Sunday, 29 June 2025
TheStatesTimes

ทางรถไฟขนสินค้าสาย จีน-ยุโรป เชื่อมการค้าสองทวีป แล้วกว่า 11,380 เที่ยว

เมื่อวันที่ (18 พ.ย. 67) ที่ผ่านมา ขบวนรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป เส้นทางจากเมืองอี้อู มณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน ไปยังกรุงมาดริด ประเทศสเปน ได้ให้บริการครบ 10 ปี โดยขบวนล่าสุดได้ออกเดินทางจากเมืองอี้อูพร้อมสินค้าต่างๆ รวมทั้งสิ้น 110 ตู้คอนเทนเนอร์ (TEU) ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และมีกำหนดเดินทางถึงกรุงมาดริดภายในระยะเวลา 16-18 วัน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขบวนรถไฟนี้ได้ดำเนินการเดินทางทั้งหมด 11,380 เที่ยว และขนส่งสินค้ากว่า 932,200 ตู้คอนเทนเนอร์ โดยขบวนรถไฟสินค้าจีน-ยุโรปได้ขยายการเชื่อมต่อไปยัง 50 ประเทศและภูมิภาคในเอเชียและยุโรป ครอบคลุมเมืองกว่า 160 แห่ง รวมถึงเส้นทางหลักทั้งจีน-ยุโรป, จีน-รัสเซีย และจีน-เอเชียกลาง นอกจากนี้ โครงสร้างสินค้าส่งออกก็ได้เปลี่ยนแปลงจากสินค้าขนาดเล็กและสินค้าบริโภคทั่วไป มาเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อะไหล่รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ แผงโซลาร์เซลล์ และรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

ขบวนรถไฟนี้ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีระยะทางยาวที่สุดในจีน และได้ขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการการขนส่ง โดยตั้งแต่ปี 2018 สถานีรถไฟอี้อูได้ติดตั้งระบบจัดการอัจฉริยะสำหรับคอนเทนเนอร์ ทำให้การจัดการและตรวจสอบการขนส่งมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น เช่น การกำหนดตำแหน่งคอนเทนเนอร์ การย้ายคอนเทนเนอร์ และการขนถ่าย มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อมูลจากบริษัทการรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด รายงานว่า ขบวนรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป ได้ออกเดินทางจากอี้อูมากกว่า 6,700 เที่ยว และขนส่งสินค้ากว่า 670,000 ตู้คอนเทนเนอร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยรถไฟเหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขนส่งโลจิสติกส์ของเมืองอี้อู ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "ซูเปอร์มาร์เก็ตของโลก" และช่วยสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทั่วโลก

ตลอด 10 ปี ขบวนรถไฟนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศต่างๆ และความร่วมมือที่ยั่งยืนที่จะทำให้การค้าระหว่างประเทศเติบโตและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ข้อมูลจากศุลกากรอี้อูเผยว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 อี้อูมีมูลค่าการนำเข้ามากถึง 65.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 19.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสินค้านำเข้าจากยุโรปผ่านขบวนรถไฟอี้ซิน อาทิ เครื่องสำอาง เครื่องดูแลสุขภาพ อาหาร และเครื่องครัว ได้กลายเป็นสินค้าหลักในครัวเรือนของชาวจีน

ปูตินสั่งแก้กฎยิงนิวเคลียร์ง่ายขึ้น หลังยูเครนใช้มิสไซส์สหรัฐฯ โจมตีแดนหมีขาว

(20 พ.ย. 67) สำนักข่าวสปุตนิกได้เปิดเผยเอกสารแปลฉบับไม่เป็นทางการ หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้ลงนามปรับลดระดับข้อจำกัดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ส่งผลให้รัสเซียสามารถใช้นิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การโจมตีได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นการโจมตีจากประเทศที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจที่ครอบครองนิวเคลียร์

ระเบียบใหม่ของรัสเซียระบุว่า สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ในกรณีที่รัสเซียถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธวิถีโค้ง หรือการโจมตีทางอากาศโดยอากาศยาน โดรน หรือพาหนะบินได้อื่น ๆ  

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังยูเครนยิงขีปนาวุธ ATACMS ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ เข้าไปในแคว้นไบรอานส์กของรัสเซีย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลในลักษณะนี้ สร้างความเสียหายต่อคลังกระสุนในพื้นที่ดังกล่าว  

การโจมตีเกิดขึ้นในวันครบรอบ 1,000 วันของสงคราม โดยฝ่ายยูเครนระบุว่า ขีปนาวุธสามารถทำลายกระสุนปืนใหญ่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่าสามารถยิงขีปนาวุธตกลงมาได้ 5 ลำ และอีก 1 ลำถูกทำลายในอากาศ  

สถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม (ISW) เผยว่ามีเป้าหมายทางการทหารและกึ่งทหารกว่า 250 จุดในรัสเซียที่อยู่ในระยะทำการของ ATACMS  

ในอีกด้านหนึ่ง รัสเซียเริ่มผลิตหลุมหลบภัยนิวเคลียร์เคลื่อนที่ชื่อ "คับ-เอ็ม" (KUB-M) เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยหลุมหลบภัยดังกล่าวสามารถรองรับคนได้ถึง 54 คน เป็นเวลา 2 วัน พร้อมป้องกันคลื่นกระแทกและรังสี  

กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินมอสโกว์ยืนยันว่า การพัฒนาหลุมหลบภัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรับมือทั้งอันตรายจากธรรมชาติและเหตุการณ์ที่เกิดจากมนุษย์  

ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนนโยบายและการตอบโต้ด้วยกำลังทางการทหาร ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังไม่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่นานาชาติยังคงจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

‘พีระพันธุ์’ เยือน โรงเรียนเลิศคณิตฯ สงขลา ชื่นชมการเรียนการสอน พร้อมปลูกฝังเยาวชนรักชาติ

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางเยือนโรงเรียนเลิศคณิตสมาร์ทเซ็นเตอร์ จังหวัดสงขลา ชื่นชมการจัดการเรียนการสอน เด็กเก่ง มีความสามารถ พร้อมปลูกฝังเยาวชนรักชาติ รักแผ่นดิน รักสถาบันพระมหากษัตริย์

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสงขลา พบปะผู้บริหาร คณะครู และนักเรียน โรงเรียนเลิศคณิตสมาร์ทเซ็นเตอร์ อำเภอสงขลา จังหวัดสงขลา เพื่อเยี่ยมเยือนการจัดการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศด้านการศึกษาและปลูกฝังเยาวชนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ บรรยากาศการต้อนรับเป็นไปด้วยความอบอุ่น จากการต้อนรับด้วยการมอบดอกกุหลาบจากคณะครู และนักเรียน นำโดย นางอุไรวรรณ เอกพันธ์ (ครูแหม่ม)ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเลิศคณิตสมาร์ทเซ็นเตอร์ ก่อนที่จะมีการลงนามสมุดเยี่ยมเยือน และชมการแสดงที่จัดมาสร้างสีสัน รวม 5 ชุดการแสดง ประกอบด้วย การแสดงจากทีมสวนป๋าไลน์แดนซ์ , ทีมไลน์แดนซ์ศูนย์สร้างทางเขารูปช้าง, ทีมสมิหลา สวนป๋าไลน์แดนซ์ และชมรมแฟรน์ติดแดนซ์ ซึ่งแต่ละชุดการแสดงเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงเชียร์จากคณะครู นักเรียน และผู้ปกครองที่เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงชุดพิเศษ ชื่อ ชุดว่า 'ธงชาติ' นำแสดงโดยครูแหม่ม พร้อมคณะครู ที่ช่วยสร้างความตระหนัก สร้างความฮึกเหิม ให้คนไทยรักชาติ รักแผ่นดินเกิด

พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานในการมอบรางวัลแม่ดีเด่นคนดีศรีสงขลา ซึ่งเป็นกิจกรรมสืบเนื่องจากวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2567 จัดขึ้นที่โรงเรียนเลิศคณิตฯ มีคุณแม่ที่ได้รับรางวัลโล่เกียรติคุณ จำนวน 4 ท่าน ประกอบด้วย คุณแม่จินดาวรรณ สท้านวงศ์ , คุณแม่เดือนเพ็ญ เทพจิตร, คุณแม่สุมล ลิ่มตระกูล และคุณแม่ลักษณา หวัดเพชร จากนั้นได้มีการมอบถ้วยรางวัล ชนะเลิศอันดับ 1 การแข่งขันเพชรวันเด็ก 'Top of Lertkanit' เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ได้แก่ ด.ญ.รมิตา วรวิทย์สัตถญาน ก่อนที่จะมีมอบโล่เกียรติคุณ กลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมสงขลา ที่มาร่วมแสดงต้อนรับในครั้งนี้

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้ติดตามครูแหม่มผ่านสื่อโซเชียล และช่องทางต่างๆ มาโดยตลอด รู้สึกประทับใจในความรักชาติ รักแผ่นดิน ของทั้งครูแหม่ม และคณะครู โรงเรียนเลิศคณิตฯ ซึ่งคนที่มีลักษณะแบบนี้ ที่มีการแสดงออกถึงความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างตั้งใจแน่วแน่ ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้หาได้ง่ายๆ โดยวันนี้ได้มาเห็นความตั้งใจ โดยเฉพาะเรื่องของการจัดการเรียนสอน ที่ไม่ได้เน้นแค่วิชาการ ให้เด็กมีความรู้ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ยังสอนให้เด็กรู้จักรากเหง้าของตัวเอง รู้จักความเป็นชาติ ความเป็นไทย และรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และที่สำคัญทำให้เด็กๆ มีความสุข สนุกกับการเรียนเป็นอย่างมากด้วย

นางอุไรวรรณ เอกพันธ์ (ครูแหม่ม) ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเลิศคณิตสมาร์ทเซ็นเตอร์ กล่าวว่า โรงเรียนเลิศคณิต ได้ทำความดีเกี่ยวกับเรื่องของการรัก และปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งท่านพีระพันธุ์ฯ ได้มองหา เพื่อมาส่งกำลังใจต่อทั้งครูแหม่ม คณะครู และนักเรียน โดยทางโรงเรียนยังมุ่งเน้นที่เรื่องการศึกษา โดยแบ่งออกเป็น 2 Section ประกอบด้วย Section 1.มาแล้วต้องเรียนเก่ง ซึ่งทางโรงเรียนฯ จะมีการเรียนการสอนที่สามารถการันตีจากรางวัลระดับชาติได้ ส่วน Section 2. คือ เรื่องคุณธรรม ความกตัญญูรู้คุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยาก โดยต้องปลูกฝังให้เด็กรู้จักการทำดี และกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วความเก่งจะมาเอง จะเห็นได้จากหลายคนที่มีความรักชาติ แต่ไม่ได้กล้าแสดงออก ฉะนั้นแล้วให้เชื่อว่า การทำความดีนั้นไม่มีสิ่งที่ต้องกังวล และเชื่อได้ว่า เด็กที่มาเรียนจากโรงเรียนเลิศคณิต จะได้สิ่งดีๆ ไปแบบครบครัน ทั้งเก่งและดี มีคุณธรรม

‘สนธิ’ ลั่นเดินหน้าฟ้องกราวรูด ‘ช่องวัน’ พร้อมผู้เกี่ยวข้อง แม้ออกแถลงการณ์ขออภัย แต่ช้าไปต่างจาก ‘TOP News’ ที่ทำทันที

(20 พ.ย.67) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ 'คุยทุกเรื่องกับสนธิ' หรือ Sondhitalk กล่าวถึงกรณีสื่อ 2 ช่อง TOP Newsและ ช่องวัน นำเสนอข้อมูลจากนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กล่าวพาดพิงทำให้เสียหาย โดยระบุว่า ทางช่อง TOP News ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการออกแถลงการณ์ขออภัยทันที กรณีเสนอข่าวบทสัมภาษณ์ทนายเดชาคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง พร้อมทั้งได้บริจาคเงินจำนวน 100,000 บาท ให้กับมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ของพลตรีจําลอง ศรีเมือง อีกด้วย

“ยังเหลืออีกหนึ่งราย คือช่องวัน ไม่ต้องแถลงขอโทษแล้ว เพราะว่าผมรอคุณมานานแล้ว รอไปเจอผมที่ศาลก็แล้วกันคุณส่งคําแถลงมาขอโทษที่ล่าช้าไป ผมไม่รับแล้วตอนนี้ คุณต้องขึ้นศาล และฝากไปบอกผู้บริหารช่องวันด้วยว่า ผมจะฟ้องถึงผู้บริหาร ทั้งคุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ หากยังมีชื่อเป็นผู้บริหารอยู่ก็ต้องโดนด้วย เผลอ ๆ จะรวมไปถึงผู้ถือหุ้นด้วย ใครเป็นผู้ถือหุ้นช่องวันก็ระวังไว้ละกันทั้งหมดทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง”

นายสนธิ ยังย้ำด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้เปิดโอกาสให้ขอโทษแล้ว ก็ไม่ยอมขอโทษ ส่วนกับ TOP News นั้นไม่มีอะไรต่อกันแล้ว เพราะได้แก้ไขปัญหาทันที โดยยื่นความจํานงมาตั้งแต่ต้นว่า จะขอโทษ ซึ่งตนก็ตั้งเงื่อนไขช่องวันแบบเดียวกับ TOP News ซึ่งทาง TOP News ได้ตอบสนองในทันที พร้อมแก้ไขปัญหาแบบง่าย ๆ แต่แสดงออกถึงความจริงใจ ในขณะที่ช่องวัน กลับไม่ยอมตอบสนอง อาจจะถือตนว่าเป็นช่องไฮโซหรืออย่างไร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งโดนชาวบ้านด่าทั่วบ้านทั่วเมืองในเรื่องของการทรมานสัตว์ สุดท้ายขอย้ำอีกครั้งว่า เตรียมตัวรับหมายศาลจากตนได้เลย

22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ถูกลอบสังหาร ระหว่างการเยือนเมืองดัลลัสในรัฐเท็กซัสด้วยรถเปิดประทุน

“จงอย่าถามว่าประเทศชาติให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ” (Ask not what your country can do for you – Ask what you can do for your country) จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy) หรือ JFK ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา ถูกลอบสังหารในวันที่  22 พฤศจิกายน 2506

ในขณะที่ขบวนรถของเขาชะลอความเร็วและเลี้ยวขวาจากถนนเมนเข้าถนนฮิวสตัน ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปยังถนนเอล์ม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส และมุ่งหน้าเข้าสู่ Dealey Plaza เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้น

เคนเนดีมีอาการผิดปกติและใช้มือทั้งสองข้างกุมที่ลำคอ ก่อนที่กระสุนจะพุ่งเข้าสู่ศีรษะของเขาอย่างรุนแรง ตรงหน้าสตรีหมายเลขหนึ่ง

เคนเนดีเสียชีวิตที่โรงพยาบาลปาร์คแลนด์ โดยบันทึกทางการแพทย์ระบุว่าเขาเสียชีวิตอย่างเป็นทางการเวลา 13.00 น.

หลังการลอบสังหารไม่นาน ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ถูกจับกุมในข้อหาสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ และในอีก 45 นาทีหลังจากการลอบสังหารเคนเนดี

ออสวอลด์ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และสองวันต่อมา เมื่อเขาถูกย้ายจากสถานีตำรวจไปยังเรือนจำท้องถิ่น เขาถูกยิงโดยแจ็ค รูบี้ เจ้าของไนต์คลับในดัลลัส ต่อหน้าประชาชนหลายล้านคนที่รับชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

คณะกรรมการวอร์เรน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ ได้ยืนยันว่าออสวอลด์เป็นผู้ลงมือเพียงลำพัง โดยไม่มีเบื้องหลังใดๆ ขณะที่แจ็ค รูบี้ที่สังหารออสวอลด์ก็ทำเพียงลำพัง แม้จะมีข้อสงสัยและทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับการลอบสังหารประธานาธิบดีที่ทรงเสน่ห์ที่สุดของสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง

เคนเนดีดำรงตำแหน่งในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความวุ่นวาย โดยเป็นช่วงสงครามเย็นและการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตก็กำลังทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ และสหรัฐฯ เองก็เริ่มทดลองตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน

23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2440 พระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระบิดาเจ้าดารารัศมี เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 ถึงแก่พิราลัย

พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 พระนามเดิมคือ เจ้าอินทนนท์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อดอยอินทนนท์ เป็นพระชนกของพระราชชายา เจ้าดารารัศมีในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องขัติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์แก่พระองค์ ซึ่งถือเป็นพระเจ้าประเทศราชพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับพระราชทานและยกย่องพระเกียรติยศดังกล่าว

พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ปกครองเชียงใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2413-2440 มีพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า "พระเจ้าอินทวิชยานนท์ พหลเทพยภักดี ศรีโยนางคราชวงษาธิปไตย์ มโหดดรพิไสยธุรสิทธิธาดา ประเทศราชานุภาวบริหารภูบาลบพิตร สถิตยชิยางคราชวงษ พระเจ้านครเชียงใหม่" ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2440 ด้วยโรคชรา สิริพระชันษา 80 ปี รวมระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ 24 ปี จากนั้นบุตรของพระองค์ คือ เจ้าอุปราชอินทรวโรรส ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้าหลวงเชียงใหม่เป็นองค์ที่ 8

หลังการเสด็จสวรรคต พระอัฐิส่วนหนึ่งได้ถูกเชิญไปประดิษฐานในพระสถูปพระอัฐิที่กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ ณ วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ และอีกส่วนหนึ่งถูกอัญเชิญไปประดิษฐานในสถูปบนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงรักและหวงแหนมากที่สุด และยังเป็นสถานที่ที่ได้รับการตั้งชื่อตามพระนามของพระองค์เองอีกด้วย

บราซิลจับนายทหาร-ตำรวจ 5 นาย เตรียมวางยาพิษลอบสังหาร ปธน.ลูลา ดา ซิลวา

(20 พ.ย.67) ตำรวจบราซิลเปิดเผยว่าได้ทำการจับกุมผู้ต้องสงสัย 5 ราย จำนวนนี้เป็นตำรวจ 1 ราย และนายทหารอีก 4 ราย ในข้อหาวางแผนพยายามลอบสังหารประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล เมื่อ 2 ปีก่อน

รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า ทั้ง 5 รายมีส่วนเกี่ยวข้องในความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีลูลาในปี 2022 พร้อมกับนายเจอรัลโด อัลค์มิน ว่าที่ผู้สมัครรองประธานาธิบดี ซึ่งในปี 2022 เป็นปีที่ลูลาและนายอัลค์มิน เพิ่งชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย โดยแผนลอบสังหารจะมีขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2022 เพียง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่นายลูลา และนายอัลค์มิน จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง

สำหรับประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา เคยรับตำแหน่งประธานาธิบดีบราซิลในสมัยแรกระหว่างปี 2003-2011 ก่อนจะเว้นช่วงทางการเมืองแล้วได้รับชัยชนะกลับมาเป็นผู้นำบราซิลสมัยที่สอง ในศึกการเลือกตั้งเดือนตุลาคม 2022 โดยเอาชนะนาย ฌาอีร์ โบลโซนารู คู่ท้าชิงฝ่ายขวาจัดไปได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งหลังการเลือกตั้งในครั้งนั้นนายโบลโซนารู ได้กล่าวหานายลูลา ว่าโกงการเลือกตั้งและไม่ยอมรับผลการแพ้การเลือกตั้ง

เหตุการณ์ในครั้งนั้นนายโบลโซนารู ได้ปลุกระดมกลุ่มผู้สนับสนุนนับพันคนบุกเข้าทำเนียบประธานาธิบดีและอาคารรัฐสภา ภายในกรุงบราซิลเลีย เมืองหลวงจนได้รับความเสียหาย ซึ่งเหตุการณ์นี้หลายฝ่ายมองว่าคล้ายกับเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

เหตุการณ์บุกรัฐสภาบราซิลถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม ในความพยายามขัดขวางไม่ได้นายลูลาได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ตำรวจเปิดเผยถึงความพยายามลอบสังหารลูลา

ภายหลังจากข่าวการจับกุมดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารสังคม นายเปาโล ปิเมนตา กล่าวว่า การวางแผนลอบสังหารลูลาและอัลค์มินเกือบจะดำเนินไปแล้ว

“เราเปิดเผยรายละเอียดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น" รัฐมนตรีกล่าว เว็บไซต์ข่าวของบราซิล G1 รายงานว่า สิ่งที่น่าเป็นกังวลเป็นพิเศษก็คือ ผู้ที่ถูกจับกุม 4 รายเป็นทหารประจำการ และคนที่ 5 เป็นตำรวจประจำการ

สำนักข่าว AFP รายงานอ้างแหล่งข่าวจากตำรวจรัฐบาลกลางว่าทหารทั้ง 4 นาย "ถูกจับกุมในเมืองริโอ ซึ่งพวกเขากำลังเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยสำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม G20" ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในเมืองของบราซิลในขณะนี้ ตามรายงานของ G1 ทหารทั้ง 4 นาย ที่ได้รับการฝึกเป็นหน่วยรบพิเศษ ถูกกล่าวหาว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรที่วางแผนลอบทำร้ายลูลา

ตำรวจกล่าวว่าผู้วางแผนได้ตั้งชื่อปฏิบัติการนี้ว่า 'มีดสีเขียวและเหลือง' ซึ่งเป็นสีเดียวกับธงชาติบราซิล ตามรายงานของตำรวจรัฐบาลกลาง ผู้วางแผนได้ถกเถียงกันถึงวิธีที่ดีที่สุดในการ 'กำจัด' ลูลาและเจอรัลโด อัลค์มิน และได้ข้อสรุปว่าจะต้องวางยาพิษว่าที่ประธานาธิบดี แทนการใช้อาวุธลอบสังหาร

ปตท. เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจ - หาพันธมิตรที่เหมาะสม เสริมความแข็งแกร่งบริษัทในเครือทั้งธุรกิจต้นน้ำ - ปลายน้ำ

ปตท. เร่งปรับโครงสร้างรับมือการเปลี่ยนแปลงธุรกิจในยุคปัจจุบัน จ้างที่ปรึกษาทางการเงินศึกษาความเหมาะสมในการเลือกพันธมิตรเข้าร่วมลงทุนในบริษัทลูกเกี่ยวกับปิโตรเคมีและโรงกลั่น รวมทั้งหาพันธมิตรในธุรกิจ Life Science เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต คาดแนวทางปรับโครงสร้างจะเสร็จในเดือน ธ.ค. 2567 นี้

เมื่อวันที่ (19 พ.ย. 67) นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยว่า ปตท. ได้ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เข้ามาช่วยศึกษาความเหมาะสมในการเลือกพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทลูกของ ปตท. โดยเฉพาะธุรกิจหลักคือ ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น รวมถึงการหาพันธมิตรในธุรกิจ Life Science ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้คาดว่าแนวทางการปรับโครงสร้างจะเสร็จประมาณกลางเดือน ธ.ค. 2567 นี้ และมีความชัดเจนเกิดขึ้นในปี 2568 ส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2568 ปตท. จะกลับมาเน้นในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) และ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจต้นน้ำที่ยังมีการเติบโตได้ดี และเป็นจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization)

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 คาดว่าในส่วนของธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) มีแนวโน้มดีขึ้นจากปี 2567 โดยธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ภายใต้การดำเนินงานของ ปตท.สผ. คาดปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อผลประกอบการ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าจะยังทรงตัว โดยได้ผ่านจุดต่ำสุดของธุรกิจขาลงในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 ไปแล้ว ส่วนธุรกิจโรงกลั่นฯ จะยังคงมีกำไรต่ำอยู่ ส่วนราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆนั้น ยังต้องติดตามสถานการณ์ในระยะต่อไป

“ปี 2568 ปตท.จะยังมุ่งลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีนี้ ทำได้ราว 8% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 5% ขณะเดียวกับจะรักษาการทำกำไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน”

ส่วนแผนลงทุน 5 ปี ของ ปตท.(ปี 2568-2572) ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผน ซึ่งจะสอดคล้องไปกับการปรับพอร์ตธุรกิจใหม่ของปตท. คาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด ปตท.ได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2567 จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับวงเงินลงทุน 5 ปี  ได้ภายในกลางเดือน ธ.ค. 2567 นี้ โดยเบื้องต้นงบลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) อย่างธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่ ปตท.สผ. จะต้องเร่งขยายการลงทุนหาแหล่งผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติม และธุรกิจก๊าซฯ ที่จะต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับปริมาณก๊าซฯในอนาคต เป็นต้น

ด้านการขับเคลื่อนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผู้รับเหมาช่วงของโครงการฯ นั้น บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ส่งทีมงานเข้าไปให้คำแนะนำ รวมถึงศึกษาข้อกฎหมายให้รอบคอบ และ ไทยออยล์ ปัจจุบันก็ยังประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลกำไรที่ดี มีสถานะการเงินที่พร้อมจะเดินหน้าการลงทุนต่อ ซึ่งโครงการ CFP ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะเกิดประโยชน์ในอนาคต ดังนั้นโครงการนี้จะต้องเดินหน้าก่อสร้างให้แล้วเสร็จ แต่จะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไปนั้น ทางไทยออยล์ จะเป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้ต่อไป

24 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 วันประสูติ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพรรณวดี พระราชธิดาพระองค์เดียว ในรัชกาลที่ 6

สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพรรณวดี ประสูติเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาศ ภายในพระบรมมหาราชวัง  ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในรัชกาลที่ 6 กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี  พระนาม เพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ในพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ ขณะทรงพระเยาว์พระองค์ได้ทรงพระอักษรและประทับรักษาพระอนามัย ณ ประเทศอังกฤษ เป็นเวลากว่า ๒๐ ปี ก่อนจะเสด็จนิวัติประเทศไทยในปี 2502 

ในฐานะพระบรมวงศ์ชั้นสูง พระองค์ได้ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยเฉพาะด้านสังคมสงเคราะห์ โดยเสด็จออกเยี่ยมราษฎรตามหัวเมืองทั้งใกล้ไกล พร้อมพระราชทานพระอนุเคราะห์แก่ผู้ยากไร้อยู่เสมอ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ได้ทรงรับสถาบันและองค์กรต่างๆ ไว้ในพระอุปถัมภ์เป็นจำนวนกว่า ๓๐ แห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปการ วชิรพยาบาล กิจการลูกเสือ-เนตรนารี ตลอดจนการสังคมสงเคราะห์อื่นๆ

25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคตเมื่อเวลา 01.45 น. ของเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 แต่ประเพณีไทยถือว่ายังเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ด้วยพระโรคพระอันตะ (ลำไส้) หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 7 ต่อจากพระองค์ โดยทรงสืบทอดพระราชภารกิจของพระบรมเชษฐาธิราช

ตลอดรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงสร้างผลงานที่โดดเด่นในด้านวัฒนธรรม ทั้งในฐานะนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ในปี พ.ศ. 2524 องค์การยูเนสโกจึงได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลก

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ตรงกับวันยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เสวยราชสมบัติเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 สิริพระชนมายุ 45 พรรษา รวมระยะเวลาที่ทรงดำรงราชสมบัติ 15 ปี

พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพในหลายด้าน เช่น การเมือง การปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข และการต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองนับพันเรื่อง ซึ่งทำให้พระองค์ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า 'สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า' เมื่อเสด็จสวรรคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top