Friday, 20 June 2025
TheStatesTimes

'โบว์ ณัฏฐา' ย้ำชัด ‘นายกฯอิ๊งค์’ ต้องลาออก ยกเหตุผลสำคัญ ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ บริหารกองทัพไม่ได้

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “เหตุผลที่นายกฯต้องลาออก” ระบุว่า สิ่งที่จะไล่เรียงต่อไปนี้ไม่ได้เป็นไปด้วยอารมณ์หรือมีความเกลียดชังใดๆเจือปน ไม่ว่าจะต่อตัวบุคคลหรือพรรคการเมือง แต่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ความผิดพลาดของนายกฯ ที่สะท้อนผ่านคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซนนั้น ไม่ได้อยู่ที่เจตนาในการคลี่คลายสถานการณ์ หรือแม้แต่ท่วงทำนองอันนอบน้อมของบทสนทนาที่พอเข้าใจได้

แต่ความผิดพลาดของนายกฯ อยู่ที่บริบทและเนื้อหาของการสนทนาที่แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความสามารถจะบริหารราชการแผ่นดิน ได้ ไม่ว่าจะในการบริหารสถานการณ์ บริหารความสัมพันธ์ หรือบริหารกองทัพ

คลิปเสียงดังกล่าวถูกอัดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุม JBC การที่นายกฯไม่หยิบยกประเด็นใหญ่ที่กัมพูชาจะยกข้อพิพาทสี่พื้นที่ขึ้นศาลโลกมาพูดถึงเลย แสดงให้เห็นว่านายกฯสนใจที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการปิดด่านเพื่อให้ได้ quick win หรือความสำเร็จเฉพาะหน้า มาผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมืองของตนก่อนเท่านั้น สังเกตได้จากการพูดย้ำไม่ต่ำกว่าสามรอบว่า อิ๊งค์โดนหนักมาก และแม้จะเป็นการเลือกเรื่องที่อาจจะคิดว่าเป็นไปได้มาเจรจา ก็ยังไม่สามารถตั้งประเด็นให้เกิดอำนาจการต่อรองได้

สุดท้ายกลับกลายเป็นการรับโจทย์ จากฮุนเซนกลับมา และรับปากว่าจะทำให้กลาโหมยอมเปิดด่านได้ ไม่มีการพูดถึงปัญหาการวางอาวุธประชิดชายแดนของกัมพูชา ไม่สามารถเตรียมข้อต่อรองที่มีน้ำหนักล่วงหน้า

วันรุ่งขึ้นคือ 16 มิถุนายน นายกฯที่เพิ่ง 'รับโจทย์' มาจากฮุนเซน กลับโดนเล่นงานแต่เช้า เมื่อฮุนเซนประกาศกลางวุฒิสภา ขู่ไทยว่าหากไม่เปิดด่านเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง กัมพูชาจะปิดด่านที่เหลือทั้งหมด ทุกอย่างที่คุยกันทางโทรศัพท์หมดความหมายเพียงชั่วข้ามคืน เป็นความตั้งใจวางยา ยั่วยุให้สถานการณ์เข้าใกล้การปะทะไปอีกหนึ่งก้าว

นายกรัฐมนตรีรีบเข้าประชุมที่บ้านพิษณุโลกทันที แล้วออกมาแถลงข่าวอย่างไร้จุดหมาย ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าการประชุม JBC ประสบความสำเร็จ แจ้งเรื่องการตั้งคณะทำงาน การให้เหตุผลโต้คำขู่ของกัมพูชาว่าไทยไม่เคยปิดด่าน รวมถึงการตำหนิฮุนเซนว่าไม่ Professional ที่คุยหลังไมค์กันอย่างแล้วกลับออกมาโพสต์โซเชียลอีกอย่าง ก่อนทิ้งท้ายว่าโลกจะไม่ยอมรับคนที่ไม่รักษากติกา

ในขณะที่นายกฯไม่ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาใด ๆ หลังการแถลงข่าวกลับมีการบอกยกเลิกการประชุมสมช. ที่กำหนดไว้ในบ่ายวันเดียวกัน แล้วใช้เวลาที่ว่างนั้นในการเรียกรองฯอนุทินเข้าพบ โดยมีการปล่อยข่าวว่าเป็นการเรียกเพื่อไปคุยเรื่องปรับ ครม. ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

อะไรคือเรื่องสำคัญเร่งด่วนในสายตานายกรัฐมนตรี?

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น ผู้นำรัฐบาลบรรลุภารกิจในการยึดตำแหน่งตามบัญชาของพ่อนายกฯ ในขณะที่พ่อนายกฯกัมพูชาก็ไม่พอใจเนื้อหาในการแถลงข่าวที่ตนถูกถอนหงอกเมื่อเช้า นำสู่การปล่อยคลิปเสียงเพื่อทำลายนายกฯ และทำลายความสัมพันธ์กับประเทศไทยไปอีกขั้นในสองวันต่อมา

ยุทธวิธีของฮุนเซนเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่วุฒิภาวะของนายกฯเป็นเรื่องน่ากลัว

โดยเฉพาะเมื่อนายกฯได้กล่าวถึงแม่ทัพภาคสองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลนี้กับผู้นำต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์อันแท้จริง ว่านายกฯก็คงไม่พอใจกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารอย่างจงใจของแม่ทัพบ่อยครั้งที่สวนทางกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ตอกย้ำว่ากองทัพกับรัฐบาลไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันอย่างที่พยายามพูดบ่อย ๆ และที่สำคัญคือ รัฐบาลเพื่อไทยบริหารกองทัพไม่ได้ แม้ไม่พอใจความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ทำได้แค่ไปขอความเห็นใจกับคู่กรณี

ซึ่งนี่คือความจริงที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับประเทศประชาธิปไตย

หลังคลิปเสียงถูกปล่อยออกมา กองทัพมีปฏิกิริยาในช่องทางต่างๆทันที ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงต่อนายกฯ แสดงความพร้อมที่จะแข็งข้อ

คงไม่ต้องให้เหตุผลเพิ่มว่าทำไมนายกฯจึงควร “ลาออก” วันนี้

'ชัยธวัช' ชี้การเมืองแรงช่วงนี้ไม่เกี่ยว 'ตระกูลชินวัตร'ผลพวง 'คณะรัฐประหาร-ชนชั้นนำ' โหยหาอำนาจเหนือปปช.

'ชัยธวัช' ชี้ตอนนี้การเมืองแรง ไม่เกี่ยว 'ตระกูลชินวัตร' แต่เป็นผลพวง 'คณะรัฐประหาร-ชนชั้นนำ' ต้องการมีอำนาจเหนือประชาชน

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) นายชัยธวัช ตุลาธน กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงสถานการณ์ความตึงเครียดของพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ ว่า ในสถานการณ์ที่กระแสความไม่พอใจต่อนายกฯ (แพทองธาร ชินวัตร) ลุกลามอย่างรุนแรงนั้น

นายชัยธวัช ระบุว่า ประเด็นหนึ่งที่อยากชวนคิดคือ ภาวะที่เราไม่พอใจอยู่นี้ ถึงที่สุดแล้วไม่ได้เกิดขึ้น เพราะตระกูลชินวัตร แต่มันเป็นผลพวงจากการเมืองของคณะรัฐประหาร และชนชั้นนำบางกลุ่ม ที่ต้องการมีอำนาจเหนือเสียงของประชาชน

"การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากนี้ เราจึงต้องไม่หวนกลับไปใช้วิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตยอีก การเมืองของชนชั้นนำ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชีวิตของเรา และประเทศตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ทำให้เรามีนายกฯ และรัฐบาลแบบนี้ ดังนั้น มีแต่ต้องชวนกันออกจากการเมืองของชนชั้นนำ แล้วสร้างการเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่ของชาติ" นายชัยธวัช กล่าว
 

‘แอสเซนด์ มันนี่’ คว้าใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ เดินหน้าพัฒนาระบบพร้อมเปิดให้บริการภายใน 1 ปี

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) แอสเซนด์ มันนี่ นำโดย บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด ประกาศได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์อย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นของ บริษัทฯ ในการเดินหน้าขยายบริการทางการเงิน ผ่านการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และยกระดับความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการเงินให้คนไทย

การได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของ แอสเซนด์ มันนี่ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและการเงินให้กับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสอดรับกับพันธกิจของ บริษัทฯ ในการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น โดย แอสเซนด์ มันนี่ มีแผนนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาคิดใหม่ทำใหม่ตลอดกระบวนการ เพื่อนำเสนอบริการที่ครอบคลุมและตอบรับความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และประธานคณะกรรมการ บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ถือหุ้นหลักของ แอสเซนด์ มันนี่ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ แอสเซนด์ มันนี่ ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์อย่างเป็นทางการ เราเชื่อมั่นว่าเวอร์ชวลแบงก์จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในมิติของการสร้างสรรค์นวัตกรรม  การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเครือซีพี ในการสร้างแพลตฟอร์มแห่งโอกาส (Platform of Opportunity) ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เพื่อเปิดทางให้ทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียมและเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศให้มั่นคง ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์จะสนับสนุน แอสเซนด์ มันนี่ อย่างเต็มที่ เพื่อให้ธนาคารดิจิทัลแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นพลังสำคัญในการยกระดับประเทศสู่อนาคตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างแท้จริง”

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า “แอสเซนด์ มันนี่ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้จัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์อย่างเป็นทางการ เราเชื่อว่าสิ่งสำคัญของการให้บริการธนาคารในยุคต่อจากนี้ เริ่มต้นจากความเข้าใจลูกค้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ถูกระบบการเงินแบบเดิมมองข้าม โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แอสเซนด์ มันนี่ ทุ่มเทในการศึกษาความต้องการของลูกค้า เพื่อนำไปพัฒนาและต่อยอดเป็นบริการที่ไม่เพียงช่วยแก้ไขปัญหาให้พวกเขา แต่ยังมอบคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ  เราเชื่อมต่อให้ผู้คนที่ก่อนหน้านี้ไม่อยู่ในระบบได้เข้ามาอยู่บนระบบการเงินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา และบริษัทฯ ยังมีความพร้อมในการให้บริการโดยได้ลงทุนด้านบุคลากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และระบบบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างธนาคารดิจิทัลที่ให้บริการได้อย่างครอบคลุม ปลอดภัย และช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถมีชีวิตการเงินที่ดีขึ้น ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีจุดเริ่มต้นที่ แตกต่างอย่างไร เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าแพลตฟอร์มที่เราสร้างจะมอบบริการทางการเงินที่เข้าถึงง่าย ตอบรับชีวิตจริง และสนับสนุนผู้ใช้ของเราให้เกิดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ พร้อมทำให้เรื่องของการเงินเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมสำหรับทุกคน”

ทั้งนี้ ใบอนุญาตจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ที่ แอสเซนด์ มันนี่ ได้รับ จะเข้ามาเสริมศักยภาพบริษัทฯ ให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้นผ่านบริการธนาคารดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตอบรับความต้องการในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ โดยบริษัทฯ จะใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีด้าน AI และ Data Analytics ในการนำเสนอบริการที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และแก้ปัญหาได้จริง โดยเป้าหมายสำคัญคือการลดความเหลื่อมล้ำและสนับสนุนการเติบโตทางการเงิน ให้กับทั้งลูกค้ารายย่อย และลูกค้าธุรกิจ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ MSMEs ต่อจากนี้ การเงินจะถูกทำให้เป็นเครื่องมือแห่งโอกาสเพื่อมอบการเติบโตและเข้าถึงทุกบริการอย่างทั่วถึงให้กับคนไทย โดยบริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนทั่วไปผ่านนวัตกรรมและบริการของเรา

ทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แอสเซนด์ มันนี่  ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายการเข้าถึงทางการเงิน โดยพัฒนาหนึ่งในแอปพลิเคชันการเงินดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายที่สุดในภูมิภาคอย่าง ทรูมันนี่ (TrueMoney) ซึ่งปัจจุบันให้บริการแก่ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนกว่า 34 ล้านคนทั่วประเทศ โดยทรูมันนี่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้คนจำนวนมากเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านบริการใช้จ่าย ออม ลงทุน การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และการสร้างหลักประกันเพื่ออนาคต

ตัวเลขที่เห็นได้ชัดคือ ลูกค้าสินเชื่อของ แอสเซนด์ มันนี่ มากกว่า 50% ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเป็นครั้งแรกกับบริษัทฯ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากระบบการเงินแบบเดิมได้ แต่ด้วยการที่ แอสเซนด์ มันนี่ พัฒนาโมเดลสินเชื่อที่นำเทคโนโลยี AI และข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) มาใช้ ก็ได้ทำให้พวกเขาเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ เจ้าของธุรกิจรายย่อย และเกษตรกร สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำเป็นผ่านการให้บริการสินเชื่อที่มีความรับผิดชอบ (Responsible lending) นอกจากนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว บริษัทฯ ได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยเบี้ยน้อย จ่ายสบาย เป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านฉบับ เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากซึ่งไม่เคยเข้าถึงผลิตภัณฑ์ด้านประกันมาก่อน สามารถสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้านักลงทุนในกองทุนรวมที่มีกว่า 70% ยังเป็นผู้ที่เริ่มลงทุนเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ แอสเซนด์ มันนี่ ในการขยายการเข้าถึงเครื่องมือการเงินที่สร้างความมั่นคงในชีวิตให้ผู้คน

และภายในระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ แอสเซนด์ มันนี่ จะเปิดตัวบริษัทและเวอร์ชวลแบงก์ ที่ดำเนินการภายใต้กฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยบริษัทฯ จะยึดหลักความยั่งยืน โปร่งใส และตรวจสอบได้ตลอดกระบวนการ โดยรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ จะมีการเปิดตัวและนำเสนออย่างเป็นทางการต่อไป

ส่องขีดความสามารถกำลังรบ – ยุทโธปกรณ์อิหร่าน ในวันที่ต้องเปิดแนวรบเต็มรูปแบบกับ ‘อิสราเอล’

ปัจจุบันทุกวันนี้ กรณีพิพาทระหว่างประเทศได้ขยายตัวยกระดับกลายเป็นสงครามในหลายภูมิภาคบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น รัสเซียกับยูเครน อิหร่านกับอิสราเอล กรณีพิพาทระหว่างอินเดียและปากีสถาน หรือ กระทั่งกรณีพิพาทระหว่างไทยกับเขมร ซึ่งมีการเผชิญหน้าด้วยกำลังทหารตลอดแนวชายแดนของสองประเทศ

สงครามคือ การต่อสู้ของคู่พิพาทหรือคู่ขัดแย้งด้วยกองกำลังติดอาวุธ ในสภาวะที่ปกติแล้วมีการสู้รบด้วยอาวุธอย่างเปิดเผยและประกาศระหว่างรัฐหรือประเทศต่าง ๆ โดยการทำสงครามนั้น คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายจำเป็นต้องมีกำลังอำนาจทางทหาร ซึ่งประกอบด้วย (1) กำลังรบ กำลังทหาร หรือกองกำลังติดอาวุธ (ที่จัดเตรียมไว้แล้ว) และ (2) ศักย์สงคราม

ศักย์สงคราม (War potential) ได้แก่ ขีดความสามารถที่จะผลิตกำลังรบเพิ่ม ผลิตอำนาจการรบเพิ่ม โดยองค์ประกอบของศักย์สงครามอาจแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) กำลังอำนาจทางเศรษฐกิจ 2) กำลังอำนาจทางการเมือง 3) ขวัญและกำลังใจเมื่อเกิดการสู้รบขึ้น และ 4) การสนับสนุนจากพันธมิตร

นอกจากองค์ประกอบ 4 ประเภทที่กล่าวมาแล้ว ยังรายละเอียดตามเงื่อนไขปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ (1) ขนาด ที่ตั้ง และลักษณะของประเทศ (2) จำนวน อายุ ลักษณะประชากร ขีดความสามารถทางแรงงานและขวัญของพลเมือง (3) จำนวนและชนิดของอาหารและวัตถุดิบ ตลอดจนจำนวนสำรองของวัตถุดิบรวมทั้งขีดความสามารถที่จะนำเข้ามาทั้งยามสงบและยามสงคราม (4) ขีดความสามารถทางอุตสาหกรรม (5) ขีดความสามารถในด้าน Logistics (6) ทรัพยากรด้านวัตถุและกำลังคนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (7) คุณภาพของผู้นำและผู้บริหารของชาติ รวมทั้งขีดความสามารถในการระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ด้วย

ศักย์สงครามของอิหร่าน ในขณะนี้ โลกกำลังจับตาดูความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านว่า จะพัฒนาไปอย่างไร จะกลายเป็นสงครามที่มีการขยายพื้นที่เป็นสงครามขนาดใหญ่ หรือสงครามจำกัดขอบเขตพื้นที่เช่นที่เป็นมา บทความนี้จะขอพูดถึงศักย์สงครามของอิหร่านในสองมิติ โดยจัดเรื่องของอำนาจกำลังรบของอิหร่านไว้ในมิติแรก และมิติที่ 2 คือ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

(1) อำนาจกำลังรบของอิหร่าน กำลังทหารอิหร่านประกอบด้วยสามหน่วยหลักได้แก่ (1.1) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps (Sepah)) และ (1.2) กองทัพ(บก)สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (Islamic Republic of Iran Army (Artesh)) และ (1.3) กองกำลังบังคับใช้กฎหมาย (ตำรวจ) โดยสองหน่วยแรกมีกำลังพลราว 530,000 นาย ส่วนตำรวจมีกำลังพลราว 500,000 นาย และตำรวจอาสาสมัครอีก 35,000 นาย กองกำลังทุกหน่วยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคณะเสนาธิการแห่งกองทัพฯ ภายใต้สำนักงานผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่าน โดยกระทรวงกลาโหม และหน่วยส่งกำลังบำรุงของกองทัพรับผิดชอบในการวางแผนส่งกำลังบำรุง และการจัดการงบประมาณของกองทัพ และไม่เกี่ยวข้องกับการบังคับบัญชาสั่งการตลอดจนปฏิบัติการทางทหารในสนามรบ

กองทัพของอิหร่านได้รับการจัดอันดับให้เป็นกองทัพที่มีความแข็งแกร่งลำดับที่ 16 ของโลก จากการจัดอันดับของ Global Firepower ในปี 2025 ประกอบด้วย (1.) กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามประกอบด้วย (1.1) กองกำลังภาคพื้นดิน เป็นกองกำลังปฏิวัติอิสลาม(IRGC) ซึ่งปฏิบัติการคู่ขนานกับกองทัพบกอิหร่าน นอกเหนือจากบทบาททางการทหารของพวกเขาแล้ว ยังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยภายใน มีกำลังพลประมาณ 100,000 นาย (1.2) กองกำลัง Basij (องค์การเพื่อการเคลื่อนไหวของผู้ถูกกดขี่) เป็นกองทหารอาสาสมัครที่จัดตั้งขึ้นปี 1979 ตามคำสั่งของ Ayatollah Khomeini เดิมประกอบด้วยอาสาสมัครพลเรือนเข้าร่วมสู้รบในสงครามอิหร่าน-อิรัก และถูกระบุว่า เป็นองค์กรก่อการร้ายโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา, บาห์เรน และซาอุดิอาระเบีย มีกำลังพลประมาณ 90,000 นาย อาสาสมัครอีก 11.2ล้านนาย รวมอาสาสมัครพร้อมปฏิบัติการ 600,000 นาย (1.3) กองกำลัง Quds เป็นหน่วยหนึ่งในกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRGC) เป็นกองกำลังที่เชี่ยวชาญในการทำสงครามนอกแบบ และปฏิบัติการทางการข่าวทางทหาร รับผิดชอบการปฏิบัติการนอกประเทศ กองกำลัง Quds ได้ให้การสนับสนุนกองกำลังในหลายประเทศรวมถึง Hezbollah, Hamas ในเลบานอน และญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์, Houthis ในเยเมน และ Shia militias ในอิรัก ซีเรีย และ อัฟกานิสถาน มีการประเมินว่า Quds มีกำลังพลราว 10,000-20,000 คน ขึ้นตรงต่อผู้นำสูงสุดของอิหร่าน Ayatollah Khamenei (1.4) กองกำลังทางอากาศ (การบินและอวกาศ) แห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (AFAGIR) 

ซึ่งปฏิบัติการคู่ขนานไปกับกองทัพอากาศของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (IRIAF) โดยใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารร่วมกับ กองทัพอากาศของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (IRIAF) และ (1.5) กองกำลังทางเรือแห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามประกอบด้วยกำลังพลประมาณ 20,000 นาย เรือรบ 1,500 ลำ มีการพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการรบทางน้ำนอกแบบ และคุ้มครองผลประโยชน์นอกชายฝั่ง แนวชายฝั่ง และเกาะต่าง ๆ ในอ่าวเปอร์เซียที่เป็นของอิหร่าน

(2) กองทัพสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (Islamic Republic of Iran Army (Artesh)) ประกอบด้วย (2.1) กองกำลังภาคพื้นดิน หรือ กองทัพบก เป็นกองกำลังภาคพื้นดินของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน กองทัพ ในภาษาฟาร์ซีเรียกว่า อาร์เทช (Artesh : ارتش) ซึ่งแปลว่า "กองทัพบก" ในปี 2007 ประมาณว่า กองทัพบกอิหร่าน มีบุคลากรราว 350,000 นาย (ทหารเกณฑ์ 220,000 นาย และทหารประจำการ 130,000 นาย) และทหารกองหนุนอีกประมาณ 350,000 นาย รวม 700,000 นาย ทหารเกณฑ์เป็นเวลา 21 เดือนและมีการฝึกฝนเพื่อเป็นทหารอาชีพ อาวุธยุทโธปกรณ์ประกอบด้วย รถถัง 3,000 คัน รถหุ้มเกราะ 1,550 คัน ปืนใหญ่ลากจูง 2,118 ระบบ ปืนใหญ่อัตตาจร 365 ระบบ เครื่องยิงจรวด 1,500+ ระบบ เฮลิคอปเตอร์ 260 ลำ เฮลิคอปเตอร์โจมตี 80+ ลำ และ UAV 400 ลำ (2.2) กองกำลังป้องกันทางอากาศ แยกออกมาจาก IRIAF ทำหน้าที่ควบคุมและปฏิบัติการในการป้องกันทางอากาศ (ภาคพื้น) ของอิหร่าน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2008 มีกำลังพลราว 15,000 นาย อาวุธยุทโธปกรณ์ประกอบด้วย ปืนและจรวดต่อสู้อากาศยานหลายแบบจำนวนมาก (2.3) กองทัพอากาศสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (IRIAF) มีกำลังพลราว 37,000 นาย อาวุธยุทโธปกรณ์ประกอบด้วยเครื่องบินรบ 348 ลำ  และเครื่องบิน/เฮลิคอปเตอร์แบบต่าง ๆ รวมทั้งหมด 741 ลำ และ (2.4)กองทัพเรือของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน มีกำลังพลราว 18,000 นาย อาวุธยุทโธปกรณ์ประกอบด้วย เรือผิวน้ำ 86 ลำ เรือดำน้ำ 19 ลำ และอากาศยานอีก 54 ลำ

ศักย์สงครามของอิหร่านในมิติของ "อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ" ท่านอายุน้อยกว่าห้าสิบอาจจะยังไม่ทราบว่า สี่สิบปีก่อนอิหร่านรบกับอิรักนานเกือบแปดปี ในตอนนั้นสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ให้การสนับสนุนอิรักอย่างเต็มที่ ทหารของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บตายฝ่ายละหลายแสนนาย (ตัวเลขจากหลายแหล่งไม่ปรากกฏตรงกันเลย) กองทัพอิหร่านหลังสงครามอ่อนแอลงมาก สูญเสียอาวุธยุทโธปกรณ์มหาศาล แต่ก็สามารถยันอิรักไว้ได้ ก่อนการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน กองทัพอิหร่านแข็งแกร่งด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์มหาศาลที่กษัตริย์ชาห์ปาเลวีสั่งซื้ออย่างมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สุดล้ำในยุคนั้น อาทิ เครื่องบินขับไล่แบบ F-14 Tomcat ซึ่งนอกจากกองทัพเรือสหรัฐฯ แล้ว มีเพียงกองทัพอากาศอิหร่านเท่านั้นที่มีใช้

ความอ่อนแอของกองทัพอิหร่านเกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ปี 1979 เพราะแม่ทัพนายกองของกองทัพอิหร่านส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ภักดีต่อกษัตริย์ชาห์ปาเลวี ดังนั้นเมื่ออยาตอลาห์โคไมนีได้อำนาจการปกครองประเทศ จึงมีการกวาดล้างผู้ภักดีต่อราชวงศ์ปาเลวี รวมทั้งอดีตข้าราชการและแม่ทัพนายกองถูกสังหารร่วม 8,000 คน หลังจากสงครามอิหร่านกับอิรัก อิหร่านได้การพัฒนากิจการทหารอย่างมากมายทั้งบุคลากร อาวุธยุทโธปกรณ์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศด้วย อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิหร่านเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยของกษัตริย์ชาห์โมฮัมหมัดเรซาปาห์ลาวี ในปี 1973 โดยบริษัทอิหร่านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (IEI) ก่อตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมและซ่อมแซมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ของอิหร่านส่วนใหญ่ก่อนการปฏิวัติอิสลามนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาและยุโรประหว่างปี 1971 และ 1975 กษัตริย์ชาห์ได้สั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์เฉพาะจากสหรัฐอเมริกา สิ่งนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เพิ่มความเข้มงวดกับกฎหมายว่าด้วยการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ในปี 1968 และเปลี่ยนชื่อเป็นรัฐบัญญัติควบคุมการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ ถึงกระนั้นก็ตามสหรัฐอเมริกายังคงขายอาวุธจำนวนมากให้แก่อิหร่านจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติอิสลามใน ปี 1979

1977 อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิหร่านได้ร่วมมือกับอิสราเอลในการผลิตขีปนาวุธตามโครงการ Flower และขอเข้าร่วมโครงการพัฒนาขีปนาวุธร่วมกับสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธ ในปี 1979 อิหร่านเริ่มก้าวแรกสู่การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เองโดยเริ่มจากการทำวิศวกรรมย้อนกลับ (Reverse engineering) กับจรวดแบบต่าง ๆ ของสหภาพโซเวียต อาทิ RPG-7, BM21 และ SA-7 หลังจากการปฏิวัติอิสลาม และเริ่มสงครามอิหร่าน – อิรัก การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการคว่ำบาตรทางอาวุธระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความต้องการอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารมากขึ้น ทำให้อิหร่านต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศ เพื่อซ่อมแซมและผลิตอะไหล่ชิ้นส่วน กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามได้รับหน้าที่ให้ทำการจัดระเบียบอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอีกครั้ง ภายใต้การกำกับดูแลของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิหร่านสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และกระทรวงกลาโหมได้สนับสนุนงบประมาณมหาศาลเน้นไปที่อุตสาหกรรมขีปนาวุธ ในไม่นานนักอิหร่านก็กลายเป็นชาติที่มีขีปนาวุธมากมาย

ปี 1992 อิหร่านสามารถผลิตรถถังเอง รวมทั้งรถหุ้มเกราะ ขีปนาวุธ เรือดำน้ำ และเครื่องบินรบ 2006 เหตุการณ์ต่าง ๆ จากโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประกาศคว่ำบาตรอิหร่านโดยห้ามไม่ให้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกรูปแบบ แม้จะมีบทลงโทษเหล่านี้อิหร่านก็ขายอุปกรณ์ทางทหารให้กับประเทศต่าง ๆ เช่น ซูดาน ซีเรีย และเกาหลีเหนือ อิหร่านก็ไม่สามารถนำเข้าอุปกรณ์ทางทหาร เช่น S-300 จากรัสเซีย แต่ก็ออกแบบและสร้างเองแทน เช่น Bavar- 373 และส่งออกอาวุธไปยังกว่า 50 ประเทศ

เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2012 กองทัพอิหร่านได้แถลงว่า ประสบความสำเร็จในการผลิตอุปกรณ์ทางทหารและความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านทำให้ประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านนี้ "ต่างจากประเทศตะวันตกที่ซ่อนอาวุธและยุทโธปกรณ์ใหม่ แต่กองทัพสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านไม่กลัวที่จะแสดงความสำเร็จทางทหารล่าสุดและทุกประเทศจะต้องตระหนักถึงความก้าวหน้าของอิหร่านในการผลิตอาวุธ" ตั้งแต่ปี 2016 กระทรวงกลาโหมอิหร่านได้ร่วมมือกับบริษัทระดับชาติมากกว่า 3,150 แห่ง และมหาวิทยาลัยอีก 92 แห่ง อีกทั้งความสามารถในการทำวิศวกรรมย้อนกลับทำให้อิหร่านสามารถพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่ยึดได้จากอิรัก กระทั่งในปัจจุบันอิหร่านสามารถยิงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของสหรัฐฯ ได้หลายแบบ และใช้เทคนิควิศวกรรมย้อนกลับในการผลิต UAV หรือโดรนเพื่อทำการรบที่มีประสิทธิภาพได้มากมายหลายแบบ

เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่า “ศักย์สงครามของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน” ที่มีอยู่จะทำให้ “อิหร่าน” สามารถรับมือ หรือเอา “อิสราเอล” อยู่หรือไม่ เพราะ “อิสราเอล” นั้น ถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง

‘บิ๊กเล็ก’ หัวหน้าทีมไทยแลนด์ มองคลิปเสียง ฮุนเซน แผนแยบยล ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกทั้งรัง แต่จะไม่ยอมให้เขาสมหวัง พร้อมฝากประเทศไทยไว้ในมือของคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าร่วมกันรักษาแผ่นดินนี้

พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม/ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กล่าวในการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เมื่อวันที่ (19 มิ.ย.68) ว่า ในช่วงเวลา 4–5 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปราะบางและท้าทายตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา  ความตึงเครียดที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ท้าทายอธิปไตยของชาติ หากยังทดสอบความพร้อมของเรา ในฐานะคนไทย ที่ต้องยืนหยัดอย่างมั่นคง ด้วยสติ ปัญญา และความสามัคคี

รัฐบาลจึงมีมติให้จัดตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา” หรือ “Team Thailand” ขึ้น โดยมอบหมายให้ผมทำหน้าที่หัวหน้าทีม  พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารระดับสูง จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและจำเป็น เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ และทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าวให้กลับมาสู่ความสงบสุขโดยเร็ว และอย่างมีศักดิ์ศรี

วานนี้ ประเทศของเราต้องเผชิญกับอุบัติการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีใครคาดคิด คลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำระดับสูงของไทยและกัมพูชา ถูกเผยแพร่ออกมาโดยเจตนาหวังผลร้ายต่อประเทศไทย อย่างแน่นอน 

แต่ผมขอเรียนอย่างหนักแน่นว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการที่ซับซ้อน มีเป้าหมายที่ลึกซึ้งและแยบยลจากฝ่ายตรงข้าม การปล่อยคลิปเสียงในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการหวังผลทางการทูต แต่เป็นการ “ยิงกระสุนนัดเดียว เพื่อหวังจะได้นกทั้งรัง” และเราจะไม่ยอมให้เขาสมหวัง เป็นอันขาด

ในส่วนของการเมือง ผมขอไม่กล่าวถึง ให้เป็นไปตามกลไกการเมืองที่เหมาะสม แต่ในส่วนของ “Team Thailand” ผมขอยืนยันว่าศูนย์เฉพาะกิจนี้ หรือทีมงานนี้  เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับเหตุไม่คาดฝัน อย่างวันนี้ และจะต้องเดินหน้าต่อไป 

นาทีนี้ เราต้องมองไปข้างหน้า มองไปที่ประชาชน มองไปยังชายแดนที่ร้อนระอุ และถามตัวเราเองว่า…เราจะทำอย่างไร ให้แผ่นดินนี้มีแต่ความสงบสุข มีความสามัคคี มีความร่มเย็น บริเวณชายแดนมีความสงบเรียบร้อย และประชาชนปลอดภัย สามารถดำรงชีวิตประจำวันอย่างสงบสุข เช่นเดิม

ผมขอวิงวอนให้ทุกท่านร่วมใจกัน “บูรณาการและขับเคลื่อนงานระยะสั้น“ ...”ติดตาม ให้ข้อเสนอแนะ และสนับสนุนงานระยะยาว” ให้ความสำคัญสูงสุดกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของแผ่นดิน ด้วยหลัก “รอบคอบ รอบด้าน ใช้สติ สร้างสันติ” โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

ผมกราบขอความกรุณาจากทุกท่าน ในการที่จะเสียสละทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจ และกำลังสติปัญญา ฝ่าฟันวิกฤติชาติครั้งนี้ไปให้ได้

ขอให้เราทำงานด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถกแถลงกันด้วยเหตุผล ด้วยความอดทนอดกลั้น และยืนหยัดบนหลักการแห่งความร่วมมือร่วมใจ ผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่หวั่นไหวต่อการยั่วยุ และไม่ปล่อยให้ความแตกแยกทางอุดมการณ์ความคิด มาบั่นทอนความเป็นหนึ่งเดียวของเรา

แม้วันหนึ่งข้างหน้า ผมจะไม่ได้อยู่ ณ จุดนี้ แต่ผมขอฝากใจของผมไว้กับทุกท่าน ขอฝากประเทศไทยไว้ในมือของคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าร่วมกันรักษาแผ่นดินนี้ อย่างสง่างาม

อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จัดการแข่งขัน 'Cabling Contest ปีที่ 13' เฟ้นหา 5 ทีมแกร่งภาคเหนือ สู่รอบชิงชัย คว้าถ้วยพระราชทานฯ ก้าวเป็นสุดยอดทักษะสายสัญญาณ ระดับประเทศ

เปิดสนามประลองฝีมือ เปิดตัวเต็ง 5 ทีมสถาบันแรก ที่ผสานทักษะ และเทคโนโลยี วันนี้ (18 มิ.ย. 68) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จัดการแข่งขัน 'สุดยอดทักษะสายสัญญาณ (Cabling Contest ปีที่ 13)' รอบคัดเลือกเฟ้นหาตัวแทนภาคเหนือ ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมเงินรางวัลและถ้วยเกียรติยศ รวมมูลค่ากว่า 400,000 บาท

เป็นความมุ่งมั่นที่ บริษัทฯ ได้นำความเชี่ยวชาญด้านระบบโครงข่ายสายสัญญาณ จากสินค้า และอุปกรณ์ LINK AMERICAN & GERMAN RACK ที่เป็นมาตรฐาน STANDARD มีมาตรฐานสากลการันตี และมี SOLUTION ดีเยี่ยมที่ตอบโจทย์ทุกงานระบบอย่างมีเสถียรภาพ พร้อมกับมีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะด้านระบบโครงข่ายสายสัญญาณในกลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา ให้มีความรู้ ความสามารถที่ทันสมัย ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในยุคดิจิทัล

โดยงานนี้ ยังได้รับเกียรติจาก นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้การสนับสนุนหลักของการแข่งขัน มาร่วมให้โอวาท ถ่ายทอดประสบการณ์ตรง และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เข้าแข่งขันทุกสถาบันในวันนี้อีกด้วย

ในปีนี้ การแข่งขันยังคงจัดขึ้นอย่างเข้มข้น และจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 ในรูปแบบออนไลน์ โดยในวันที่จัดงานนี้ เป็นการแข่งขันในรอบคัดเลือกภาคเหนือ เพื่อเฟ้นหาสุดยอดฝีมือจากตัวแทนสถาบันการศึกษาทั่วภูมิภาค ที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โดยมีเพียง 5 สถาบัน ประจำภาคเหนือเพียงเท่านั้น ที่จะได้สิทธิ์เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายเพื่อชิง ถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมเงินรางวัล และถ้วยเกียรติยศ รวมมูลค่ากว่า 400,000 บาท

โดยในช่วงเช้า จะเริ่มต้นด้วยการให้ความรู้พื้นฐานด้านระบบสายสัญญาณ ในหัวข้อ “Moving Forward with Innovation: Cabling Infrastructure for Future Solutions (Design – Installation – Solution)” โดยได้รับเกียรติจาก นายภาคภูมิ พลธร Technical and Products Training Manager จากบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมระบบสายสัญญาณ และแนวทางออกแบบ ติดตั้ง เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตพร้อมการแข่งขันภาคทฤษฎี เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าแข่งขัน และในช่วงบ่าย จะเป็นการแข่งขันภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการวัดผลทักษะที่แท้จริงของแต่ละทีม โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเข้มข้น เต็มไปด้วยพลัง ความมุ่งมั่น และศักดิ์ศรีของแต่ละสถาบันที่เข้าร่วม

ซึ่งก่อนเข้าสู่การสนามของแข่งขันในภาคปฏิบัติ ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับฟังคำชี้แจง กติกาการแข่งขัน จากทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเตรียมความพร้อม และทำความเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ ของการแข่งขันในรอบนี้ โดยมี ผู้เข้าแข่งขันจากทั่วทุกสถาบันในภูมิภาคเหนือ สมัครเข้าแข่งขันอย่างล้นหลาม และแข่งขันกันอย่างดุเดือดเข้มข้นอีกด้วย

และสำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ทุกท่านจะสามารถติดตามชมการถ่ายทอดสด กิจกรรมตลอดทั้งวันได้ผ่านระบบ Zoom และช่องทางออนไลน์ของบริษัท เพื่อมาร่วมลุ้นว่า 5 สถาบันการศึกษาจากภาคเหนือแห่งใด จะคว้าสิทธิ์เข้าสู่ รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ และเข้าใกล้โอกาสในการคว้าถ้วยพระราชทานอันทรงเกียรติไปครองและในที่สุด! ได้ 5 ทีมตัวแทนจากภาคเหนือ ที่ฝ่าฟันศึกแห่งศักดิ์ศรี และผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ เพื่อชิง ถ้วยพระราชทานฯ แล้ว ได้แก่
1. วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง
2.วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก
3.วิทยาลัยการอาชีพฝาง
4.วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร
5.วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จึงขอเป็นอีกหนึ่งพลังในการสนับสนุนการศึกษาด้านเทคโนโลยี ช่วยสานต่อพันธกิจในการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาทักษะ และเสริมสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับเยาวชนทั่วประเทศ สร้างแรงบันดาลใจ และประสบการณ์จริงที่หาไม่ได้จากห้องเรียน พร้อมผลักดันให้เยาวชนไทยก้าวทันการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลอย่างมั่นคง เพื่อพัฒนาทักษะของเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมโครงข่ายสายสัญญาณของประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป

สำหรับการแข่งขัน 'สุดยอดทักษะสายสัญญาณ Cabling Contest ปีที่ 13' รอบคัดเลือกยังไม่จบเพียงเท่านี้ โดยรอบถัดไปจะจัดขึ้น เพื่อเฟ้นหาสุดยอด 5 ทีมตัวแทนภาคใต้ที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ จึงขอเชิญทุกท่านติดตาม และร่วมเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนคนเก่งจากทั่วภาคใต้ ในการแข่งขันรอบคัดเลือก วันที่ 16 กรกฎาคม 2568

มาร่วมลุ้น และร่วมเชียร์ไปด้วยกันว่า สถาบันใดจะคว้าตั๋วสู่รอบชิงชนะเลิศ บนเวทีแห่งเกียรติยศนี้! และเตรียมพบกับรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศที่จะรวมตัวแทนจากทั่วประเทศมาประชันทักษะครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อชิงความเป็นหนึ่งด้านโครงข่ายสายสัญญาณ

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร โทร 02-666-1111 ต่อ 1705 
สนใจสมัครแข่งขันได้ที่ : http://cablingcontest.net/home2.php   
สนใจเข้าร่วมสัมมนา ฟรี ได้ที่ https://interlink.co.th/seminar/seminar_view?seminar_id=116  

5 มหาวิทยาลัยในฮ่องกง ติดอันดับโลก QS ปี 2026 HKU ครองที่ 11 ของโลก รั้งอันดับ 2 เอเชีย

(20 มิ.ย. 68) การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก QS ปี 2026 เผยผลล่าสุด มหาวิทยาลัยในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของจีนก้าวหน้าก้าวกระโดด โดยมีถึง 5 สถาบันติด 100 อันดับแรกของโลก สะท้อนคุณภาพทางวิชาการและบทบาทที่โดดเด่นในเวทีโลก

มหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKU) ไต่ขึ้นถึงอันดับ 11 ของโลก ขึ้นจากอันดับเดิมถึง 6 ลำดับ ขณะที่มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง (CUHK) ขยับมาอยู่ที่อันดับ 32 และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง (HKUST) ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 44 ด้านมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคฮ่องกง (HKPU) และมหาวิทยาลัยเมืองฮ่องกง (CityU) อยู่ในอันดับ 54 และ 63 ตามลำดับ

รายงานระบุว่า มหาวิทยาลัยฮ่องกง, มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง และโพลีเทคนิคฮ่องกง ทำอันดับได้ดีที่สุดในประวัติการจัดอันดับของสถาบัน โดยที่ มหาวิทยาลัยฮ่องกง ยังคงครองตำแหน่งอันดับ 2 ของเอเชีย ตอกย้ำบทบาทศูนย์กลางการศึกษาชั้นนำของภูมิภาค

ผู้นำจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ กล่าวแสดงความยินดี พร้อมย้ำถึงแผนพัฒนาด้านนวัตกรรม วิจัย และความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อเสริมบทบาทของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการศึกษาระดับโลกและการพัฒนาระดับชาติ

ทั้งนี้ QS ได้ประเมินมหาวิทยาลัยกว่า 1,500 แห่งทั่วโลก จาก 9 เกณฑ์ เช่น ชื่อเสียงทางวิชาการ ความสามารถในการจ้างงาน และผลงานวิจัย

UN คอนเฟิร์ม ‘กัมพูชา’ คือศูนย์กลาง ‘สแกมเมอร์โลก’ เชื่อมกลุ่มทุน-เครือญาติ ‘ฮุน เซน’ กวาดเงินหมื่นล้าน

(20 มิ.ย. 68) องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ชี้ว่ากัมพูชาได้กลายเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของเครือข่ายหลอกลวงทางไซเบอร์ระดับโลก โดยมีการลงทุนจากต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะเมืองปอยเปตที่ติดชายแดนไทย กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเจาะตลาดไทย

รายงานระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้จำกัดเฉพาะเขตชายแดนอีกต่อไป แต่ขยายเข้าสู่เมืองหลวงกรุงพนมเปญ และจังหวัดสำคัญอย่างบาเวตและพระสีหนุ แสดงให้เห็นถึงการฝังรากลึกของธุรกิจหลอกลวงในโครงสร้างประเทศ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และอำนาจรัฐ

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ถูกจับตามองคือ Huione Group บริษัทการเงินขนาดใหญ่ที่มีความเชื่อมโยงกับครอบครัวผู้นำกัมพูชา โดยเฉพาะนายฮุน โต หลานชายของอดีตนายกฯ ฮุน เซน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การฉ้อโกงทางไซเบอร์ และธุรกรรมผิดกฎหมายมูลค่ามหาศาลทั่วภูมิภาค

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีดำ Huione Group และตัดขาดจากระบบการเงินของอเมริกา พร้อมกับเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการของ Huione Pay ในกัมพูชา ขณะที่บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Elliptic ระบุว่าแพลตฟอร์ม Huione Guarantee ของกลุ่มนี้มีมูลค่าธุรกรรมต้องสงสัยรวมกว่า 27 พันล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท

ด้านตำรวจไซเบอร์ไทยยืนยันพบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างกลุ่มพนันออนไลน์ในไทยกับบริษัทในกัมพูชา โดยเฉพาะ Huione Group ที่มีบทบาทสำคัญในการฟอกเงินจากการหลอกลวงแบบ Call-Centre และการพนัน ผ่านการแปลงเงินเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลและนำกลับมาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริง

กรณีนี้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่หลายฝ่ายในไทยเสนอให้รัฐบาลไม่ปล่อยให้กัมพูชายื่นข้อพิพาทชายแดนต่อศาลโลกฝ่ายเดียว พร้อมเรียกร้องให้นำประเด็นอาชญากรรมไซเบอร์ที่กัมพูชาถูกกล่าวหาทั่วโลกเข้าสู่การพิจารณาในเวทีสหประชาชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม

‘ทรัมป์’ ขอเวลาตัดสินใจ 2 สัปดาห์ ว่าจะส่งทหารร่วมศึกอิสราเอล-อิหร่าน หรือไม่

(20 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะตัดสินใจภายใน 2 สัปดาห์ว่าจะส่งกองกำลังเข้าแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านหรือไม่ โดยระบุว่าขณะนี้ยังมี 'โอกาสสำคัญ' สำหรับการเจรจาทางการทูตกับอิหร่าน จึงขอเวลาประเมินสถานการณ์เพิ่มเติม

โฆษกทำเนียบขาว แครอลไลน์ ลีวิตต์ กล่าวว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญสูงสุดกับการป้องกันไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และยังไม่ปิดโอกาสสำหรับการเจรจา แม้จะมีรายงานว่าทรัมป์อนุมัติแผนโจมตีไซโลนิวเคลียร์ของอิหร่านแล้ว แต่ยังไม่ได้สั่งให้ดำเนินการในทันที

ขณะที่ อิหร่านเตือนว่าหากสหรัฐฯ เข้าร่วมสงคราม จะยิ่งทำให้ภูมิภาคลุกเป็นไฟ โดยระบุว่า “นี่ไม่ใช่สงครามของอเมริกา” ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวเผยว่าเว็บไซต์ฟอร์โด ซึ่งเป็นโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมของอิหร่าน อาจตกเป็นเป้าหมายโจมตีหากการเจรจาล้มเหลว

ทั้งนี้ สถานการณ์ทวีความตึงเครียดหลังอิหร่านยิงขีปนาวุธใส่โรงพยาบาลทางตอนใต้ของอิสราเอล ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 70 คน ด้านอิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านหลายจุด ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนานาชาติให้ใช้การทูตแทนการสู้รบ

จีนหวังสหรัฐฯ รักษาสัญญา รับนักเรียนจีนเรียนต่อ ตามที่ทรัมป์กล่าว

(20 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า จีนคัดค้านการเมืองนำหน้าความร่วมมือด้านการศึกษา พร้อมแสดงความหวังว่าสหรัฐฯ จะปฏิบัติตามคำพูดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุว่ายินดีต้อนรับนักศึกษาจีนไปเรียนต่อในสหรัฐฯ

กัว เจียคุน (Guo Jiakun) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่าจีนติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด และเห็นว่าความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสองประเทศเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ควรถูกแทรกแซงด้วยปัจจัยทางการเมือง

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ย้ำว่าจีนคาดหวังให้รัฐบาลสหรัฐฯ ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของนักศึกษาและนักวิชาการจีนในสหรัฐฯ อย่างแท้จริงและต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top