Friday, 17 May 2024
THE STATES TIMES TEAM

ผบ.ตร.ให้ความสำคัญเหตุกราดยิง เน้นถ่ายทอดความรู้ให้ประชาชน ทราบถึงทฤษฎี Active shooter วิธีการปฏิบัติ Run Hide Fight การหนี ซ่อน สู้ พร้อมสั่งดูแลสุขภาพตำรวจทั่วประเทศ ด้วยแนวคิด “เราดูแลคุณ เพื่อให้คุณดูแลประชาชน”

(10 พ.ย.66) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (9 พ.ย.66) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ร่วมให้เกียรติบรรยายในหัวข้อ ”ยุทธวิธีและการบริหารเหตุวิกฤต“ ให้กับบุคคลาการ สมาชิกจิตแพทย์, แพทย์ประจำบ้าน ในการประชุมวิชาการประจำปีจิตเวชศาสตร์ไทย ครั้งที่ 51 ประจำปี 2566 (51st Thai Annual Congress of Psychiatry,51st TACP) จัดโดยราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย,สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ในระหว่างวันที่ 9-10 พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร       

โดย ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งดำเนินการสร้างความรู้ และการรับมือกับเหตุการณ์วิกฤต เน้นให้ความรู้ภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในการเอาชีวิตรอดจากกรณีมือปืนยิงกราด เนื่องในปัจจุบันมีการก่อเหตุอาชญากรรมในลักษณะดังกล่าวหลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา หรือจังหวัดหนองบัวลำภู ทำให้เกิดการสูญเสียในชีวิต และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ เปิดเผยว่า ตร.ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก จึงจำเป็นที่จะต้องถ่ายทอดความรู้ในภาคประชาชน ให้ทราบถึง ทฤษฎี Active shooter สร้างแนวความคิด ทักษะ การวางแผนในการบริหารเหตุการณ์มือปืนยิงกราด และวิธีการปฏิบัติ Run Hide Fight (การหนี ซ่อน สู้) สำหรับประชาชนเมื่อเผชิญเหตุ 
     
นอกจากนี้ ยังห่วงใยถึงการดูแลร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิตให้มีความสุข มีนโยบาย Fit Fair Fun โดย Fit คือ ดูแลสุขภาพตำรวจที่ทำงานหนักแต่ไม่มีใครมาดูแลเรื่องสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่เกิดความเครียดจากการปฏิบัติงาน, Fair คือ เบี้ยเลี้ยง เงินสวัสดิการจะต้องยุติธรรมลงไปถึงคนที่ทำงานจริง, Fun คือ ทำงานอย่างมีความสุข เมื่อผู้บังคับบัญชาดูแลทั้งสุขภาพและสวัสดิการ มีความสุขในการทำงานสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลที่สุด คือ การบริการพี่น้องประชาชน 
     
รวมถึงยังมีนโยบาย Police HOME เป็นแนวคิดผู้บังคับบัญชาทุกคนให้อยู่กันเป็นบ้านที่มีความรักความผูกพัน จะลดกำแพงระหว่างผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชาลงให้มีความรู้สึกว่า เราคือครอบครัวเป็นพี่เป็นน้อง ด้วยแนวคิดกับตำรวจที่ว่า “เราดูแลคุณ เพื่อให้คุณดูแลประชาชน” ผู้บังคับบัญชาจะลงไปดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีเพื่อส่งถ่ายความสุขและความรักสู่พี่น้องประชาชน
     
ผบ.ตร.เปิดเผยอีกว่า ภายหลังได้นำสิ่งเคยเป็นปัญหา อุปสรรค และความต้องการของคนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา จากประสบการณ์ทำงานได้สัมผัสใกล้ชิดลูกน้อง นำขึ้นมาวางให้เป็นนโยบายขับเคลื่อนในการปฏิบัติ เพื่อข้าราชการตำรวจ และครอบครัวทุกหน่วย ได้มีความสุข และปฏิบัติงานเพื่อดูแลความปลอดภัยพี่น้องประชาชนต่อไป

ตำรวจไซเบอร์รวบขบวนการอ้างเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกติดตั้งแอปดูดเงิน เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค.65 ได้มีโทรศัพท์จากบุคคลไม่ทราบชื่อ โทรมาหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร ได้สอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง จึงได้บอกข้อมูลส่วนตัวไป

ต่อมาบุคคลดังกล่าวได้แอดไลน์เป็นเพื่อนผู้เสียหาย ชักจูงใจให้ผู้เสียหายให้โหลดแอปพลิเคชัน เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกด้านภาษี และเมื่อผู้เสียหายโหลดแอปพลิเคชันพร้อมแจ้งเลข OTP ให้กับคนร้ายแล้ว โทรศัพท์ของผู้เสียหายก็เกิดมีปัญหาที่หน้าจอ ผู้เสียหายจึงได้รีบปิดเครื่องโทรศัพท์ และต่อมาผู้เสียหายเปิดเครื่องโทรศัพท์มาอีกครั้ง ได้ตรวจสอบพบว่าเงินในบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ถูกโอนไปยัง ชื่อบัญชี น.ส.อธิตินันท์ จำนวนเงินที่โอนไป 180,198 บาท ผู้เสียหายจึงทราบว่าถูกหลอกลวง จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง

ต่อมา วันที่ 9 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบ น.ส.อธิตินันท์ ปรากฎตัวอยู่ที่ปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ฉลองกรุง แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้นำกำลังชุดสืบสวนร่วมกันลงพื้นที่ติดตามจับกุม น.ส.อธิตินันท์ อายุ 19 ปี ชาว จ.ศรีสะเกษ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 สั่งการให้ พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  หมายเลขโทรศัพท์ 0899199987

ตำรวจท่องเที่ยวปฎิบัติตามนโยบายผบ.ตร. ให้สวม 'เสื้อกั๊กตำรวจแบบใหม่' นำร่องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

เมื่อวานนี้(10 พ.ย.66) เวลา 09.00 น. บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซนทรัลเวิลด์ แยกราชประสงค์ พล.ต.ต.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ รรท.ผบช.ทท., พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1, พ.ต.อ.ปิยรัช สุภารัตน์ ผกก.1 บก.ทท.1, พ.ต.ท.มนพร  ลิขิตมานนท์ รอง ผกก.1 บก.ทท.1 มอบหมายให้ พ.ต.ท.ขวัญพล เพ็งเดือน สว.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 ลงพื้นที่ปล่อยแถวเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความอุ่นใจ ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตทั้งร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อต้อนรับช่องเทศกาล

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่กำหนดพื้นที่นำร่องสร้างภาพลักษณ์เป็นมิตร ยกระดับรักษาความปลอดภัยให้ประชาชน และได้มอบเสื้อกั๊กสะท้อนแสงแบบใหม่ให้ตำรวจ ที่ปฏิบัติงานในสถานีตำรวจนำร่องเมื่อวันที่16 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้มอบในกับพื้นที่ ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว หรือพื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพื่อให้ตำรวจใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว  

ด้าน พ.ต.ท.ขวัญพล เพ็งเดือน สว.ส.ทท.2 กก.1 บก.ทท.1 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำนโยบายดังกล่าวฯมาปรับใช้กับท้องที่ที่ดูแลว่า การใส่เสื้อกั๊กแบบการใช้สีแบบ Retroreflector หรือสีสะท้อนแสงและยังเป็นสีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และในอีกหลายประเทศใช้สวมใส่ทับเครื่องแบบ เป็นการยกระดับมาตรการในการดูแลและรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว การส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยว ช่วยให้ประชาชนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่ายตั้งแต่ระยะ 200-500 เมตร เป็นที่เข้าใจในระดับสากล และ เสริมสร้างบุคลิกภาพของตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม มีความคล่องตัว ความปลอดภัย และมีความเป็นมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก 

พ.ต.ท.ขวัญพล เพ็งเดือน ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนช่วงเทศกาลลอยกระทงที่กำลังจะมาถึง อยากให้ประชาชนอุ่นใจในการออกจากบ้านไปร่วมงานเทศกาล ว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัยที่สุดเพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง และ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มีการวางแผนการดูแลพื้นที่ต่างๆ อย่างรัดกุม และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว และให้เชื่อมั่นว่ามาตราการรักษาความปลอดภัยต่างๆ จะไม่สงผลต่อความเป็นส่วนตัวของนักท่องเที่วและประชาชน

'บิ๊กไก่' ผบ.ทอ. ต้อนรับ นักศึกษา มส.16 ศึกษาดูงานกองทัพอากาศ

วันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ห้องประชุม กองทัพอากาศ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พร้อมคณะให้การต้อนรับ พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ ประธานมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง พลเอก ดร. มารุต ปัชโชตะสิงห์
ผู้อำนวยการหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูงพล.อ.ต.หญิง ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการหลักสูตรฯ พร้อมคณาจารย์ และนักศึกษาหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) รุ่นที่ 16 ในการศึกษาดูงานกิจการกองทัพอากาศ 

เริ่มจากการสักการะจอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระบิดาแห่ง กองทัพอากาศ จากนั้นรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจในการเตรียมกำลังกองทัพอากาศ และป้องกันราชอาณาจักร พร้อมการพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดความขัดแย้งในระดับต่างๆ รวมถึงภารกิจการช่วยคนไทยจากอิสราเอล พร้อมตอบข้อซักถามในประเด็นต่างๆ 

จากนั้นไปศึกษาดูงานพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ ก่อนจะเดินทางไป ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก ร่วมงานเลี้ยงต้อนรับสู่ครอบครัว มส.16

สำหรับหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) ปัจจุบันรุ่นที่ 16 โดยมีผู้เข้ารับการอบรมเป็นผู้บริหารระดับสูง ทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน หรือองค์การสาธารณะ

สำหรับปรัชญาของหลักสูตร มุ่งพัฒนาผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคลังสมองของประเทศ ให้มีองค์ความรู้ที่ทันสมัยในองค์ประกอบความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงของมนุษย์ มีทักษะ หลักคิด มีหลักเกณฑ์ ในการวิเคราะห์/สังเคราะห์ สถานการณ์อย่างถูกต้อง และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้บริหารระดับสูง เพื่อร่วมกันสร้างเสริมความมั่นคงของมนุษย์ และความมั่นคงแห่งชาติโดยรวม

ผบ.ตร.สั่งด่วน จเรตำรวจ เร่งตรวจสอบสติกเกอร์รถบรรทุกตกท่อระบายน้ำกลางกรุง ว่ามีลักษณะเป็นส่วย หรือเจ้าหน้าที่ไปมีเอี่ยวหรือไม่ รายงานผลภายใน 3 วัน เน้น น.1 ให้ทำคดีตรงไปตรงมา ขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง คาดโทษตำรวจทั่วประเทศห้ามยุ่งเกี่ยวเรียกรับผลประโยชน์

เมื่อวานนี้ (9 พ.ย.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกตกท่อระบายน้ำกลางกรุงว่า “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ได้สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง รรท.จตช. ตรวจสอบข้อเท็จกรณีกรณีรถบรรทุกประสบเหตุ ตกบ่อก่อสร้างโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินทรุดตัว ถนนสุขุมวิท หน้าซอยสุขุมวิท 64/1 เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 จนเป็นเหตุที่ประชาชนได้รับ ผลกระทบเป็นวงกว้าง มีผู้บาดเจ็บ โดยทำให้การจราจรไม่สามารถใช้การได้หลายชั่วโมง ขณะที่บริเวณกระจกด้านหน้า รถบรรทุกคันดังกล่าว มีรูปดาว ตัวอักษรภาษาอังกฤษ B สีเขียว โดยประธานสหพันธ์ขนส่งแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า เป็นสัญลักษณ์ของส่วยสติ๊กเกอร์ตามที่ปรากฏภาพข่าว จึงให้จเรตำรวจดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จว่า มีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง รับผลประโยชน์ทั้งทางตรง ทางอ้อมหรือไม่ หากพบให้ดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา วินัยและปกครอง และรายงานผลให้ทราบ ภายใน 3 วัน

ผบ.ตร.ยัง สั่งกำชับให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ลงไปควบคุมการทำคดีนี้ อย่างตรงไปตรงมา ทำความจริงให้ปรากฎ รวบรวมหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกฐานความผิด รวมทั้งประเด็นข้อสงสัยของสังคม เช่น การเคลื่อนย้ายดินออกจากรถ หรือประเด็นอื่นๆ  และให้สืบสวนขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย หากพบเป็นความผิด

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้สั่งการย้ำให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้สังคมรับทราบ และเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกรายที่ฝ่าฝืนทำผิดกฎหมาย พร้อมกำชับตำรวจทั่วประเทศไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์จากส่วยสติกเกอร์ หรือสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบจะดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา ปกครอง วินัย รวมทั้งเอาผิดผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลยด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม หลังมอบหมายโรงพยาบาลตำรวจ เดินหน้าโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการข้าราชการตำรวจและครอบครัวทั่วประเทศ นำร่องกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มุ่งส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตแก่ตำรวจ

วันนี้ (9 พ.ย.66) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ตรวจเยี่ยมโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการข้าราชการตำรวจและครอบครัว ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ถ.พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ รรท.นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี รอง ผบช.ก. ประกอบด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ , พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย , พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง , พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ร่วมให้การต้อนรับ 

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้เน้นนโยบายเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงาน โดยมีความห่วงใยและตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของการดูแลสุขภาพของข้าราชการตำรวจและครอบครัว ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และสุขจิตที่ดี ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญนำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย ผบ.ตร.เล็งเห็นว่าโรงพยาบาลตำรวจซึ่งได้มีการจัดกิจกรรมออกหน่วยบริการทางการเเพทย์ ที่ผ่านมาได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจและให้บริการด้านการแพทย์แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว รวมถึงพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างสม่ำเสมอ จึงเห็นควรให้ดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยมอบหมายให้โรงพยาบาลจัดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการข้าราชการตำรวจและครอบครัว เวียนไปตามหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ นำร่องที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในวันที่ 8-9 พฤศจิกายนนี้ 

ซึ่งโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการข้าราชการตำรวจและครอบครัว ที่นำร่อง ณ บช.ก.ในครั้งนี้ ได้มีบริการทางการแพทย์ อาทิ ให้บริการคัดกรองความเสี่ยงทางหัวใจ , ให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาอาการปวดกล้ามเนื้อ , ให้บริการตรวจความแข็งเเรงของกล้ามเนื้อ , การตรวจวัดความดันลูกตา , ให้บริการตรวจโรคทั่วไป , ให้บริการด้านทันตกรรม , ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ , ฝึกอบรม CPR และฝึกอบรมสัมมนา “ครูแม่ไก่” เพื่อไปสอนบุคลากรในหน่วยงาน 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กล่าวว่า การดูแลสุขภาพของข้าราชการตำรวจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากเจ็บป่วยแล้วรักษา เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ การดูแลสุขภาพก่อนป่วยเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า จึงส่งเสริมให้โรงพยาบาลตำรวจจัดทำโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการข้าราชการตำรวจและครอบครัว ลงพื้นที่ตำรวจหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อตรวจสุขภาพ และแนะนำการดูแลสุขภาพสำหรับข้าราชการตำรวจทุกหน่วย ทุกระดับต่อไป โดย ผบ.ตร.ได้กำชับให้โรงพยาบาลตำรวจศึกษาข้อมูลแต่ละพื้นที่ ว่าตำรวจแต่ละพื้นที่จะมีปัญหาสุขภาพด้านใด เพื่อจะได้ตรวจโรคและแนะนำการดูแลสุขภาพให้ตรงจุด เช่น พื้นที่นครบาล ดูแลกรุงเทพมหานคร ซึ่งสภาพการจราจรคับคั่ง ตำรวจจราจรมักมีปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะด้านฝุ่นละออง ควันพิษ และเสียง ทีมแพทย์จึงควรให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นพิเศษ หรือพนักงานสอบสวนจะมีสภาวะความเครียด จึงควรดูแลเรื่องสุขภาพจิตเป็นพิเศษ เป็นต้น 

โดยในเร็วๆ นี้ ผบ.ตร.มีมีการลงพื้นที่เพื่อประชุมสัญจรในตำรวจภูธรภาคต่างๆ จะเริ่มที่ ภ.5 ซึ่งจะนำทีมแพทย์ โรงพยาบาลตำรวจ ไปร่วมโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ด้วย และจะทำลักษณะเดียวกันนี้กับพื้นที่ตำรวจภูธรภาคอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป

สืบนครบาลรวบใบเฟิร์นเน็ตไอดอลชื่อดังหลอกลงทุนร้านทำเล็บ จนมุมกลางห้างดัง

“ใบเฟิร์นเน็ตไอดอลดังถ่ายแบบเป็นอินฟลูเอนเซอร์ โปรไฟล์ IG ของเธอจึงมีผู้ติดตามกว่า 120,000 คน โพสภาพคู่กับรถหรูและดาราผู้มีชื่อเสียงอีกหลายๆคน สร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนตุ๋นเหยื่อหลอกลงทุน “ร้านตัดผมและร้านทำเล็บ” โดยมีเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ก่อนหายเข้ากลีบเมฆ ผู้เสียหายและทีมงานทนายความชื่อดังประสสนขอความช่วยเหลือกับ น .1 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. โดย เกรงว่าจะมีประชาชนเดือดร้อนเพิ่ม จึงสั่งการให้สืบนครบาลเร่งรัดสืบสวนหาตัว จนกระทั่งทราบเบาะแสว่าหนีมาเข้าถ้ำเสือนครบาล อยู่ใน กรุงเทพ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT5 ส่งชุด PCT5 และ สืบนครบาล ตระเวนปลอมตัวเป็นเอเจนซี่แฝงตัวตามคอนโดหรูย่านทองหล่อ กระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ โดยเธอเผยกับชุดจับกุมว่า “ตอนนี้ตนพยายามหา ซื้อของแบบซื้อมาขายไป หวังว่าถ้ามีเงินก็จะนำไปทยอยคืนให้กับผู้เสียหาย”

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ , ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ,ตำรวจ PCT5 และ พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ ผัดก๋า รอง ผกก.สส.สภ.สันกำแพง  จว. เชียงใหม่ กับพวกได้ร่วมจับกุม

น.ส.มณฑิรา อินทร์สุวรรณ หรือ “ใบเฟริน” อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 85/2 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน ผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 หมายจับ ดังนี้

1.หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ จ.997/2566 ลงวันที่ 5 ต.ค. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” (สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่)
2.หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ จ.1073/2566 ลงวันที่ 26 ต.ค. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” (สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่)

โดยกล่าวหาว่า ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

พฤติการณ์กล่าวคือ ตำรวจชุด PCT5 และชุดสืบนครบาล ติดตามไล่ล่า “เน็ตไอดอลดัง อักษรย่อ บ.” หลังเธอได้ตระเวนก่อเหตุ หลอกลวงให้ลงทุน “ร้านตัดผมและร้านทำเล็บ” โดยมีเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ด้วยเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาดีและยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ออกรายการทีวีต่างๆ ถ่ายแบบ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ โปรไฟล์ IG ของเธอจึงมีผู้ติดตามกว่า 120,000 คน และในเฟสบุ๊คของเธอยังมีการโพสภาพคู่กับรถหรูและดาราผู้มีเชื่อเสียงอีกหลายๆคน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้มาสอดส่องโปรไฟล์เธอเป็นอย่างดี กระทั่งช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมาเธอได้เริ่มโพสเชิญชวนให้ร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วนการทำร้านตัดผมและทำเล็บ โดยเสนอเป็นแพ็กเกจต่างๆ ยอดปันผลขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลงทุน และเมื่อถึงกำหนดก็จะได้เงินปันผล ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อและตัดสินใจโอนเงินไปร่วมลงทุนกับเธอแล้ว เธอก็ไม่ค่อยตอบข้อความ อ้างว่างานเยอะ ติดงานต่างๆ ส่วนสัญญาที่พิมพ์มาให้เซ็นก็ผิดๆ ถูกๆ หลายครั้ง และเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินปันผลเธอก็จะบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงิน จนถึงช่วงปลายเดือน มิ.ย. 66 เธออ้างกับเหยื่อว่า บริษัทถูกยักยอกเงิน ทำให้ไม่มีเงินมาคืนให้กับผู้ร่วมลงทุน และหนีหายเข้ากลีบเมฆไป กระทั่งบรรดาเหยื่อที่ร่วมลงทุนกับเธอได้ทยอยเข้าแจ้งความ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับ  จำนวน  2 หมายจับ ซึ่งล่าสุดเหยื่อได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่าเจ้าตัวได้หลบหนีมากบดาลในพื้นที่ จ.กรุงเทพฯ เรียกได้ว่าหนีมาเข้าถ้ำเสือนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT5 ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัว โดยมีเพียงเบาะแสว่าเธอ “กินหรูอยู่สบายละแวกทองหล่อ” ชุดสืบสวนตระเวนตรวจสอบแต่ยังคงไร้ร่องรอย กระทั่ง พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้เบาะแสจากสายลับว่าเธอควงหนุ่มอยู่ตามห้างดังในพื้นที่ จ.กรุงเทพ จึงตระเวนกระจายกำลังตามห้างดังทั่วกรุงเทพกว่า 5 วัน กระทั่งวันที่ 8 พ.ย. 66 ชุดสืบสวนที่แฝงตัวอยู่ตามห้างได้พบตัวขณะกำลังเดินหาซื้อชุดว่ายน้ำกับหนุ่มชาวต่างชาติ จึงเข้าแสดงตัวและจับกุมตัวเธอได้ โดยจับกุมตัวได้ที่ ห้างยูเนียนมอลล์ แขวงจอมพล เขตจตุจักร จ.กรุงเทพฯ

ในชั้นจับกุม น.ส.มณฑิราฯ หรือใบเฟริน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยภาคเหนือ เปิดร้านทำเล็บอยู่ จ.เชียงใหม่ ล่าสุดเข้ากรุงเทพมาได้เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้วแต่ไม่ได้เป็นการหลบหนี ในทางคดีตนเองเปิดร้านทำปมและเล็บอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เห็นว่ามีรายได้ดี จึงได้มาร่วมลงทุนร่วมกัน ร้านกู๊ดคัด โดยร่วมลงทุนรายละ 50,000-1,000,000 บาท และเปิดรับลงทุนร่วมรับจำนำของ จากนั้นนำไปขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน  แต่ช่วงหลังกำไรน้อยมาก และซื้อสินค้ามาขายไม่ค่อยได้ ทำไห้ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ร่วมลงทุน  ส่วนร้านทำผมเนื่องจากหาช่างไม่ได้ และลูกค้าน้อย ทำให้ไม่มีเงินจ่ายไห้กับผู้ร่วมลงทุน ตอนนี้ตนพยายามหา ซื้อของแบบซื้อมาขายไป หวังว่าถ้ามีเงินก็จะนำไปทยอยคืนให้กับผู้เสีย” หลังจับกุมตัว ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา และจะมีการขยายผลการจับกุมโดยละเอียด ซึ่งจากข้อมูลที่ได้วิธีการที่ผู้ต้องหารายนี้ใช้หลอกลวง นั้นเริ่มจากการสร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือ ถ่ายภาพคู่รถหรู หรือดาราผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ จากนั้นการหลอกลวงจึงทำได้ไม่ยากนัก จึงขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชนยุคใหม่ว่า การร่วมลงทุนในโลกออนไลน์นั้นมีความเสี่ยง เพราะในปัจจุบันเหล่ามิจฉาชีพจะแฝงตัวอยู่ในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก การตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากโปรไฟล์ในโลกออนไลน์นั้นยังไม่เพียงพอ จะต้องศึกษาหรือปรึกษาผู้มีความรู้ทางด้านการลงทุนให้ดีก่อน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ และขอเตือนไปยังเหล่ามิจฉาชีพทางออนไลน์ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการระดมปราบปรามผู้กระทำผิดทางออนไลน์อยู่ตลอด ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ฉะนั้นผู้ที่ยังทำหรือคิดจะทำขอเตือนว่า มันไม่คุ้มได้คุ้มเสีย เมื่อได้ลงมือก่อเหตุแล้วและมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วยังไงก็ต้องถูกจับกุม เพียงแต่จะช้าหรือเร็วแค่นั้นเอง”

ตำรวจ ปส. โค่น 3 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ยึดยาบ้ารวมกว่า 12 ล้านเม็ด ซุกรถเตรียมลำเลียงส่งลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและใต้ พร้อมยึดทรัพย์กว่า 9 ล้าน

ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีเจตนารมณ์ที่จะลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เร่งรัดดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด เป็นไปตามการขับเคลื่อนการทำงานของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. 

วันนี้ 9 พ.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รรท.ผบช.ปส. เป็นประธานแถลงผลการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รรท.รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต. พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2,พ.ต.อ.อดิศ  เจริญสวัสดิ์ รรท.ผบก.ปส.3, พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ รรท.ผบก.สกส. และ พ.ต.อ. อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร รรท.ผบก.ขส. ซึ่ง พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ระบุว่า กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เดินหน้าปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกเครือข่ายที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสืบสวนขยายผล พร้อมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์เป็นเครื่องมือ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดของเครือข่าย ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนงานป้องกันอาชญากรรมควบคู่ไปด้วย ล่าสุด ตำรวจ ปส. สามารถตรวจยึดยาบ้าได้ 11,540,000, เม็ด และยึดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่า 8,690,000 บาท    

คดีแรก สืบเนื่องมาจากการจับกุมนายวิฑูรณ์ พร้อมพวก 5 คน พร้อมไอซ์ 200 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จว.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ของ ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ก่อนจะขยายผล และพบว่ายังมีเครือข่ายของนายวิฑูรณ์ เคลื่อนไหวอยู่ใน จว.สระบุรี มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ เพื่อนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม นายอาทิตย์, นายณคฤตห์, นายจักรพรรณ, น.ส.ทวีวรรณ,น.ส.ศุภมาสและน.ส.ปรารถนา ได้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 12 ม.9 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย พร้อมยาบ้า 7,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะ หมายเลขทะเบียน 1ขษ 44XX กทม. จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เข้าตรวจค้นบ้านพักจำนวน 7 จุด เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, อาวุธปืน GLOCK 2 กระบอก และอื่น ๆ ไว้ตรวจสอบมูลค่ากว่า 8,690,000 บาท  

คดีที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ได้ทำการสืบสวนขยายผลหลังจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด  และทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน Xกฒ 40XX กทม. และ หมายเลขทะเบียน กต 64XX ราชบุรี ลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งกลางดึกของวันที่ 4 พ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคัน ในเขตพื้นที่ จว.สกลนคร ขับตามกันมุ่งหน้า จว.อุดรธานี ต่อเนื่อง จว.ขอนแก่น เมื่อรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคันขับขี่เข้ามาพื้นที่ อ.เมือง จว.ขอนแก่น ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ แต่รถเป้าหมายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตพื้นที่และข้างเคียง กระทั่งเวลา 03.15 น. ของวันที่ 5 พ.ย.66   ตำรวจทางหลวง 2 กก.4 แจ้งว่าพบว่าพบรถเป้าหมายบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 229 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จว.ขอนแก่น จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบพบ นายธนัตชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้า 2,540,000 เม็ด ส่วนรถยนต์อีก 1 คัน ถูกจอดทิ้งอยู่บริเวณข้างคลองน้ำบ้านหัวสระ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จว.ขอนแก่น ในสภาพยางล้อหลังซ้ายแตก ตรวจสอบไม่พบบุคคลหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

คดีที่ 3 ตำรวจ ปส. 4 ทำการสืบสวนเครือข่ายรับจ้างลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ พบมีการติดต่อกัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ต่อมาทราบว่าไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี มาพักไว้ในพื้นที่ อ.บางปู จว.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังภาคใต้ในพื้นที่ จว.พังงา และ จว.ภูเก็ต กระทั่งวันที่ 6 พ.ย.66 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายขณะขับรถมุ่งหน้าพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ชุดจับกุมจึงเฝ้าสะกดรอยติดตาม พบว่ามีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฒย 8xxx กทม. และ หมายเลขทะเบียน 1 ฒศ 5xxx กทม. เป็นรถนำ และรถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ยข 4xxx ชลบุรี ซึ่งเป็นรถที่ซุกซ่อนยาเสพติด โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 จนมาถึง อ.ตะกั่วทุ่ง จว.พังงา ก่อนจะเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และตรวจสอบพบยาบ้า 2,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ จากนี้ ตำรวจ ปส. จะสอบสวนขยายผลเพื่อติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป  

สำหรับเดือน ตุลาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 15 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลาง ยาบ้า 21,836,340 ล้านเม็ด, ไอซ์ 748.52 กก. เฮโรอีน 15.17 กก., และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 103,854,167 ล้านบาท 

นราธิวาส-รองเลขาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ตรวจเยี่ยม ศปก.อ. และ ชคต. พื้นที่ จ.นราธิวาส ย้ำกำลังพลต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา และไม่ประมาท พร้อมปฏิบัติงานทันต่อสถานการณ์

พันเอก อนุชา โนนคู่เขตโขง รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ (ศปก.อ.) และ ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ประกอบด้วย อำเภอบาเจาะ, อำเภอยี่งอ, อำเภอตากใบ, อำเภอเมืองนราธิวาส เพื่อรับทราบการปฏิบัติงานที่ผ่านมา พร้อมสอบถามปัญหาข้อขัดข้อง และร่วมหารือแนวทางการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีผู้แทนสำนักอำนวยการ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมติดตามคณะฯ และมีผู้แทนหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่, นายอำเภอ, ปลัดอำเภอ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ร่วมให้การต้อนรับ

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา พันเอก อนุชา โนนคู่เขตโขง รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอบาเจาะ และ อำเภอยี่งอ  จังหวัดนราธิวาส เพื่อรับฟังการดำเนินงานและรับฟังปัญหาข้อขัดข้องของชุดคุ้มครองตำบลกาเยาะมาตี และ ชุดคุ้มครองตำบลลูโบ๊ะบือซา พร้อมย้ำว่าได้นำข้อห่วงใยจาก พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และคณะผู้บังคับบัญชา มายังเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลในพื้นที่ พร้อมกล่าวชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ภาพรวมมีความเข้มแข็ง แม้มีการปรับลดอัตราเจ้าหน้าที่ก็ตาม พร้อมย้ำว่ากำลังพลต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ประมาท มีสติ เพราะบางพื้นมีการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุรุนแรงหลายจุด กำชับต้องบูรณาการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อดูแลพื้นที่ร่วมกันให้มีความรัดกุมและปฏิบัติตามแผน 3 นอก 4 ใน อย่างเคร่งครัด เน้นการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการรักษาความปลอดภัยพื้นที่

จากนั้น รองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอตากใบ และอำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังการดำเนินงานและรับฟังปัญหาข้อขัดข้องของชุดคุ้มครองตำบลเกาะสะท้อน, ชุดคุ้มครองตำบลไพรวัน และ ชุดคุ้มครองตำบลกะลุวอ จังหวัดนราธิวาส  โดยกำชับกำลังพลทุกนายต้องทำการลาดตระเวนเส้นทางตลอดเวลา รู้จักสังเกต วิเคราะห์ วางแผนการปฏิบัติงานให้รอบคอบ และต้องเตรียมพร้อมร่างกาย และจิตใจอยู่เสมอ พร้อมย้ำว่าให้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน และนำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการลาดตระเวนรอบฐานปฏิบัติการ กำชับต้องหมั่นซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ และการปรับแผนปฏิบัติงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อสามารถปฏิบัติงานได้จริง ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ

ผบ.ตร.สรุปผลงานรอบ 1 เดือน ขับเคลื่อนนโยบาย 10 ข้อ เน้นหนัก 4 ข้อ จับกุมอาญา 39,273 คดี ปราบปรามคดีออนไลน์ ยาเสพติด อาวุธปืน มาตรการท่องเที่ยวสนองนโยบายรัฐบาล และขับเคลื่อนนโยบาย Quick Win (Police’s Home) พร้อมฝากเว็บ “ฉลาดโอน” ป้องกันภัยฉ้อโกงออนไลน์

วันนี้ (9 พ.ย.66)  ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. สรุปผลการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการ 10 ข้อ 4 นโยบายเน้นหนัก และนโยบาย “Quick Win” (Police’s Home) ในห้วง 1 เดือนที่ผ่านมา (1 - 31 ต.ค.66)   ซึ่ง ผบ.ตร. ได้ลงเร่งรัด ลงพื้นที่ ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เป็นผลอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ดังนี้

1. การบังคับใช้กฎหมายและอาชญากรรม
1.1 สถิติคดีอาญา 4 กลุ่ม (เฉพาะเดือน ต.ค.66) 43,512 คดี จับกุมได้ 39,273 คดี คิดเป็น 90.25% แบ่งเป็น
- คดีเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย 1,329 คดี จับกุม 1,107 ราย
- คดีเกี่ยวกับทรัพย์ 4,918 คดี จับกุม 3,657 คดี
- คดีฐานความผิดพิเศษ(ค้ามนุษย์,ลิขสิทธิฯ) 767 คดี จับกุม 375 คดี
- คดีที่รัฐเป็นผู้เสียหาย  28,362 คดี จับกุม 29,180 คน

1.2 ตร.ได้สั่งการให้ ระดม กวาดล้างฯ ในห้วงวันที่ 9 - 11 ต.ค.66 ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยผลการระดมกวาดล้าง ได้ทำการตรวจค้น จำนวน 3,224 จุดสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1,593 ราย  ของกลางเป็นอาวุธปืนรวมจำนวน 2,008 กระบอก แบ่งเป็น
 - อาวุธปืนมีทะเบียน จำนวน 219 กระบอก
 - อาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำนวน 1,789 กระบอก (แบลงค์กัน จำนวน 528 กระบอก / บีบีกัน 202 กระบอก)
 - กระสุนปืนจำนวน 75,973 นัด
และได้ทำการปิดกั้นสื่อสังคมออนไลน์ที่เข้าถึงในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน รวม 291 บัญชี

2. นโยบายเน้นหนัก
2.1 มาตรการดูแลนักท่องเที่ยว ดำเนินการตามนโยบาลรัฐบาลโดยการฟรีวีซ่า จีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน เพิ่มการขยายระยะเวลาอยู่ในไทยให้รัสเซีย (ผ.90) ระงับการแจ้งใช้บัตร ตม.6 ด่าน ตม. สะเดา โดยสถิติคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศไทย ภาพรวม 2566 (1 ม.ค.-1 พ.ย.66)  26,257,809 ราย โดยมีคนมาเลเซีย จีน ลาว อินเดีย เกาหลีใต้ เข้าประเทศสูงสุด 5 อันดับแรก และคาดว่าจะจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยากต่อเนื่อง

2.2 ยาเสพติด เน้นหนักมาตรการป้องกันปราบปรามยาเสพติด เฉพาะเดือน ต.ค.66 จับกุมคดียาเสพติดได้ถึง 16,418 คดี ผู้ต้องหา 16,102 ราย พร้อมสั่งการให้ขยายผลสืบสวนถึงเครือข่าย และใช้มาตรการริบทรัพย์ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 

2.3 อาชญากรรมออนไลน์ ยังคงขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและปราบปราม ควบคู่กับการให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชนในการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ โดยมีสถิติรับแจ้งความออนไลน์ (ตั้งแต่ 1 มี.ค.65-31 ต.ค.66) เป็นคดีออนไลน์ 354,635 คดี อายัดได้ทัน 1,316 ล้านบาท  ความเสียหายรวม 48,137 ล้านบาท โดยมี 3 ประเภทคดีสูงสุดได้แก่ คดีหลอกซื้อขายสินค้าและบริการฯ(ไม่เป็นขบวนการ), หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน, หลอกให้กู้เงิน 

 2.4 การสร้างขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา การมอบรางวัลอัศวินแหวนเพชร, การมอบรางวัลสืบ ภ.2, มอบเงินวิจัย รร.นรต., การมอบพระประจำหน่วยคอมมานโด, การตรวจสถานีตำรวจ สภ.หนองปลิง จว.นครสวรรค์, สภ.แม่ยาว จว.เชียงราย, ด่าน ตม.เชียงแสน  และลงพื้นที่ความมั่นคง จว.ปัตตานี, จว.ยะลา

3. นโยบาย Quick Win “Police’s Home : เราดูแลคุณ เพื่อให้คุณดูแลประชาชน”
3.1 การปรับทรงผมและมอบเสื้อกั๊ก
- ผบ.ตร.ได้ลงนามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการปฏิบัติตนของข้าราชการตำรวจเมื่อแต่งเครื่องแบบ พ.ศ.2566 ปรับแก้ไขให้มีความเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ  เจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ หรือภารกิจแต่ละหน่วย โดยให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยพิจารณาตามความเหมาะสมได้เอง เช่น การปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง ฝ่ายสืบสวนหาข่าว หรือป้องกันปราบปรามยาเสพติด
- ผบ.ตร.มอบเสื้อกั๊กสะท้อนแสง สีเขียวอมเหลืองแบบใหม่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายงานป้องกันปราบปราม ที่ปฏิบัติงานในสถานีตำรวจ นำร่องพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1-9 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว หรือพื้นที่ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพื่อให้ตำรวจใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

3.2 การลดขั้นตอนการรายงาน
โดยการจัดสรรกำลังให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่ สร้างระบบและมาตรฐานการปฏิบัติงาน ลดภาระงานทบทวนระเบียบ คำสั่ง ตร.ที่ 419/2556 หรือการรายงานที่ไม่จำเป็น (โดยให้รายงานเหตุฯ ศปก.เพียงแห่งเดียว) หรือไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่

3.3 การจัดหาบ้านพัก
สั่งการให้ทุกส่วนสำรวจข้อมูลห้องพักอาศัยข้าราชการตำรวจทุกแห่ง ดำเนินการผู้ที่หมดสิทธิพักอาศัย และจัดสรรให้กับข้าราชการตำรวจผู้มีสิทธิต่อไป พร้อมสำรวจความต้องการห้องพัก ศึกษา การก่อสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจเพิ่มเติม 

3.4 การแต่งตั้ง
ผบ.ตร.ได้ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ในระดับ ผบช. ถึง ผบก. เป็นการแต่งตั้งที่โปร่งใส และได้รับการชื่นชมอย่างดีจากทุกภาคส่วน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคใหม่ และสั่งการให้การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในระดับ รอง ผบก.ถึง สว.ในทุกหน่วยให้ถือปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และข้อกำหนด ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2566 อย่างเคร่งครัด ให้คำนึงถึงประโยชน์ทางราชการ ภารกิจการรักษาความสงบเรียบร้อย ตลอดจนความสุขของประชาชนเป็นสำคัญ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายแก้ปัญหาอาชญากรรมที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อาทิ ปัญหายาเสพติด อาชญากรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นต้น 

3.5 การจัดตั้งศูนย์อาชญากรรมพิเศษ 11 ศูนย์ 
ผบ.ตร. ได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 600/2566 เรื่องการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบให้ รอง ผบ.ตร., จตช., ผู้ช่วย ผบ.ตร และรอง จตช. ในงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษและศูนย์ปฏิบัติการ ตร. โดยยกเลิกศูนย์ฯ ของเดิม 8 ศูนย์ คงเหลือศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษและศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจ 11 ศูนย์  มอบหมายให้ รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร.ขับเคลื่อน โดยเน้นให้กำลังพลได้ทำหน้าที่ต้นสังกัดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ด้านอื่นๆ การออกแนวทางรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย และการขับเคลื่อนป้องกันปราบปรามหนี้นอกระบบและการดูแล รปภ. นักท่องเที่ยว และควบคุมสถานบริการฯลฯ

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ขอฝากประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ “ฉลาดโอน”  chaladohn.com ที่ช่วยเหลือประชาชน เพื่อป้องกันภัยการฉ้อโกงออนไลน์ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลมิจฉาชีพได้แก่ เลขบัญชีธนาคาร / เบอร์โทร / SMS หลอกลวง เว็บไซต์ฉลาดโอนช่วยให้ประชาชนมีเครื่องมือสำหรับใช้ในการตรวจสอบข้อมูลมิจฉาชีพ เป็นเสมือนศูนย์กลาง ในการตรวจสอบข้อมูลของมิจฉาชีพที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศ โดยมี 4 ฟังก์ชั่นการทำงาน ได้แก่ ระบบเช็คก่อนโอนตรวจสอบข้อมูล / ระบบแจ้งคนโกง / ระบบช่วยรวมหลักฐาน รับฟัง จัดลำดับเหตุการณ์ / ระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย โดยระบบจะเริ่มใช้งานได้ในวันที่ 8 พ.ย.66 เป็นต้นไป โดยพบว่า มีประชาชนเข้าไปเช็คคนโกงกว่า 3,389,840 ครั้ง เช็คตัวต้นผู้ขายกว่า 24,629 ครั้ง แจ้งคนโกงกว่า 410,900 ราย มีสมาชิกจำนวนกว่า 32,412 ราย

ขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ฉลาดโอนทุกครั้งก่อนโอนเงิน และหากมีข้อมูลมิจฉาชีพ กรุณาช่วยแจ้งข้อมูลให้เว็บไซต์ฉลาดโอนเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนท่านอื่นถูกหลอกโอนเงินเพิ่ม ทุกข้อมูลที่ท่านส่งมา ล้วนมีประโยชน์ และสามารถลดอาชญากรรมออนไลน์ในสังคมของเราได้ ผบ.ตร. มุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่เพื่อให้สังคมสงบสุข และลดเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์ให้เหลือน้อยที่สุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top