แต่ด้วย economy of scale ของ CPANEL ที่สามารถขายผลิตภัณฑ์ในจำนวนมากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีและบุคคลากรอย่างไม่หยุดยั้งและการสั่งซื้อวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับสามารถเจรจาเรื่องราคากับลูกค้าได้ จึงทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับการทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ”

สำหรับเรื่องเงินเฟ้อ ถ้าเป็นระยะยาวความสามารถในการบริโภคของผู้บริโภคน่าจะต่ำลง แต่ก็มองว่าความต้องการบ้านแนวราบยังคงมีอยู่ และยิ่งเงินเฟ้อเท่าไหร่ ยิ่งจำเป็นต้องลดแรงงาน และถ้ายิ่งก่อสร้างได้รวดเร็วยิ่งทำให้ผลกระทบเรื่องเงินเฟ้อสั้นลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการหันมาเลือกใช้ Precast Concrete มากขึ้น

ในอีกมุมหนึ่ง โควิค-19 ได้สร้างฐานพฤติกรรมใหม่ (New Normal Behavior) ให้แก่ผู้บริโภคเป็นปัจจัยเกื้อหนุนอย่างสูงต่อที่อยู่อาศัยแนวราบให้มีการขยายตัวไปยังเขตรอบนอกกรุงเทพมหานคร (De-Urbanization) ซึ่งเป็นที่ดึงดูดจากการที่ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความหนาแน่นของที่อยู่อาศัย พื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชั่นที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้านมากขึ้นครับ

ยังไม่รวมว่า เมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐร่วมกับเอกชนอย่างการขยายตัวของเครือข่ายรถไฟฟ้า โครงข่ายถนน และศูนย์การค้า ที่ขยายความเจริญครอบคลุมพื้นที่รอบนอกมากขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตในเขตรอบนอกกรุงเทพมหานครในรูปแบบ Sharing Economy เช่น Delivery Service, Self-Storage Service ทุกส่วนล้วนส่งผลปัจจัยบวกขึ้นมา สวนกระแสโควิดฯ”

จากเรื่องข้างต้นเป็นคำตอบชัดว่า สินค้า Precast Concrete เป็นสินค้าที่จะเข้ามาทดแทนการก่อสร้างแบบเดิมๆ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยแนวราบที่ก่อสร้างโดย Precast Concrete ในอีก 5 ปี ถึงปี 2568 จะมีอัตราการทดแทนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% ต่อปีเป็นอย่างน้อย เพราะ Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ได้เกือบทุกอย่าง ทั้งในแง่ของความเหมาะสมต่อโครงการที่พักอาศัยแนวราบ และข้อได้เปรียบทางต้นทุนและระยะเวลาการก่อสร้าง

โควิดไม่ได้ส่งผลกระทบกับเรามากนัก ยกเว้นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ปิดไซต์งานก่อสร้างใน กทม. แต่ต่างจังหวัดยังคงเดินหน้าได้ ทำให้ในอนาคตมีแผนที่จะขยายกลุ่มลูกค้าไปต่างจังหวัดมากขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10% ของยอดขาย”

ปัจจุบัน CPANEL ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อระดมทุนขยายโรงงานแห่งใหม่ วางเป้าหมายขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็นเท่าตัว หรืออีก 7.2 แสนตารางเมตรต่อปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท สามารถเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2567

สำหรับหลักการและแนวคิดการบริหารงานของ “ชาคริต” นอกจากใส่ใจเรื่องรายละเอียดเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขายแล้ว ในส่วนของพนักงานเอง ก็จะให้ความใส่ใจและดูแลทุกระดับทั้งสำนักงาน และโรงงาน ทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างชาติ

ซึ่ง “ชาคริต” วาดแผนในอนาคตไว้ว่าอยากจะได้ CEO จากพนักงานของตัวเอง มองว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั่น เราต้องบ่มเพาะคนที่เก่งมาแทนเราในแต่ละเรื่อง ผมอยากได้ CEO ที่เชื่อถือได้ เพราะฉะนั้นผมต้องเชื่อว่าเขาเก่งพอและสามารถเรียนรู้ต่อได้ ต้องเชื่อว่าวันที่เขาอายุเท่าผม เขาต้องเก่งกว่าผม นี่คือสิ่งที่จะทำกับพนักงานทุกคน จะผลักดันพนักงานทุกคนจนส่งไม้ต่อได้สำเร็จ

นอกจากนี้ วัฒนธรรมความคิดของพนักงานมีความสำคัญในการบริหารธุรกิจ เราต้องดูแลบุคคลเหล่านี้ให้มีความรักองค์กร พร้อมจะอยู่กับบริษัทไปนานๆ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งบริษัทไม่เคยมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน อย่างกรณีที่กระทรวงแรงงานเปิดโอกาสให้แรงงานต่างชาติแจ้งเปลี่ยนนายจ้างได้นั้น มีแรงงานมาเข้าคิวหรือมาลงทะเบียน เพื่อขอทำงานแล้วจำนวนมาก ซึ่งแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมาแบบปากต่อปาก เนื่องจากได้รับการชักชวนจากแรงงานเดิมที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน

'ไซโก' เปิด 2 คอลเล็กชันรุ่นใหม่ 'Zimbe 16 - Zimbe 17' ทุกๆ รายได้ต่อยอดโครงการฟื้นฟู-อนุรักษ์ท้องทะเลไทย

SEIKO Thailand จัดงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของ SEIKO PROSPEX ZIMBE นาฬิกาซีรีย์ยอดนิยม พร้อมเปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ Zimbe 16 และ Zimbe 17 และกลับมาพร้อม Seiko Brand Friend คนแรกของปี 2022 อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา 

โดย อากิระ ซากาอิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซโก ประเทศไทย ได้กล่าวขอบคุณแฟนไซโกที่ให้การสนับสนุนอย่างเสมอมา และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของทะเลประเทศไทยให้สวยงามขึ้นในทุก ๆ ปีจากรายได้ส่วนหนึ่งของการจำหน่ายนาฬิการุ่น Prospex Zimbe และนาฬิกาดำน้ำรุ่นอื่น ๆ จากไซโกที่ได้นำไปจัดทำโครงการ Seiko Save The Ocean เพื่อดูแล ฟื้นฟู และอนุรักษ์ท้องทะเลไทยอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 5 ปี

“ไซโกต้องการที่จะปลุกจิตวิญญาณของจิมเบขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เปิดตัวนาฬิกาทั้งสองรุ่นอย่าง SEIKO PROSPEX ZIMBE รุ่น 16 และ 17 ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลามวาฬอย่างแท้จริง SEIKO PROSPEX ZIMBE รุ่น 16 นั้นมาในรูปแบบของ Baby Tuna ที่ตัวเรือนนั้นมีโครงสร้างของขอบตัวเรือนอีกชั้นหนึ่งเพื่อเสริมประสิทธิภาพความแข็งแรงทนทานและรองรับการดำน้ำเช่นเดียวกับผิวหนังของฉลามวาฬที่จะมีความหนา และมีเกล็ดเล็ก ๆ เสมือนเกราะป้องกัน ส่วน SEIKO PROSPEX ZIMBE รุ่น 17 นั้นมาในรูปแบบ King Samurai ที่มีขอบตัวเรือนสีน้ำเงินเข้ม เปรียบเสมือนน้ำทะเลในช่วงกลางคืนที่ฉลามวาฬนั้นได้แหวกว่ายอยู่ในท้องทะเล” วรรฑนี วาทนากรณ์ (ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์การตลาดแห่งไซโก) กล่าว

ส่วนอีกหนึ่งไฮไลท์ในงานอยู่ที่ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เพื่อนเดินทางคู่หูผู้ร่วมจิตวิญญาณเดียวกันกับจิมเบ ซึ่งได้กลับมาร่วมเดินทางอีกครั้งในฐานะ Brand Friend คนแรกของไซโกในปีนี้ หลังจากที่เขาเคยได้ ทำแคมเปญจิมเบครั้งแรกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของ ไซโก (ประเทศไทย) นอกเหนือจากนั้นแล้วยังได้มีการเปิดตัวแคมเปญ TVC ตัวใหม่เป็นที่แรกเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทาง ครั้งใหม่ของอนันดาและจิมเบและเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่ได้ชมนั้นกลับมาเริ่มต้นเดินทางเพื่อหา ประสบการ์ณใหม่ ๆ พร้อมกับจิมเบอีกครั้ง (ติดตามชมได้ที่ Seiko Thailand official YouTube : https://youtu.be/GOK9eftB4cI)

ท่องเที่ยวโกยต่างชาติทะลุ 5 ล้าน 9 เดือนแรกปี 65 คาดสิ้นปีถึง 10 ล้าน สร้างรายได้แตะ 1.2 ล้านล้าน

นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐและอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โชว์ยอดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่เดินทางเข้าประเทศไทย 9 เดือนแรก (1 ม.ค.- 8 ก.ย. 65) สะสมแล้ว 5,018,172  คน และจากการติดตามยอดจองตั๋วเครื่องบินและการจองห้องพักล่วงหน้าในอีก 3 เดือนข้างหน้าซึ่งถือเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่นของไทย ทาง ททท. มั่นใจว่า สิ้นปีนี้ไทยจะได้เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9-10 ล้านคน สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านล้าน ตามเป้าหมายได้อย่างแน่นอน 

ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้รายงาน นักท่องเที่ยวต่างชาติ สะสม ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 8 ก.ย. 2565  เดินทางเข้าประเทศไทย 5 อันดับแรก  ได้แก่...

>> มาเลเซีย (751,397 คน) 
>> อินเดีย (480,825 คน)  
>> สปป.ลาว (310,464 คน)  
>> กัมพูชา (249,084 คน) 

ครม.ไฟเขียวขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผล 1 ต.ค. สูงสุด 356 บาท ต่ำสุด 328 บาทต่อวัน

เคาะแล้ว!! ครม. ไฟเขียวขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีผล 1 ต.ค.นี้ 

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (13 ก.ย.) เห็นชอบการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ประจำปี 2565 ตามที่คณะกรรมการค่าจ้าง และกระทรวงแรงงานได้มีการพิจารณาและเสนอ ครม.เห็นชอบ โดยเป็นการปรับขึ้นประมาณ 5% 

โดยได้ข้อสรุปร่วมกันในการปรับขึ้นซึ่งแบ่งเป็น 9 อัตรา ได้แก่ 

1) ค่าจ้าง 354 บาท มี 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และภูเก็ต 

2) ค่าจ้าง 353 บาท มี 6 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร 

3) ค่าจ้าง 345 บาท มี 1 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา 

4) ค่าจ้าง 343 บาท มี 1 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา

ชาวสวนปาล์มเฮ!! พาณิชย์ เคาะงบ 6,128 ล้านบาท ประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน รอบใหม่

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มด้านการตลาด ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการดำเนินการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ปีที่ 4 โดยหลักเกณฑ์เหมือนกับ 3 ปีที่ผ่านมาทุกประการ ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 4 บาทครอบครัวละไม่เกิน 25 ไร่ และผลปาล์มต้องอายุ 3 ปีขึ้นไป 

โดยกำหนดจำนวนเกษตรกรไว้ 3.8 แสนครอบครัว จะมีการจ่ายเงินส่วนต่าง 12 งวด ถ้าราคาปาล์มในตลาด ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4 บาท โดยจะกำหนดราคาอ้างอิงทุก 30 วัน เริ่มจ่ายส่วนต่างงวดแรก 15 ก.ย. 65 – 15 ส.ค. 66 วงเงินที่เตรียมไว้สำหรับการจ่ายเงินส่วนต่างปาล์ม 6,128 ล้านบาท

'พิพัฒน์' ตรวจเยี่ยมสถานบันเทิงย่านป่าตอง อ้างผลวิจัย หนุนเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4

'พิพัฒน์' ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานบันเทิง ซอยบางลา ป่าตอง ภูเก็ต อ้างผลวิจัย 3 สถาบัน -สอบถามนักท่องเที่ยวหนุน เปิดสถานบันเทิงแหล่งท่องเที่ยวถึงตี 4 หวังผลเพิ่มรายได้ท่องเที่ยว เตรียมเสน อศบค.

9 ก.ย. 65 - นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานบันเทิง ซอยบางลา ป่าตอง ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้ลงพื้นที่ สมุย พะงัน และตรอกข้าวสาร แล้ว จึงมาที่ซอยบางลา ป่าตอง ภูเก็ต ซึ่ง เป็นพื้นที่ ที่ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติใฝ่ฝันอยากจะมาบางลาสักครั้งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสมาเที่ยวประเทศไทย

" จากผลวิจัย ได้หารือกับผู้ทำวิจัยจาก สถาบันการศึกษา ม.ราชภัฏสวนสุนันทา ม.ราชภัฎภูเก็ต และนิด้า ทั้งสามสถาบันที่มีนักศึกษาทำวิจัยเรื่องปิดถึงตี 4 ผลออกมาตรงกันทั้งหมดว่าคนหรือนักท่องเที่ยวที่จะใช้จ่ายสูงสุดอยู่ในช่วงตี 1 ถึงตี3 เป็นช่วงที่พีคที่สุดพอหลังตี 3 ไปแล้วเริ่มสโลว์เป็นการตอบโจทย์ว่าตี 4 ปิด นักท่องเที่ยวจะได้กลับไปพักผ่อน สิ่งเหล่านี้ จะนำเสนอให้ศบค.และนำเสนอให้นายกรัฐมนตรี และ รัฐบาล หารือในข้อกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ถ้าสามารถจัดเป็นโซนนิ่งได้แต่ละจังหวัดท่องเที่ยว ชาวต่างชาติกว่า 60-70% เราน่าจะเปิดเป็นพื้นที่ไป ในช่วงเวลาเปิดเลยไป 2 ชม. จะมีผลหรือมูลค่าทางเศรษฐกิจขึ้นมาเพิ่ม 23-24%"

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา จากการลงพื้นที่บางลา ป่าตอง พบว่า ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวค่อนข้างดี ส่วนใหญ่ เป็น ชาวอินเดีย จำนวนมาก ตะวันออกกลาง แอฟริกา อียิปต์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ได้เข้าสอบถามกับนักท่องเที่ยว พบว่า มีความเห็นเดียวกันว่า ขอขยายเวลาปิดจากตี 2 ได้หรือไม่ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เขายังสนุกสนาน นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเกินกว่า 70% ต้องการให้ขยายเวลาของสถานประกอบการในยามค่ำคืนให้ได้ถึงตี 4 จากการหารือกับผู้ประกอบการ และ นักท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่ที่ภูเก็ตอย่างเดียว ในสถานที่ต่างๆที่กล่าวมา ทั้ง ซอยข้าวสาร พะงัน สมุย เป็นโจทย์เดียวกันทั้งหมด และจะเดินทางไป ที่ถนนคนเดิน พัทยา ชลบุรี อีกแห่งภายในเดือนกันยายนนี้ จะไปทำการสำรวจหารือสอบถามนักท่องเที่ยวว่ามีความต้องการอย่างไร โจทย์ที่ตอบมาตรงกันหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top