Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

ไทยนำเข้า ATK ตรวจไข้เลือดออก จากญี่ปุ่น เริ่มจำหน่าย ม.ค. ปีหน้า

(19 พ.ย.67) นิเคอิรายงานว่า บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติญี่ปุ่นเตรียมแผนเริ่มวางจำหน่ายชุดตรวจไข้เลือดออกแบบรู้ผลเร็วใน 15 นาที ในตลาดประเทศไทยช่วงเดือนมกราคมปีหน้า หลังจากที่บริษัทดังกล่าวได้รับการอนุญาตให้นำเข้าชุดตรวจมาจัดจำหน่ายได้อย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของทางการไทยแล้ว

รายงานระบุว่าบริษัท VisGene ซึ่งเป็นหน่วยงานที่แยกตัวจากสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยโอซาก้า ได้คิดค้นชุดตรวจไข้เลือดออกแบบรู้ผลเร็วภายใน 15 นาที ซึ่งให้ผลการตรวจที่แม่นยำ อีกทั้งยังประหยัดเวลาการตรวจไข้เลือดออกแบบเก่า ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงจึงจะรู้ผล

ข้อมูลจากเว็บไซต์ VisGene บริษัทได้พัฒนาชุดตรวจที่สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก โดยผสานเทคโนโลยีการผลิตชุดตรวจแบบอิมมูโนโครมาโทกราฟีเข้ากับแอนติบอดีจำเพาะสำหรับเชื้อไข้เลือดออก  

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ ทำให้เกิดอาการไข้และผื่นขึ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นแทบไม่มีรายงานการติดเชื้อภายในประเทศ มีเพียงไม่กี่สิบถึงร้อยรายที่เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ในระดับโลก การติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีผู้ป่วยราว 100 ล้านคนต่อปี ส่วนใหญ่อยู่ในประมาณ 100 ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ในจำนวนนี้ 250,000 คนมีอาการรุนแรง  

โรคไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ และเป็นที่ทราบกันว่าความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมีการติดเชื้อครั้งที่สองจากสายพันธุ์ที่ต่างจากการติดเชื้อครั้งแรก ชุดตรวจวินิจฉัยจำเพาะสำหรับสายพันธุ์ไข้เลือดออกนี้เป็นชุดตรวจแรกที่สามารถแยกแยะสายพันธุ์ได้ด้วยชุดนี้ในเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะการตรวจแบบ PCR เท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นชุดตรวจเดียวที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้การติดเชื้อครั้งที่สองมีอาการรุนแรง  

ก่อนหน้านี้ บริษัทมีการทดลองทางคลินิกได้ดำเนินการที่โรงพยาบาลนครนายก ประเทศไทย ในช่วงฤดูร้อนปี 2021 และได้รับผลลัพธ์ที่น่าพอใจ จากผลการทดลองดังกล่าว ทำให้บริษัทตัดสินใจดำเนินการตามแผนเพื่อขยายตลาดในประเทศไทยในปี 2025 

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ สั่งเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘DE fence’ เร่งสกัด ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์-โจรออนไลน์’ ป้องกัน ‘โทร-SMS’ หลอกลวงประชาชน

 

เมื่อวานนี้ (18 พ.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญาการรมทางเทคโนโลยี ผ่านการร่วมดำเนินโครงการ ‘DE-fence platform’ (หรือ แพลตฟอร์มกันลวง) เพื่อป้องกัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” โทรหลอกลวงประชาชน 

นายประเสริฐ กล่าวว่า จากสถิติของศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 - 30 ก.ย. 2567 (12 เดือน) พบว่า มีการรับแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 3.3 แสนคดี หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน และปัจจุบันยังคงเกิดการหลอกลวงโดย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' อยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการที่มิจฉาชีพได้พัฒนาการก่อเหตุโดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านการโทรศัพท์และส่ง SMS ถึงผู้เสียหาย 

ทั้งนี้จากการหารือแนวทางการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระหว่างกระทรวงดีอี กสทช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยฯ  สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เห็นชอบในการจัดตั้งโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง 'DE-fence platform' เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง รวมทั้ง ส่ง SMS หลอกลวง เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการแจ้งเตือนประชาชน ช่วยในการคัดกรองสายเรียกเข้า และข้อความสั้น ของคนร้าย รวมถึงช่วยยืนยันเบอร์จากหน่วยงานสำคัญ เช่น ตำรวจ หรือ สถาบันการเงิน เป็นต้น ภายใต้ชื่อ 'DE-fence platform' (หรือ แพลตฟอร์มกันลวง) ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการใช้งานป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับ DE-fence platform เป็นการบูรณาการการทำงานผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ทั้งกลุ่มผู้ให้บริการโทรคมนาคม กสทช ผู้บังคับใช้กฎหมาย อาทิ ตำรวจ และ กระทรวงดีอี เพื่อสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาแก๊งคอลเตอร์ และข้อความสั้น (SMS) หลอกลวง 

“มาตรการนี้เป็นการป้องกัน ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ที่ใช้การโทรและ ส่ง SMS หลอกลวงประชาชน ควบคู่กับมาตรการลงทะเบียนผู้ให้บริการส่ง SMS ใหม่ทั้งระบบ ภายในปี 2567 นี้ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร รวมทั้งการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user)” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ด้านนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ ในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ได้กล่าวว่า เมื่อสิ้นเดือน ตุลาคม 2567 รองนายกฯ ประเสริฐ ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) เร่งพัฒนา DE-fence platform ให้พร้อมใช้ในต้นปี 2568 

สำหรับจุดเด่น ของ DE-fence platform คือ การเชื่อมต่อฐานข้อมูลระหว่างผู้ประกอบการโทรคมนาคม เพื่อให้ได้ข้อมูลเลขหมายที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด รวมถึงการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของ ตร. สำนักงาน ปปง. ศูนย์ AOC 1441 และ กระทรวงดีอี เพื่อใช้ในการเตือนประชาชน ทำให้ประชาชนทราบข้อมูลของผู้โทรเข้าว่า เป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ความเสี่ยงของเบอร์โทรอยู่ระดับใด ก่อนรับสายหรืออ่านข้อความ SMS รวมถึงสามารถตรวจหาความผิดปกติของ Link ที่แนบมากับ SMS ได้ เมื่อผู้รับต้องการตรวจสอบ นอกจากนี้ยังมีระบบการแจ้งความออนไลน์ และการแจ้งอายัดบัญชีคนร้าย ผ่านโทรสายด่วน AOC 1441 พร้อมระบบการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน เพื่อส่งข้อมูลให้กับ ตร. ดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดของมิจฉาชีพได้ทันที 

DE-fence platform จะใช้หลักการในการแบ่งสายโทรเข้า รวมถึง SMS ที่ได้รับ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มสี คือ 1) Blacklist หรือ สีดำ ซึ่งเป็นหมายเลขการติดต่อจากคนร้ายที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และแนะนำให้ผู้ใช้บริการเลือก Block หรือ ปิดกั้นแบบอัตโนมัติ , 2) Greylist หรือ สีเทา เป็นการติดต่อจากหมายเลขที่ต้องสงสัย ซึ่งติดต่อจากต่างประเทศ หรือ ติดต่อจากอินเตอร์เน็ต โดยระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้บริการได้รู้ถึงระดับความเสี่ยงของสายโทรเข้า หรือ SMS ดังกล่าว , 3) Whitelist หรือ สีขาว เป็นหมายเลขที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นหมายเลขของหน่วยงานรัฐ หรือ หมายเลขหน่วยงานที่ลงทะเบียนถูกต้อง รวมถึงเป็นหมายเลขที่ผู้ใช้บริการ platform ยืนยันว่าเป็นหมายเลขที่ต้องการรับสาย หรือ ยินยอมรับข้อความ
ทั้งนี้ ระบบ จะมีการทำงานแบบ Real time เพื่อเป็นข้อมูลให้กับ ตร. และ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในการวิเคราะห์ และวางแผนในการปราบปรามและป้องกันการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตามการพัฒนา DE-fence platform ในระยะแรกจะเน้นที่เบอร์โทร และ SMS ก่อน โดยเฉพาะ whitelist ที่เป็นของหน่วยงานรัฐ ที่คนร้ายชอบใช้ก่อน และในระยะต่อไปจะขยาย whitelist ให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมทั้งขยายการป้องกันและแจ้งเตือนสำหรับการติดต่อทางโซเชียลมีเดีย

ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน ตรวจเยี่ยมกองพันรถถัง กองพลนาวิกโยธิน สร้างขวัญกำลังใจ

(18 พ.ย. 67) พลเรือตรี โยธิน ธนะมูล ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน พร้อมด้วยคณะนายทหารฝ่ายอำนวยการของ กองพลนาวิกโยธิน ตรวจเยี่ยมกองพันรถถัง กองพลนาวิกโยธิน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ พร้อมทั้งรับฟังการบรรยายสรุปการปฏิบัติที่สำคัญ และรับทราบปัญหา ข้อขัดข้องของหน่วย
โดยมี นาวาโท สุรัตน์  ทรงทิพย์ ผู้บังคับกองพันรถถัง กองพลนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ ณ กองพันรถถัง กองพลนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909534645

คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดตัวห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร

(18 พ.ย. 67) ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็น ประธานและกล่าวต้อนรับในพิธีเปิดแถลงข่าวสื่อมวลชน “การเปิดตัวห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร (Complete Integrated Total Lab Automation) แห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการสูงสุด” โดยเป็นห้องปฏิบัติการฯระบบครบวงจรไร้รอยต่อตั้งแต่การเจาะเลือด การตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก ภูมิคุ้มกัน โลหิตวิทยา จนถึงการจัดการสิ่งส่งตรวจหลังการตรวจวิเคราะห์ เพื่อให้การบริการเป็นที่ยอมรับ สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการโดยมี รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มช. กล่าวนโยบายของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการสนับสนุนการเปิดห้องปฏิบัติการฯ พร้อมด้วย ผศ.นพ.ธนัฐ วานิยะพงศ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวศักยภาพและการให้บริการ พร้อมนำเยี่ยมชม ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร แห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการสูงสุด ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ณ ชั้น 15 อาคารเฉลิมพระบารมี และ ห้องปฏิบัติการชันสูตร ชั้น 1 อาคารตะวัน กังวานพงศ์ คณะแพทยศาสตร์ มช.

'ไมค์ ภาณุพงศ์' เผ่นหนีออกนอก โผล่ ‘แคนาดา’ อ้างเหตุ ไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของไทย

เมื่อวันที่ (18 พ.ย 67) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ อดีตแกนนำม็อบสามนิ้ว จำเลยกระทำความผิดคดีอาญามาตรา 112 ซึ่งได้หลบหนีคดีไปต่างประเทศ โพสต์ภาพบัตรประจำตัวผู้มีภูมิลำเนาถาวรที่ประเทศแคนาดา พร้อมข้อความระบุว่า คำถามที่ถูกตั้งขึ้นโดยสลิ่มว่า “ไม่ผิดแล้วหนีทำไม?”

นายภาณุพงศ์ อ้างว่า ตั้งแต่ปี 2563 ที่ตนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ศาลกลับไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่สำคัญให้กับตนเองและเพื่อนร่วมคดีเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนจะสามารถเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทยได้อย่างไร? แล้วจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร?

หากตนเป็นอาชญากรจริงตามที่รัฐไทยกล่าวหาใส่ร้าย ตนก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยในชีวิตติดอันดับโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

เมื่อกระบวนการยุติธรรมไทยไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ ตนจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในประเทศที่มีระบบยุติธรรมที่น่าเชื่อถือและโปร่งใสมากกว่าครับ และผลพิสูจน์ก็ชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้เป็นอาชญากรตามที่รัฐไทยกล่าวหา #ยกเลิก112

ผู้นำอิเหนาเปิดแผนดันอินโดนีเซียเป็นชาติสมาชิก เผยอยากเข้าร่วม BRICS ตั้งแต่ 10 ปีก่อน

(19 พ.ย.67) สำนักข่าว sputnik รายงานว่า ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ปราโบโว ซูเบียนโต กล่าวต่อสื่อรัสเซียว่า เขามีแผนอยากให้ประเทศเข้าร่วมสมาชิกกลุ่ม BRICS ตั้งแต่ปี 2014 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ในสมัยที่เขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซียสมัยแรก

"จริง ๆ แล้ว ผมเคยประกาศในช่วงตอนหาเสียงปี 2014 ว่าหากผมได้เป็นประธานาธิบดี ผมจะพาอินโดนีเซียเข้าร่วมกลุ่ม BRICS” ซูเบียนโตกล่าวต่อสื่อรัสเซียในระหว่างการประชุม G20 ที่ประเทศบราซิล

ซูเบียนโตย้ำถึงความตั้งใจของอินโดนีเซียที่จะเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS และเสริมว่าเรื่องนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่ซูเบียนโตได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาเผยว่าเขาได้แต่งตั้งคณะทำงานชุดหนึ่ง พร้อมส่งรัฐมนตรีต่างประเทศบินไปยังเมืองคาซาน เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอด BRICS ในฐานะรัฐผู้สังเกตการณ์ ... ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ว่าเราต้องการเข้าร่วมกับ บราซิล อินเดีย และประเทศ BRICS อื่น ๆ เราคิดว่านี่จะเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สำคัญในเศรษฐกิจโลก” ประธานาธิบดีกล่าว 

ผลการเข้าร่วมประชุมที่คาซาน ส่งผลให้อินโดนีเซียได้กลายเป็นรัฐพันธมิตรกลุ่ม BRICSในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งที่ 16 ของกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซานของรัสเซีย

ในฐานะชาติหุ้นส่วนจะช่วยให้อินโดนีเซีย สามารถเข้าร่วมการประชุมในวาระต่าง ๆ ของ  BRICS และการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มชาติ BRICS ได้มากขึ้น อาทิ การค้าและความมั่นคงแห่งชาติ และฟอรัมรัฐสภา ซึ่งในฐานะชาติหุ้นส่วนถือว่าเป็นก้าวแรกสู่การเข้าเป็นชาติสมาชิก BRICS ได้อย่างเต็มตัว

BRICS เป็นสมาคมระหว่างรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 รัสเซียรับตำแหน่งประธานหมุนเวียนของกลุ่มเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2024 ปีเริ่มต้นด้วยการเข้าร่วมของสมาชิกใหม่เข้าเป็นสมาชิกของสมาคม นอกจากรัสเซีย บราซิล อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้แล้ว ปัจจุบัน BRICS ยังมีชาติหุ้นส่วนคือ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ตามเว็บไซต์ของตำแหน่งประธาน BRICS ของรัสเซียในปี 2024 มีรายงานว่าซาอุดีอาระเบียไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการเข้าร่วม แต่ได้เข้าร่วมการประชุม BRICS ที่เมืองคาซานที่ผ่านมา

‘สุริยะ’ ลุยแก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงปีใหม่ ถก 6 สายการบินเพิ่มไฟล์ทอีก 247 เที่ยวบิน

(19 พ.ย. 67) ‘สุริยะ’ ลุยแก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงเทศกาลปีใหม่ หารือ 6 สายการบินเพิ่ม 247 เที่ยวบิน เพิ่มที่นั่งอีก 73,388 ที่นั่ง เตรียมเปิดให้จองได้ตั้งแต่ 18 พ.ย. 67 มอบ ทอท.-ทย. ขยายเวลาสนามบินช่วงเช้าและดึก กำชับ กพท.ติดตามราคาตั๋วอย่างใกล้ชิด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ตั๋วเครื่องบินมีราคาสูงในช่วงปลายปี และเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 27-28 ธันวาคม 2567 และวันที่ 1-2 มกราคม 2568 เนื่องจากมีความต้องการเดินทางมากกว่าปกติประกอบกับสายการบินยังมีจำนวนอากาศยานน้อยกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ประมาณ 76 ลำ หรือคิดเป็น 25% ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการโดยสารด้วยเครื่องบินโดยตรง

ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ติดตามสถานการณ์ค่าโดยสารอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้หารือร่วมกับสายการบินและหน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มเที่ยวบินให้เพียงพอต่อปริมาณความต้องการในการเดินทาง และแก้ปัญหาราคาตั๋วแพงในช่วงวันหยุดยาว พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมการเพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย

ล่าสุดได้รับความร่วมมือจาก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สมาคมสายการบินประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย สายการบินบางกอกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท จัดทำแผนเพื่อเพิ่มเที่ยวบิน รวมถึงปรับชนิดอากาศยานให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อทำการบินทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ได้แก่ อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครพนม เชียงใหม่ เชียงราย น่าน กระบี่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี และสมุย

ในการนี้ สมาคมสายการบินประเทศไทยจะมีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น 247 เที่ยวบิน และมีจำนวนที่นั่งเพิ่มถึง 48,244 ที่นั่ง ซึ่งจำนวนที่นั่งที่เพิ่มมานี้จะมีตั๋วราคาไม่สูงรวมอยู่ด้วย และจะเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 โดยตั๋วเที่ยวบินพิเศษที่เพิ่มมานี้จะเข้าสู่ระบบการขายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567

ส่วนบริษัทการบินไทย จะมีการปรับขนาดอากาศยานเพื่อให้มีจำนวนที่นั่งมากขึ้นในบางวัน ในเส้นทาง ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และเชียงราย ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2567 ไปจนถึงต้นเดือนมกราคม 2568 และทำให้มีจำนวนที่นั่งเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 25,144 ที่นั่ง ดังนั้นจึงมีที่นั่งเพิ่ม 73,388 ที่นั่ง

นอกจากนี้ ได้ให้ กพท.ประสานหน่วยงานด้านการบินทั้งสายการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กรมท่าอากาศยาน (ทย.) บริษัท การบินกรุงเทพ และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เพื่อวางแผนจัดสรรตารางเวลาการบินของสนามบิน และขอขยายเวลาการให้บริการเพื่อให้สายการบินสามารถทำการบินได้มากขึ้นทั้งช่วงเช้าและช่วงดึก และขอให้สนามบินที่มีการจราจรคับคั่งผ่อนผันเวลาการเปิดให้บริการเพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง โดยเฉพาะวันที่ 27-28 ธันวาคม 2567 และวันที่ 1-2 มกราคม 2568 ซึ่งจะเป็นช่วงมีการเดินทางสูงกว่าช่วงเวลาปกติ

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนวางแผนการเดินทางในช่วงเทศกาล เนื่องจากจะมีความต้องการในการเดินทางสูงกว่าช่วงเวลาปกติ จึงทำให้ตั๋วโดยสารมีราคาสูงขึ้นตามความต้องการ รวมทั้งขอให้ตรวจสอบราคาค่าโดยสารผ่านช่องทางต่างๆ ก่อนทำการซื้อ โดยเฉพาะการซื้อผ่านตัวแทนออนไลน์หรือ OTA ในเวลากระชั้นชิด ที่อาจพบราคาตั๋วที่สูงกว่าปกติ

และแนะนำให้ซื้อตั๋วโดยสารตรงกับเว็บไซต์ของสายการบินเนื่องจากมีการควบคุมราคาเพดานค่าโดยสารจาก กพท. รวมทั้งเมื่อเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงการเดินทางหรือต้องการการชดเชยกรณีต่างๆ ผู้โดยสารจะสามารถประสานโดยตรงกับสายการบินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดย กพท.จะทำการตรวจสอบราคาค่าโดยสารในช่วงเทศกาลอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ค่าโดยสารเกินกว่าราคาเพดานที่กำหนด หากประชาชนพบเห็นการขายตั๋วเครื่องบินเกินเพดาน สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ https://portal.caat.or.th/complaint/

อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาในการเดินทางไปสนามบิน เนื่องจากช่วงเทศกาลจะมีปริมาณการเดินทางหนาแน่น และขอให้ผู้โดยสารติดตามข่าวสารจากทางสายการบิน ศึกษาเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ในการเดินทาง รวมถึงสิทธิของผู้โดยสารหากเที่ยวบินล่าช้า หรือถูกยกเลิก ได้จากจุดประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจและสามารถผ่านจุดตรวจต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น

โอปอล สุชาตา มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 โพสต์เฟซบุ๊ก 18 พ.ย. 67

เมื่อวันที่ (18 พ.ย. 67) โอปอล - สุชาตา ช่วงศรี มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 ตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดนางงามจักรวาล 2024 ครั้งที่ 73 ณ ประเทศเม็กซิโก และได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 3 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวภายหลังจบการประกวด ว่า  ไม่เสียดายและไม่เสียใจ มีแต่ความภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนอย่างดีที่สุด 

ขอบคุณคนไทยทุกคนที่คอยสนับสนุนกันมาเสมอ โอปอลและทีมไทยทุกคนรู้สึกซาบซึ้งในพลังของพวกเราคนไทยมากๆ ค่ะ 

ในวันนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเสียดาย ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ เราได้ทำให้ทุกคนเห็นแล้วถึงความน่าภาคภูมิใจของบ้านเรา ไม่ใช่เพียงแค่โอปอล แต่มันคือพลังของพวกเราคนไทยทุกคน 

โอกาสครั้งเดียวในชีวิต โอปอลดีใจที่ได้ใช้มันร่วมกับทุกคนนะคะ และดีใจที่ได้เป็นคนสร้างความสุข ความสนุกสนานให้กับคนไทย

เราจะเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้ร่วมกัน ว่าครั้งหนึ่ง เรามีความหวัง มีความศรัทธาร่วมกันมา

ต่อจากนี้ไป โอปอลเชื่อว่ายังมีผู้หญิงไทยอีกมากมายที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับพวกเรา ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นต่อไป อย่าหมดหวัง เพราะโอปอลไม่เคยหมดหวังกับคำว่า Thailand เลย

"ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ควรเป็นเกมการช่วงชิงอำนาจ ของชาติร่ำรวยและบรรดามหาเศรษฐี"

ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง
กล่าวในการประชุม G20 ที่เมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล

(19 พ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงาน ว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้กล่าวเตือนในการประชุมสุดยอดกลุ่ม G20 ที่รีโอเดจาเนโรว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ควรเป็น “เกมของประเทศร่ำรวยและคนมั่งมี” นอกจากนี้ รายงานระบุว่า ปธน.สียังเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลและความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับ AI มากขึ้นอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ปธน.สีได้กล่าวถึงการสนับสนุนของจีนที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนา และให้คำมั่นว่าจะมีโครงการช่วยเหลือเพิ่มเติม รวมถึงการเสนอโครงการร่วมกับสมาชิก G20 อีก 3 ประเทศ เพื่อช่วยให้กลุ่มประเทศในซีกโลกใต้สามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ดียิ่งขึ้น

ในการประชุมเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันการกำกับดูแลระดับโลก ปธน.สีได้กล่าวเตือนถึงการกีดกันทางการค้าในนามของการพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำ โดยอ้างถึงภาษีศุลกากรที่สมาชิก G20 เรียกเก็บกับสินค้าจีน เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและไบโอดีเซล ซึ่งสมาชิก G20 กังวลว่าการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอาจทำให้ประเทศของตนต้องพึ่งพาจีน

“เราจำเป็นต้องปรับปรุงการกำกับดูแลการค้าโลก และสร้างเศรษฐกิจโลกที่มีลักษณะเปิดกว้าง” ปธน.สีกล่าว

ปธน.สีซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนลาตินอเมริกาเพื่อการทูต ยังได้วิพากษ์วิจารณ์การกีดกันทางการค้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วขณะเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู

คำกล่าวของผู้นำจีนมีขึ้นก่อนหน้าที่จีนเตรียมเป็นเจ้าภาพจัด การประชุม AI โลกในปี 2025 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ 

เปิดเส้นทาง 'เชน ธนา' หลังถูกกล่าวหา 'อมาโด้' ฉ้อโกง

(19 พ.ย.67) 'เชน-ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์' หรือที่รู้จักในชื่อ เชน ธนา อดีตศิลปินบอยแบนด์ยุคมิลเลนเนียมจากวง Nice 2 Meet U ได้ผันตัวจากวงการบันเทิงมาสู่วงการธุรกิจเต็มตัว ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของ แบรนด์อมาโด้ ที่ดำเนินธุรกิจอาหารเสริมและสกินแคร์ครบวงจร ภายใต้บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดชื่อของเชนถูกโยงเข้าสู่คดีความ เมื่อบริษัท ไทยยินตัน จำกัด ผู้รับผลิตอาหารเสริมได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง โดยอ้างว่า อมาโด้กรุ๊ปไม่ยอมจ่ายค่าสินค้ามูลค่ากว่า 79 ล้านบาท พร้อมระบุว่าสินค้าไม่มีคุณภาพตามที่สั่ง  

ฝ่ายไทยยินตันระบุว่าเคยส่งสินค้าตามสัญญาให้กับอมาโด้กรุ๊ป แต่กลับไม่ได้รับชำระเงิน โดยเชนอ้างว่าสินค้าไม่เป็นไปตามข้อตกลง เบื้องต้นพนักงานสอบสวนมองว่าคดีดังกล่าวเป็นข้อพิพาททางแพ่ง ทำให้ไทยยินตันต้องนำหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาลเอง  

เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้เชนและภรรยามาพบ แต่ทั้งคู่ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนถึง 3 ครั้ง โดยอ้างปัญหาสุขภาพและติดธุระสำคัญ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องออกหมายเรียกครั้งที่สอง นัดในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาซึ่งเชนธนา ได้เข้าให้การกับตำรวจในวันดังกล่าว

เชนเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่อายุ 19 ปี ด้วยการเปิดร้านขายสินค้ากิ๊ฟต์ช็อปในสยามสแควร์ ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานในธุรกิจอื่น ๆ เช่น เสื้อผ้าที่ประตูน้ำ และการนำเข้าสินค้าออนไลน์  

กระทั่งปี 2557 เขาก่อตั้งบริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด  ด้วยทุนจดทะเบียน 43 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสกินแคร์เพื่อสุขภาพและความงาม ผ่านช่องทางออนไลน์  

อมาโด้เคยประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 2564 ด้วยรายได้รวมกว่า 2,426 ล้านบาท แม้ว่าจะขาดทุนในปีนั้น แต่ในปี 2566 บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิ 37 ล้านบาท

ชีวิตส่วนตัวของเชน ธนา สมรสกับ เจมส์ กาลย์กัลยา รองอันดับหนึ่งมิสแกรนด์ไทยแลนด์เมื่อปี 2560 ปัจจุบันมีลูกชายและลูกสาวด้วยกัน 5 คน 

ผลประกอบการของแบรนด์อมาโด้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ อมาโด้ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยเฉพาะในปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่มียอดขายสูงสุดกว่า 2,426 ล้านบาท แม้ว่าจะประสบภาวะขาดทุนในปีดังกล่าว รายได้และกำไรสุทธิย้อนหลัง 5 ปี มีรายละเอียดดังนี้:  

- ปี 2562  
- รายได้: 694,132,838 บาท
- กำไรสุทธิ: 41,413,159 บาท  

- ปี 2563  
- รายได้: 2,199,599,901 บาท  
- กำไรสุทธิ: 81,369,124 บาท

- ปี 2564
- รายได้: 2,426,861,701 บาท 
- ขาดทุนสุทธิ: -627,036,969 บาท  

- ปี 2565  
- รายได้: 0 บาท 
- กำไรสุทธิ: 0 บาท  

- ปี 2566  
- รายได้: 1,230,153,981 บาท
- กำไรสุทธิ: 36,919,268 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top