Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

'ชวีชุ่ยหรง' นายหญิงแห่ง KFC จีน เผยเคล็ดลับสำเร็จ ขยาย 10,000 สาขาในเวลาอันสั้น

(18 พ.ย. 67) โจอี้ วัต หรือ ชวีชุ่ยหรง ผู้บริหารหญิงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดของจีน และติดอันดับหนึ่งใน 500 ผู้บริหารยอดเยี่ยมจากการสำรวจของนิตยสาร Fortune ได้ เผยเคล็ดลับการขยายธุรกิจร้านอาหาร Fast Food ในเครือ Yum China ซึ่งรวมถึง KFC, Pizza Hut, และ Taco Bell กว่า 10,000 สาขาทั่วประเทศจีน

ในปี 2024 KFC ได้ทะยานสู่เป้าหมาย 10,000 สาขา ครอบคลุม 2,000 เมืองทั่วจีน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Fast Food ยอดนิยมจากต่างประเทศ ที่ยังคงครองใจผู้บริโภคจีนอย่างเหนียวแน่น

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ KFC สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว คือการสังเกตพฤติกรรมลูกค้าอย่างใกล้ชิดของ ชวีชุ่ยหรง ซึ่งไม่ได้พึ่งพาทีมการตลาดหรือการใช้ AI เท่านั้น แต่เธอใช้เวลามากกว่า 2-3 ชั่วโมงทุกวันในการนั่งดูลูกค้ากินอาหารในร้าน KFC เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงบริการและเมนูต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าผู้บริโภควัยรุ่นชาวจีนชอบกินไก่ทอดคู่กับมันบด แต่พบว่ามันไม่สะดวกในการรับประทาน ชวีชุ่ยหรงจึงคิดค้นเมนู "เบอร์เกอร์มันบดไก่ไม่มีกระดูก" ซึ่งกลายเป็นเมนูยอดฮิตใน KFC จีน

ไม่เพียงแค่ใน KFC ชวีชุ่ยหรงยังได้สร้างสรรค์เมนูพิซซ่าหน้าทุเรียนในร้าน Pizza Hut หลังจากที่เธอสังเกตเห็นว่าคนจีนชื่นชอบทุเรียน โดยเฉพาะเมื่อหลายร้านอาหารต่างชาติไม่อนุญาตให้นำทุเรียนเข้ามาในร้าน เธอจึงตัดสินใจนำทุเรียนมาสร้างสรรค์เป็นพิซซ่าหน้าทุเรียนซึ่งกลายเป็นเมนูขายดีอันดับหนึ่งของร้าน Pizza Hut จีน โดยมียอดขายมากกว่า 30 ล้านถาดต่อปี

ภายใต้การบริหารของเธอ KFC และร้านในเครือ Yum China ได้เสนอเมนูใหม่ๆ ให้กับลูกค้าชาวจีนมากกว่า 500 เมนู และปรับรูปแบบการให้บริการให้ทันกับสถานการณ์ รวมถึงในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ KFC เป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแบบ "ไร้การสัมผัส" และยังมีการตั้งกองทุนช่วยเหลือพนักงานในช่วงที่ร้านต้องปิดกิจการ

ชวีชุ่ยหรงกล่าวว่า ทักษะการบริหารที่ประสบความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากตำราเรียน แต่เกิดจากการสละเวลาลงไปสังเกตและเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพูดคุยกับผู้จัดการร้านบ่อยๆ เพื่อเข้าใจปัญหาจริงจากหน้างานและสามารถแก้ไขได้ตรงจุด

นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ชวีชุ่ยหรงสามารถนำ KFC และร้านอาหารในเครือ Yum China ก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ ด้วยการสังเกตและเข้าใจลูกค้าด้วยตาตัวเอง

สื่อตะวันตกยอมรับ อเมริกาตามหลัง ผู้นำตัวจริงในสงครามเทคโนโลยี

(18 พ.ย. 67) สถาบันวิจัยระดับโลกอย่าง Australian Politics Policy Institute และสื่อตะวันตกหลายแห่ง เช่น Bloomberg, The Economist และ Voice of America ได้ออกมายอมรับว่า จีนได้ชัยชนะในสงครามเทคโนโลยีและกลายเป็นผู้นำในด้านนี้ไปแล้ว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระเบียบโลกที่กำลังเกิดขึ้น

สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ถือเป็นชัยชนะของจีนมาแล้วนาน โดยสหรัฐฯ ยังประสบปัญหาการขาดดุลการค้า ขณะที่จีนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้สหรัฐฯ จะพยายามใช้มาตรการปิดกั้น เช่น การเพิ่มภาษีสูงๆ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน แต่สิ่งที่จีนทำสำเร็จคือการคว้าผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ

รายงานจาก Australian Politics Policy Institute เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า จีนเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญอย่างการป้องกันประเทศ, อวกาศ, พลังงาน, เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากถึง 57 หมวดหมู่จากทั้งหมด 64 หมวดหมู่ เทียบกับสหรัฐฯ ที่ยังคงนำอยู่ใน 7 สาขา เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติและควอนตัมคอมพิวติ้ง

The Economist และ Voice of America รายงานว่า จีนตอนนี้ได้แซงสหรัฐฯ ไปแล้วในด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาด ที่สำคัญคืออำนาจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่ออนาคตของโลก โดยจีนได้กลายเป็นศูนย์กลางในการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21

ในด้านเศรษฐกิจ ขณะนี้จีนใกล้จะแซงสหรัฐฯ ในเรื่องของอำนาจการซื้อ (Purchasing Power Parity) แม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่การเติบโตทางเทคโนโลยีและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนทำให้จีนมีศักยภาพในการนำพาโลกเข้าสู่ยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจหรือการค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการท้าทายระเบียบโลกเก่าที่ถูกนำโดยสหรัฐฯ โดยจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สำคัญ

อนาคตของเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันหรือการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสงครามเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21

สื่อนอกตีข่าว "โอปอล สุชาตา" ชวดมง มิสยูนิเวิร์ส 2024 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากแฟนนางงามทั่วโลก

(18 พ.ย. 67) โอปอล สุชาตา ช่วงศรี สาวงามจากประเทศไทย วัย 21 ปี สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยในเวทีประกวด Miss Universe 2024 ด้วยการผ่านเข้าสู่ 5 คนสุดท้ายและคว้าตำแหน่งรองอันดับ 3 แม้ไม่ได้ตำแหน่งสูงสุด แต่แฟนนางงามทั้งในไทยและต่างชาติยังคงส่งกำลังใจให้เธออย่างล้นหลาม หลังจากที่ได้เห็นความสามารถและความพยายามของโอปอลในการตอบคำถามและการเดินโชว์ในแต่ละรอบ

บรรยากาศขณะประกาศผลเมื่อโอปอลได้รับตำแหน่งรองอันดับ 3 เป็นที่น่าตกใจเมื่อเสียงโห่ดังขึ้นทั่วทั้งฮอลล์การประกวด เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าโอปอลมีศักยภาพและคำตอบที่ยอดเยี่ยมในการตอบคำถาม ทำให้มั่นใจว่าเธอควรจะได้เป็นผู้ชนะในปีนี้

หลังจากการประกาศผล สื่อใหญ่ของอังกฤษอย่าง Dailymail พาดหัวข่าวว่า “แฟนนางงามโวย! ยืนยัน 'มิสไทยแลนด์' ถูกปล้นชัยชนะ หลัง 'มิสเดนมาร์ก' คว้ามงกุฎครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการประกวด”

รายงานข่าวกล่าวว่า "วิคตอเรีย เคียร์ เธลวิก จากเดนมาร์ก กลายเป็นผู้ชนะมิสยูนิเวิร์ส 2024 โดยสร้างประวัติศาสตร์เป็นชาวเดนมาร์กคนแรกที่ได้รับมงกุฎ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับถูกวิจารณ์อย่างหนักจากแฟน ๆ นางงามทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่หลายคนเชื่อว่า โอปอล สุชาตา ควรจะเป็นผู้ชนะในปีนี้"

ในปีนี้ โอปอล สุชาตา นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดในการตอบคำถามในรอบตัดสิน โดยเฉพาะคำถามที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้นำที่ดี ซึ่งเธอได้ตอบว่า

“สำหรับฉัน ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) คือคุณสมบัติสำคัญที่สุดของผู้นำ เพราะไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนหรือมีการศึกษามากแค่ไหน ผู้นำต้องสามารถใส่ใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้ ซึ่งไม่เพียงแค่สำหรับผู้นำเท่านั้น แต่ทุกคนในสังคมก็ควรมีความเห็นอกเห็นใจกัน”

โอปอล สุชาตา ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะสาวไทยที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่เพียงแต่เป็นนักศึกษารัฐศาสตร์เท่านั้น แต่เธอยังผ่านการผ่าตัดเนื้องอกที่เต้านมขนาด 10 เซนติเมตรตั้งแต่อายุ 16 ปี และเคยเป็นนางแบบมาก่อน โดยเธอเริ่มเข้าสู่การประกวดนางงามในปี 2564 และได้รับตำแหน่งรองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 พร้อมกับรางวัลพิเศษ Miss Natural Beauty

นอกจากนี้ มิสไนจีเรีย ชิดิมมา อเดทชินา ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้ หลังจากที่เธอเป็นตัวเต็งที่ได้รับตำแหน่งรองอันดับ 1 ของการประกวดมิสยูนิเวิร์ส แม้จะต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสัญชาติ แต่เธอก็สามารถเอาชนะใจกรรมการและแฟนนางงามทั่วโลกได้

การประกวดในปีนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้หญิงทุกกลุ่ม รวมถึงผู้ที่แต่งงานแล้วและมีบุตร หรือผู้หญิงที่มีรูปร่างแตกต่างจากมาตรฐานเดิมๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเท่าเทียมในสังคม

หลังจากการประกาศผล แฟนนางงามในโลกออนไลน์แสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง โดยหลายคนเชื่อว่าโอปอล สุชาตา มีความสามารถที่ควรได้รับมงกุฎ และบางคนยังกล่าวว่า ทั้งมิสไนจีเรียและมิสไทยแลนด์ต่างก็ถูกปล้นชัยชนะจากการประกวดในปีนี้

‘รองนายกฯ พิชัย’ นำทีมบีโอไอ บุกโรดโชว์จีน เร่งดึงลงทุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ – อิเล็กทรอนิกส์

(18 พ.ย. 67) “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี นำทีมบีโอไอ เยือนมหานครเซี่ยงไฮ้ เร่งช่วงชิงโอกาสดึงการลงทุน ในจังหวะเวลาที่บริษัทจีนจำนวนมากเกิดความกังวลจากผลการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา เดินหน้าจัดสัมมนาใหญ่ พร้อมพบบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ และอิเล็กทรอนิกส์ ยกระดับไทยเป็นฐานผลิตสำคัญของจีนในภูมิภาคอาเซียน เผย 9 เดือน จีนยื่นขอลงทุนไทย 554 โครงการ มูลค่ากว่า 1.14 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19 – 22 พฤศจิกายน 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะนำคณะบีโอไอ พร้อมด้วยผู้แทนภาคเอกชน เดินทางไปโรดโชว์ส่งเสริมการลงทุน ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะพบหารือกับนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และยกระดับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ในวาระที่จะครบรอบ 50 ปี แห่งมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในปี 2568 พร้อมผนึกกำลังองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีน (China Council for the Promotion of International Trade: CCPIT) และ Bank of China จัดงานสัมมนาใหญ่ “Thailand – China Investment Forum 2024” ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับการลงทุนจากจีน ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนจีนให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนากว่า 500 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน แบตเตอรี่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ดิจิทัล เครื่องจักรและอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์โลหะและวัสดุ เป็นต้น  

ภายในงานสัมมนา รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการบีโอไอ จะนำเสนอศักยภาพและโอกาสการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งสิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ จะมีผู้บริหารจากภาคเอกชนชั้นนำร่วมบรรยายถ่ายทอดประสบการณ์และความสำเร็จของการทำธุรกิจในประเทศไทย เช่น Bank of China, บริษัท Haier ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะรายใหญ่ มีการลงทุนในไทยรวมกว่า 16,000 ล้านบาท, บริษัท Westwell Technology ผู้นำด้าน AI และ Digital Green Logistics โดยได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ยกระดับธุรกิจต่าง ๆ เช่น การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะในประเทศไทย อีกทั้งมีผู้แทนภาคเอกชนไปร่วมออกบูธให้ข้อมูลด้านการลงทุนและโอกาสการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทไทย ประกอบด้วยกลุ่มธนาคาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคม WHA, TRA, TFD, เอส, โรจนะ และนิคม 304 

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการบีโอไอ จะหารือกับนักลงทุนชั้นนำของจีนเป็นรายบริษัท เพื่อเจรจาแผนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน โดยเน้นการผลิตแบตเตอรี่ในระดับเซลล์ ธุรกิจบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วเพื่อเตรียมรองรับปริมาณแบตเตอรี่ใช้แล้วที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงและอุปกรณ์โทรคมนาคม การผลิตบรรจุภัณฑ์ชีวภาพจากวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศไทย เป็นต้น

“ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิตหลักของจีนในภูมิภาคอาเซียน โดยในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีคลื่นการลงทุนลูกใหม่จากประเทศจีนเข้ามาสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) กิจการ Data Center และ Cloud Service สำหรับการเยือนจีนครั้งนี้ จะเน้นดึงการลงทุนในกลุ่มแบตเตอรี่และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นน้ำที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชน และต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้เข้ามาลงทุนแล้ว โดยเราจะเชิญชวนให้นักลงทุนจีนพิจารณาการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทย รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากผู้ผลิตในประเทศด้วย” นายนฤตม์ กล่าว  

ทั้งนี้ ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีโครงการจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 416 โครงการ เงินลงทุน 158,121 ล้านบาท สูงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม – กันยายน 2567) จีนขอรับส่งเสริมการลงทุน จำนวน 554 โครงการ เงินลงทุน 114,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผลิตภัณฑ์โลหะและวัสดุ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 

21 พฤศจิกายน พ.ศ.2410 หนังสือแสดงกิจจานุกิจ ตีพิมพ์เล่มแรก ต้นแบบหนังสือไทยทันสมัย แสดงความรู้หลากแขนงสู่นานาชาติ

“หนังสือแสดงกิจจานุกิจ” ถือเป็นหนังสือไทยเล่มแรกที่รวบรวมความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และศาสนาอย่างทันสมัย จัดพิมพ์โดย เจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) ข้าราชการในสมัยรัชกาลที่ 4 ผู้ซึ่งเล็งเห็นว่าตำราไทยในยุคนั้นขาดสาระสำคัญ ไม่สามารถกระตุ้นความคิดหรือให้ความรู้ที่ล้ำสมัย ท่านจึงรวบรวมข้อมูลใหม่ๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในสังคมไทยมาจัดทำเป็นหนังสือเล่มนี้  

นอกจากการนำเสนอความรู้ในด้านต่างๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อตอบโต้กระแสการโจมตีพุทธศาสนาจากหมอสอนศาสนาที่พยายามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในไทย “หนังสือแสดงกิจจานุกิจ” ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในไทยและต่างประเทศ และบางส่วนของเนื้อหายังได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตีพิมพ์ในกรุงลอนดอน เมื่อปี พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870) ในชื่อ The Modern Buddhist (เดอะ โมเดิน บุดดิสท์) 

หนังสือเล่มนี้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นงานเขียนสำคัญที่ให้ความรู้ด้านพระพุทธศาสนา และยังถือว่าเป็นหนึ่งในหนังสือไทยเล่มแรกที่ได้รับการแปลและจัดจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเผยแพร่ภูมิปัญญาไทยสู่เวทีโลก

สืบ ตม.รวบ 18 จีน พร้อมคนนำพาชาวไทย ยึดมือถือ 35 เครื่อง ซิมการ์ด 92 เบอร์

(18 พ.ย. 67) กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมนายอดิศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 43 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่า รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือ ด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม และจับกุมนายยีซุย (นามสมมติ) อายุ 21 ปี สัญชาติจีน พร้อมกับพวกรวม 18 คน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม รีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี
พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลักลอบขนคนต่างด้าว เข้าเมืองผิดกฎหมายมาพักไว้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ จนทราบจุดซ่อนตัวอยู่ที่รีสอร์ตใน ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงได้เข้าตรวจสอบ พบชายชาวจีนซึ่งลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 18 คน กระจายพักอาศัย 4 ห้อง และพบคนไทยทราบชื่อว่า นายอดิศักดิ์ จากการตรวจค้นภายในห้องพักพบโทรศัพท์มือถือจำนวน 35 เครื่อง ซิมการ์ดโทรศัพท์เมียนมา ซิมการ์ดระหว่างประเทศ รวม 92 หมายเลข จากการสอบถามชาวจีนทั้ง 18 คน ให้การว่าเดินทาง มาจากประเทศจีนเพื่อมาทำงานคอลเซ็นเตอร์ โดยเคยทำที่ประเทศลาว กัมพูชา และเมียนมา มาก่อน ในครั้งนี้ลักลอบเข้าประเทศไทยเพื่อจะเดินทางไปยังชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก และไปทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา โดยได้ขึ้นรถที่บริเวณใกล้ชายหาด อ.หัวหิน มีนายอดิศักดิ์เป็นผู้ให้การช่วยเหลือในการจัดหารถ ขับรถนำทางมาที่รีสอร์ต เช่าห้องพักที่รีสอร์ต จัดหาอาหารให้ ส่วนโทรศัพท์และซิมการ์ดที่เจ้าหน้าที่ยึดได้นั้น จะนำไปใช้เปิดบัญชีโซเชียลมีเดีย เพื่อการหลอกลวงผู้เสียหาย ส่วนนายอดิศักดิ์ให้การว่าได้รับการว่าจ้างจากนายหน้าทางภาคใต้ ให้นำ คนจีนทั้ง 18 คน ไปส่งยังชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก โดยเป็นผู้นำทาง ติดต่อรถรับส่ง จัดหาอาหาร ได้รับเงินค่าจ้าง 12,000 บาทต่อคน เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมทั้ง 19 คน ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว และยึดของกลางไว้ตรวจสอบและสืบสวนขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ศปชก.สตม. รวบเจ้าของบริษัทรับแลกเงินดิจิทัลเถื่อน เชื่อมโยงคดีอุ้มคนจีน

(18 พ.ย. 67) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย  ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้ ศปชก.สตม. รวบเจ้าของบริษัทรับแลกเงินดิจิทัลเถื่อน เชื่อมโยงคดีอุ้มคนจีน
ศปชก.สตม. จับกุมผู้ต้องหา ร่วมกันประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 2 คน ดังนี้

1. Mr.Long (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5462/2567 ลงวันที่ 12 พ.ย.2567 สถานที่จับกุม บริษัทรับแลกเงินดิจิทัล ย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ
2. นางสาวปริศนา (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5463/2567 ลงวันที่ 12 พ.ย.2567 สถานที่จับกุม บ้านพักในพื้นที่ อ.ภูหลวง จว.เลย นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ดำเนินคดีตามกฎหมาย จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2567 ได้เกิดเหตุมีคนร้าย 5 คน พร้อมอาวุธปืนสั้นและปืนยาว บุกเข้าไปในสำนักงานบริษัทแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ พื้นที่ สน.สุทธิสาร และข่มขู่นักธุรกิจจีน โดยเข้าค้นและยึดเงินจำนวน 3,200,000 บาท ไป จากนั้นจับตัวนักธุรกิจจีนทั้ง 2 คน เพื่อเรียกค่าไถ่ จนสุดท้ายได้เงินไปจำนวนกว่า 12 ล้านบาท ก่อนจะนำผู้เสียหายไปปล่อยไว้บนถนนย่านเกษตร-นวมินทร์  นั้น จนท.ศปชก.สตม. ได้สืบสวนขยายผลในคดีดังกล่าวพบว่าก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีไปได้ไปแลกเงินสกุลดิจิทัล  ที่บริษัทรับแลกเงินสกุลดิจิทัลเถื่อนย่านห้วยขวาง จากการสืบสวนทราบว่าบริษัทรับแลกเงินสกุลดิจิทัลดังกล่าวเปิดให้รับแลกเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมี Mr.Long และนางสาวปริศนา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท จึงได้   ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เพื่อดำเนินคดีกับทั้งสองคน ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับทั้ง 2 คน ในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต” จึงได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุม จากการสืบสวนทราบว่า Mr.Long พักอยู่ที่บริษัทรับแลกเงินดิจิทัล ย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ ส่วนนางสาวปริศนา พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในพื้นที่ อ.ภูหลวง จว.เลย จึงไปจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดผลปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” จับแก๊งค์จีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง

(18 พ.ย. 67) เวลา 14.30 น. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร.) แถลงผลการปฏิบัติการ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” 2 ปฏิบัติการ จับแก๊งค์จีนเทาเช่าเบอร์โทร 02-xxxxxxx กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนมากกว่า 700 ล้านครั้ง และใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , มล.ภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า , นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. , ณวิสิฐศักดิ์ เจริญไชย ผู้จัดการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลง ณ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ โดยข้อที่ 9 ได้กำหนดว่า “รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือ และเยียวยาเหยื่อได้อย่างทันท่วงที

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. นำ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” มาใช้ในการลดความรุนแรงของปัญหาอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมุ่งเน้นการตัดช่องติดต่อหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ โดยจากการสืบสวนของกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายใต้การกำกับของ พล.ต.ต.จิรวัฒน์ พยุงธรรม รอง ผบช.ฯ รรท.ผบช.สอท. โดยมี พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. เป็นหัวหน้าสืบสวนฯ 

ปฏิบัติการที่ 1 : พบความผิดปกติของการใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่มาใช้หลอกประชาชนจำนวนมาก เป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02-xxxxxxxx จึงได้มีการตรวจสอบ พบว่ากลุ่มหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ดังกล่าวเป็นหมายเลขที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้โทรหลอกลวงประชาชนให้ร่วมทำกิจกรรมและร่วมลงทุนรูปแบบต่างๆ 

จากการตรวจสอบทำให้ทราบว่าชุดหมายเลข 02 ดังกล่าวนั้น ได้จัดสรรให้แก่ผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยมีนิติบุคคลจำนวน 3 บริษัทได้ขอจดทะเบียนเลขหมายดังกล่าว เพื่อประกอบธุรกิจอุปกรณ์ตู้สาขาแบบ SIP Server ด้วยระบบ SIP Trunk Solution โดยรูปแบบวิธีการทำงานของระบบ SIP Trunk Solution นั้น เป็นเทคโนโลยีเพื่อให้บริการรูปแบบโครงข่ายโทรศัพท์ประจำที่ที่ใช้งานผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถบริหารจัดใช้งานเลขหมายผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านสถานที่ และข้อจำกัดในการวางระบบโครงข่ายสายสัญญาณต่างๆ โดยจะเป็นหมายเลขที่ขึ้นต้นด้วย 02-xxxxxxx ทั้งหมด

จากการสืบสวนทำให้ทราบว่ามีนิติบุคคลจำนวน 3 ราย ได้ขอจดทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย 02 ดังกล่าว รวมจำนวน 11,201 เลขหมาย จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัททั้ง 3 แห่ง ทำให้ทราบข้อมูล ดังนี้

1. บริษัท หรวนหยุน อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด จดทะเบียนจำนวน 3,000 เลขหมาย พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 256,219,676 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3 ราย เป็นชาวจีน (ผู้ถือหุ้นใหญ่) จำนวน 1 ราย และเป็นชาวไทยอีกจำนวน 2 ราย 

2. บริษัท ยูน เตี้ยน เค่อ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด จดทะเบียนจำนวน 6,000 เลขหมาย พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 345,339,574 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3 ราย เป็นชาวจีน จำนวน 2 ราย และเป็นชาวไทยจำนวน 1 ราย 

3. บริษัท พรีมา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน จดทะเบียนจำนวน 2,201 เลข พบสถิติการใช้งาน (call attempt) รวม 128,626,642 ครั้ง มีกรรมการบริษัทจำนวน 3  ราย ซึ่งเป็นชาวจีนทั้งหมด 

จากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่า ทั้ง 3 บริษัท ได้ใช้เบอร์ 02 โทรไปหาเหยื่อแล้วจำนวน 730,185,892 ครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ ได้ตรวจสอบการเดินทางของกรรมการบริษัทชาวจีนทั้ง 3 แห่ง กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปรากฏว่าไม่พบการเดินทางเข้าออกประเทศไทย มีเพียงชาวจีน 1 ราย ที่ได้ออกนอกประเทศไทยไปตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2566 และไม่ได้กลับเข้ามาประเทศไทยอีกเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการ จนศาลอนุมัติหมายจับทั้งหมดจำนวน 24 ราย เป็นต่างชาติจำนวน 9 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ทำหน้าที่กรรมการบริษัทและเป็นผู้จัดการค่าใช้จ่ายของบริษัท ได้แก่ ชาวจีน จำนวน 3 ราย ชาวสิงคโปร์ จำนวน 1 ราย ชาวมาเลเซีย จำนวน 1 ราย ชาวเมียนมา จำนวน 1 ราย และชาวลาว จำนวน 3 ราย และออกหมายจับคนไทย จำนวน 15 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัท, ผู้จัดการค่าใช้จ่าย และบัญชีม้า

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการได้แล้วจำนวน 10 ราย เป็นคนไทยจำนวน 9 ราย และสัญชาติเมียนมาจำนวน 1 ราย โดยดำเนินคดีฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ , ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีการและมีมุ่งหมายเพื่อการมิชอบด้วยกฎหมาย (สมคบกันเป็น อั้งยี่ หรือ ซ่องโจร) , สมคบกันกระทำความผิดฟอกเงิน , ร่วมกันฟอกเงิน และความผิดฐานบัญชีม้า โดยขณะนี้ได้ประสานตำรวจสากล (Interpol) ในการออกหมายแดงเพื่อจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการชาวต่างชาติที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ กลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินคดีในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กลุ่มคนร้ายต่างชาติร่วมกับคนไทย ใช้กลไกการจดทะเบียนบริษัทมาเช่าโทรศัพท์หมาย 02-xxxxxxx เพื่อทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นโทรศัพท์พื้นฐานทั่วไปในประเทศไทย แต่แท้จริงแล้วโทรมาจากต่างประเทศตามชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะนี้ “มาตรการระเบิดสะพานโจร” มุ่งเน้นการตัดช่องทางสื่อสารของคนร้ายของประชาชน ทำให้คดีอาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ปฏิบัติการที่ 2 : จับกุมแก๊งจีนเทา ใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) ส่งข้อความถึงประชาชนภายใน 3 วัน เกือบล้านครั้ง 

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จาก “มาตรการระเบิดสะพานโจร” ทำให้ตรวจสอบพบความผิดปกติของการส่ง SMS ผ่านเครื่องส่ง SMS ปลอม (False Base Station) โดยเกิดจากการร่วมปฏิบัติการของ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ AIS สืบสวนพบว่ามีคนร้ายขับรถที่ติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ SMS ปลอม ข้อความ “คะแนน 9,268 ของคุณใกล้หมดอายุแล้ว! รีบ แลกของขวัญเลย” บริเวณย่านถนนสุขุมวิทที่มีคนพลุกพล่าน ต่อมาพบคนร้ายเป็นชายสัญชาติจีน ทราบชื่อภายหลังคือ นายหยาง มู่ยี่ อายุ 35 ปี ตรวจสอบภายในรถพบเครื่องจำลองสถานีฐานกำลังทำงานอยู่ และมีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ Power Station กำลังไฟ 8,000 W จำนวน 1 ตู้ , เราเตอร์ไวไฟ จำนวน 1 ตัว และโทรศัพท์มือถืออีกจำนวน 4 เครื่อง จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส พบว่าเป็นเครื่องส่งข้อความ (SMS) ซึ่งเป็น ในลักษณะของการจำลองเสา (false base station) เพื่อส่งสัญญาณปลอมของเครือข่าย AIS โดยอุปกรณ์นี้เป็นเครื่องวิทยุโทรคมนาคม ที่มีลักษณะการดัดแปลงการส่งสัญญาณในคลื่นความถี่ต่างๆ และจากการตรวจสอบก็ไม่พบการได้รับอนุญาตจาก กสทช.แต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตรวจสอบแอปพลิเคชันที่ผู้ต้องหาใช้ส่งข้อความผ่านเครื่อง false base Station พบว่า ภายในเวลา 3 วัน (11-13 พฤศจิกายน 2567) มีการส่งข้อความไปแล้วเกือบ 1 ล้านครั้ง

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้ง 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ “ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” , “ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต” และ “ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคม” ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 ดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลไปถึงตัวผู้จ้างวาน และเครือข่ายของขบวนการนี้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการปิดโอกาสของคนร้ายในการติดต่อประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญกรรมทางเทคโนโลยี ยังคงร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นต่อไป

ร่วมรำลึกวันเหยื่อโลก จี้รัฐบาลไทยเอาจริงนโยบายลดตายบนท้องถนน

เมื่อวันที่ (17 พ.ย. 67) ณ บริเวณหน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ มูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สโมสรโรตารี่ประเทศไทย ภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ ภาคเอกชน ได้ร่วมกันจัดงานวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) ขึ้น โดยมีบุคคลสำคัญจากองค์กรทั้งในประเทศและต่างประเทศมาร่วมงาน อาทิเช่น นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา, ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, HE. Mr. Jean-Claude Poimbœuf เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย, นายนิกร จำนง ประธานกรรมการมูลนิธิประชาปลอดภัย, Mr. Ishtiaque Ahmed, Economic Affairs Officer, Sustainable Transport Section, Transport Division, UNESCAP ผู้แทน UNESCAP,Thailand,  Dr Jos Vandelaer ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย,  Mr.Dave Thomas อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย, นางสาวภัทร์ศรี สุวิมล ผู้ว่าการโรตารี่ ภาค 3350 ผู้แทนโรตารี่ประเทศไทย, นายปรีชา กลิ่นแก้ว เลขาธิการโครงการถนนปลอดเหตุชีวิตปลอดภัย โรตารี่ประเทศไทย, นางรัชนี สุภวัตรจริยากุล (คุณแม่หมอกระต่าย), นายมหาโภคัย ขำกระแสร์  บิดาเด็กชายณัฐพงศ์ ขำกระแสร์ ครอบครัวเหยื่อรถบัสนักเรียน จังหวัดอุทัยธานี, นายอนุสรณ์ แก้วใจ (บิดา) นางสุจิตร รอดจิตร์ ( มารดา ) (เด็กชายสิริณัฏฐ์ แก้วใจ ) ครอบครัวเหยื่อรถบัสนักเรียน จังหวัดอุทัยธานี, นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้ก่อตั้งSocial Lab Thailand, นางสาววารุณี ซื่อสัตย์สกุลชัย ผู้จัดการแผนกกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท วิริยะประกันภัยจำกัด (มหาชน ), ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด, เรืออากาศเอกนายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน, ผู้แทนมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง, ผู้แทนมูลนิธิร่วมกตัญูญู, ผู้แทนสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.), ผู้แทนสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 2  แขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วยเหยื่อเมาแล้วขับผู้สูญเสีย  มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ในฐานะฝ่ายประสานงานการจัดงานวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) เปิดเผยว่า ย้อนหลังไปในอดีต ภัยธรรมชาติได้สร้างความสูญเสียให้กับประชากรโลกเป็นอันดับหนึ่ง แต่ล่วงมาถึงปัจจุบัน ภัยจากน้ำมือมนุษย์ได้สร้างความหายนะให้กับประชากรโลกมากกว่าภัยธรรมชาตินับร้อยนับพันเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอุบัติเหตุจราจรที่ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ ในปีหนึ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละ 4,100 คน สำหรับประเทศไทยผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ย 17,000 คนต่อปี บาดเจ็บอีกปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน เหตุนี้องค์การสหประชาชาติจึงได้กำหนดให้วันอาทิตย์ที่สามของเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) เพื่อเชิญชวนให้คนทั่วโลกได้รำลึกถึงผู้ที่จากไปจากอุบัติเหตุจราจร สำหรับประเทศไทย มูลนิธิเมาไม่ขับได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ เอกชน โดยการสนับสนุนจากสำนักงาน ยูเอ็นเอสแครป ประจำประเทศไทย จัดงานวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2549 ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิญชวนให้คนไทยร่วมรำลึกถึงเหยื่อจากอุบัติเหตุจราจรที่จากไป ต่อมาสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556 กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน เป็นวันโลกรำลึกถึงเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ( World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) และเป็นวันสำคัญของชาติตามประกาศขององค์การสหประชาชาติ เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า มูลนิธิเมาไม่ขับและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทำงานขับเคลื่อนเพื่อการลดอุบัติเหตุทางถนนมายาวนาน สิ่งที่คาดหวังและอยากเห็นมากที่สุดในชีวิต คือรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นชุดใดที่เข้ามาบริหารประเทศให้ความสำคัญกับการลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนที่เป็นรูปธรรม มีการกำหนดตัวชี้วัดชัดเจน เพราะความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนมีมูลค่ามหาศาล คิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี คนไทยต้องสังเวยชีวิตบนท้องถนนปีละ 17,000 คน บาดเจ็บเกือบ 1 ล้านคน จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนนที่คนไทยต้องเผชิญ อยากขอวิงวอนรัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะคนรุ่นใหม่ กำหนดนโยบายหยุดโศกนาฏกรรมบนท้องถนนอย่างจริงจัง โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนช่วยเจ้าหน้าที่จัดการกับคนที่ไม่เคารพกฎแห่งความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะลำพังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ตนเชื่อว่าปัจจุบันประชาชนที่ขับขี่รถบนท้องถนนมีกล้องหน้ารถ มีโทรศัพท์มือถือ ทุกคนพร้อมจะช่วยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดการปัญหานี้ เพียงแต่รัฐบาลต้องแก้กฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนช่วย อาทิเช่น แก้กฎหมายให้ผู้แจ้งได้รับส่วนแบ่งค่าปรับจากผู้กระทำความผิดกฎจราจร เพื่อเป็นแรงจูงใจ

“เผ่าภูมิ” แจกสัญญาเช่าที่ดิน“ธนารักษ์เอื้อราษฎร์-สุราษฎร์”300 สัญญา กว่า 2,000 ไร่ ชาวบ้านร่ำไห้ดีใจ

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวในโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน ในอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า

กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้ประชาชน ตามโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” โดยในวันนี้ (17 พฤศจิกายน 2567) เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สฎ.848 (บางส่วน) อ.เคียนซา อ.พระแสง และ อ.พุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวม 300 ราย (300 สัญญา) เนื้อที่ประมาณ 2,041 ไร่ 14 ตารางวา เป็นการจัดให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย จำนวน 77 ราย เนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ 85 ตารางวา และ เพื่อประกอบการเกษตร จำนวน 223 ราย เนื้อที่ประมาณ 2,022 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา ในอัตราค่าเช่าต่ำสุดที่ 40 บาทต่อไร่ต่อปี ซึ่งพี่น้องประชาชนต่างดีใจและบางรายถึงกับร่ำไห้

กรมธนารักษ์มุ่งมั่นจัดหาที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยประชาชน เพราะถือเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงชีวิต เราต้องการเห็นคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนที่ดีขึ้น ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนมีที่ดินทำกิน มีที่ดินสำหรับรายได้ที่มั่นคง และมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของรัฐ ทั้งสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ประกอบการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้อีกด้วย

สรุปผลการดำเนินโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” ของปีงบประมาณ 2567 ดำเนินการทั้งสิ้น 12 จังหวัด รวมจำนวน 3,200 ราย เนื้อที่ประมาณ 11,587 ไร่ 1 งาน 94.90 ตารางวา และกรมธนารักษ์จะแถลงแผนธนารักษ์เอื้อราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2568 ในวันพุธที่ 20 พ.ย. อีกกว่า 5,000 ราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top