ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568
การพนันเป็นอบายมุข
นำมาแต่ความเสื่อมเสีย แก่ตัวเองและหมู่คณะ
ตลอดแก่พระพุทธศาสนา
.....นำมาแต่ภัยเวร
นำมาแต่ความประมาท
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่ควรเล่นการพนัน
หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล

การพนันเป็นอบายมุข
นำมาแต่ความเสื่อมเสีย แก่ตัวเองและหมู่คณะ
ตลอดแก่พระพุทธศาสนา
.....นำมาแต่ภัยเวร
นำมาแต่ความประมาท
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่ควรเล่นการพนัน
หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล
(4 เม.ย.68) เวลา 18.00 น. กองทัพเรือ โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จัดกำลังพลลำเลียงเตียงสนาม จำนวน 60 เตียง เข้าทำการสนับสนุนในส่วนของ กองทัพเรือ เพื่อเป็นที่พักเพิ่มเติมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และญาติผู้สูญหาย จากเหตุการณ์อาคารถล่ม ในพื้นที่เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568
ซึ่งก่อนหน้านี้ สอ.รฝ. ได้จัดส่งชุดค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR TEAM) เป็นกำลังพล และยุทธโธปกรณ์ ร่วมกับส่วนภาคพื้น (Ground Control) เข้าค้นหาผู้ประสบภัยบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง เข้าร่วมค้นหาและ สนับสนุนชุดเคลื่อนย้ายเคสดำ เพศชาย 1 นาย สนับสนุนภารกิจเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางบริเวณช่องทางสำหรับการเข้าค้นหาผู้ประสบภัย และสนับสนุนภารกิจในการส่องกล้อง เพื่อค้นหาผู้ประสบภัย เมื่อ 29 มี.ค.68 หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตึกถล่มกรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิตและติดอยู่ภายในจำนวนมาก
พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1/ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1 (ระดับผู้บริหาร) ครั้งที่ 1 ปีงบประมาณ 68 ณ โรงแรม แคนทารี เบย์ ศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานตามแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงเชิงพื้นที่ ภายใต้นโยบายและแผนความมั่นคงที่ 17 การเสริมสร้างความมั่นคงเชิงพื้นที่ ปีงบประมาณ 68 รวมถึงรับทราบปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้องในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วยหน่วยงานระดับนโยบาย (สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) และ จังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อประสานความร่วมมือ และบูรณาการในการแก้ไขปัญหาร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
(4 เ.ม.ย.) ที่อาคารนิมมาณกลยุทธ ค่ายนิมมาณกลยุทธ กองพันทหารราบที่ 2กรมทหารราบที่ 12รักษาพระองค์ ตำบลแซร์ออ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว พลเอก ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นประธานในงาน “วันรณรงค์การดำเนินงานด้านทุ่นระเบิดสากล” ประจำปี 2568 ของประเทศไทย โดยมีผู้แทนจากส่วนราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมทั้งหน่วยงานต่างประเทศ เข้าร่วมงานด้วย อาทิ เอกอัครราชทูตนอร์เวย์ ประจำประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.), องค์การความช่วยเหลือแห่งประชาชนชาวนอร์เวย์ สมาคมเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือนไทย
สืบเนื่องจากสหประชาชาติ ตระหนักดีว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและสรรพาวุธระเบิดที่ตกค้างจากสงคราม ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก จึงมีมติกำหนดให้วันที่ 4 เมษายน ของทุกปี เป็น “วันรณรงค์การดำเนินงานด้านทุ่นระเบิดสากล” เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ได้ตื่นตัว ร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานด้านทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมของประเทศไทย
ภายใต้ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย จึงได้จัดกิจกรรมฯ ครั้งนี้ขึ้น เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนได้ตื่นตัวและตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายจากทุ่นระเบิด โดยมีกิจกรรมที่สำคัญได้แก่ การมอบหนังสือส่งมอบและประกาศรับรองพื้นที่ปลอดภัยให้กับจังหวัดสระแก้ว การมอบรางวัลการประกวดวาดภาพระบายสี การจัดบูธนิทรรศการเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายจากทุ่นระเบิด การแจ้งเตือนและให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของทุ่นระเบิด การจัดแสดงเครื่องมือและยุทธโปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน การมอบถุงยังชีพ ขาเทียม รถโยก และเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้พิการซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยทุ่นระเบิด การมอบโล่และใบประกาศเกียรติคุณให้แก่หน่วยงานที่สนับสนุนการจัดกิจกรรมฯ รวมทั้งสาธิตการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 1
ทั้งนี้ การจัดกิจกรรม “วันรณรงค์การดำเนินงานด้านทุ่นระเบิดสากล” ดังกล่าว นอกจากเป็นการแสดงออกถึงการให้ความร่วมมือของประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะกระตุ้นเตือนให้ ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ได้ตระหนักรู้ว่าปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและสรรพาวุธระเบิดที่ตกค้างจากสงครามยังคงส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนตามชายแดนและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งภาครัฐไม่ควรทอดทิ้งและต้องดูแลให้ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดเหล่านี้ ได้รับความช่วยเหลือ เท่าที่จำเป็นอย่างทั่วถึง อาทิ ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน การบริการทางการแพทย์ การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย การสวัสดิการเบื้องต้น รวมทั้งการฝึกอาชีพ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข และมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
กองบัญชาการกองทัพไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติฯ พร้อมด้วยองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมที่เกี่ยวข้อง มีความมุ่งมั่นพร้อมที่จะดำเนินการในทุกด้านเพื่อทำให้พื้นที่อันตรายจากทุ่นระเบิดที่ตกค้างดังกล่าว กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย และส่งมอบคืนให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยจะดำเนินการสำรวจและเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้หมดไปจากประเทศไทยตามระยะเวลาที่กำหนดไว้โดยเร็ว
ศูนย์ฝึกทหารใหม่ฯ ส่งมอบทหารใหม่ ผลัดที่ 4/67 ให้หน่วยขึ้นตรง กองทัพเรือ เปรียบดังดอกประดู่ช่อใหม่ พร้อมเบ่งบาน ในหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพเรือ น.อ.อภิวัฒน์ นวลรัตนตระกูล รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ )รอง ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) สายงานการฝึก เป็นผู้แทน ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) เป็นประธานพิธีส่งมอบทหารใหม่ ผลัดที่ 4/67 จำนวน 2,889 นาย ให้แก่หน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ ณ ลานสวนสนาม บก.ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
พิธีดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ทหารใหม่ทุกนายมีความภาคภูมิใจในความสำเร็จก้าวแรกของการฝึกอบรม จนเป็นที่ยอมรับ และรับทราบแนวทางในการนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงาน ตระหนักรู้ถึงการประพฤติตนให้ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมทหาร ตลอดจนการเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคม สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชน ในทุกโอกาส ให้สมกับปณิธานที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่เน้นย้ำที่ว่า "ทหารเรือจะอยู่เคียงข้างประชาชน"
ทั้งนี้ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา ผลัดที่ 4/67 ตั้งแต่ 1 ก.พ.68 - 3 เม.ย.68 เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ทหารใหม่ ผลัด 4/67 ทุกนายมีความพร้อมทั้งด้านความเข้มแข็ง มีวินัย และความรู้ทหารเรือเบื้องต้น พร้อมปฏิบัติราชการตามภารกิจของหน่วยต่างๆ ในกองทัพเรือต่อไป
ทั้งนี้การฝึกอบรมฯ อยู่ภายใต้นโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ ที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ 'Navy-Safety 2025' อย่างเคร่งครัด
เมื่อวันที่ (3 เม.ย.68) อบต.บางพลีใหญ่ ร่วมกับ วัดบางพลีใหญ่กลาง จัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
โดยมี ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) ดร. เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานดำเนินงาน พร้อมด้วย ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยได้รับความเมตาจาก ท่านเจ้าคุณพระมงคลธรรมธัช (นฤพล สุขวฑฺฒโน) ดร. เจ้าคณะอำเภอบางเสาธง เจ้าอาวาสวัดศิริเสาธง เป็นพระอุปัชฌาย์ นำคณะสงฆ์ประกอบพิธีบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน จำนวน 56 รูป
โดยมี นายฉะโอด รุ่งเรือง ที่ปรึกษานายก อบจ.สมุทรปราการ พร้อมด้วย คณะไวยาวัจกร พนักงาน ข้าราชการ อบต.บางพลีใหญ่ คณะครู ผู้ปกครอง และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธีกันเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ เฉลิมพระเกียรติ 70 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีสามเณร เข้าร่วมโครงการ จำนวน 56 คน เพื่อให้เด็กและเยาวชน ได้รู้จักใช้เวลาว่างช่วงโรงเรียนปิดภาคเรียนให้เป็นประโยชน์
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี รักษาวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น และเผยแผ่พระธรรมวินัย ตลอดจนเพื่อขัดเกลาจิตใจเป็นการส่งเสริมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม และปลูกฝังศีลธรรมอันดีงาม ให้แก่ เด็กและเยาวชน ได้มีโอกาสใกล้ชิดและเรียนรู้พระศาสนาด้วยตนเอง เกิดความเข้าใจในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา
เมื่อวันที่ (3 เม.ย.68) ที่ห้องประชุม ชั้น 3 อาคาร 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวงพล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ประธานคณะอนุกรรมาธิการความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นำคณะอนุกรรมาธิการ และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ เดินทางไปศึกษาดูงานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว และร่วมประชุมนำโดย พ.ต.อ.โอฬาร เอี่ยมประภาส รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจและมาตรการส่งเสริมความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์
โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้จัดทำแผนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน มีการตรวจสอบและเตรียมความพร้อมทางหลวงพิเศษ หมายเลข 6 สายบางปะอิน - นครราชสีมา (M6) และถนนเส้นอื่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 โดยตลอดเส้นทางที่เปิดให้ประชาชนใช้บริการจะต้องมีความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มความสามารถ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
จากนั้นเข้าเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมสั่งการจราจร ของกองบังคับการตำรวจทางหลวง ณ ศูนย์สั่งการ 1193 ชั้น 4 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งมีกล้อง CCTV และศูนย์รับแจ้งเหตุ สายด่วน 1193 เพื่อความรวดเร็วในการแจ้งเหตุอุบัติเหตุ การจราจรติดขัด หรือเหตุด่วนเหตุร้ายบนทางด่วนและทางหลวง ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง ได้เน้นย้ำการสร้างความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกเเก่นักท่องเที่ยว ซึ่งต้องเร่งการประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง เพื่อให้มีความสะดวกควบคู่ไปกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนทุกคนในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 นี้
นอกจากนี้ ได้มีพิธีมอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนรับมอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ จำนวน 25,000 สิทธิ์ พร้อมหมวกนิรภัย มอบโดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก บริษัท เอไอเอ จำกัด เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน
เมื่อวันที่ (3 เม.ย.68) เวลา 0930 น. ที่ห้องประชุมพระยอด กองบังคับการมณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม พันเอกศิวดล ยาคล้าย ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการ หน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การต้อนรับ นายศิริสุข ยืนหาญ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พร้อมคณะ ในการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำกับติดตามการดำเนินงานตามแผน ปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน งบประมาณ 2568 ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) โดยมี โดย ผู้แทนสำนักยุทธศาสตร์, สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 4 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ จังหวัดนครพนม เข้าร่วมประชุม และวันที่ 2 เมษายน 2568 คณะผู้แทนสำนักยุทธศาสตร์ได้ลงพื้นที่ บ้านแสนพันท่า หมู่ที่ 4 ตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน กองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2109 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 บริเวณวัดศรีสะอาด บ้านเหล่านนาด ตำบลพนอม อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานในหมู่บ้าน/ชุมชน พื้นที่ชายแดน ตำบลท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เพื่อมอบนโยบายในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามแนวชายแดน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจในการปฏิบัติงาน และสามารถเร่งรัดการดำเนินงานสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ซึ่งหน่วยบัญชาการ สกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการปฏิบัติที่สำคัญแต่ละมาตรการตั้งแต่ 1 ต.ค 67 ถึง ปัจจุบัน ประกอบไปด้วย มาตรการสกัดกั้น มาตรการปราบปราม มาตรการป้องกัน มาตรการบำบัดรักษา มาตรการบูรณาการ มาตรการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย ตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) หน่วยมีผลการปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปราม ตามแนวชายแดน/ โดยทำการซุ่มเฝ้าตรวจ 6,540 ครั้ง, ลาดตระเวนทางน้ำ 64 ครั้ง, ลาดตระเวนทางบก 5,383 ครั้ง,จัดตั้งจุดตรวจด่านตรวจ 1,530 ครั้ง ทำการปิดล้อมตรวจค้น 47 ครั้ง /ติดตามจับกุม ขยายผล และยึดทรัพย์สิน คดียาเสพติด จำนวน 28 คดี รวมผลการตรวจยึดจับกุมตั้งแต่ห้วงเปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” (1 ก.พ. – 31 ก.ค. 68) มีการตรวจยึดจับกุมจำนวน 216 ครั้ง/ ผู้ต้องหา 272 รายของกลาง ยาบ้า 26,970,802 เม็ด,ไอซ์ 1,216.336 กิโลกรัม, และอื่นๆ
เมื่อวานนี้ (4 เม.ย. 68) นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ยูเน็กซ์ อีวี จำกัด (UNEX EV) ได้เปิดเผยว่า บริษัทได้นำเสนอแพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่ (battery swap) รายแรกในประเทศไทย โดยเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตในอนาคต เนื่องจากความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ อีวี ในประเทศไทยมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาก
ทั้งนี้บริษัทได้ลงทุนมูล 12,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี จากนี้เพื่อนำเสนอแพลตฟอร์ม และสร้างอีโคซิสเต็ม การเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับอีวีสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล ยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ระบบขนส่งทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ
ยูเน็กซ์ อีวี จะเข้ามาช่วย แก้ปัญหาและจุดอ่อนสำคัญ (pain point) ของการใช้ยานยนต์อีวีให้ความสะดวกในการใช้งานโดยเฉพาะการใช้งานเชิงพาณิชย์ ที่ต้องใช้รถเป็นเวลานาน และระยะทางไกลในแต่ละวัน แต่ต้องเสียเวลาในการชาร์จไฟ
ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะนำ ยูเน็กซ์ อีวี เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของอเมริกา ภายในระยะเวลา 2 ปีจากนี้ด้วย ควบคู่ไปกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัจฉริยะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก
ล่าสุดบริษัทลงนามกับพันธมิตรหลายส่วนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ และการขยายการบริการอย่างยั่งยืนได้แก่ ทั้ง ผู้ผลิตรถยนต์โดยเริ่มจาก บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรองรับแพลตฟอร์มสับเปลี่ยนอัจฉริยะ และระบบสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ กับรถยนต์ 2 รุ่นแรกพร้อมจำหน่ายได้แก่ MG EP และ MG MAXUS 7
สถานีสับเปลี่ยนพลังงาน โดยเตรียมขยายเครือข่ายการให้บริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ โดยเริ่มจากซัคโก้ ก่อนโดยจะเป็นการลงทุน 15-20 ล้านบาทต่อสถานี และแต่ละสถานีรองรับรถได้ 100 คัน/วัน โดยหากใช้บริการเต็มจะใช้เวลาคืนทุน ประมาณ 3 ปี – 3 ปีครึ่ง โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีไม่น้อยกว่า 1,000 สถานี
ส่วนสถาบันการเงิน อย่าง ซูมิโตโม ลิสซิ่ง เข้ามาสนับสนุนทางการเงิน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น สำหรับลูกค้า MG EP ลูกค้าสามารถเลือกเริ่มต้นผ่อนได้เพียง 550 บาท/วัน และวางเงินดาวน์ 0%
สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของยูเน็กซ์ อีวี นั้น นายพิทักษ์ กล่าวว่า ตั้งเป้าว่ายังมีแผนเตรียมเข้าไปนำเสนอและเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ อีวี และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์และเรือขนาดเล็กภายใน 3 ปีนี้ เพื่อขยายเครือข่ายอัจฉริยะของสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้มากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ
โดยจะเข้าไปทำตลาดเพื่อเจาะกลุ่มรถยนต์อีวีเชิงพาณิชย์ ในจ. ภูเก็ตก่อน จากนั้นจะขยายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครประกาศยกเลิกการเป็นเขตธรณีพิบัติภัยแล้วยกเว้นแค่จุดอาคารถล่มเพียงเท่านั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกรณีธรณีพิบัติภัยครั้งนี้ที่เอย่ามองว่า นี่มันช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าแผ่นดินไหว วันนี้เอย่าจะหยิบยกมาให้รู้กัน
1. เฟกนิวส์และมิจฉาชีพที่มาในรูป AI ตามที่เราเห็นตามสื่อสังคมออนไลน์ตอนนี้ที่ยังพบได้คือภาพ VDO เฟกนิวส์ที่อ้างว่าเป็นภาพธรณีพิบัติภัยในเมียนมาและประเทศไทยสร้างภาพความเสียหายที่ดูรุนแรงจนเข้าใจผิด แต่ที่หนักกว่านั้นที่เอย่าพบตอนนี้คือการพบว่ามีการนำวิดีโอที่สร้างจาก AI มาใช้เรียกร้องขอเงินบริจาคของพวกกลุ่มมิจฉาชีพและสแกมเมอร์แล้ว
2. ความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล จากเหตุธรณีพิบัติภัยครั้งนี้เราจะเห็นได้ถึงน้ำใจของเหล่าประเทศที่ส่งทีมกู้ภัยเข้าไปช่วยเมียนมาในวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ตั้งธงทำร้ายเมียนมามาตลอดอย่างสหรัฐอเมริกาหรือประเทศที่ตั้งโต๊ะแถลงคว่ำบาตรอย่างเกาหลีใต้ก็ยังบริจาคเงิน 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐช่วยเหตุการณ์นี้
และเช่นกัน เราก็ได้เห็นบางประเทศอ้างว่ายกเลิกส่งทีมช่วยเหลือไปเพราะเมียนมาไม่ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มีประกาศยุติสงครามทั่วประเทศเพราะความเดือดร้อนของประชาชนต้องมาก่อนและดูเหมือนกลุ่มติดอาวุธก็ยอมปฏิบัติตามข้อเสนอนี้เสียด้วย
อย่างไรก็ดีก็มีคนบางกลุ่มและสื่อบางสื่อพยายามอ้างว่าการที่ผู้นำทหารเมียนมาได้เข้าร่วมประชุม BIMSTEC เป็นการที่ไทยฟอกขาวให้เขา ทั้งที่อีกมุมที่หลายคนไม่รู้คือ หลังเหตุการณ์รัฐประหารไทยแทบจะปิดประตูความช่วยเหลือให้แก่เมียนมา
ยังไม่พอ ไทยคือฐานนอกประเทศของกลุ่มก่อความไม่สงบไม่เมียนมา อีกทั้งการที่เมียนมาเริ่มตีตัวออกห่างจากไทย นั่นก็เพราะหลายครั้งที่ไทยละเลยคำขอของเพื่อนบ้าน หลายคนคงไม่ทราบว่า ทางการไทยพยายามร้องขอการปล่อยตัวของลูกเรือ 4 คนมาตลอด จนล่าสุดที่ ‘ลุงป้อม’ ไปขอผ่านเจ้ายอดศึกให้คุยกับนายพล มินอ่องหล่ายให้ เขาก็ยอมปล่อยตัวออกมา ทางรัฐบาลเมียนมาขอน้ำมันวันละ 5,000 ลิตรเพื่อมาใช้ปั่นไฟในโรงพยาบาลในเมืองเมียวดี เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากกลุ่มจีนเทา ไทยกลับเพิกเฉย
ดังนั้นเอย่าถามว่าการประชุม BIMSTEC ครั้งนี้เป็นการฟอกขาวหรือการกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอีกครั้งกันแน่
กลุ่มผู้อพยพผิดกฎหมายในไทยพยายามอ้างตลอดว่า เขาหนีเข้าไทยเพราะรัฐประหารในเมียนมา แต่ทุกคนควรทราบก่อนว่า เหตุผลใหญ่ในตอนนั้นที่กองทัพต้องทำรัฐประหารนอกจากเรื่องการตรวจสอบการเลือกตั้งไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องการยกหมู่เกาะโคโต่ให้เป็นฐานนอกประเทศของอเมริกาด้วย ซึ่งนั่นหากมีการเกิดสงครามจริง อเมริกาสามารถยิงขีปนาวุธเข้ามาที่เมืองย่างกุ้งหรือเนปิดอว์ได้เลย โดยใช้หมู่เกาะโคโต่เป็นฐาน
และการที่ประชาชนในประเทศเขาหนีส่วนใหญ่ เพราะไปเชื่อตามข่าวลือของกลุ่มต่อต้านที่ปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังและอีกส่วนคือหนีสงครามที่เริ่มต้นโดยกลุ่มชาติพันธุ์นั่นเอง
ส่วนในไทยสิ่งที่น่ากลัวคือการที่คนไทยผู้มีอำนาจเพิกเฉยและให้คนเหล่านี้เข้ามามีสิทธิ์มีเสียงในสังคมต่างหาก นั่นแหละที่เรียกว่าฟอกขาวที่แท้จริง