Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

ผ่ากระบวนท่า!! ‘ประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้า’ ตั้งเป้ามากกว่า 200 เสียง... วางกับดัก ‘ปีศาจสีส้ม’

(16 พ.ย. 67) เนื้อในและภาพจริงปฏิบัติการ ‘พระยาเหยียบเมือง’ ของทักษิณ ชินวัตร ที่อุดรธานีเมื่อ 13-14 พ.ย.2567 จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในภาพกว้างที่ปรากฏต่อสังคม ต้องยอมระบุว่า ‘นายใหญ่’ ประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินของแทร่...

แน่นอนการรับบท ‘ผู้ช่วยหาเสียง’ ผู้สมัครนายกฯ อบจ.อุดรธานี ของพรรคเพื่อไทยคือ ‘ป๊อบ’ ศราวุธ เพชรพนมพร ‘นายใหญ่’ หวังผลยาวไกลไปถึงการปลุกสมรภูมิรบเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าว่า จะต้อง ‘แดงทั้งอีสาน’ และเพื่อไทยต้องได้มากกว่า 200 ที่นั่ง

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.อุดรธานี 24 พ.ย.ที่จะถึงจึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่สุดของ ‘นายใหญ่’..ถึงได้ย้ำทุกเวทีว่าต้องชนะให้ขาด..อย่าให้ตนต้องอับอาย..

ภายใต้ความมั่นใจว่า 'ป๊อบ ศราวุธ' อดีตสส.4 สมัย ที่หากไม่สอบตกสส.ครั้งที่แล้ว ‘นายใหญ่’ เตรียมเก้าอี้รมช.ต่างประเทศไว้เป็นกำนัลแล้วนั้น จะเป็นต่อในศึกนายกฯอบจ.รอบนี้ แต่ ‘อุดรโพล’ ของม.ราชภัฏอุดร ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าผู้สมัครพรรคประชาชน (ก้าวไกล) นำโด่งร้อยละ 32.5 รองมาเสี่ยป็อบ ร้อยละ15.2 อันดับสุดท้ายดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ร้อยละ4.5 แต่ร้อยละ 47.9 ยังไม่ตัดสินใจนั้น..

เป็นภาพหลอนทั้งต่อพรรคเพื่อไทย และนายใหญ่...และหากย้อนไปดูผลเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานีเมื่อปี 2563 วิเชียร ขาวขำ พรรคเพื่อไทยชนะ ได้326,933 คะแนน อันดับ 2 ผู้สมัครคณะก้าวหน้า ในเครือข่ายพรรคส้ม 185,801 คะแนน อีก5 ผู้สมัครได้คะแนนรวมกันแสนกว่าคะแนน..

ตัวเลขที่ผู้สมัครเพื่อไทยทิ้งพรรคส้ม 1.4 แสนคะแนนเมื่อ4ปีก่อน  แม้จะพูดได้ว่า ”ชนะขาด” แต่พลังเงียบร้อยละ 47.9  ตามโพลนั้น..พรรคเพื่อไทยหนาวๆ ร้อนๆ..และไม่แปลกที่ระหว่างการปราศรัยหรือสัมภาษณ์ทักษิณจะพาดพิงถึงพรรคประชาชนและธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ...เนื้อใหญ่ใจความก็คือการแนะนำเชิงสอนมวยว่า จุดยืนพรรคส้มก็ดีอยู่หรอกเสียแต่ว่าเอะอะก็จะรื้อโครงสร้างไปทุกเรื่อง รวมทั้งมาตรา 112..

งานนี้..ทำให้ทั้ง2ท.คือ ‘ทอน’ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ‘ทิม’ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อยู่นิ่งไม่ได้ดาหน้ากันมาตอบโต้..ถึงขั้นชักธงรบกลาย ๆ เช่นพิธาบอกว่า..”ขอรับคำท้าคุณทักษิณ เอาอย่างนี้ดีกว่า  มีกฎหมายอะไรที่อยากจะยกเลิกที่คิดว่าล้าหลังไม่ทันสมัยแล้ว ยกเลยได้เลยก็ขอให้มาทำด้วยกัน..”

อย่างไรก็ตามพินิจ..พิศกันลึกๆ แม้อดีตแกนนำพรรคส้มอย่าง 'ทอนกับทิม' จะมีเคืองสุดๆ แต่ก็ไม่ถึงกับออกอาการรบแตกหัก.. 

จตุพร พรหมพันธ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่กำลังรบแตกหักกับทักษิณอยู่ในนาทีนี้จึงฟันธงว่า...มองผ่านสมรภูมิอุดรฯรอบนี้ยิ่งชัดเจนว่า..ทักษิณกำลังปฏิบัติการย้ำซ้ำให้ ‘ธนาธร’ เป็น ‘ปีศาจตัวใหม่’...ที่น่ากลัวแทนตัวเอง !!

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าข้อสังเกตของตู่ จตุพร น่ารับฟัง...ในขณะที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองจำนวนมากมองว่าแท้จริงแล้ว ทั้งท.ทักษิณและธ.ธนาธร ก็ครือๆ กัน และถึงวันหนึ่งในอนาคตภายใต้เหตุปัจจัยและอุณหภูมิที่เหมาะสมทั้งสองพรรคก็พร้อมจะจูนคลื่นจับมือจ๊วบๆ กัน...

ใช่หรือไม่ว่า..วันนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่มีทางเลือก หรือมีแต่ยังไม่พร้อมสรรพ ต้องยอมปล่อยให้ 'นายใหญ่' นำพาประเทศผ่านการครอบครอง ครอบงำ สลัดตัวเองออกจากความเป็นปีศาจ...และชี้โจทก์ไปที่ปีศาจสีส้ม ?? ให้ประเทศติดกับดักปีศาจตัวใหม่..!!??

สมุทรปราการ-ผกก.สภ.บางพลี ปล่อยแถวข้าราชการตำรวจ ดูแลความปลอดภัยบริเวณพื้นที่จัดงานสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว

นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี พร้อมด้วย พ.ต.อ. ไพโรจน์ เพ็ชรพลอย ผกก.สภ.บางพลี เป็นประธานร่วมปล่อยแถวข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร 

เพื่อลงพื้นที่คอยดูแลความปลอดภัยบริเวณพื้นที่จัดงานลอยกระทง ประจำปี 2567 อีกทั้ง เพื่อเป็นการป้องกันเหตุอาชญากรรมและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมในงานสืบสานประเพณีลอยกระทงในเขตพื้นที่อำเภอบางพลี

นอกจากนี้ ยังได้มอบโอวาทให้แก่ทางข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ที่ได้เสียสละอุทิศตนดูแลความปลอดภัยรับใช้พี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลวันลอยกระทงโดยในปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในเขตพื้นที่และในเขตใกล้เคียงเดินทางมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก 

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี ได้มีการประชุมวางแผนรับมือด้านการจราจร รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่เดินทางมาร่วมในงาน อีกทั้ง เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่นักท่องเที่ยวและป้องกันเหตุอาชญากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
       

‘ทนายรณณรงค์’ เข้าให้ปากคำคดี ‘ทนายตั้ม’ ย้ำ!! ห่างกันนานแล้ว ยัน!! ไม่รู้จัก ‘เจ๊อ้อย’

(16 พ.ย. 67) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พนักงานสอบสวนได้เรียก นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ หรือ ทนายรณณรงค์ เข้าให้ปากคำเกี่ยวกับคดีของทนายตั้ม ก่อนเข้าให้ปากคำทนายรณรงค์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ตำรวจสอบสวนกลางเรียกมาสอบพยานคดีทนายตั้ม ยังไม่รู้ว่าจะถามประเด็นอะไรบ้าง แต่น่าจะเป็นคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้น อาจจะปมเงินเรื่องของเงิน 71 ล้านด้วย ตนกับทนายตั้มห่างกันแล้ว ตั้งแต่ทนายตั้มเริ่มรวยขึ้น ก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้าย

นายรณณรงค์ กล่าวว่า ทนายตั้มได้ชวนตนไปบ้าน ชวนไปกินไวน์และกินข้าว แต่ตนยังไม่เคยได้ไป มีการบอกและเล่าให้เพื่อนฟังว่าบ้านที่ซื้อมาราคาเท่าไหร่ และตกแต่งบ้านไปกี่บาท รู้สึกแปลกใจเรื่องราคาบ้าน แต่ไม่เคยถามว่าเอาเงินมาจากไหนเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ เพราะค่าจ้างทนายตั้มมีราคาที่ค่อนข้างแพง

เมื่อถามว่า ผิดปกติกับการทำอาชีพทนายความหรือไม่เพราะร่ำรวยผิดปกติ นายรณณรงค์ ระบุว่า ถึงจะค่าจ้างแพงแต่เงินมันกระโดดไปหน่อย ถ้าทำสำนักงานและมีเรทราคาค่อนข้างสูงและเปิดเป็น10 ปี จะไม่แปลกใจ แต่ถ้าหากเพิ่งเปิดสำนักงานแต่รับเรทขนาดนี้เลย แต่เปิดมาไม่กี่ปีตนก็มองว่ามีความแปลก แต่อยู่ในวิสัยที่ซื้อบ้านได้ในราคานี้ ถ้าหากดูจากค่าจ้างของทนายตั้ม

ถามต่อว่า มีการพูดถึงเรื่องเจ๊อ้อยให้ฟังบ้างหรือไม่ นายรณณรงค์ ย้ำว่า จำไม่ได้ ไม่ได้สำคัญ ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักเจ๊อ้อยมาก่อน มารู้จักพร้อมนักข่าว ถ้าหากตำรวจถามเรื่องอะไรก็จะตอบให้หมดเพราะตนเป็นพลเมืองดี ส่วนที่เข้ามาให้ปากคำในวันนี้อาจจะเป็นไทม์ไลน์ที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงในคดีที่เกิดขึ้นหรือไม่ ทางทนายรณณรงค์ ระบุว่า ต้องเกี่ยวแหละ ไม่งั้นทางตำรวจคงไม่เรียกมา

ไม่ได้กังวลและไม่แปลกใจที่ต้องมาสอบปากคำในวันนี้ แค่แปลกใจว่าทำไมเพื่อนสนิทคนอื่นไม่โดนบ้าง ผมห่างกับทนายตั้มที่สุดแล้ว

เมื่อถามว่าในกลุ่มเพื่อนมีใครคุยกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ว่า ให้ข้อมูลว่าอย่างไร นายรณณรงค์ บอกว่า ไม่มีใครมีข้อมูล และไม่มีใครรับรู้ด้วย ถ้ารู้คงไม่ได้มายืนในจุดนี้

ส่วนจะมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเพื่อนบ้างหรือไม่ นายรณณรงค์ เผยอีกว่า ยังไม่ใช่ช่วงเวลาแบบนี้ รอให้สถานการณ์นิ่ง ไม่มีนักข่าวมาเฝ้า ให้เป็นเรื่องของอนาคต

ทั้งนี้ นายรณณรงค์ เชื่อว่า ตนเชื่อว่าในวันที่ทนายตั้มถูกจับแล้วอ้างว่าไปปฏิบัติธรรมนั้นเป็นความจริง เพราะเวลาที่มีเรื่องทนายตั้มมักชอบไปปฏิบัติธรรม

'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' เร่งแก้ปัญหาPM 2.5 จับมือ 'ผู้ว่าฯ กทม.-นครบาล-ขนส่งทางบก' ปฏิบัติการเข้มขจัดฝุ่นอันตรายในกทม.

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. นำทีมอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ หารือความร่วมมือควบคุมฝุ่น PM 2.5 พื้นที่กรุงเทพมหานคร ในปี 2568 ร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผู้บังคับการตำรวจจราจร และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อวางมาตรการแนวทางกาาปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองจากการจราจรและการก่อสร้างในเขตเมือง ที่ห้อง Co-Working Space กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยสถานการณ์ล่าสุดวันนี้ (16 พ.ย.2567) ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร (กทม.) รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 07.00 น.ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ตรวจวัดได้ 17.3-55 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 6 พื้นที่ คือ

1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 55.0 มคก./ลบ.ม.
2.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 45.6 มคก./ลบ.ม.
3.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 44.0 มคก./ลบ.ม.
4.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม.
5.เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 39.0 มคก./ลบ.ม.
6.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 38.0 มคก./ลบ.ม.

‘สาวญี่ปุ่น’ ลอง!! ‘โชยุ – โคชูจัง – น้ำจิ้มซีฟู้ด – เพสโต – ซอสพริก’ กินคู่ ‘กุ้งสด’ ผลปรากฏ น้ำจิ้มซีฟู้ด โดนใจ!! ให้ 10 คะแนนเต็ม ชาวเน็ตคอมเมนต์ ตำเองแซ่บกว่า

(16 พ.ย. 67) กระแสไวรัลในโลกออนไลน์กำลังฮือฮาสนั่น หลังติ๊กต๊อกเกอร์ชาวญี่ปุ่นทำคอนเทนต์เปรียบเทียบซอส 5 ชนิด 5 สัญชาติว่า ซอสและน้ำจิ้มจากประเทศไหนรับประทานคู่กับกุ้งสดอร่อยที่สุด

ผู้ใช้ติ๊กต็อก 神楽ひなこ ทำคอนเทนต์ทานกุ้งสดกับซอสต่าง ๆ จาก 5 ประเทศ ซึ่งให้คะแนนความอร่อยและความเข้ากันตามความชอบส่วนตัวของตนเอง โดยแบ่งออกเป็นโชยุจากญี่ปุ่น, โคชูจังจากเกาหลีใต้, น้ำจิ้มซีฟู้ดจากไทย เพสโตจากอิตาลี และซอสพริกจากเวียดนาม

ภายในคลิปที่สาวฮินาโกะทานก็ได้รีวิวรสชาติด้วยคะแนนเต็ม 10 คะแนนว่า โชยุมีคะแนน 9 คะแนน โคชูจังมีคะแนน 7 คะแนน น้ำจิ้มซีฟู้ด 10 คะแนน เพสโต 4 คะแนน และซอสพริก 8 คะแนน นับตั้งแต่คลิปดังกล่าวถูกแชร์ก็มีคนเข้ามารับชมถึง 7.8 ล้านวิว

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์อีกด้วย เช่น

ไม่มีใครปฏิเสธน้ำจิ้มซีฟู้ดได้

โอ้โหน้ำตาจะไหลในที่สุดก็มีคนรีวิวน้ำจิ้มไทยโดยใช้น้ำจิ้มซีฟู้ดแล้ว ช่องอื่นใช้น้ำปลา น้ำปลาร้าจะร้องไห้

ส่วนตัวการกินของทะเลสด กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและโชยุอร่อยที่สุดละ

กว่าจะได้ 10 คะแนน น้ำปลาหมดหลายขวดละ

ต้องตำเองครับ แซ่บกว่าเป็นขวดเยอะ

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับคณะสโมสรไลออนส์สากล เข้าเยี่ยมชมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ  

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) นาวาเอก วิวัฒน์ ขวัญสูงเนิน รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับ คณะสโมสรไลออนส์สากลที่นำคณะผู้เข้าร่วมการประชุมไลออนส์สากล ภาคพื้นเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

โดยมีกิจกรรมเข้าฟังบรรยายงานอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ ชมบ่ออนุบาลเต่าทะเล เยี่ยมชมโรงพยาบาลเต่าทะเล ร่วมปล่อยเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

วัยทำงานสหรัฐฯ 46 % ‘ไม่มีงานในฝัน’ ส่วนคนรุ่นใหม่ ยังใฝ่ฝัน ถึงงานที่ชอบ

(16 พ.ย. 67) ในวัยเด็กหลายๆ คนคงเคยถูกผู้ใหญ่ถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร? มีงานในฝันคืออาชีพอะไร? ซึ่งคำตอบของเด็กยุคก่อนคงหนีไม่พ้น แพทย์ พยาบาล ครู วิศวกร ฯลฯ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คำตอบของเด็กๆ จากคำถามดังกล่าวก็เปลี่ยนไปด้วย โดยก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาใหม่จาก Class Central ค้นพบว่า อาชีพในฝัน อันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากทำมากที่สุดคือ ‘นางแบบ’ รองลงมาคือ ศิลปิน ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า บล็อกเกอร์ นักการตลาด นักร้อง และเทรนเนอร์ส่วนตัว ตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำงานในฝันของตนเองเสมอไป ยิ่งล่วงเข้าสู่วัยกลางคน งานในฝันสมัยเด็กก็คงเลือนลางจางหายไปเรื่อยๆ 

ล่าสุดมีรายงานจาก Newsweek อ้างถึงผลสำรวจจาก Talker Research ซึ่งทำการสำรวจชาวอเมริกัน 1,000 คนเกี่ยวกับงานในฝันของพวกเขา (สำรวจเมื่อวันที่ 21 - 24 ตุลาคมที่ผ่านมา) ผลการสำรวจพบว่า วัยทำงานชาวอเมริกันถึง 46% ‘ไม่มีงานในฝัน’ ขณะที่ผู้ที่มีงานในฝันมีน้อยกว่าในสัดส่วน 43% ขณะที่มีอีกบางส่วน หรือ 12% ที่รายงานว่าไม่แน่ใจ

ผลการสำรวจยังเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเจเนอเรชันต่างๆ เกี่ยวกับความต้องการมีงานในฝันอีกด้วย โดยคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะมีงานในฝันมากกว่าคนรุ่นเก่า เช่น คนรุ่น Gen Z มีสัดส่วนสูงถึง 61% บอกว่าพวกเขามีงานในฝัน ขณะที่เมื่อเทียบกับคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ พวกเขามีงานในฝันเพียง 28% เท่านั้น

เมื่อเจาะลึกในกลุ่มวัยทำงานที่รายงานว่าตนเองมีงานในฝันนั้น พบว่ามีจำนวนราวๆ 400 คนจากกลุ่มตัวอย่างทั้งงหมด ซึ่งพวกเขาได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความใฝ่ฝันด้านอาชีพการงานที่หลากหลาย และระบุถึง ‘ชื่อตำแหน่งงาน บทบาท หรือสายงาน’ ที่ตนเองใฝ่ฝันถึงในสมัยเรียน 

สำหรับวัยทำงานกลุ่มที่รายงานว่าตนเอง ‘มีอาชีพในฝัน’ นั้น ทีมวิจัยพบด้วยว่า อาชีพในฝันของคนกลุ่มนี้มีการผสมผสานระหว่างตำแหน่งงานแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ รวมถึงชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีอุดมคติในการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และมีความสนใจในสาขาอาชีพที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

ทีมวิจัยสามารถสรุปออกมาได้เป็น 5 หมวดสาขาอาชีพในฝันของชาวอเมริกันยุคนี้ ได้แก่ 

1. การประกอบอาชีพอิสระ และการเป็นผู้ประกอบการ
หลายคนใฝ่ฝันถึงความเป็นอิสระ หวังว่าจะได้บริหารธุรกิจของตนเองหรือเป็นเจ้านายตนเอง ตั้งแต่การบริหารร้านขายเครื่องประดับ ไปจนถึงการเปิดธุรกิจทำความสะอาดหรือร้านอาหารเล็กๆ กลุ่มตัวอย่างส่วนหนึ่งรายงานว่า การได้เป็นเจ้าของธุรกิจของตนเองพร้อมสินทรัพย์หมุนเวียนเงินสดจำนวนมากซึ่งทำให้มีอิสระทางการเงิน คืออาชีพในฝันของพวกเขา

2. อาชีพที่ดูแลและช่วยเหลือผู้อื่น
ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมาก รายงานว่างานในฝันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องอาชีพส่วนบุคคลของพวกเขาเท่านั้น แต่อาชีพในฝันของพวกเขาสามารถเป็นงานที่ช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมกันด้วย เช่น พยาบาล ครู นักสังคมสงเคราะห์ หรือสัตวแพทย์ บางคนรายงานว่า ‘อาชีพในฝันของฉันคือการช่วยเหลือเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวและผู้ที่อาศัยอยู่ในความยากจน’ เป็นต้น

3. นักศิลปะและผู้ผลิตสื่อสร้างสรรค์
มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนไม่น้อยที่รายงานว่า พวกเขาจินตนาการถึงการใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในแวดวงศิลปะ เช่น การทำงานเป็นโปรดิวเซอร์เพลง ยูทูบเบอร์ นักออกแบบแฟชั่น หรือนักเขียนนวนิยาย ผู้ตอบแบบสอบถามรายหนึ่งมองว่า ผู้ที่ทำงานในสายงานอาชีพเหล่านี้ จะสามารถถร่วมมือกันในโครงการสร้างสรรค์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมได้

4. งานดูแลสัตว์และงานที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
ความรักต่อสัตว์และธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน และมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนไม่น้อยที่บอกว่า งานในฝันของพวกเขาคือสายงานด้านการดูแลสัตว์ป่า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ดูแลสวนสัตว์ สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังไฟป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติซานตาเฟ เป็นต้น 

5. งานใดๆ ก็ตามที่ทำงานจากที่บ้านได้อย่างยืดหยุ่น
ทีมวิจัยระบุว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากที่ต้องการงานที่มีความยืดหยุ่น สามารถทำงานจากระยะไกล และอยากได้งานที่มีความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงานที่ดีขึ้น อาชีพในฝันของพวกเขาส่วนใหญ่คือ การมีอาชีพมั่นคงที่สามารถทำงานที่บ้านได้ โดยมีรายได้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาชีพในฝันหมวดนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า วัยทำงานสมัยนี้เน้นย้ำความสำคัญในการทำงานอิสระและต้องการเวลาให้ครอบครัว

ท้ายที่สุดรายงานชิ้นดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าโลกการทำงานและความต้องการของแรงงานในยุคนี้เปลี่ยนไปแล้ว มีความแตกต่างจากแรงงานในยุคก่อน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีงานในฝันนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการทำงานที่มีความยืดหยุ่นและมีอิสระ มากกว่ายุคก่อนอย่างเห็นได้ชัด

‘อุ๊งอิ๊ง’ พูดคุย!! นักเรียนไทยในเปรู ที่มาทำงาน อาสาสมัครเอเปค ยัน!! เตรียมพิจารณาให้ทุนการศึกษา เพื่อเรียนต่อต่างประเทศ

(17 พ.ย. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ในการประชุม APEC CEO Summit และจากการได้พบปะและพูดคุยกับน้องๆ เยาวชนคนไทยที่มาเป็นอาสาสมัครและมาช่วยงานในการประชุมเอเปคครั้งนี้ ทราบว่ามีความต้องการให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนทุนการศึกษา ซึ่งตรงกับนโยบาลรัฐบาลที่อยากให้เด็กไทยมีทุนการศึกษาที่มากขึ้นเพื่อมีโอกาสพัฒนาบุคคล และพัฒนาชาติไปพร้อมๆ กันด้วย 

จะสนับสนุนน้องๆที่อยากจะไปเรียนต่างประเทศ และจะกำหนดนโยบายให้เปลี่ยนไปศึกษาในสาขาวิชา ที่เกี่ยวข้องกับ พวกเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้มากขึ้น ซึ่งสาขาการบริหารธุรกิจและการตลาด ที่นิยมมาเรียน น่าจะลดลงเพราะที่ประเทศไทยก็มีดีอยู่แล้วแต่ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าหรือ AI เป็นตลาดธุรกิจที่ต้องการมาก รัฐบาลจะสนับสนุนตรงนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาและประเทศไทยด้วย

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่า "การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเยาวชนกับรัฐบาล ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ขอส่งกำลังใจให้น้องๆ ทุกคน พร้อมยืนยันว่ากลับไปจะไปพิจารณาเรื่องการให้ทุนการศึกษาเพื่อเรียนต่อในต่างประเทศทันที" นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘เจ้ต้อย’ ยังเหนือกว่า!! ด้วยกระบวนการ และเครือข่าย ‘น้ำ’ เหนื่อยกับการเปลี่ยน ‘กระแส’ ให้เป็น ‘คะแนน’

(17 พ.ย. 67) อาทิตย์สุดท้าย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (อบจ.) เหลือเวลาในการหาเสียงหาคะแนนนิยมกันเพียง 7 วันเท่านั้น กล่าวได้ว่า 40 กว่าวันของการหาเสียงที่ผ่านมาผู้สมัครทั้ง 4 ท่าน ได้ใช้แนวทางของตัวเองในการหาคะแนนนิยมกันอย่างสุดความสามารถแล้ว

กล่าวสำหรับแชมป์เก่า ‘เจ้ต้อย กนกพร เดชเดโช’ เบอร์ 1 นอกจากการชูนโยบายที่จะทำต่อแล้ว การเดินสายพบปะ ปราศรัยย่อยแจกแจงผลงานในรอบ 4 ปี พร้อมแก้ข้อครหา บวกรวมกับการใช้เครือข่าย ทั้งกลุ่มสตรี การเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุดปัจจุบัน รวมถึงชาว อบต.ปฏิบัติการในระดับพื้นที่ฐานราก สามารถกุมฐานเสียงระดับล่างเอาไว้ได้ ที่สำคัญคือการมี สส.อยู่ในกำมือถึง 6 คน ภายใต้การกำกับของ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ของพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าไม่ธรรมดา

กล่าวสำหรับแทน เชื่อถือได้ในการจัดการคะแนน เพราะเขาผ่านสนามเลือกตั้ง มาตั้งแต่เด็กๆ สมัยพ่อ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ ลงสมัครนายกฯอบจ. น่าจะได้ซึมซับกลยุทธ์ กลวิธี เรียนรู้เอาไว้ได้มาก การจัดการคะแนนจึงน่าจะเป็นต่อคนอื่นๆ ที่มีเครือข่ายในระดับพื้นที่พร้อมขับเครื่องอาวุธหนักออกถล่มค่ายกลของคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ยาก เพียงแต่ว่า ทหารราบได้มีการประเมินกันอย่างรอบคอบรอบด้านแล้วหรือยังในการปล่อยกระสุนออกสู่เป้าหมาย ยิงแล้วไม่พลาด

แน่นอนว่า แชมป์จะต้องถูกโดนชกหนักหน่อย ทั้งชกใต้เข็มขัดก็มี กัดหูก็มี ถือเป็นเรื่องธรรมดา กรรมการ คือประชาชนเขานั่งจับตามองอยู่ ถึงวันหนึ่งเขาจะตัดสิทธิ์ว่า จะให้เจ้ต้อยไปต่อ หรือพอแค่นี้

ส่วนน้ำ-วาริน ชิณวงศ์ เบอร์ 2 แม้ในช่วงแรกจะมีคนถามกันไม่น้อยว่า เบอร์ 2 คือใคร แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่งมา คำถามนี้หายไป พร้อมกับกระแสที่พุ่งแรงขึ้นมาจนมีการกล่าวขานถึงในระดับเป็นคู่เทียบคู่ชิงกับเจ้ต้อยเลยทีเดียวบวกกับการใช้สื่อโซเชี่ยลกระโดดข้ามกำแพงบ้าน เข้าถึงห้องนอนอย่างได้ผล เพียงแต่เนื้อหาอาจจะยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ลงรายละเอียดในนโยบายที่โดนใจ จึงอาจจะยังมีคำถามว่าแล้วนโยบายนั้นนโยบายนี้จะทำอย่างไร น้ำเองการโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค ยังไม่ค่อยมีรายละเอียด ยังต้องให้คนมาโพสต์ถาม เช่น โพสต์ว่า วันนี้ปราศรัย ‘ขนอม-สิชล’ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน จุดไหน เวลาใด น่าเสียดายน้ำไม่ได้ใช้โอกาสในช่วงขาขึ้นอธิบายรายละเอียดของนโยบายดีๆหลายเรื่อง พูดซ้ำๆเรื่องเดิมๆด้วยช่วงทำนองที่ฉะฉานของสาวมั่น

การที่น้ำประกาศว่า ไม่ซื้อเสียง ในทางทฤษฎีถือว่า เป็นจุดแข็ง ยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย ที่ต้องการสร้างสรรค์การเมืองที่บริสุทธิ์ แต่การประกาศว่า ไม่มีหัวคะแนน อาจจะล็อคคอตัวเองเอาไว้แน่นเกินไป ใครจะเป็นคนจัดการคะแนนในระดับพื้นที่ การจะหวังกระแสอย่างเดียวอาจไม่เดินไปถึงเป้าหมาย แม้กระแสจะดี แต่จะทำอย่างไรให้กระแสแปรเปลี่ยนเป็นคะแนน นี้คือ โจทย์ยากของน้ำ และทีมยุทธศาสตร์

น้ำอาจจะกุมคะแนนเสียงคนระดับกลาง-บน คนในเมืองเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถามว่า ระดับกลาง-บน เป็นคนกี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรจังหวัด อาจจะไม่ถึง 20% ด้วยซ้ำ จุดอ่อนอีกอย่างของทีมน้ำ คือการปราศรัยบนเวทีแล้ว ใช้คำหยาบ ด่าทอคู่แข่ง ซึ่งเป็นการเมืองแบบเก่า ที่ขัดกับบุคคลิกของน้ำที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาเพื่อสร้างการเมืองใหม่ แต่สุดท้ายทีมงานก็ยังไม่เข้าใจในเจตนารมย์ ปล่อยมุกบนเวทีด้วยคำหยาบ ด่าทอด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมที่คนนครฯไม่ชอบ

ถามว่ากระแสเปลี่ยนมีไหม ตอบได้ว่า มี และแรงด้วย แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงและเร็ว ส่วนหนึ่งภูมิใจไทยได้เข้ามาร่วมสร้างภูมิทัศน์ใหม่ให้กับเมืองคอนในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เงินสะพัดไปทุกหย่อมหญ้า เงินไม่มาก้าวขาออกจากบ้านไม่เป็น

ชาวบ้านระดับรากหญ้านั่งรออยู่ว่า เมื่อไหร่เงินจะมา ต้องการเปลี่ยนแต่เงินคือปัจจัยในการเปลี่ยน

สรุปรวมโค้งสุดท้ายนี้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ ยังเป็นต่อด้วยกระบวนการบริหารจัดการและปัจจัยที่พร้อมกว่า น้ำต้องเหนื่อยกับการเปลี่ยนกระแสให้เป็นคะแนน

'พลัฏฐ์' นำทีมคนรุ่นใหม่ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ เที่ยว 'งานวัดสระเกศ 2567' สักการะ!! พระบรมสารีริกธาตุ - เก้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ - ร่วมประเพณีห่มผ้าแดง

เมื่อวานนี้ (16 พ.ย. 67) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 1 นำทีมคนรุ่นใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรคและผู้ช่วยผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ, นางสาวพัชรนันท์ โกศลสมบัตินนท์ เข้าร่วม งานภูเขาทอง 2567 หรือ งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567 

นายพลัฏฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ว่างเว้นการจัดงานไปหลายปี เมื่อสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายลง การจัดงานภูเขาทองจึงได้กลับมาอีกครั้ง ตนและทีมคนรุ่นใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ ดีใจที่ได้มาเที่ยวชมงานในวันนี้ ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และ เก้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเพณีห่มผ้าแดง นอกจากนี้ยังมีการสืบสาน วัฒนธรรมไทย 4 ภาค พร้อมความสนุกสนานไปกับ เกมส์งานวัด, ชิงช้าสวรรค์, การแสดงดนตรีลูกทุ่งย้อนยุค, แต่งชุดไทย เดินเที่ยวตลาดย้อนยุค, ลอยประทีปเทียนหอมบูชาพระพุทธเจ้าน้อย, การออกร้านค้าชุมชนและอาหารนานาชนิด การประดับไฟตกแต่งกว่า 1 ล้านดวง

"การจัดงานในครั้งนี้ ได้ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สืบทอดประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ชุมชนโดยมีประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงร่วมกับชุมชน ออกร้านค้าจำหน่ายสินค้ามากกว่า 100 ร้านค้าตลอด 10 วันคาดว่าจะสร้างเศรษฐกิจชุมชนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 3 ล้านบาท" นายพลัฏฐ์ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top