Thursday, 24 April 2025
TodaySpecial

28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 วันเลือกตั้ง อบต. หลังถูกแช่แข็งมานาน นับ 7 ปี

องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และแก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562

โดย อบต. เป็นหนึ่งในความพยายามปฏิรูปการเมือง การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในนาม อบต. เปรียบเสมือนการตั้งองค์กรประชาธิปไตยขนาดเล็ก ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้ง่าย ในพื้นที่ขนาดเล็ก และมีความเป็นชุมชนตามธรรมชาติ สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 

หลังจากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่ใกล้ชิดประชาชนที่สุดถูก ‘แช่แข็ง’ หลังรัฐประหาร 2557 ปลายปี 2564 ก็จะมีการเลือกตั้ง อบต. ผู้บริหารท้องถิ่นอีกครั้ง หลังจากเว้นว่างการใช้สิทธิ์โดยประชาชนมานานหลายปี 

ทั้งนี้ เนื่องจากวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 คสช. ได้ออกประกาศ คสช.ที่ 85/2557 งดการจัดเลือกตั้งท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น และให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป

29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้น ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินยังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จของคณะกรรมการสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

และได้ทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้น ณ บริเวณหน้าหอประชุม มก. ทั้งยังมีพระราชดำรัสถึงบุคลากรและนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในคราวนั้นว่า

“ขอฝากต้นไม้นี้ให้มหาวิทยาลัยและนิสิตช่วยกันรักษาให้ดี อย่าให้หงอย ขอฝากนิสิตทั้งหลาย ขอให้ช่วยกันรักษาตัวเองให้ดี และอย่าลืมว่าตัวเองนั้นจะอยู่กันได้ก็ด้วยแผ่นดินไทย ขอให้ช่วยรักษาแผ่นดินไทยไว้ด้วย คนไทยถ้าไร้แผ่นดินก็จะหงอยกันหมด อยู่กันไม่ได้ และเราก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”

นอกจากนี้ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระมหากรุณาธิคุณร่วมการแสดงดนตรีที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก อันนำไปสู่การเสด็จ "เยี่ยมต้นนนทรี" ที่ทรงปลูกและ "ทรงดนตรี" สืบเนื่องมาจนถึงปี พ.ศ. 2515

โดย ต้นนนทรี เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 เพราะต้นนนทรีเป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืนยาวนาน มีใบเขียวตลอดทั้งปี ลักษณะใบเป็นฝอยคล้ายใบกระถิน ดอกสีเหลืองประปรายด้วยสีขาว ช่อดอกเป็นพวงระย้า ฝักไม่ยอมทิ้งต้น ทนทานในทุกสภาพอากาศของเมืองไทย 

30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 รำลึก ‘สุรินทร์ พิศสุวรรณ’ อดีตเลขาธิการอาเซียน ถึงแก่อนิจกรรม จากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เป็นคนบ้านตาล ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ในเรื่องการศึกษานั้น ดร.สุรินทร์ ศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเรียนปี 1-2 และได้รับทุน Frank Bell Appleby ไปศึกษาต่อ ปี 3-4 ด้านรัฐศาสตร์ที่ Claremont Men’s College, Claremont University และศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกที่ Harvard University ด้านรัฐศาสตร์ โดยได้รับทุนจาก Rockefeller

ซึ่งหลังจากจบการศึกษาปริญญาเอกจาก Harvard University ดร. สุรินทร์ ต้องกลับมาเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตามเงื่อนไขของทุนการศึกษาที่ได้รับไปศึกษาในระดับปริญญาโทและเอก โดยเป็นอาจารย์เมื่อปี พ.ศ. 2525 

ต่อมาใน พ.ศ. 2529 ชีวิตการเป็นนักการเมืองของ ดร. สุรินทร์จึงได้เริ่มต้นขึ้น จากการชักชวนของ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราชจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในตอนแรกนั้น ดร.สุรินทร์ ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่ในเวลาต่อมาก็ตอบรับคำที่จะลงสมัครและก็ได้รับเลือกตั้งในที่สุด

เมื่อได้เป็น ส.ส. ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ชักชวนให้ ดร. สุรินทร์ มารับหน้าที่เป็นเลขานุการประธานสภาฯ หลังจากนั้นเมื่อมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปี พ.ศ. 2531 ดร. สุรินทร์ ก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. อีกครั้งและได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการให้กับ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 

ด้วยเหตุที่ ดร. สุรินทร์ ศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์อยู่แล้ว ทางผู้ใหญ่ในพรรคจึงเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่จะไปช่วยงานในกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2535 เมื่อชวน หลีกภัยได้รับการเลือกตั้งจากสภาฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดร. สุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 พ.ศ. 2535 - 2538) 

 

“พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” มีพระราชดำรัสทรงตอบรับ ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานพระราชวโรกาส ให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าฯ ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เพื่อกราบบังคมทูลอัญเชิญ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่

โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำรัสว่า ตามที่ประธาน สนช. ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานรัฐสภา ได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทย เชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ และรัฐธรรมนูญนั้น ข้าพเจ้าขอตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง หลังจากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้กราบบังคมทูลต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อขึ้นทรงราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10

หลังจากนั้นนายพรเพชร แถลงต่อประชาชนว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 โดยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 มาตรา 2 วรรค 2 ประกอบรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง บัญญัติเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สถาปนาพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระรัชทายาท เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 โดย สนช. ทำหน้าที่รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญปี 2557 ได้รับทราบกรณีสวรรคตดังกล่าวด้วยความโทมนัสยิ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 สนช. ได้ประชุมเพื่อรับทราบการแต่งตั้งพระรัชทายาท และประธาน สนช. ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา นำความกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 มาตรา 2 วรรคสอง ประกอบรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง จึงขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พล.อ.ประยุทธ์ แถลงต่อประชาชนว่า ประกาศให้ประชาชนชาวไทย ทั้งที่อยู่ในไทย และต่างประเทศทราบว่า วันนี้ประเทศไทยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ตามการกราบบังคมทูลเชิญขึ้นทรงราชย์ของประธาน สนช. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา ร่วมเป็นสักขีพยานในพระราชพิธีประวัติศาสตร์นี้ และประธาน สนช. มีประกาศแจ้งต่อประชาชนแล้ว

การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎมณเฑียรบาล และโบราณราชประเพณีทุกประการ ที่สนองพระราชดำริของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานไว้ตั้งแต่แรกว่า ระหว่างที่พระองค์เอง และประชาชนทุกข์โศกใหญ่หลวงจากกรณีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต และยังไม่ควรสืบราชสมบัติ แต่ควรรอพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล เปิดโอกาสให้ประชาชนเคารพพระบรมศพระยะหนึ่ง บัดนี้ถึงพระราชพิธีปัญญาสมวาร (ครบ 50 วัน) ประชาชนได้มีโอกาสได้ถวายบังคมพระบรมศพแล้ว ขอพระราชทานพระราชานุญาตดำเนินการตามกฎหมายต่อไป อนึ่งเป็นไปตามพระราชประเพณี ไม่ขัดต่อกฎหมาย และสอดคล้องกับนานาประเทศที่ราชอาณาจักรไม่ว่างเว้นขาดตอนจากพระมหากษัตริย์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ณ บัดนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสถิตราชสถานะ องค์พระรัชทายาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เป็นเวลา 44 ปี เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10

๕ ธันวาคม วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

๕ ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดให้ วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย ดังนี้

๑.) เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ - ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙) เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประเทศไทย

๒.) เป็นวันชาติ : เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย เดิมกำหนดให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันชาติ เนื่องจากเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๓ ได้เปลี่ยนมาเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระมหากษัตริย์ไทย ตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ และเป็นวันศูนย์รวมจิตใจความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ปัจจุบันจึงตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี

๓.) เป็นวันพ่อแห่งชาติ : วันพ่อแห่งชาติ มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา เป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ เพราะพ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกให้ความเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ 

จึงถือเอาวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ของวันพ่อแห่งชาติ

ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๒ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ 

ทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และ เอเชีย และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ทุกภาคทรงประจักษ์ในปัญหาของราษฎร ในชนบทที่ดำรงชีวิตด้วยความยากจน ลำเค็ญและด้อยโอกาส ได้ทรงพระวิริยะอุตสาหะหาทางแก้ปัญหาตลอดมาตราบจนปัจจุบัน 
 

22 ปีที่แล้ว เกิดเหตุเพลิงไหม้!! ‘โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์’ นับว่าเป็นเหตุการณ์เพลิงไหม้คลังเก็บน้ำมัน ที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศไทย!! 

จุดเริ่มต้นของการสูญเสียในครั้งนี้ เริ่มมาจากการเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้นบริเวณถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิง หมายเลข T-3003 ซึ่งมีความจุทั้งสิ้น 3 ล้านลิตร (แต่ในขณะนั้นมีเพียง 1.5 ล้านลิตร) และต่อมาได้ลุกลามไปยังถังเก็บน้ำมันข้างเคียงอีก 3 ถัง คือ T-3004, T-3005 และ T-3006 ซึ่งในขณะนั้นพนักงานอยู่ในช่วงพักผ่อน นันทนาการ จึงทำให้ไม่มีใครสนใจเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้น 

จนกระทั่งทุกคนเริ่มรู้สึกตัวเพราะได้กลิ่นน้ำมันที่โชยออกมา ทำให้ยามที่รักษาการณ์อยู่ รวมถึงเจ้าหน้าที่อีก 4 คนตัดสินใจเข้าไปตรวจสอบความผิดปกติ ซึ่งพอดีกับที่เสียงระเบิดดังขึ้น และตามมาด้วยเปลวไฟที่ลุกโหม แรงระเบิดที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับโรงกลั่นไทยออยล์เท่านั้น แต่แรงสั่นสะเทือนยังส่งไปไกลถึงชุมชนที่อยู่รอบข้าง ทำให้ชาวบ้านหลายรายได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนถูกแรงอัดของระเบิดพังเสียหาย แล้วทุกอย่างก็ได้ตกอยู่ในความชุลมุนทันที

ซึ่งน้ำมันเบนซินที่อยู่ที่โรงกลั่นไทยออยล์ ก็เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี ทำให้ไฟยิ่งโหมแรงขึ้น และไม่มีท่าทีว่าจะดับได้ง่าย ๆ และไม่สามารถดับได้ด้วยน้ำอย่างเดียวอีกต่อไป จึงต้องมีการนำโฟมมาใช้ในการดับไฟร่วมด้วย แต่ท่อส่งโฟมของโรงกลั่นถูกแรงระเบิดอัดจนเสียหาย ทำให้ต้องระดมหน่วยงานดับเพลิงจากที่ต่าง ๆ กว่า 70 แห่งมาช่วย ทำให้กว่าจะดับไฟได้ก็กินเวลาไปกว่า 48 ชม.หรือ 2 วันเต็ม ๆ

ซึ่งสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ และยังสร้างความตื่นตระหนกหวาดผวาให้กับชาวบ้านรอบข้างจำนวนมาก หลายร้อยครอบครัวต้องอพยพหนีตาย โดยเฉพาะหมู่บ้านทุ่งที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดโดยตรง จนมีผู้บาดเจ็บหลายราย ส่วนบ้านแหลมฉบังซึ่งอยู่ไกลออกไปราว 3 กิโลเมตร แม้จะไม่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดโดยตรง แต่เศษถังน้ำมันที่ปลิวร่อนมาตกบนหลังคาบ้าน ก็สร้างความหวาดผวาให้ไม่น้อย และต้องอพยพไปอาศัยอยู่ที่บริเวณสวนสัตว์เปิดเขาเขียวและเทศบาลเมืองชั่วคราว

ครบ 34 ปี ‘ศรินทิพย์ ศิริวรรณ’ ดาราที่หายสาบสูญ ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ “อีจู้กู้ปู่ป้า” จนปัจจุบันยังไม่มีการพบตัว!!

ย้อนกลับไปเมื่อ 34 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยมีนักแสดงลูกครึ่งผมดำ ที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการบันเทิงไทยในฐานะนักแสดงแถวหน้า การันตีรางวัลตุ๊กตาทองในปี 2525 และรางวัลตลกหญิงยอดเยี่ยมในปี 2529

ชื่อของเธอคือ “ศรินทิพย์ ศิริวรรณ” หรือ ไพลิน คอลลิน สาวมากความสามารถที่ผู้คนรู้จักเธอในฐานะนักร้องของวงดนตรีกรมสรรพสามิต และนักแสดงคู่บุญของ รัตน์ เปสตันยี จากภาพยนตร์เรื่อง “โรงแรมนรก” และ “แพรดำ” ซึ่งต่อมาได้สร้างชื่อและผลักดันให้เธอได้รับบทหม่อมแม่ ในละครบ้านทรายทอง (1979) ซึ่งถือเป็นช่วงขาขึ้นในอาชีพการแสดงของเธอ

การแสดงดี ดนตรีก็ไม่แพ้กัน เพราะในอีกด้าน ศรินทิพย์ก็ยังเป็นนักร้องของวงดนตรีกรมสรรพสามิต และที่นั่น เธอได้พบรักกับ ชาลี อินทรวิจิตร ครูเพลงมากความสามารถที่ช่วยกันฝ่าอุปสรรคในชีวิตต่าง ๆ ด้วยกันตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่ศรินทิพย์ถูก จำเนียร รัศมี สามีเก่า ฟ้องร้องหลังนำเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับชีวิตคู่ครั้งก่อนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่หลังจากเหตุการณ์นั้น ชาลี อินทรวิจิตร ได้แต่งเพลงชื่อ “ไม่อยากให้โลกนี้มีความรัก” เพื่อเตือนใจว่า ในโลกของความรักไม่มีทุกข์หรือสุขที่จะอยู่จีรังในความสัมพันธ์ไปตลอด

กำเนิดฟุตบอลประเพณี ‘จุฬาฯ - ธรรมศาสตร์’ 2 มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น! ได้ร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้ประเทศชาติ

ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ ก่อกำเนิดครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2477 โดยแนวความคิดของนิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ได้หารือกันว่าควรจะมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสถาบันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างนิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบัน และควรจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี ผู้ริเริ่มฝ่ายธรรมศาสตร์มีพล.ต.ท. ต่อศักดิ์ ยมนาค, บุศย์ สิมะเสถียร และฝ่ายจุฬาฯ มี ประสงค์ ชัยพรรค, ประถม ชาญสันต์ และประยุทธ สวัสดิ์สิงห์ การแข่งขันครั้งแรกนั้นทางฝ่ายธรรมศาสตร์คือ ดร. เดือน บุนนาค เลขาธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองสมัยนั้นรับจัดการแข่งขัน และได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน

การแข่งขันทุกปีนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่า รายได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะมีการมอบการกุศลทุกครั้งโดยในครั้งแรกซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 ณ สนามหลวง ท้องทุ่งพระสุเมรุ มีการเก็บเงินค่าผ่านประตูบำรุงสมาคมปราบวัณโรค ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดของไทยขณะนั้น หลังจากนั้นก็มีการเก็บเงินบำรุงการกุศลเรื่อยมา เช่น ในช่วงแรก ๆ มีการเก็บ เงินบำรุงทหาร สมทบทุนสร้างเรือนพักคนไข้วัณโรค ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบำรุงสภากาชาด บำรุงมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก สมทบทุนอานันทมหิดล สร้างโรงเรียนชาวเขา ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีการเก็บเงินเพื่อบำรุงการศึกษาของทั้งสองสถาบัน และตั้งแต่การแข่งขันครั้งที่ 34 (พ.ศ. 2521) จนถึงปัจจุบัน คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้นำเงินรายได้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย

7 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา 

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ประสูติเมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชาต่างพระมารดา คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร 

ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษและได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นเสนาธิการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านสาธารณกุศลผ่านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และด้านกฎหมายซึ่งทรงมีความเชี่ยวชาญ ตลอดจนปฏิบัติพระกรณียกิจสนองพระเดชพระคุณในการเสด็จแทนพระองค์อยู่โดยเสมอมา เมื่อครั้งที่ทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทรงร่วมงานฟุตบอลประเพณีจุฬา - ธรรมศาสตร์ และทรงเป็นผู้เชิญธรรมจักร ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย มากไปกว่านั้น ทรงเข้าทำงานที่คณะทูตถาวรแห่งประเทศไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก

โดย ‘มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย’ เริ่มต้นจากการดำเนิน โครงการอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ซึ่งมีขึ้นในขณะที่มีอุทกภัยครั้งร้ายแรงในกรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. 2538 และมีผู้ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก จนภาคราชการและองค์กรการกุศลที่มีอยู่มิอาจให้ความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง จนเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันระหว่างประชาชนอันเกิดจากความเครียด อันเนื่องมาจากการป้องกันน้ำให้ท่วมในวงจำกัด ผู้ที่เดือดร้อนจึงรู้สึกว่าขาดที่พึ่ง ขาดความเห็นอกเห็นใจ ต้องได้รับความเดือดร้อนเฉพาะชาวพื้นที่ของตนเอง ขณะที่พื้นที่ติดกันได้รับความสะดวกสบายอย่างเป็นปกติ

ในช่วงเช้าของวันที่ 29 ตุลาคม เป็นวันที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงออกปฏิบัติภารกิจในโครงการฯ เป็นครั้งแรก โดยเสด็จออกรับน้ำใจจากผู้ไม่ประสบอุทกภัยที่สถานีบริการน้ำมัน ต่อจากนั้นในช่วงบ่ายได้ทรงพระดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 34 เขตบางกอกน้อย ซอยจรัญสนิทวงศ์ 82, 84 และ 86 เขตบางพลัด การออกปฏิบัติพระกรณียกิจในครั้งนี้ส่งผลให้เหตุการณ์สงบลง จากนั้นมาโครงการฯ ก็ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 

วันนี้เมื่อ 32 ปีที่แล้ว จุดเริ่มต้น ‘วันริบบิ้นสีขาว’ เพื่อรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี จากเหตุฆาตกรรมที่ประเทศแคนาดา มีผู้หญิงเสียชีวิตถึง 14 คน

วันริบสีบิ้นขาว (White Ribbon Day) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ วันชาติแห่งการรำลึกและยุติความรุนแรงต่อสตรี (National Day of Remembrance and Action on Violence against Women) เป็นวันสำคัญในประเทศแคนาดา

เริ่มต้นขึ้นในปี 2534 โดยรัฐสภาแคนาดา เพื่อรำลึกถึงเหตุฆาตกรรมที่วิทยาลัยสารพัดช่าง ในเมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวน 14 ราย เป็นเพศหญิงทั้งหมด โดยคนร้ายซึ่งประกาศตัวว่าต่อต้านเรื่องสิทธิสตรี 

หลังจากเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญครั้งนี้ มีกลุ่มที่ทำการรณรงค์ โดยเป็นกลุ่มนักศึกษาชายจำนวน 1 แสนคน ที่ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรี และต้องการยุติปัญหาดังกล่าว จึงได้เรียกร้องให้ผู้ชายทั่วโลกร่วมรับผิดชอบต่อปัญหาความรุนแรงต่อสตรี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top