Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

ความคืบหน้าการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 14 - 16 พฤศจิกายน 2567

(17 พ.ย. 67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการประสานการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ได้นำคณะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง โดยมีนายวัฒนา เตียงกูล ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธเนศ กิตติธเนศวร เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัยยง จันทวีภากร คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเดินทางด้วย พร้อมคณะทำงานฝ่ายไทย ประกอบด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพอากาศ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง และสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารอากาศ ในการเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งครั้งนี้ สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล ในฐานะประธานกรรมการประสานการดำเนินโครงการฯ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย เดินทางมาร่วมประชุมกับหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายจีน เพื่อร่วมเตรียมการและสำรวจสถานที่ประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องกับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว พร้อมทั้งได้ขอทราบผลสรุปและความคืบหน้าการจัดทำร่างความตกลงและติดตามข้อมูลจากการประชุมร่วมกันของคณะทำงานทั้งสองฝ่ายที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 – 12 ตุลาคม 2567 เพื่อที่ฝ่ายไทยจะได้ประสานงานและเตรียมการที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับวาระโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะร่วมกันเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน

โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล ได้นำคณะเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ   วัดหลิงกวง และนมัสการพระอาจารย์ฉางจ้าง รองประธานพุทธสมาคมจีน เจ้าอาวาสวัดหลิงกวง และหารือเกี่ยวกับแนวทางการประกอบพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว โดยเจ้าอาวาสวัดหลิงกวง ได้นำสาธิตพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว เพื่อให้คณะผู้แทนฝ่ายไทยได้บันทึกวิธีการและขั้นตอนปฏิบัติอย่างละเอียด เนื่องจากเมื่ออัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาถึงประเทศไทยแล้ว คณะทำงานฝ่ายไทยต้องมีหน้าที่อัญเชิญไปประดิษฐานยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งก่อสร้างมณฑปรองรับไว้แล้ว โดยจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามวิธีการและขั้นตอนที่ทางวัดหลิงกวงกำหนดไว้ หลังจากนั้นเจ้าอาวาสวัดหลิงกวงได้นำคณะเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว  ขึ้นเครื่องบินมายังประเทศไทย ซึ่งพิธีจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ เพื่อซักซ้อมและแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติ จากนั้นในช่วงเย็นของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 คณะผู้แทนฝ่ายไทยและคณะผู้แทนฝ่ายจีนได้ประชุมหารือในรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ตรงกันอันจะนำไปสู่การทำความตกลงร่วมในการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานนานาชาติ กรุงปักกิ่ง

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำคณะเดินทางไปยังสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีน (NRAA) เพื่อหารือข้อราชการกับนายเฉิน     รุ่ยเฟิง ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีนเกี่ยวกับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว หลังจากนั้นคณะทำงานฝ่ายจีนได้จัดเลี้ยงอาหารรับรองให้กับคณะทำงานฝ่ายไทย และในช่วงเย็นของวันเดียวกัน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ได้นำคณะเดินทางกลับประเทศไทย ในการเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งนี้ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ได้กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและประทับใจในการให้การต้อนรับของฝ่ายจีนมาก ที่ได้ให้เกียรติและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ตั้งแต่เดินทางถึงกรุงปักกิ่งจนกระทั่งเดินทางกลับประเทศไทย โดยทางการจีนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับกิจการศาสนามาต้อนรับและอธิบายเกี่ยวกับความสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศจีนตลอดการเยือนเป็นเวลาสามวัน ตนในนามของผู้แทนรัฐบาลไทย จึงขอขอบคุณผู้บริหารสำนักงานกิจการศาสนาแห่งชาติจีนและคณะทำงานฝ่ายจีนทุกคน และหวังว่าการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงในระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 จะเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติและในฐานะที่พระเขี้ยวแก้วเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าสูงสุดอย่างหนึ่งของประเทศจีนและของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมสักการะพระเขี้ยวแก้วในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน

‘อ.ปานเทพ’ เดินหน้าแฉซ้ำ ‘ทนายตั้ม’ อีกระลอก หลังพบ สอดไส้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก ‘เจ๊อ้อย’

‘อ.ปานเทพ’ เข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบ คดี ‘ทนายตั้ม’ โกง’พี่อ้อย’ แฉพยายามนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมก่อนสอดไส้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก เตรียมจ่อเปิดคลิปสาวไส้ในรายการสนธิทอล์ค พบปม 39 ล้าน โอนให้แก๊งสแกมเมอร์แค่ 1 แสน ที่เหลือนำมาแบ่งกัน เชื่อคดีคลี่คลายในเร็ววัน

(18 พ.ย. 67) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ‘ทนายตั้ม’ ฉ้อโกง น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย โดยนายปานเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญมาเป็นพยาน ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับเรื่องจาก นางจตุพร โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้นางจตุพรได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์ เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณนายสนธิ ลิ้มทองกุล เว็บไซต์ผู้จัดการ และฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่ายที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้

นายปานเทพ กล่าวว่านอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมพิเศษในประเด็นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทำให้เราติดตามประเด็นนี้ต่อไป โดยเฉพาะคลิปที่สื่อมวลชนยังไม่ทราบ โดยเราจะเผยแพร่เป็นระยะ และจะสัมภาษณ์ น.ส.จตุพร เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม รวมถึงหลังจากนี้รายการ สนธิทอล์ค จะเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในขณะนี้มั่นใจแล้วว่ากรณีเงิน 39 ล้านบาท จะมีความคืบหน้าในคดีอย่างแน่นอน และจะมีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินกันเท่าไหร่ และแบ่งไปให้ใครบ้าง ซึ่งทั้งหมดในขณะนี้ พี่อ้อย ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบแล้วเช่นเดียวกัน จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววันอย่างแน่นอน

นายปานเทพ กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจ กรณีที่ นายษิทรา มีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของพี่อ้อย ซึ่งพบว่า แท้ที่จริงแล้วมีขบวนการก่อนหน้านั้น คือการทำพินัยกรรม และให้นายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของน.ส.จตุพร จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่งนางจตุพรได้ปฏิเสธทั้งหมด

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แม้ขณะนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่นายษิทรายังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย แม้จะทวงถามไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า น.ส.จตุพร ฉะนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้นในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไรจะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คอีกครั้งหนึ่ง

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ส่วนมูลค่าความเสียหายก็เป็นพินัยกรรมทั้งหมดที่เป็นสกุลเงินในต่างประเทศ และจะได้เห็นวิธีการ และวิธีคิดของนายษิทรา ตั้งแต่แรกโดยเฉพาะประเด็น 39 ล้านบาท โดยล่าสุดจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นว่า ทั้งหมดแต่ต้นเป็นกระบวนการหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้รู้แม้กระทั่งว่าเงิน 2 ล้านบาทแรก ที่อ้างว่าโอนไปที่ดาราจีน แท้จริงแล้ว มีการโอนเงินเพียงแค่ 1 ครั้งในมูลค่า 100,000 บาทเท่านั้น ส่วนเงินที่เหลือเป็นเรื่องเท็จ ซึ่งเป็นการโกหก และนำเงินไปเฉยๆ รวมถึงมีการแจ้งความเท็จในเวลาต่อมา ซึ่งที่สำคัญเงิน 39 ล้านบาท มีการแบ่งเงินแล้วชัดเจน และมีก้อนหนึ่งที่เป็นเงิน 20 ล้านบาทที่แบ่งสันปันส่วน ซึ่งมีขบวนการขนเงินกันอย่างชัดเจน ฉะนั้นนายษิทรา จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยตัวเองก็มีการพูดคุยโทรศัพท์ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคืบหน้า และจะเป็นพฤติกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวสอดรับกับคดี 71 ล้านบาทอย่างแน่นอน

นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า คดีนี้เริ่มปี 2565 และยกเลิกใน 2567 ซึ่งกว่า น.ส.จตุพร จะรู้เรื่องทั้งหมดได้ก็มีปัญหา จึงเป็นที่มาของการยกเลิกในภายหลัง และเรื่อง น.ส.จตุพรพบพฤติกรรมผิดปกติ จึงได้ไปทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 กับหน่วยงานภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นพินัยกรรมฉบับเก่าจึงไม่ผูกพัน และทางพี่อ้อยมีเจตนาที่ต้องการจะยกเลิกอย่างชัดเจนเพราะพบว่า มีความผิดปกติในหลายกรณี ทั้งในเรื่องของการใช้เงิน, การใช้รถหรู และรวมถึงกรณีเงิน 71 ล้านบาท จึงคิดว่าต้องมีการยุติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

เมื่อถามว่า นอกจากนายษิทราแล้ว ยังมีใครเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า พยานปากหนึ่งที่สำคัญคือพี่สาวของภรรยานายษิทรา ซึ่งทราบว่ามาให้การกับตำรวจแล้ว โดยจากการดำเนินการทั้งหมด ตนเชื่อว่า พี่สาวของภรรยานายษิทรา ไม่น่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่น่าจะเป็นที่พักเงินหรือให้ทำธุรกรรมบางอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นไปได้ ดังนั้น พยานปากนี้ถือเป็นพยานที่จะให้ข้อเท็จจริง และให้การเป็นประโยชน์ ซึ่งหากให้การที่ประโยชน์ก็จะส่งผลดีต่อตัวพยานเอง รวมถึงมีเส้นบาง ๆ ระหว่างพยานกับผู้สมรู้ร่วมคิด หากอยู่ในฐานะพยานต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ และหากดูศักยภาพของบุคคลนี้ ก็เชื่อว่า เจ้าตัวไม่มีศักยภาพที่จะเล่นกลอุบายหรือบิดคดีช่วยใคร และน่าจะเป็นผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

นายปานเทพ กล่าวอีกว่าส่วนพยานอื่น ๆ ก็มีการสอบไปเยอะเช่นกัน และเชื่อว่าน่าจะมีความคืบหน้าในรูปของคดี โดยเราต้องเชื่อมั่นว่า ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้บังคับการกองปราบปราม รวมถึงคณะทำงานที่ตั้งขึ้นเป็นคณะทำงานที่มีความเข้มแข็งในเรื่องของการค้นหาข้อมูล และการสืบสวนสอบสวน ส่วนที่มาถึงจุดนี้ได้ ต้องพูดตามตรงว่า น.ส.จตุพร คิดจะดำเนินการเพียงเรื่อง 71 ล้านบาทเท่านั้น แต่ความคืบหน้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคดี 71 ล้านบาท หรือ 39 ล้านบาท จนถึงล่าสุดคือเรื่องของการแบ่งเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสื่อมวลชน ที่คอยผลักดันให้เกิดความจริง แต่อีกส่วนหนึ่งคือตำรวจ ไปแสวงหาข้อเท็จจริงจนกระทั่งรู้ความจริงทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ น.ส.จตุพร สามารถแจ้งความเพิ่มเติม และเพิ่มข้อหาและกรรมเข้าไปได้ รวมถึงตำรวจก็ต้องรวบรวมหลักฐานมา จนนำไปสู่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้ ฉะนั้นหากเราเชื่อมั่นในตำรวจชุดนี้ เราก็ต้องเชื่อว่า ตำรวจชุดนี้จะทำงานอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า น.ส.จตุพร เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงพยานหลักฐาน แต่เริ่มรู้สึกว่า ตนเองควรได้รับความคุ้มครอง และความปลอดภัย ซึ่งจะเดินทางไปไหนก็มีความรอบคอบและรัดกุมมากขึ้น

ส่วนกรณีนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา ที่บอกว่ามั่นใจในตัวลูกความของตนเองนั้น ตนมองว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีทนายคนไหนไม่มั่นใจลูกความของตนเอง และเป็นธรรมชาติของการต่อสู้คดีความในกระบวนการยุติธรรม แต่ตนเห็นหลักฐานรวมกับที่ นายสายหยุด ได้พูดออกอากาศอยู่หลายครั้ง จึงมั่นใจว่า คดีนี้ฝ่ายโจทก์น่าจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบมากกว่า

รู้จัก 'วิตาลิก บูเตริน' เจ้าพ่อ Ethereum อัจฉริยะผู้สร้างเหรียญเปลี่ยนโลก สู่เศรษฐีอายุน้อย

(18 พ.ย. 67) เพจ "ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง" ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารอย่างเป็นทางการของ "หมูเด้ง" และเพื่อนสัตว์แห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้โพสต์ภาพที่กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ทันที ภาพดังกล่าวเผยให้เห็น **"พี่เบนซ์" อรรถพล ผู้ดูแลหมูเด้ง ยืนถ่ายรูปคู่กับชายชาวตะวันตกคนหนึ่ง  

ชายในภาพไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ วิตาลิก บูเทริน (Vitalik Buterin) มหาเศรษฐีชาวรัสเซียและผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากภาพนี้ถูกเผยแพร่ ผู้คนต่างให้ความสนใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะในหมู่ชาวไทยที่จดจำเขาได้จากข่าวไวรัลก่อนหน้านี้ เมื่อเขาใช้บริการขนส่งสาธารณะทั้งในกรุงเทพฯ และสิงคโปร์ ภาพเหล่านั้นสร้างความประทับใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย 

ถ้าคุณติดตามข่าวคริปโตเคอร์เรนซี คงคุ้นเคยกับชื่อของวิตาลิก บูเทริน ชายหนุ่มผู้เป็นต้นกำเนิด Ethereum แพลตฟอร์มบล็อกเชนที่เปลี่ยนโฉมโลกการเงินดิจิทัล แต่เรื่องราวของเขามีอะไรมากกว่าที่คิด

วิตาลิกเกิดที่รัสเซียในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ครอบครัวย้ายไปแคนาดาเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า เมื่ออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เขาได้รับการจัดให้อยู่ในชั้นเรียนสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ โดดเด่นในคณิตศาสตร์ การเขียนโปรแกรม และเศรษฐศาสตร์ วิตาลิกได้รู้จัก Bitcoin ครั้งแรกเมื่ออายุ 17 ปี จากคำแนะนำของพ่อ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า บูเทริน  มีความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์อย่างสูง ว่ากันว่าเขาสามารถ ‘บวกเลข 3 หลักในใจได้เร็วกว่าคนทั่วไป 2 เท่า’ ตอนอายุ 18 ยังได้รับรางวัลที่การันตีถึงความเก่งกาจด้วยรางวัลเหรียญทองแดงในการแข่งขันสนเทศศาสตร์โอลิมปิก  

หลังจากจบมัธยมปลาย วิตาลิกเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู และทำงานร่วมกับ เอียน โกลด์เบิร์ก (Ian Goldberg) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเข้ารหัส ก่อนที่เขาจะคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันวิทยาการคอมพิวเตอร์โอลิมปิกในอิตาลี  

ในปี 2013 วิตาลิกตีพิมพ์เอกสารที่อธิบายแนวคิดของ Ethereum ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นคริปโตเคอร์เรนซี่ แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับการพัฒนานวัตกรรมอย่าง dApps และ DAO ผ่านระบบบล็อกเชน  

เพื่อให้โปรเจกต์เป็นจริง เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังได้รับทุน 100,000 ดอลลาร์จาก Thiel Fellowship ซึ่งสนับสนุนผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการสร้างสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อโลก  

บูเทริน เปิดตัวเหรียญ Ethereum ในปี 2015 และกลายเป็นบล็อกเชนอันดับสองรองจาก Bitcoin เขายังผลักดันให้เปลี่ยนระบบจาก Proof-of-Work เป็น Proof-of-Stake ในปี 2022 ซึ่งลดการใช้พลังงานได้ถึง 99%  

แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในด้านการสร้าง Ethereum วิตาลิก บูเทริน ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขายังมุ่งมั่นแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ โดยทำงานร่วมกับ เกลน เวย์ล (Glen Weyl) นักเศรษฐศาสตร์ผู้วิพากษ์ระบอบทุนนิยมและความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง  

บูเทรินได้รับแรงบันดาลใจจากข้อเสนอของเวย์ลเกี่ยวกับวิธีการเก็บภาษีความมั่งคั่งเพื่อกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม เขาแสดงความสนใจจนถึงขั้นทวีตข้อความสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ก่อนที่ทั้งสองจะร่วมกันเขียนคำประกาศ "Liberation Through Radical Decentralization" (การปลดปล่อยผ่านการกระจายอำนาจแบบสุดโต่ง) คำประกาศนี้เน้นย้ำถึงจุดร่วมระหว่างการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของบูเทรินและแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของเวย์ล โดยชี้ว่ากลไกตลาดสามารถถูกออกแบบใหม่ให้สร้างความเป็นธรรมและแก้ไขปัญหาสังคมได้  

บูเทรินและเวย์ลยังได้ร่วมมือกับ ซูอี้ ฮิตซิก (Zoe Hitzig) นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และตีพิมพ์บทความในปี 2019 ชื่อ "A Flexible Design for Funding Public Goods" (การออกแบบที่ยืดหยุ่นสำหรับทรัพย์สินสาธารณะ) ซึ่งเสนอระบบการลงคะแนนเสียงแบบกำลังสอง (Quadratic Voting) แนวคิดในการช่วยจัดสรรทรัพยากรสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรม 

ปัจจุบัน วิตาลิกในวัย 28 ปี ยังคงขับเคลื่อนการพัฒนา Ethereum พร้อมขยายขอบเขตของคริปโทเคอร์เรนซี่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน นับตั้งแต่เทคโนโลยี การเงิน ไปจนถึงสังคม  

การที่บุคคลระดับมหาเศรษฐีระดับโลกอย่างวิตาลิกมาเยือนสวนสัตว์ในไทย รวมถึงเลือกโดยสารด้วยรถไฟฟ้าสาธารณะ แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายในชีวิตส่วนตัวของเขาและการเปิดกว้างในการเชื่อมต่อกับผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ

วิตาลิก บูเทริน ที่ปัจจุบันอายุ 30 ปี ณ เวลาที่นี้ มูลค่าสุทธิของ Vitalik ซึ่งได้มาจากการถือครองสกุลเงินดิจิทัลเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าเกิน 1.025 พันล้านดอลลาร์ โดยความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเขา มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่มาจากการถือครอง ETH ของเขา

บทบาทของ บูเทริน จึงไม่ใช่แค่ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ทั่วโลก

ก.อุตสาหกรรม ติดปีก SME กว่า 200 ราย หนุนเพิ่มขีดการแข่งขันด้านดิจิทัลดันธุรกิจโตยั่งยืน

(18 พ.ย. 67) กระทรวงอุตสาหกรรม ลุยโครงการพัฒนา SME ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เดินหน้าเต็มสูบหนุนเอสเอ็มอีด้วยโครงการพัฒนาธุรกิจดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (Digital Transformation) และโครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Productivity) ด้วยการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสการค้าของ SME สู่ตลาดสากล คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 62 ล้านบาท

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยุคใหม่ที่มีความผันผวน คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ธุรกิจ SME ไทย จำเป็นต้องปรับตัว รับมือ Digital Disruption และวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจากผลสำรวจ SME Digital Maturity Survey 2023 ชี้ชัดว่า SME ไทย อยู่ในระดับ "Digital Follower" พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในระดับ ปานกลาง โดยเฉพาะ SME ขนาดกลางและภาคการผลิตที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ด้านการตลาด การเงินและบัญชี และการขายมากที่สุด

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ขานรับนโยบายในการสนับสนุน SME โดยได้อัดฉีดงบกว่า 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนา SME ไทย จำนวนกว่า 200 ราย ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่ม ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่าน 2 โครงการสำคัญ คือ 1. โครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (Digital Transformation) เพื่อยกระดับขีดความสามารถของ SME ในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจและ การบริหารจัดการโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีเอสเอ็มอีจำนวน 100 กิจการ ในสาขาอุตสาหกรรม S-Curve ดิจิทัล เกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความต้องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ 2. โครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Productivity) เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยมีเอสเอ็มอีจำนวน 100 กิจการ ในสาขาอุตสาหกรรม S-Curve ดิจิทัล เกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ และอุตสาหกรรมอื่นที่มีการใช้พลังงานสิ้นเปลือง หรือมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับคำปรึกษาแนะนำเพื่อปรับใช้และเตรียมความพร้อมในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล หรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ยั่งยืน รวมไปถึงการสนับสนุนด้านเงินทุน ผ่านสินเชื่อ จากกองทุนฯ เพื่อพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ด้วยการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน เพิ่มรายได้และขยายโอกาสการค้าของ SME ที่เข้าร่วมโครงการสู่ตลาดสากล คาดจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 62 ล้านบาท

“การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) ที่ต้องการให้ “Save อุตสาหกรรมไทย” เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน มุ่งสู่เป้าหมายยกระดับ SME ไทยให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมรับมือทุกความท้าทาย โดยเสริมสร้างความสามารถทางด้านดิจิทัล ความพร้อมในด้านการผลิตที่ยั่งยืน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งยังสามารถติดตาม ประเมินผล ด้วย Green Productivity Measurement ที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถก้าวไกลได้บนเวทีโลก” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย

MASTER ผนึก “Lumeo Health” พาร์ตเนอร์อินโดนีเซีย ปักธง ผู้นำศัลยกรรมความงามแห่งภูมิภาคอาเซียน

(18 พ.ย. 67) บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ หรือ “MASTER” ปักธงก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศร่วมมือ “Lumeo Health” พาร์ตเนอร์อินโดนีเซีย ตอกย้ำการขยายตลาดภูมิภาค – เสริมศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมมุ่งเน้นนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย - ขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง เพิ่มการแข่งขันในระดับภูมิภาค ผลักดันอุตสาหกรรมศัลยกรรมความงาม และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER ผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและเอเชีย กล่าวว่า MASTER GROUP มุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โดยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของกำลังซื้อ และความนิยมในหัตถการความงามในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ความต้องการบริการขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ เช่น อินโดนีเซีย ลาว และกัมพูชา ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบบริการที่มีคุณภาพระดับสากล โดย MASTER ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"มองว่าตลาดภูมิภาคมีการเติบโตสูง และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และคนในท้องถิ่นที่หันมาสนใจศัลยกรรมและความงามมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศอย่างอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา และไทย ซึ่งประชากรที่มีกำลังซื้อสูง มีความสนใจการทำศัลยกรรมความงามเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเราได้เห็นถึงความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าและการเติบโตที่โดดเด่นของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่าย Influencer และช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ช่วยสร้างความรู้จัก และเพิ่มความไว้วางใจให้กับ MASTER ในฐานะศูนย์กลางศัลยกรรมความงามระดับภูมิภาค โดยเรามุ่งเน้นการนำเทคนิคทางการแพทย์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการให้บริการ และขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระดับภูมิภาค" นายแพทย์ระวีวัฒน์ กล่าว

นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER กล่าวว่า ต่อจากนี้จะเริ่มเห็น MASTER ก้าวเข้าสู่การเป็น "Regional  Company" โดยจะมีความร่วมมือกับ MASTER PARTNER ในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของบริษัทไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย MASTER ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือ หรือ MOU กับ Lumeo Health ซึ่งบริษัทจัดตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานในจาการ์ตา ซึ่ง Lumeo Health โดดเด่นในฐานะที่ปรึกษาศัลยกรรมความงามและการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ที่ครบวงจรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับการเติบโตภายในประเทศของบริษัทฯ ถือว่าแข็งแกร่ง โดย MASTER GROUP มีจุดให้บริการมากกว่า 90 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ในทุกภูมิภาค โดยให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งด้านศัลยกรรมความงามและการแพทย์เฉพาะทาง ถือเป็นจุดแข็งของเราในการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

Dr. Queencha Chaidy, Chief Executive Officer Lumeo Health กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานกับโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ผู้นำอุตสาหกรรมด้านความงามของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าการลงนาม MOU ครั้งนี้จะเป็นการผนึกกำลังอีกขั้นของการพัฒนาด้านศัลยกรรมความงาม ให้เติบโตในระดับภูมิภาค

‘เชน ธนา’ น้ำตานอง ยันใช้หนี้มาตลอด พร้อมยันเป็นลูกหนี้ที่ดี ลั่น! ใช้หนี้ไปแล้วกว่า 100 ล้าน

(18 พ.ย. 67) เมื่อเวลา 15.20 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ธนา กับ นางกณิการ์ ภูศรี ภรรยา เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในฐานความผิดฉ้อโกง กรณีถูกบริษัทอาหารเสริมแห่งหนึ่ง แจ้งเอาผิดฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท โดยตำรวจไม่มีการควบคุมตัว เนื่องจากมาตามหมายเรียกและมีการนัดหมายอีกครั้งในวันที่ 26 พ.ย.

นายธนาตรัยฉัตร เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกครั้งที่ 2 กรณีที่ก่อนหน้านี้มีบริษัทอาหารเสริมเเห่งหนึ่งแจ้งความดำเนินคดีกับตนและภรรยาในเรื่องการฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากสินค้าทั้งหมดยังอยู่ และตนไม่ได้นำไปขาย เดิมทีคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมองว่าเป็นคดีแพ่งตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.65 ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจ หากศาลแพ่งมองว่าตนเป็นหนี้ตนยินดีที่จะจ่าย

แต่ต่อมาทางอัยการกลับมีความเห็นสั่งให้ฟ้องในข้อหาฉ้อโกง ซึ่งเป็นคดีอาญา ทางพนักงานสอบสวนจึงเรียกให้ตนมาเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ยอมรับว่าตนก็ตกใจที่กลายเป็นคดีอาญา โดยหลังจากนี้ตนจะทำตามขั้นตอน และจะนำพยานมาให้การยืนยันสนับสนุนว่าตนไม่ได้มีเจตนาที่จะฉ้อโกง

ซึ่งจุดเริ่มต้นเรื่องนี้ คือตนสั่งสินค้าจากบริษัทผู้เสียหาย ซึ่งสินค้ามีทั้งหมด 2 ล็อต ล็อตแรกขายดีเพียง 7 วันแรก หลังจากนั้นได้รับแจ้งจากทาง อย.ว่ามีปัญหาในเรื่องการขออนุญาตโฆษณา กล่องผลิตภัณฑ์ไม่สามารถนำไปโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ที่ซื้อไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์หรือ Billboard ทำให้ต้องเรียกกล่องสินค้าคืนทั้งประเทศ นอกจากนี้สินค้าไม่ได้ตามที่ตกลง ตอนแรกที่สั่งผลิตภัณฑ์ไปเนื้อเป็นตัวสีเหลือง แต่ของที่ได้รับกลับเป็นสีส้ม ซึ่งตนไม่ได้มองว่ามันไม่ได้มีคุณภาพ แต่ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกัน สินค้าทั้งหมดจึงไม่ได้ถูกนำไปขายและไม่ได้นำเงินมาหมุนแต่อย่างใด ทุกชิ้นยังคงอยู่ที่โกดังสำนักงาน มูลค่าความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท

โดยในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวนายธนาตรัยฉัตรได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า ส่วนหนึ่งที่การขออนุญาตโฆษณามีปัญหา เพราะมีบุคคลหนึ่งได้แนะนำกับตนว่าให้โฆษณาเกินจริงไปเลย แล้วเดี๋ยวจะจ่ายค่าปรับให้ แต่มันทำไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ อย.ได้มีการตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ตนได้ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมาตนเป็นหนี้มาตั้งแต่ปี’64 ก็ทำงานหาเงินใช้หนี้มาโดยตลอด ซึ่งบริษัทอมาโด้ ตนเองเอาทั้งชีวิตใส่ไปแล้ว หากอมาโด้ตาย ตนก็ตายไปด้วย และจะไม่อนุญาตให้ตนเองมีความสุข ถ้ายังใช้หนี้ไม่หมด ยอมรับว่าเครียด และมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธุรกิจ เป็นคดีแพ่ง ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมากดดันกัน และตนเองเป็นลูกหนี้ที่ดี ก็ควรได้รับความยุติธรรม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เตรียมใจแล้วหรือไม่ว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง นายธนาตรัยฉัตรกล่าวว่า เชื่อว่าตนมีพยานหลักฐานแน่นพอ มีสัญญาซื้อขาย ส่วนที่เลื่อนหมายเรียกมาหลายครั้งเพราะตนเองได้รับหมายกะทันหัน รวมทั้งต้องไปขอคัดเอกสารจากทางบริษัท เพราะเป็นคดีนิติบุคคล

ส่วนกรณีที่ตนเองถูกแฉว่าเคยโดนดำเนินคดีฉ้อโกงและ พ.ร.บ.เช็ค ก็อยากชี้แจงว่า ในส่วนคดีฉ้อโกงศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว แต่ว่ายังอยู่ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ของโจทก์ แต่สื่อนำมาเล่นโจมตีเพียงด้านเดียว ส่วน พ.ร.บ.เช็คยอมรับว่าถูกศาลสั่งจำคุกจริง ขณะนี้เป็นการประกันตัวระหว่างสู้คดี

“ทุกบริษัทมีหนี้หลายสิบล้าน เราใช้หนี้หมดแล้ว 100 กว่าล้าน เวลาไกล่เกลี้ยหนี้ เราจะออกเอกสารกำลังทรัพย์ให้คู่ค้า ในวันนี้อยากบอกว่ายังสู้ และอยากให้อุดหนุนสินค้า กำลังใจที่ยังสู้ เพราะมีหนี้ จากนี้จะมารับข้อมูลฟ้อง ในวันที่ 26 พ.ย. เวลา 10.00 น.” เชนกล่าว

สส.รัสเซียเตือน 'ไบเดน' คิดผิดมหันต์ หากอนุมัติอาวุธพิสัยไกลให้ยูเครน

(18 พ.ย. 67) มาเรีย บูทีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย วัย 36 ปี แสดงความกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจกำลังผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งระดับโลก หากอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธของสหรัฐในการโจมตีลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย  

บูทีนา ซึ่งเคยถูกคุมขังในสหรัฐเป็นเวลา 15 เดือนในปี 2561 ข้อหาทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัสเซียโดยไม่ขึ้นทะเบียน กล่าวกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลไบเดนดูเหมือนจะพยายามยกระดับความรุนแรงจนถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะหมดวาระ เธอหวังว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเดือนมกราคมปีหน้า จะยุตินโยบายดังกล่าว เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ  

คำเตือนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและสื่อหลายแห่งว่า รัฐบาลไบเดนตัดสินใจอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลที่ผลิตในสหรัฐเพื่อโจมตีดินแดนรัสเซีย การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญ หลังจากที่สหรัฐเคยวางเงื่อนไขไม่ให้อาวุธดังกล่าวถูกนำไปใช้โจมตีในดินแดนรัสเซีย แม้ว่ายูเครนจะร้องขอมาเป็นเวลานาน  

ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เคยเตือนว่า หากชาติตะวันตกอนุญาตให้ใช้อาวุธของตนโจมตีรัสเซีย จะถือว่าเป็นการเข้าร่วมสงครามโดยตรงของนาโตและพันธมิตร ขณะที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียได้ประกาศแผนตอบโต้หากเกิดกรณีดังกล่าว

ด้านยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธรายงานนี้โดยตรง แต่ได้กล่าวในคลิปประจำวันว่า "ขีปนาวุธจะบอกทุกอย่างเอง" และย้ำว่า "ชัยชนะจะเป็นของยูเครน"  

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกล ซึ่งมีระยะทำการถึง 300 กิโลเมตร อาจเป็นการยกระดับความขัดแย้งในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้อาจช่วยให้ยูเครนได้เปรียบในด้านยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในแคว้นคุสค์ที่ยูเครนสามารถเข้ายึดครองพื้นที่ได้บางส่วนแล้ว  

แหล่งข่าวในสหรัฐเผยว่า หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจนี้ คือรายงานว่ารัสเซียได้ใช้ทหารเกาหลีเหนือจำนวนมากถึง 11,000 นายในแคว้นดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มแรงกดดันในสนามรบ  

การตัดสินใจของสหรัฐอาจเพิ่มความซับซ้อนในวิกฤตยูเครนและยกระดับความขัดแย้งไปสู่ระดับนานาชาติ ในขณะที่รัสเซียยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการต่อข่าวนี้ แต่ประเด็นดังกล่าวอาจเป็นตัวแปรสำคัญในทิศทางของสงครามยูเครนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งตรงกับช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะหมดวาระ

บริษัททัวร์หัวใสจัดทริปเอาใจอเมริกัน ใช้ชีวิตกลางทะเลหนีเงารัฐบาลทรัมป์

(18 พ.ย. 67) บริษัทวิลลา วี เรสซิเดนซ์ในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เปิดตัวโปรแกรมท่องเที่ยวเอาใจชาวอเมริกันที่ไม่พอใจกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา หลัง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 และต้องการหลีกหนีจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยโปรแกรมนี้จะพาลูกค้าเดินทางล่องเรือสำราญเป็นเวลา 4 ปี ท่องเที่ยวไปยัง 425 เมืองในกว่า 140 ประเทศ

ราคาค่าทริปเริ่มต้นที่ 160,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.5 ล้านบาท) สำหรับห้องพักเดี่ยวตลอด 4 ปี หรือห้องพักคู่เริ่มต้นที่ 320,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11 ล้านบาท) รวมบริการอาหาร เครื่องดื่ม ไวไฟ และบริการทางการแพทย์บนเรือ พร้อมทั้งแม่บ้านทำความสะอาดห้องและบริการซักรีด

โปรแกรมท่องเที่ยวมีให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ "หนีจากความเป็นจริง" ล่องเรือ 1 ปี, "เลือกตั้งกลางเทอม" เดินทาง 2 ปี, "ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่บ้าน" ล่องเรือ 3 ปี, และ "ข้ามเวลา 4 ปี" ที่ท่องเที่ยว 4 ปีเต็ม ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวอเมริกันอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดตัวทริป 

อนาคตอันสดใสของปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ด้วย กม.ใหม่ของ ‘พีระพันธุ์’ รับมือเลิกชดเชยไบโอดีเซล

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมายาวนาน กระทั่งเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลว่า ไทยเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่งของโลก แต่ในความเป็นจริงตลอดเวลาที่ผ่านมาการเกษตรของไทยในภาพยังขาดการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบเลย แม้กระทั่ง ‘ข้าว’ อันเป็นผลผลิตทางการเกษตรหลักซึ่งถือเป็นเรือธง (Flagship) ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าทางการเกษตรก็ตาม โดยพิจารณาจากความทุกข์ยากลำบากของชาวนาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเกษตรกรที่มีจำนวนมากที่สุดของไทยแต่รายได้จากการทำนาปลูกข้าวกลับไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ทั้ง ๆ ที่ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ ชาวนาส่วนใหญ่ต้องตกเป็นลูกหนี้ของพ่อค้า นายทุน และธกส. เรื่อยมาโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวข้องตรงทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ 

ในขณะที่ ‘อ้อย’ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลการผลิตอุตสาหกรรมอ้อย และ น้ำตาลทราย ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตอ้อย น้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง การใช้และการจำหน่ายภายในประเทศและต่างประเทศ และ วางแผนการการปลูกและผลิตอ้อยเพื่อใช้ในการผลิตน้ำตาลทราย รวมไปถึง วิเคราะห์ วิจัย เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพผลิตอ้อยและน้ำตาลทราย และ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การใช้ และการจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทราย

และมีสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายภายใต้คณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม ศึกษา วิจัย และพัฒนา อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ให้เป็นไปตามนโยบายของประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อย โรงงาน และผู้บริโภค เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ‘อ้อย’ จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับการดูแลจากสองหน่วยงานดังกล่าว และวงจรของพืชเศรษฐกิจชนิดนี้แทบจะไม่มีปัญหาและสร้างรายได้มหาศาลแก่ทุกภาคส่วนในวงจรดังกล่าว ซึ่งแตกต่างไปจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าวโดยสิ้นเชิง เพราะวงจรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างมากมายคือ ผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้าข้าว ส่วนชาวนาผู้ข้าวยังคงทุกข์ยากลำบากและมีหนี้สินเช่นที่ได้เล่าแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับปาล์มน้ำมันในไทยก็มีความคล้ายคลึงกับข้าว แต่ด้วยเป็นพืชที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและแปรรูปเป็นผลผลิตได้มากกว่าเช่นกัน โดยสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นทั้งในรูปแบบของน้ำมันพืชที่ใช้ในการประกอบอาหาร และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารต่าง ๆ เช่น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน ครีมและเนยเทียม เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ไบโอดีเซล รวมถึงเป็นส่วนผสมเพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซล เพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งยังสามารถแปรรูปเป็น สบู่ ผงซักฟอก เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารสัตว์ ด้วยการนำใบมาบดเป็นอาหารสัตว์ กะลาปาล์มสามารถทำเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิง ทะลายปาล์มใช้เพาะเห็ด และกระทั่งการปลูกลงดินไปแล้วก็ช่วยในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย

การผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ของไทยเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2550 ในระยะแรกภาครัฐกำหนดให้มีการผสมในอัตรา 2-3% เรียกว่า B2 ในปี พ.ศ. 2555 การผสมไบโอดีเซลเพิ่มเป็น 5% (B5) และเพิ่มเป็น 7% (B7) ในปี พ.ศ. 2557 ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลลงในบางช่วงที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันในประเทศมีไม่เพียงพอ (ปี พ.ศ. 2558-59) และปรับเพิ่มสัดส่วนในช่วงที่มีผลผลิตส่วนเกินของปาล์มน้ำมัน (ปี พ.ศ. 2561-62) ทั้งนี้ ไบโอดีเซลจะเน้นผลิตเพื่อใช้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ 

การนำไบโอดีเซลมาผสมในดีเซล ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร แต่ต้องการนำมาผสมเพื่อได้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นการช่วยลดต้นทุนราคาน้ำมัน ลดรายจ่ายจากการนำเข้าน้ำมันให้ประเทศ เนื่องจากกระบวนการอุดหนุนเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนทำให้กลายเป็นความเข้าใจทั่วไปว่า กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ทั้งที่ความจริงแล้วความช่วยเหลือต่อเกษตรกรเป็นเพียงผลพลอยได้ ด้วยภารกิจของกระทรวงพลังงานไม่ได้มีบทบาทหลักในการช่วยเหลือเกษตรกรเลย แต่ต้องรับผิดชอบดูแลสืบเนื่องมาจากนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาแล้ว ทั้งยังไม่มีหน่วยงานอื่นใดร่วมช่วยคิดเพื่อแก้ปัญหา กระทรวงพลังงานจึงต้องรับหน้าที่ดังกล่าวเพื่อช่วยหาทางออกให้กับเกษตรกรต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้

ปัจจุบัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งได้แก่ ไบโอดีเซล และเอทานอล โดยปี พ.ศ. 2569 จะเป็นปีสุดท้ายที่กองทุนน้ำมันฯ จะชดเชย ซึ่ง ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นว่า ‘ปาล์มน้ำมัน’ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ยังไม่มีการจัดการวงจรของปาล์มน้ำมันอย่างเป็นระบบ จึงมักจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยที่ ‘รองพีร์’ และคณะทำงานจึงได้ทำการศึกษาแล้วเห็นว่า การนำรูปแบบการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยกับน้ำตาล ตามพ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยและน้ำตาล จึงมีการเตรียมพร้อมเพื่อยกร่างกฎหมายที่คล้ายกันกับพ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลฯ ให้เป็นกฎหมายสำหรับปาล์มน้ำมัน โดยจะมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับ ‘สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย’ และ ‘สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย’ ในบริบทของ ‘ปาล์มน้ำมัน’ เพื่อกำกับ ดูแล และสนับสนุนวงจร ‘ปาล์มน้ำมัน’ และ ‘อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ’ จะทำให้ ‘ปาล์มน้ำมัน’ เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตที่สดใสต่อไป

ส่องพลังเศรษฐกิจโลก ใครคือมหาอำนาจตัวจริง!!

(19 พ.ย. 67) GDP ที่อาศัยการดูข้อมูลจากความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity หรือ PPP) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจศักยภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของแต่ละประเทศ โดยปรับตัวเลข GDP ให้คำนึงถึงค่าครองชีพและราคาสินค้าท้องถิ่น ช่วยให้เปรียบเทียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้อย่างสมจริงมากขึ้น ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสะท้อนความเป็นจริงมากกว่าการใช้ GDP แบบ Nominal (มูลค่าตลาด)

โดย Purchasing Power Parity หรือ PPP เป็นทฤษฎีที่มีมาอย่างเนิ่นนานทางเศรษฐศาสตร์ โดยได้มีการเสนอมุมมองว่าราคาสินค้าของแต่ละประเทศควรจะต้องมีราคาเท่าเทียมกัน หลายคนเรียกกันเป็นภาษาไทยว่า ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น PPP จะแปลงค่าเงินของแต่ละประเทศให้อยู่ในหน่วยเดียวกัน โดยใช้ “ตะกร้าสินค้า” ที่คล้ายกันเพื่อเปรียบเทียบราคา เช่น หากกาแฟแก้วหนึ่งในสหรัฐฯ ราคา $3 และในอินเดียราคา ₹75 PPP จะเปรียบเทียบว่า ₹75 มีมูลค่าเทียบเท่ากับ $3 ในแง่กำลังซื้อ

แล้วทำไมเราต้องสนใจ GDP (PPP) ก็เพราะ GDP (PPP) ช่วยสะท้อนถึง “ความมั่งคั่งที่แท้จริง” โดยดูว่าประชาชนในแต่ละประเทศมีกำลังซื้ออย่างไร ตัวเลขนี้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจในด้านการลงทุน การกำหนดนโยบาย และรวมถึงการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ

และจากข้อมูลที่อัปเดตล่าสุดในปี 2024 จาก Country Cassette และ CIA World Factbook แม้จะมีตัวเลขที่คำนวณออกมาต่างกัน แต่นั่นก็ช่วยทำให้เราเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นได้ค่ะ

โดย 10 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก (ข้อมูลจากทั้งสองแหล่ง) ประกอบไปด้วย จีน, สหรัฐ อเมริกา, อินเดีย, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, อินโดนีเซีย, บราซิล, สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส

ทั้งนี้ ยังมี 3 ประเด็นที่น่าสนใจจากทั้งสองแหล่งว่า

1.จีนและอินเดีย
•ทั้งสองแหล่งข้อมูลยืนยันว่า จีนยังคงเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ด้วย GDP (PPP) ที่มากกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่อินเดียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยทั้งสองประเทศแสดงศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกในอนาคต

2.สหรัฐอเมริกา
•ยังคงครองอันดับ 2 อย่างต่อเนื่อง แต่ GDP (PPP) ของสหรัฐฯ ตามรายงานของ Country Cassette และ CIA World Factbook นั้นใกล้เคียงกัน โดยยังคงมีความสำคัญในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกแบบดั้งเดิม

3.อินโดนีเซียและบราซิล
•อินโดนีเซียกำลังกลายเป็นเศรษฐกิจที่โดดเด่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบราซิลยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของลาตินอเมริกา ทั้งสองประเทศแสดงให้เห็นศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ

และแม้ PPP เองจะสะท้อนภาพได้ดีกว่าก็จริง แต่ PPP เองก็มีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน นั่นคือ

•สินค้าบางประเภทไม่ได้ถูกผลิตหรือบริโภคในทุกประเทศ ทำให้การคำนวณ PPP อาจไม่สะท้อนทุกมิติ

•การเก็บข้อมูลในบางประเทศ เช่น ประเทศที่มีเศรษฐกิจปิด อาจทำให้การเปรียบเทียบขาดความแม่นยำค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top