Wednesday, 23 April 2025
TheStatesTimes

'เจริญชัย' ปฏิวัติด้วยนวัตกรรม (NIA) 'Platform Solar Transformer AI + Solar + Energy Storage + EV' Platform Solar AI ลดค่าไฟฟ้า 5 - 100%

เมื่อวันที่ (21 มี.ค.68) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI-CMU) จัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “ภาครัฐและเอกชนสนับสนุน มาตรฐานการจัดการพลังงานในอาคารและโรงงานควบคุม ลดค่าไฟฟฟ้า 5-100% ลดคาร์บอน ลดพลังงาน ลดอุณหภูมิโลก พร้อมลงทุน 0 บาท”และ BOI สนับสนุน 50% Platform Solar Transformer AI + Solar + Energy Storage ณ ห้องประชุมประเสริฐฤกษ์เกรียงไกร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่แนวทางการจัดการพลังงานยุคใหม่ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานประกอบการทุกระดับ โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนเริ่มต้น

คุณประจักษ์  กิตติรัตนวิวัฒน์  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าวได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ให้ดำเนินงานวิจัยหม้อแปลง IoT และระบบบริหารจัดการพลังงานทดแทน Solar กับ Energy Storage ด้วยโปรแกรม Energy Management System  ภายใต้โครงการ “Low Carbon Transformer ระบบจัดการหม้อแปลงไฟฟ้า เพื่อรองรับพลังงานสะอาดอย่างมั่นคง จนประสบความสำเร็จ และตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน โรงงานอุตสาหกรรม, โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย, ห้างสรรพสินค้า, ปั๊มน้ำมัน, สถานีอัดประจุ, โรงเรียน, ร้านค้าและบ้านเรือน ในด้าน Net Zero & Near Zero, Peak Demand และ Demand Response และการประหยัดพลังงาน โดยสามารถลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และมีระยะเวลาคืนทุนภายในเวลา  2 – 5  ปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาด้านการประหยัดพลังงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ด้านความมั่นคงระบบไฟฟ้า 

* การประหยัดอยู่ที่การลงทุนและพื้นที่การติดตั้ง Solar
ภายในงาน รองศาสตราจารย์ ดร.สิริชัย คุณภาพดีเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และเปิดเวทีด้วยวิสัยทัศน์ด้านพลังงานสะอาดที่สถาบันฯ ได้พัฒนาและขับเคลื่อนมาโดยตลอด ต่อจากนั้น คุณมัณลิกา สมพรานนนท์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการผลักดันเป้าหมาย Net Zero อย่างจริงจังและยั่งยืน และในงานสัมมนามีการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ ดร.ณัฐพล รุ่นประแสง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ ที่กล่าวถึงการบังคับใช้มาตรฐานอาคารควบคุม, ผศ.ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี และ ดร.ณัฐวุฒิ จารุวสุพันธ์ จาก ERDI-CMU ที่นำเสนอระบบ AI บริหารจัดการพลังงานและหม้อแปลง Low Carbon, คุณวิศรุต จันทน์สุคนธ์ จากบริษัท บ้านปู เน็กซ์ อีโคเสิร์ฟ จำกัด ที่สนับสนุนโครงการลงทุน 0 บาท และคุณสถาปนา พรหมบุญ จาก BOI ภาคเหนือที่นำเสนอนโยบายสนับสนุนการลงทุนสูงถึง 50%

การสัมมนาครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงานเท่านั้น หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการในการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานสะอาดอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในประเด็นการยกระดับมาตรฐานการจัดการพลังงานในอาคารและโรงงานควบคุม ผ่านนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง ซึ่งทั้งกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน, BOI ภาคเหนือ, บริษัท บ้านปู เน็กซ์ อีโคเสิร์ฟ จำกัด และ ERDI-CMU  พร้อมร่วมให้การสนับสนุนเทคโนโลยีด้านพลังงานและการลงทุน โดยเฉพาะหม้อแปลง IoT, ระบบบริหารจัดการพลังงานด้วย AI, และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ ที่ช่วยลดต้นทุนและลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม และนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมาย Net Zero ที่ทั้งโลกกำลังมุ่งสู่ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้

ตำรวจสวีเดนสกัดแผนลอบวางระเบิดในเมืองมัลโม่ รวบชาย 2 เยาวชน 1 พร้อมระเบิดมือเต็มกระเป๋าเป้

(6 เม.ย. 68) สำนักข่าว Sweden Herald รายงานเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ว่า ชาย 2 คนและวัยรุ่น 1 คนถูกควบคุมตัว จากปฏิบัติการของตำรวจในเมืองมัลโม่เมื่อเย็นวันศุกร์ หลังจากพบระเบิดมืออย่างน้อย 10 ลูกในกระเป๋าเป้สะพายหลังของหนึ่งในผู้ต้องสงสัยพกติดตัวมาด้วย ที่ย่านเวสเทิร์นฮาร์เบอร์ เมืองมัลโม่ ทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน 

ส่งผลให้ย่านเวสตราฮัมเนน เมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. ของเย็นวันศุกร์ มีการดำเนินการครั้งใหญ่และประกาศเตือนภัย (VMA) พื้นที่ถูกปิดกั้น ทั้งผู้อยู่อาศัยและธุรกิจต่าง ๆ ถูกอพยพ และหน่วยเก็บกู้ระเบิดแห่งชาติถูกเรียกตัวไปที่เกิดเหตุ จนถึงหลังเวลา 22.00 น. เล็กน้อย ความอันตรายก็สิ้นสุดลง

เจ้าหน้าที่ตำรวจสวีเดนเผย ผู้ต้องสงสัย 2 รายอายุ 25 และ 30 ปี ส่วนรายที่ 3 เป็นเด็กชายอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งคู่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ากระทำความผิดร้ายแรงตามกฎหมายเกี่ยวกับวัตถุไวไฟและวัตถุระเบิด ซึ่งเบื้องต้นสอบปากคำผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยการสอบปากคำได้

“เรากำลังพูดคุยกับผู้คนและวิเคราะห์กล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าว มีสถานที่อยู่หลายแห่งในที่เกิดเหตุ ดังนั้นเราจึงพยายามรวบรวมข้อมูล” ลินา ฟรีเบิร์ก โฆษกของตำรวจกล่าว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดระเบิดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน และกำลังเร่งสอบสวนขยายผลว่า อาวุธดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้ในเหตุการณ์ใด รวมถึงตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมหรือกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่

อย่างไรก็ตาม แม้ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของผู้ต้องสงสัยทั้งสาม เนื่องจากอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน แต่เบื้องต้นทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้ในข้อหาครอบครองวัตถุระเบิดโดยผิดกฎหมาย  และอาจเผชิญโทษร้ายแรงหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้สงครามเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน เสียหายกันถ้วนหน้า เตรียมรับมือ หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ คนตกงาน

(6 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

ทรัมป์เพิ่งโพสต์ว่า “จีนจะเจ็บตัวมากกว่าสหรัฐฯ” !! ความเป็นจริง คือ เจ็บทั้งคู่ และ 🌎 #เจ็บทั้งโลก 🌎 !!

งานนี้หนักนะคะ  🇺🇸 #ทรัมป์ กับ 🇨🇳 #สีจิ้นผิง ต่างคนต่างงัดไม้แข็งมาฟาดใส่กัน  #ตาต่อตาฟันต่อฟัน  ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแบบชาติเล็กๆ ที่มี #เศรษฐกิจเปราะบาง อย่างไทยก็คงรอดยาก !!

แม้ว่าคู่ชกหลักของสหรัฐฯ คือ จีน !! แต่ชาติอื่นที่อยู่ใน supply chain ห่วงโซ่อุปทานของสองมหาอำนาจนี้ก็ต้องโดนเลขหางไปด้วย  #โดนลากให้พังไปด้วยกัน 

นายกฯ #สิงคโปร์  เตือนชัดเจนแล้วนะคะ #ระบบเศรษฐกิจแบบเดิมถูกทุบพังทะลายลงแล้ว ระบบโลกาภิวัตน์แบบเดิมถูกสับถูกหั่นเป็นชิ้นๆ การค้าโลกหดตัว

โลกจะแบ่งค่ายแบ่งขั้วชัดเจน แต่ละชาติจะถูกบีบให้ต้องเลือกข้าง 

ผู้นำชาติไหนที่ยังคง #ชะล่าใจ ก็จะเจอ #ความหายนะ อย่างหนักก่อนใครเช่นกันค่าาา

หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติ FDI ไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ ปิดโรงงาน คนตกงาน ขาดรายได้ สังคมแตกแยกหนักกว่าเดิม ฯลฯ ฃ

#ความล่มจมทางเศรษฐกิจ มาจ่อรออยู่หน้าประตูบ้านแล้วนะ #ไทยแลนด์ 

‘นายกฯ’ เชื่อการหารือบรรลุผล ส่ง ‘พิชัย’ เจรจาสหรัฐฯ ยันไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออก แต่คือพันธมิตรหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้

(6 เม.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงถึงจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อสถานการณ์ภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึงร้อยละ 36 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และสินค้าเกษตร

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งแต่ต้นปี และดำเนินการหารือกับภาคเอกชนและตัวแทนสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมส่ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อหารือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง

“ประเทศไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออก แต่คือพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เชื่อถือได้” น.ส.แพทองธาร กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า ข้อเสนอของไทยจะครอบคลุมถึงการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น พลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการป้องกันการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า และวางแผนขยายตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง ยุโรป และอินเดีย รวมถึงเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และยืนยันว่า “ประชาชนไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง รัฐบาลจะอยู่เคียงข้างและปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด”

โดยในวันอังคารที่ 8 เมษายนนี้ จะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปแนวทางอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ชุมนุม Hands Off แสดงความโกรธ ลุกฮือต่อต้านนโยบายทรัมป์ หลังการปิดหน่วยงานรัฐ ตัดงบสุขภาพ และการลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ

(6 เม.ย. 68) ฝูงชนที่โกรธแค้นต่อแนวทางการบริหารประเทศ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาเดินขบวนและรวมตัวกันในเมืองต่างๆ ของอเมริกาในวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 เม.ย.) ซึ่งถือเป็นวันที่มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ

มีการจัดการชุมนุมที่เรียกว่า Hands Off! ขึ้นในสถานที่ต่างๆ กว่า 1,200 แห่งใน 50 รัฐโดยกลุ่มต่างๆ กว่า 150 กลุ่ม รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน สหภาพแรงงาน ผู้สนับสนุนกลุ่ม LBGTQ+ ทหารผ่านศึก และนักรณรงค์การเลือกตั้ง การชุมนุมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นไปอย่างสันติ โดยไม่มีรายงานการจับกุมใดๆ ในขณะนี้

ผู้ประท้วงหลายพันคนในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่มิดทาวน์แมนฮัตตันไปจนถึงแองเคอเรจ รัฐอลาสก้า รวมถึงอาคารรัฐสภาหลายแห่ง โจมตีการกระทำของทรัมป์และมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์เกี่ยวกับการลดขนาดรัฐบาล เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และสิทธิมนุษยชน

อีกทั้ง ผู้ประท้วงถือป้ายที่มีคำเช่น “ต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง” พร้อมตะโกนขณะเดินขบวนไปตามถนนในพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน และลอสแองเจลิส ซึ่งพวกเขาเดินขบวนจากเพอร์ชิงสแควร์ไปยังศาลากลาง

การจัดการชุมนุมในครั้งนี้มาจากการที่ ผู้ประท้วงแสดงความโกรธต่อการเคลื่อนไหวของฝ่ายบริหารในการไล่พนักงานรัฐบาลหลายพันคน ปิด สำนักงานภาคสนามของสำนักงาน ประกันสังคมปิดหน่วยงานทั้งหมด ส่งตัวผู้อพยพกลับลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ และตัดงบประมาณโครงการด้านสุขภาพ

โดยก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุน และที่ปรึกษาของทรัมป์ที่บริหาร Tesla, SpaceX และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X กลายมามีบทบาทสำคัญในการลดขนาดบริษัทในฐานะหัวหน้าแผนกประสิทธิภาพของรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ เขาบอกว่าเขาช่วยประหยัดเงินภาษีของประชาชนได้หลายพันล้านดอลลาร์

ทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า “จุดยืนของประธานาธิบดีทรัมป์ชัดเจน เขาจะปกป้องประกันสังคม เมดิแคร์ และเมดิเคดให้กับผู้มีสิทธิ์ ในขณะเดียวกัน จุดยืนของพรรคเดโมแครตคือมอบสิทธิประโยชน์ประกันสังคม เมดิเคด และเมดิแคร์ให้กับคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งจะทำให้โครงการเหล่านี้ล้มละลายและทำลายผู้สูงอายุชาวอเมริกัน”

เคลลีย์ โรบินสัน ประธานกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติของรัฐบาลต่อชุมชน LBGTQ+ ในการชุมนุมที่เนชันแนล มอลล์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตก็ได้ขึ้นเวทีด้วย

“พวกเขากำลังตัดงบประมาณป้องกันเอชไอวี พวกเขากำลังทำให้แพทย์ ครู ครอบครัว และชีวิตของเรากลายเป็นอาชญากร พวกเราไม่ต้องการอเมริกาแห่งนี้ พวกเราต้องการอเมริกาที่เราสมควรได้รับ ซึ่งศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และเสรีภาพ” โรบินสันกล่าว

โรเจอร์ บรูม วัย 66 ปี ผู้เกษียณอายุจากเดลาแวร์เคาน์ตี้ รัฐโอไฮโอ เป็นหนึ่งในหลายร้อยคนที่ออกมาชุมนุมที่รัฐสภาในโคลัมบัส เขาบอกว่าเขาเคยเป็นรีพับลิกันในสมัยเรแกน แต่ตอนนี้เขาไม่ชอบทรัมป์แล้ว “เขากำลังทำให้ประเทศนี้แตกแยก” บรูมกล่าว

‘ภูมิใจไทย’ ครบรอบ 17 ปี เปิดตัวโลโก้ใหม่สีน้ำเงินล้วน พร้อมสโลแกน ‘เดินหน้าการเมือง สันติสามัคคี เทิดทูนสถาบัน’

(6 เม.ย. 68) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จัดงานฉลองครบรอบวันก่อตั้งพรรคครบ 17 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรคที่มาร่วมพิธีทางศาสนาและการเปิดตัวโลโก้ใหม่ของพรรค ซึ่งเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินล้วน สื่อถึงความสงบ สันติ และความเข้มแข็งตามอุดมการณ์ของพรรค

โดยมีการจัดกิจกรรมพิธีทำบุญทางศาสนาพุทธและอิสลาม พร้อมด้วยการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ซึ่งมีกระแสการเปลี่ยนโลโก้และสัญลักษณ์ของพรรคเป็นสีน้ำเงินทั้งหมด เพื่อสะท้อนถึงแนวทางการดำเนินการทางการเมืองที่ยึดมั่นในวิถีของความเป็นไทยและความจงรักภักดีต่อสถาบันสำคัญของชาติ

"เดินหน้าการเมือง สันติสามัคคี เทิดทูนสถาบัน" เป็นสโลแกนใหม่ที่พรรคภูมิใจไทยยึดถือในการพัฒนาการเมืองไทยให้มั่นคงและยั่งยืนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า สีน้ำเงินสะท้อนถึงความสงบ ความสามัคคี และความมั่นคง ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของพรรคที่มุ่งทำงานเพื่อประชาชน

ในโอกาสสำคัญนี้ ยังมีตัวแทนจากพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจพรรคภูมิใจไทยในการพัฒนาและเติบโตทางการเมือง รวมถึงการส่งเสริมสันติสุขในสังคมไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่า การเปลี่ยนโลโก้และสโลแกนของพรรคในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการทำงานของพรรคภูมิใจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง และยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ความจงรักภักดีต่อสถาบัน และการทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการก้าวเข้าสู่บทบาทที่สำคัญของพรรคภูมิใจไทยในการก้าวไปข้างหน้าและเติบโตในสังคมการเมืองไทยอย่างมั่นคงและเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนและสังคมโดยรวม

โฆษกอุตสาหกรรมชี้แจง ไม่มีการต่ออายุ มอก. ให้ ‘ซินเคอหยวน’ เตือนผู้เผยแพร่ข่าวสารปลอม สร้างความสับสนให้สังคม

(6 เม.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกมาชี้แจงกรณีข่าวที่กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำการต่ออายุ มอก. ให้กับบริษัทเหล็กสัญชาติจีน “ซินเคอหยวน” เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

โดยยืนยันว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และขอชี้แจงว่า บริษัทซินเคอหยวนยังคงถูกสั่งพักใบอนุญาตผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล็กเส้นที่ทดสอบไม่ผ่านมาตรฐาน ตามมาตรา 40 ของหนังสือเลขที่ อก 0706/1943 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568

นายพงศ์พล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เผยแพร่เกี่ยวกับการต่ออายุ มอก. ให้บริษัทซินเคอหยวนนั้นไม่เป็นความจริง และกล่าวว่า “ไม่เข้าใจว่าผู้ปล่อยข่าวมีเจตนาอันใด หรือเป็นผู้ไม่หวังดี ที่นำข้อมูลบางส่วนจากหนังสือแก้ไขความบกพร่องในระบบควบคุมคุณภาพ (QC) ลงวันที่ 23 มกราคม 2568 มาผสมโยงกับเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์ จนทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชน”

โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวย้ำว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องและจริงจังในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหามาตรฐานอุตสาหกรรมเหล็กศูนย์เหรียญ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายรายได้ของประเทศ แต่ยังเป็นอันตรายต่อชีวิตประชาชนและสิ่งแวดล้อม 

ล่าสุด ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน และได้ลงนามเสนอปลดสิทธิประโยชน์ BOI ให้กับโรงงานเหล็กสัญชาติจีนเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568

“ขอให้ทุกฝ่ายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและผลประโยชน์ของประเทศ” นายพงศ์พลกล่าวทิ้งท้าย

‘อนุทิน’ รับสนิทผู้ว่าฯ สตง. กว่า 10 ปี ยันไม่เคยช่วยเหลือกรณีตึกถล่ม ซัดเพจดังสร้างข่าวเท็จ

(6 เม.ย. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมงานครบรอบการก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย ที่สำนักงานใหญ่พรรค กรณีเพจ CSI LA เผยแพร่ภาพความสนิทสนมระหว่างตนกับนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พร้อมตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการสอบสวนเหตุอาคารสำนักงาน สตง. ถล่ม

นายอนุทินยอมรับว่า ตนสนิทกับนายมณเฑียรจริง และเป็นเพื่อนรักกันมานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่เรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ร่วมกัน โดยตนเป็นประธานรุ่น ส่วนนายมณเฑียรเป็นเลขารุ่น ซึ่งถือเป็นความสัมพันธ์ในเชิงส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ พร้อมย้ำว่า ข้อมูลที่อ้างว่ามีการช่วยเหลือกันในกรณีอาคารถล่มนั้น “เป็นเรื่องเท็จ และเป็นการกุข่าวโดยไร้หลักฐาน”

“เรื่องความเป็นเพื่อนกัน เราไม่ได้ปฏิเสธ แต่จะบอกว่าเราช่วยเหลือกันในเรื่องไม่ถูกต้อง แบบนั้นมันไม่จริง และไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ” นายอนุทินกล่าว

พร้อมกันนี้ นายอนุทินยังระบุว่า อาคารดังกล่าวไม่ได้มีการลงนามในสัญญาก่อสร้างโดยนายมณเฑียร เพราะเจ้าตัวเพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ สตง. ได้ไม่นาน และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อช่วงปลายปี 2567 ในขณะที่อาคารก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ

“รูปที่เขาเอาไปโพสต์กัน บางรูปก็เก่ามาก ตั้งแต่สมัยยังไม่มีรอยตีนกาเลยด้วยซ้ำ ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนจะนำเสนอข้อมูล เพราะกรณีนี้มีแต่ความสูญเสีย ไม่มีใครจะไปช่วยใครให้รอดพ้นความผิดได้” นายอนุทินกล่าว

รองนายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า การสอบสวนเหตุอาคารถล่ม เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครแทรกแซงหรือชี้นำได้ โดยคณะกรรมการสอบสวนประกอบด้วยตัวแทนจากสภาวิศวกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และจากหลายมหาวิทยาลัย เพื่อความโปร่งใส

“ถึงแม้จะสามารถแทรกแซงได้ ผมก็จะไม่ทำ เพราะมันไม่ถูกต้อง และไม่มีใครควรช่วยคนผิดให้รอดจากความผิดกรณีแบบนี้เด็ดขาด” นายอนุทินกล่าวหนักแน่น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับเพจที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า “ถ้าไม่จริง จะไปฟ้องทำไม เรื่องมันไม่ใช่ก็ไม่ต้องทำอะไร แค่ยืนยันว่าไม่มีการช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น”

ทั้งนี้ นายอนุทินยังเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับนายมณเฑียรเมื่อวานนี้ (5 เม.ย.) ผ่านกลุ่มไลน์ร่วมกัน ยอมรับว่าอีกฝ่ายมีความเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งก็ต้องมาเจอปัญหาใหญ่

ท้ายที่สุด นายอนุทินย้ำว่า กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง มีหน้าที่ตรวจสอบข้อผิดพลาดด้านวิศวกรรมและโครงสร้างอาคาร ส่วนประเด็นการทุจริตหรือฮั้วประมูล เป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งกำลังดำเนินการควบคู่กันไป

“นี่คือเรื่องเศร้า และเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ ต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมถึงเกิดขึ้น และไม่มีทางที่ผมจะช่วยใครให้ผิดเป็นถูกได้เด็ดขาด” นายอนุทินกล่าวทิ้งท้าย

กระทรวงอุตฯ พบ บริษัททุนจีน นำเข้ายางรถยนต์เก่า ไม่ผ่าน QC ลบยี่ห้อพิมพ์เพิ่ม Made in Thailand ย้อมเป็นยางรถใหม่ ออกขาย-ส่งออก

(6 เม.ย. 68) กระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบบริษัททุนจีนรายใหญ่ที่ตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ในประเทศไทย หลังพบพฤติกรรมต้องสงสัยหลายประการ ทั้งในด้านการผลิต การใช้แรงงาน และการนำเข้าวัตถุดิบ

เบื้องต้นพบว่า บริษัทดังกล่าวนำเข้าวัตถุดิบทั้งหมดจากประเทศจีน รวมถึงใช้แรงงานฝีมือจากจีนเป็นหลัก โดยไม่จ้างแรงงานท้องถิ่นที่มีทักษะ 

พร้อมกันนี้ ยังตรวจพบว่า บริษัทมีการลักลอบนำเข้ายางรถยนต์เก่าจากจีนที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย แล้วทำการ “ลบตรา-โลโก้สินค้า” ออกจากยางเหล่านั้น ก่อนกระจายไปยังร้านยางในเครือข่ายทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีการพบว่า ยางรถยนต์ตกมาตรฐานบางส่วน ถูกนำไปพิมพ์ชื่อสินค้าใหม่ พร้อมติดฉลาก "Made in Thailand" ก่อนส่งออกจำหน่ายในราคาถูกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และมาตรฐานของสินค้ายางรถยนต์ไทยอย่างรุนแรง

จากการเข้าตรวจค้นโกดังเก็บสินค้าของบริษัทดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบยางที่ผ่านการแปลงสภาพถูกจัดวางรวมกับยางใหม่ อีกทั้งยังมีป้ายติดระบุชัดว่า “Export Only” สะท้อนให้เห็นถึงเจตนานำส่งสินค้าต่ำกว่ามาตรฐานออกนอกประเทศอย่างชัดเจน

ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการรอคำชี้แจงจากทางบริษัท เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรัดกุม และพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายหากพบการกระทำความผิดจริง โดยจะนำผลสอบเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาใช้มาตรการต่าง ๆ ต่อไป

ในส่วนของสิทธิพิเศษตามโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่บริษัทได้รับนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเข้าข่ายการละเมิดเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณา

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องผู้บริโภค และรักษาชื่อเสียงของสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการกระทำที่ขาดจริยธรรมและละเมิดมาตรฐานสากล

สวีเดนทุ่มงบ 100 ล้านโครนา อัปเกรดบังเกอร์ทั่วประเทศ เน้นความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินระดับชาติ หลังร่วม NATO

(6 เม.ย. 68) สวีเดนจะจัดสรรเงิน 100 ล้านโครนา (ราว 334 ล้านบาท) สำหรับการตรวจสอบ ควบคุม และปรับปรุงที่พักพิงป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ โดยตั้งแต่ปี 2024 หน่วยงานรับมือเหตุฉุกเฉินของสวีเดน (MSB) ได้เพิ่มการตรวจสอบบังเกอร์ของประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 64,000 แห่ง

ตามแถลงการณ์ของ MSB ประเทศสวีเดน ซึ่งได้เข้าเป็นสมาชิกของ NATO ในเดือนมีนาคม 2024 ยังลงทุนด้านการพัฒนาบริการฉุกเฉิน การเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการเติมเต็มเวชภัณฑ์ทางการแพทย์อีกด้วย 

การปรับปรุงบังเกอร์คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 ปี จนถึงขณะนี้ ได้เริ่มดำเนินการสร้างบังเกอร์ขนาดใหญ่ 25 แห่งจากทั้งหมด 80 แห่งแล้ว ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้หลายพันคน ในปี 2025 

ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีสวีเดน อุลฟ์ คริสเตอร์สัน กล่าวว่าประเทศ “ไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะสันติภาพ” พร้อมประกาศเพิ่มงบกลาโหมเป็น 2.4% ของ GDP ในปีนี้ และตั้งเป้าเป็น 2.6% ภายในสามปี

สตอกโฮล์มได้เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศมาตั้งแต่ปี 2014 และตั้งแต่ปี 2022 ก็ได้เปิดใช้โครงการ “การป้องกันโดยรวม” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระดมทรัพยากรทั้งหมดของสังคมในยามวิกฤต

การปรับปรุงศูนย์หลบภัยนิวเคลียร์ของสวีเดนเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นและความกังวลด้านความปลอดภัยในยุโรป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในยูเครน การเป็นสมาชิกนาโตของสวีเดนทำให้ความมุ่งมั่นในการป้องกันประเทศร่วมกันของสวีเดนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และประเทศกำลังดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้แน่ใจว่าสวีเดนสามารถเตรียมพร้อมในกรณีฉุกเฉินได้

การเน้นย้ำถึง "การป้องกันประเทศโดยรวม" เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสวีเดนในการรักษาระดับความพร้อมรบสูง โดยทรัพยากรทางทหารและพลเรือนถูกผนวกรวมเข้ากับการวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ 

นอกจากนี้ความคิดริเริ่มนี้ยังเป็นการเตือนถึงความพยายามของยุโรปในวงกว้างที่จะเพิ่มความสามารถในการรับมือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีทางไซเบอร์หรือความขัดแย้งทางทหารแบบเดิม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top