Saturday, 28 June 2025
TheStatesTimes

เมื่อไบเดนพลาด ทรัมป์อาจพลิกกระดาน ใช้การทูตฟื้นสัมพันธ์ ลดแซงชั่นเนปิดอว์

เป็นที่ทราบกันมาพอสมควรถึงการที่ชาติตะวันตกให้การช่วยเหลือกองกำลังป้องกันตนเอง (PDF)​ และกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายที่ต่อสู้กับกองทัพเมียนมาที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตมีการส่งทั้งกำลังบำรุงและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งไทย

และสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งคือการทะลักของผู้อพยพไปยังประเทศรอบข้างเมียนมาไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดียและไทย แต่ทว่าจีนกับอินเดียก็ใช้นโยบายผลักดันคนที่แห่หนีออกมาให้กลับประเทศซึ่งต่างจากไทยที่อ้าแขนรับแถมจะทำให้อยู่แบบถูกกฎหมายเสียด้วย

เอาเป็นว่าเอย่าขอไม่บ่นเรื่องนี้แต่มาเข้าเรื่องระหว่างอเมริกากับเมียนมาดีกว่า ในสมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาและชาติตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนชนกลุ่มน้อยทั้งทางตรงหรือทางอ้อมก็ดี เราจะเห็นได้จากคลิปที่หลุดออกมาตามสื่อโซเชียลจนบางทีก็ต้องขอบคุณคนเหล่านั้นที่ถ่ายภาพเบื้องหลังให้ชมกัน แต่การสนับสนุนทั้งกลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็ดี ชนกลุ่มน้อยก็ดีเป็นการผลักดันให้กองทัพเมียนมาหันหน้าหาจีนและรัสเซียมากขึ้น ยิ่งจีนและอินเดียเป็นพันธมิตรแนบแน่นกับรัสเซียด้วยแล้วทำให้เส้นทางตะวันตกจากจีนสู่อินเดียหากสงครามในเมียนมาสงบลงดินแดนฝั่งนี้แทบจะเป็นของกลุ่มโลกใหม่ทั้งแถบ

ซึ่งคิดว่านี่เป็นเกมส์ที่ไบเดนก้าวพลาดมาก แต่ทรัมป์ก็น่าจะมองเห็น หากทรัมป์ยังให้การสนับสนุนสงครามต่อไป ไม่เพียงแต่เมียนมาจะยิ่งตอบโต้อย่างแข็งกร้าวกับสหรัฐมากขึ้น และถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์สงครามโลกจริงละก็ ประเทศอย่างเมียนมาจะเป็นตัวสำคัญในการสนับสนุนด้านอาหารแก่ประเทศที่เป็นพันธมิตรเขา

เอย่ามองว่าทรัมป์น่าจะใช้วิธีทางการทูตเข้าหากองทัพเมียนมา ลดหรือเลิกการแซงชั่นอันจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการทูตของ 2 ประเทศดีขึ้นด้วยเช่นกัน

เรื่องเหล่านี้อาจจะลุกลามไปถึงการเลิกสนับสนุนกลุ่มต่อต้านหรือพลิกขั้วขายกลุ่มต่อต้านให้รัฐบาลเมียนมานั้นไหมก็ไม่อาจจะทราบได้คงต้องดูต่อไป แต่ที่สำคัญคือจะเหลือทางไหนที่จะให้สหรัฐเดินเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มากกว่า

งานนี้ดูว่าจะมีความเป็นไปได้โดยเฉพาะการที่ทรัมป์แสดงออกในการไม่แยแสคนต่างด้าวในประเทศตนเองพร้อมไล่ออกจากสหรัฐนี่ก็เป็นการแสดงออกว่าจากนี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาคงไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนในอดีตอีกต่อไปแน่นอน

‘โอลิมปิก ลียง’ ถูกปรับตกชั้นไปเล่น ‘ลีก เดอซ์’ หลังมีหนี้สินมหาศาล!! เกือบ 20,000 ล้านบาท

(16 พ.ย. 67) หน่วยงานกำกับดูแลวงการฟุตบอลฝรั่งเศส สั่งปรับตกชั้น โอลิมปิก ลียง สโมสรชั้นนำในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส เป็นการชั่วคราว เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ฐานกระทำผิดกฎทางการเงินอย่างร้ายแรง

นอกจากถูกสั่งให้ลงไปเล่นใน ลีก เดอซ์ แล้ว ลียง ยังโดนห้ามซื้อ-ขายนักเตะอีกด้วย ซึ่งถ้าหากพวกเขาไม่สามารถชำระหนี้ได้หมดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลปัจจุบัน ก็จะถูกปรับตกชั้นจากเวที ลีก เอิง อย่างเป็นทางการ 

ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่า ตอนนี้ ลียง มีหนี้สินเพิ่มจาก 458 ล้านยูโร (ประมาณ 16,946 ล้านบาท) เป็น 508 ล้านยูโร (ประมาณ 18,796 ล้านบาท) เรียบร้อย 

สำหรับ โอลิมปิก ลียง ถือเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลเมืองน้ำหอม และประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงต้นยุค 2000 ที่พวกเขาคว้าแชมป์ ลีก เอิง ได้ถึง 7 สมัย (2000/01, 2002/03, 2003/04, 2004/05, 2005/06, 2006/07 และ 2007/08)

‘กบฏนักมวย’ ประวัติศาสตร์ที่คนจีนยากจะลืมเลือน เมื่อชาวรากหญ้าหาญกล้าลุกขึ้นต่อกรผู้รุกราน 8 ชาติ

วลีที่ว่า "ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ" มักจะเป็นจริงเสมอ ดังที่ปรากฏในบันทึกของประเทศนักล่าอาณานิคมตะวัตกที่ล่าเมืองขึ้นเพื่อดินแดนและทรัพยากรของอาณานิคมที่ตนครอบครอง เรื่องราวของ "‘กบฏนักมวย’ (Boxer Rebellion)" ก็เช่นเดียวกัน หากเราท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของจีนที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดแล้ว จะพบว่า ข้อเท็จจริงคือ ‘กบฏนักมวย’ เป็นการต่อสู้ของชาวจีนผู้รักชาติกับพันธมิตร 8 ชาติที่รุกรานจีน อย่างที่เคยเขียนในหลายบทความให้ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วว่า การล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออกบางประเทศ คือ การปล้นแผ่นดินดี ๆ นั่นเอง ซึ่งเป็นการกระทำเยี่ยงเดียวกับโจรที่ชอบตามกฎหมายของประเทศแม่ของ ‘นักปล้น’ เหล่านั้น

‘กบฏนักมวย’ (Boxer Rebellion) หรือ “ศึกพันธมิตรแปดชาติ” เป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยมและคริสต์ศาสนา ของชาวจีนซึ่งนำโดย "สมาคมอี้เหอถวน" ในศตวรรษที่ 19 ชาวต่างชาติได้เข้ามาค้าขายในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก เมื่อนานเข้าก็เริ่มมีบทบาทและอิทธิพล มีการส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจีน ความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองชานตง อันเนื่องจากปัญหาที่ดินของวัดพุทธและโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มิชชันนารีได้ร้องเรียนว่า ที่ดินของวัดผืนหนึ่งเป็นของตนมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคังซีแล้ว แต่ได้ถูกทิ้งร้างไปนาน ชาวบ้านในท้องถิ่นรู้สึกว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับตน เพราะเดิมเป็นวัดประจำหมู่บ้านแต่ต้องมาสร้างโบสถ์ในที่ดินของวัดแทนที่ จึงเกิดการจลาจลขึ้น โดยชาวบ้านได้จับมิชชันนารีเป็นตัวประกัน ทำลายโบสถ์นั้นและก่อการกบฏขึ้น ทั้งมีการจับกุมชาวอังกฤษในพื้นที่อีกด้วย 

ทหารจีนในกองทัพหลวงของรัฐบาลราชวงศ์ชิง

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการรวมกลุ่มของชาวจีนผู้รักชาติซึ่งเรียกว่า ‘กบฏนักมวย’ ขึ้น อันเป็นขบวนการของชนชั้นรากหญ้าซึ่งออกโจมตีและสังหารผู้ถือสัญชาติต่างประเทศ ทั้งชาวต่างประเทศที่เป็นหมอสอนศาสนา (มิชชันนารีชาวตะวันตก) และชาวจีนที่เป็นคริสต์ศาสนิก และเผาโบสถ์ ฯลฯ ทั่วทั้งภาคเหนือของประเทศจีน ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2442-43 (ค.ศ. 1899 - 1900) โดยนักมวยจีนจะฝึกกังฟูด้วยเชื่อว่าจะสามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจาก ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นได้ ‘กบฏนักมวย’ได้ทำการลอบสังหาร และประณามชาวต่างชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากพระพันปีฉือสี่ (พระนางซูสีไทเฮา) ทั้งส่งกองทัพหลวงซึ่งมีกำลังราวหนึ่งแสนนาย ช่วยสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ หลังจาก ‘กบฏนักมวย’ ถูกปราบได้ไม่นานราชวงศ์ชิงก็ถูกโค่นล้ม 

Clemens von Ketteler บาทหลวงชาวเยอรมัน

หลังจากจีนแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่น จักรพรรดิกวางสูจึงทรงทำการปฏิรูปร้อยวัน ทำให้พระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ทรงเข้ายึดพระราชอำนาจแล้วนำจักรพรรดิกวางสูขังไว้ และทรงร่วมมือกับ ‘กบฏนักมวย’ซึ่งมีความคิดอนุรักษนิยมเช่นเดียวกับพระนาง จนประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ‘กบฏนักมวย’ได้ต่อสู้กับกองกำลังนานาชาติในเมืองเทียนจินและกรุงปักกิ่ง ทางสถานทูตสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่อยู่ในสถานทูตในกรุงปักกิ่ง ได้นำกำลังมาปิดล้อมพระราชวังต้องห้าม การกระทำเช่นนี้ทำให้ ‘กบฏนักมวย’ จึงได้สังหาร Clemens von Ketteler บาทหลวงชาวเยอรมัน ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) วันต่อมาพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ทรงประกาศสงครามกับชาวต่างชาติเพื่อเป็นการต่อต้านอำนาจของชาวต่างชาติ แต่พวกข้าหลวงตามหัวเมืองกลับปฏิเสธการประกาศสงคราม ทั้งพวกปัญญาชนในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือข้าหลวงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่ต่อต้านการประกาศสงครามด้วย

สมาชิกของกลุ่มกบฎนักมวย ซึ่งมีทั้งหมดราว 300,000 คน

รัฐบาลของราชวงศ์ชิงและกองทัพสนับสนุนการปฏิบัติการของบรรดา ‘กบฏนักมวย’ ซึ่งมีราว 200,000 คน ทั้งยังยินยอมให้กองกำลัง’กบฏนักมวย’ ซึ่งนำโดยพลเอก หรง ลู่ (ขุนนางและรัฐบุรุษของจีนในยุคปลายราชวงศ์ชิง) เข้าปิดล้อมทูตานุทูตและพลเรือนต่างชาติซึ่งหลบภัยอยู่ในเขตค่ายพักของสถานอัครราชทูตต่างชาติในกรุงปักกิ่ง พันธมิตรกองทัพต่างชาติพยายามป้องกันค่ายดังกล่าวภายใต้คำสั่งของบาทหลวงชาวอังกฤษ เมื่อ’กบฏนักมวย’บุกเข้าไปในกรุงปักกิ่งได้สังหารชาวจีนที่เป็นคริสเตียนกว่าหนึ่งหมื่นคนและจับกุมชาวต่างชาติไปเป็นเชลยจำนวนมาก ข่าวการจลาจลจำนวนมากถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั้งใน จีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกา 

การบุกครั้งแรกภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย กองกำลังพันธมิตรแปดชาติประมาณ 2,000 คน ภายใต้การบัญชาการของนายพลเอ็ดเวิร์ด เซมอร์ ได้ส่งกำลังไปกรุงปักกิ่ง โดยการเดินทางจากท่าเรือต้ากูไปเมืองเทียนจินนั้นได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าหลวงเมืองเทียนจินเป็นอย่างดี แต่การเดินทางจากเทียนจินไปกรุงปักกิ่งนั้นมีการตรวจตราชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามนายพลเซมอร์ก็สามารถนำทหารเดินเท้าเข้ากรุงปักกิ่งสำเร็จจนได้ แต่กองกำลังดังกล่าวถูกฝ่าย’กบฏนักมวย’ล้อม และทางรถไฟหลายสายถูกทำลาย ในที่สุดนายพลเซมอร์จึงตัดสินใจถอยกำลังกลับเมืองเทียนจินในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900)

การบุกครั้งที่สอง หลังจากนายพลเซมอร์ถอยทัพกลับเมืองเทียนจินแล้ว ทางกองกำลังนานาชาติจึงระดมกำลังทหารขึ้นมาใหม่ และในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1900 กองกำลังนานาชาติได้สร้างป้อมปราการขึ้นใกล้เมืองเทียนจินและท่าเรือต้ากูขึ้น ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) กองกำลังพันธมิตรแปดชาติ (อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลียของอังกฤษ อินเดียของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น) ประมาณ 51,755 นาย ภายใต้การบัญชาการของนายพลอัลเฟรด แกสลี  ประกอบด้วยกำลังจากญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร  ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิตาลี และออสเตรีย-ฮังการี ได้ยึดเข้ายึดเมืองเทียนจินในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) จากนั้นจึงยกกำลังจากเมืองเทียนจิน มายังกรุงปักกิ่ง และได้สู้รบกับกองทัพรัฐบาลของราชวงศ์ชิงหลายครั้งจนมีชัยชนะ สามารถปราบปราม’กบฏนักมวย’และเลิกการปิดล้อมได้เป็นผลสำเร็จ เชลยทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อย ในที่สุดกองกำลังพันธมิตรแปดชาติจึงเข้ายึดและปล้นกรุงปักกิ่ง ครั้งนั้นกองกำลังพันธมิตรแปดชาติมีกำลังราว 45,000 คน ที่สุดแล้ว รัฐบาลของราชวงศ์ชิงต้องยอมสงบศึกด้วยการทำพิธีสารนักมวยในปี พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901)

เมื่อกองทัพพันธมิตรแปดชาติบุกและยึดกรุงปักกิ่งเป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) บทความวิจัยของ Kenneth Clark นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ระบุว่า "หลังจากยึดกรุงปักกิ่งได้ ทหารจากกองทัพพันธมิตรแปดชาติก็ปล้นสะดมกรุงปักกิ่ง ทั้งยังปล้นชิงพระราชทรัพย์จากพระราชวังต้องห้าม ได้สมบัติจากจีนแล้วขนกลับไปยุโรปมากมาย" พระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) พร้อมด้วยจักรพรรดิกวางสู กษัตริย์จีน และเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พากันหลบหนีจากพระราชวังต้องห้ามไปยังเมืองซีอานก่อนหน้าแล้ว และทรงส่งหลี่ หงจาง  ราชครู มาเจรจาสงบศึกกับกองทัพพันธมิตรแปดชาติในเวลาต่อมา ในระหว่างและภายหลังการจลาจล มีผู้คนซึ่งไม่ทราบจำนวนซึ่งเชื่อกันว่า เป็นพวกนักมวยถูกตัดศีรษะ เรื่องนี้นิยมนำมาทำเป็นภาพยนตร์สั้นในยุคแรก ๆ กันมาก แต่แม้มีภาพถ่ายยืนยัน พันธมิตรแปดชาติก็ยังคงปฏิเสธการกระทำดังกล่าวมาจนทุกวันนี้

จากบันทึกของนาวิกโยธินอเมริกันนายหนึ่งบันทึกว่า "เขาเห็นเหล่าทหารเยอรมันและรัสเซียเอาดาบปลายปืนแทงสตรีตายหลังจากข่มขืนกระทำชำเราพวกนาง" นอกจากนี้แล้วยังกล่าวกันว่า ในกรุงปักกิ่ง ‘ฝาน กั๋วเหลียง’ (Pierre-Marie-Alphonse Favier) มุขนายกชาวฝรั่งเศสออกประกาศซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 26 สิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ว่า คริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกสามารถลักทรัพย์ตามที่จำเป็นเพื่อประทังชีวิตก็ได้ และการลักเงิน 50 ตำลึงหรือต่ำกว่านั้น ไม่ต้องแจ้งและไม่ต้องใช้คืน แต่ตัวมุขนายกปฏิเสธเรื่องนี้
ความสูญเสีย 
- พันธมิตรแปดชาติ: ทหาร 2,500 นาย ชาวต่างชาติ 526 คน และชาวคริสต์จีนอีกนับหมื่นคน 
- จีน: กลุ่ม ‘กบฏนักมวย’ "ทั้งหมด" (ราว 200,000 คน)
- ทหารกองทัพรัฐบาลของราชวงศ์ชิง 20,000 นาย
* มีพลเรือนชาวจีนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ราว 20,000 คน

พิธีสารนักมวย (Boxer Protocol) หรือชื่ออย่างเป็นทางการในโลกตะวันตกว่า "พิธีสารสุดท้ายว่าด้วยการระงับความวุ่นวายระหว่างออสเตรีย-ฮังการี เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี บริเตนใหญ่ อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย สเปน สหรัฐ กับจีน ค.ศ. 1900 (Austria-Hungary, Belgium, France, Germany, Great Britain, Italy, Japan, Netherland, Russia, Spain, United States and China—Final Protocol for the Settlement of the Disturbances of 1900)" และชื่ออย่างเป็นทางการในประเทศจีนว่า" พิธีสารซินโฉ่ว" เป็นพิธีสารซึ่งลงลายมือชื่อกัน ณ วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1901 ระหว่างจักรวรรดิชิง ในสมัยพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ฝ่ายหนึ่ง กับพันธมิตรแปดชาติ (ออสเตรีย-ฮังการี ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ) เบลเยียม สเปน และเนเธอร์แลนด์ อีกฝ่ายหนึ่ง ภายหลังกองทัพพันธมิตรแปดชาติสามารถปราบ’กบฏนักมวย’ในประเทศจีนได้สำเร็จ โดยจีนถือว่า พิธีสารนี้เป็นหนึ่งในบรรดาสนธิสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบ (Unequal treaties) โดยพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) มีพระราชเสาวนีย์ตั้งเจ้าชายชิง ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี (Prime Minister) และหลี่หงจาง ซึ่งเป็นราชครู (Grand Tutor) ให้เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการลงลายมือชื่อในพิธีสารนี้สำหรับจักรวรรดิชิง ส่วนฝ่ายพันธมิตรแปดชาติและพวกนั้นมี Bernardo de Cólogan y Cólogan และ Alfons Mumm von Schwarzenstein ลงลายมือชื่อในนามของสเปน Ernest Satow ในนามของบริเตนใหญ่ และ Komura Jutarō ในนามของญี่ปุ่น ตามลำดับ ใจความสำคัญเรียกร้องให้ผู้นำการก่อจลาจลที่จะได้รับลงโทษ และการชำระเงินเยียวยาแก่ประเทศที่ได้รับเสียหาย

ทหารของกองกำลังพันธมิตรแปดชาติ (อังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลียของอังกฤษ อินเดียของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น)

ผลจากการกระทำของประเทศตะวันตกเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จนทุกวันนี้จีนไม่ได้เชื่อถือหรือไว้วางใจชาติตะวันตกเลย แม้ว่า สภาพอาณานิคมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยจะหมดไปนานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงทิ้งบาดแผล ปัญหา และความขัดแย้งอยู่จนบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งของกลุ่มชนชาติต่าง ๆ ในเมียนมาร์ ความขัดแย้งในอินโดนีเซีย ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ กรณีพิพาทมากมายหลายเรื่องในภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากผลพวงของชาติมหาอำนาจตะวันตกอดีตเจ้าอาณานิคมทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยในปัจจุบันเองได้มีความพยายามในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาใช้ปลุกปั่นให้เยาวชนหลงผิดคิดว่า การที่ไทยเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เป็นสาเหตุทำให้ประเทศล้าหลังมาถึงทุกวันนี้ คนไทยพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ระบบราชการก็ไม่ดี เช่นนี้แล้วเป็นประเทศอาณานิคมดีกว่า หลายคนเทิดทูนบูชาฝรั่งจนอยากให้ไทยเป็นอาณานิคมเลยทีเดียว หากแต่ได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ของประเทศอดีตอาณานิคมในภูมิภาคอาเซียนแล้ว จะพบว่า ลัทธิล่าอาณานิคมนั้น ประเทศเจ้าอาณานิคมเป็นผู้ได้เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่ประเทศที่เป็นอาณานิคมแทบจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเอง ทั้ง ๆ ที่ ความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมืองนั้น อยู่ที่การพัฒนาตนเองทั้งความคิดและพฤติกรรม ซึ่งจะทำให้คนในสังคมจะสามารถกำหนดอนาคตของชาติให้เป็นไปอย่างไรต่อไป

‘รัสเซีย’ เปิดตัว!! เครื่องบินรบรุ่นใหม่ ในงาน Airshow China 2024 เมืองจูไห่

งานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติแห่งประเทศจีน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Airshow China หรือ Zhuhai Airshow เป็นนิทรรศการการค้าการบินและอวกาศที่สำคัญของจีน มีกำหนดจัดขึ้นทุกๆ สองปีในเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 ถือเป็นงานแสดงทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยปี ค.ศ. 2024 นี้ เป็นงานแสดงทางอากาศครั้งที่ 15 ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-17 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยมีผู้ร่วมแสดงสินค้าจากต่างประเทศจาก 47 ประเทศ ราว 150 ราย โดยร่วมนำเสนอเครื่องบินทางทหารและพลเรือน เทคโนโลยีอวกาศ อาวุธ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และสงครามอิเล็กทรอนิกส์ โดยไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือเครื่องบินรบจากฝั่งรัสเซีย 

โดยเมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา รัสเซียได้เปิดตัวเครื่องบินรบสเตลท์รุ่นที่ 5 รุ่นใหม่ซึ่งเป็น เครื่องบินความเร็วเหนือเสียงที่มีความคล่องตัวสูงรุ่น SU-57E [รุ่นส่งออก] ในงาน Airshow China 2024 ณ เมืองจูไห่ของจีน โดยเครื่องบินลำนี้ได้แสดงการบินผาดโผนโดยเซอร์เกย์ บ็อกดาน (Sergey Bogdan) นักบินทดสอบฝีมือดีชาวรัสเซีย ทั้งนี้เครื่องบินขับไล่หลายบทบาท Su-57 ได้รับการออกแบบมาให้หลบเลี่ยงเรดาร์และโจมตีเป้าหมายทางอากาศและภาคพื้นดินรวมถึงฐานป้องกันภัยทางอากาศ เครื่องบินดังกล่าวพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Sukhoi «Компания „Сухой“» โดยผสมผสานความสามารถในการพรางตัว ความคล่องตัวสูง การบินแบบซูเปอร์ครูซ ระบบอากาศยานแบบบูรณาการ และความจุในการบรรทุกขนาดใหญ่ โดยเครื่องบิน Su-57 ลำแรกเข้าประจำการในกองกำลังอวกาศของรัสเซีย ในปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้นายวาดิม บาเดคกา (Vadim Badekha) ซีอีโอของบริษัท United Aircraft Corporation (UAC) เผยว่า "เครื่องบิน Su-57 ถือเป็นเครื่องบินรุ่นที่ 5 ที่ดีที่สุดในโลก และด้วยคุณลักษณะหลายประการทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ไม่มีใครเทียบได้" เขายังกล่าวเสริมว่า "เครื่องบินรุ่นนี้ได้รับความสนใจจากพันธมิตรระยะยาวเป็นเวลานานแล้ว" และ “มีหลายคนต่อคิวรอซื้อเครื่องบินรุ่นนี้อยู่” บริษัทรัสเทค (Rostec) ซึ่งเป็นบริษัทด้านการป้องกันประเทศของรัฐบาลรัสเซีย กล่าวถึงเครื่องบิน Su-57E ว่าเป็นดาวเด่นของงานนิทรรศการที่จัดขึ้นในประเทศจีน โดยระบุว่าเครื่องบินรุ่นนี้สามารถใช้กับอาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำสูงได้และอุปกรณ์ตรวจจับไม่สามารถตรวจจับได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางความขัดแย้งในยูเครน ในปี  ค.ศ. 2022 บริษัทรัสเทคได้ประกาศแผนที่จะเพิ่มการผลิตเครื่องบินขับไล่ Su-57 โดยระบุว่ากองทัพอากาศรัสเซียจะได้รับเครื่องบิน Su-57 ใหม่นี้

นอกจากเครื่องบินรบ Su-57 แล้ว หน่วยงานรัสอบารอนเอ็กพอร์ต (Rosoboronexport) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลรัสเซียที่ดูแลการค้าอาวุธระหว่างประเทศซึ่งเป็นผู้ร่วมจัดงานแสดงอาวุธร่วมของรัสเซียในงานนี้ยังจัดแสดงอาวุธ ยิงจากอากาศรุ่นล่าสุด เฮลิคอปเตอร์หลากหลายรุ่น และระบบป้องกันภัยทางอากาศอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีขีปนาวุธร่อน X-69 ซึ่งเป็นขีปนาวุธร่อน โจมตีจากอากาศสู่พื้นแบบสเตลท์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ รวมถึงขีปนาวุธนำวิถียิงจากอากาศ Grom-E1 ระเบิดทางอากาศที่แก้ไขแล้ว K08BE และระเบิดทางอากาศร่อนนำวิถี UPAB-1500B-E ในงานนี้ทางรัสเซียยังได้เปิดตัวเครื่องยนต์ AL51 รุ่นที่ 5 ที่ใช้ขับเคลื่อนเครื่องบิน Su-57 รุ่นใหม่อีกด้วย ซึ่งเป็นพระเอกของงาน โดยเครื่องยนต์ AL-51 ถือเป็นความสำเร็จด้านวิศวกรรมการบินและอวกาศขั้นสูงที่สุดของรัสเซียที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 เช่น Su-57

บอยโก้ นิโคลอฟ (Boyko Nikolov ) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินจาก BulgarianMilitary.com ให้ความเห็นเกี่ยวกับเครื่องยนต์ AL51 เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เครื่องยนต์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องยนต์หลักเท่านั้นแต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของ Su-57 ในฐานะเครื่องบินขับไล่ที่ทรงพลัง คล่องแคล่ว และล่องหนได้ เป็นเครื่องบินที่ท้าทายอำนาจทางอากาศของชาติตะวันตก ในปัจจุบันได้ AL-51 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิศวกรรมการบินของรัสเซียและทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในศักยภาพการปฏิบัติภารกิจโดยรวมของเครื่องบิน Su-57

เมื่อมองจากภายนอก เครื่องยนต์ AL-51 แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำงานที่หลากหลาย โครงสร้างที่มีระบบภายนอกและท่อต่าง ๆ มากมาย แสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่จัดวางอย่างพิถีพิถันและเชื่อมโยงกัน ส่วนประกอบทุกชิ้นได้รับการออกแบบมาให้รับมือกับการจัดการความร้อนได้อย่างเหมาะสมที่สุด แรงขับ และประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่คาดว่าจะทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและภายใต้สภาวะกดดันสูง การออกแบบเครื่องยนต์สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างกำลัง ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ซึ่งแต่ละส่วนมีความจำเป็นต่อการตอบสนองความต้องการของการรบสมัยใหม่

คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของเครื่องยนต์ AL-51 ประการหนึ่ง คือความสามารถในการควบคุมทิศทางแรงขับ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักบินสามารถควบคุมเครื่องบินให้บินไปในทิศทางที่เกินขีดจำกัดของอากาศพลศาสตร์ทั่วไปได้ โดยเปลี่ยนทิศทางแรงขับที่เกิดจากเครื่องยนต์ คุณสมบัตินี้ทำให้ Su-57 มีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้ในการต่อสู้ทางอากาศ ช่วยให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ หลบหลีกขีปนาวุธ หลบการยิงของศัตรู และได้รับความได้เปรียบในตำแหน่งในการต่อสู้แบบประชิดตัว โดยการกำหนดทิศทางแรงขับของ AL-51 ถูกควบคุมโดยชุดการเชื่อมโยงไฮดรอลิกและกลไกที่มองเห็นได้รอบพื้นที่หัวฉีด แสดงให้เห็นถึงวิศวกรรมแม่นยำที่จำเป็นในการทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือภายใต้สภาวะอุณหภูมิสูงและความเค้นมหาศาล

เค้าโครงภายนอกของเครื่องยนต์ยังแสดงให้เห็นระบบระบายความร้อนและระบายความร้อนที่ซับซ้อนอีกด้วย ที่ระดับความสูงและความเร็วสูงเครื่องยนต์จะต้องเผชิญกับความเครียดจากความร้อนอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในโหมดการเผาไหม้ต่อเนื่อง ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงเกินหลายพันองศาฟาเรนไฮต์ เครื่องยนต์ AL-51 ใช้วัสดุขั้นสูงและสารเคลือบทนความร้อนเพื่อทนต่ออุณหภูมิดังกล่าวร่วมกับเครือข่ายท่อระบายความร้อนและวาล์วที่ซับซ้อนซึ่งควบคุมอุณหภูมิภายใน ซึ่งระบบจัดการความร้อนนี้มีความจำเป็นต่อการรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ตลอดอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับเครื่องบินรบสมัยใหม่ที่ต้องพร้อมสำหรับภารกิจหลายครั้ง โดยต้องบำรุงรักษาน้อยที่สุด AL-51 ซึ่งเป็นจุดเด่นของเครื่องยนต์รุ่นที่ 5 ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดสัญญาณอินฟราเรด [IR] ลง ซึ่งการลดการปล่อยอินฟราเรดถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปฏิบัติการล่องหน เนื่องจากความร้อนเป็นหนึ่งในวิธีหลักที่เซ็นเซอร์ของศัตรูใช้ในการตรวจจับเครื่องบิน โดยการใช้วัสดุพิเศษและแผ่นกันความร้อน รวมถึงการปรับการไหลของไอเสียให้เหมาะสมผ่านระบบระบายความร้อนและการผสมภายใน AL-51 ช่วยลดสัญญาณความร้อนของ Su-57 ทำให้เครื่องบินมีความสามารถในการเอาตัวรอดในสภาพแวดล้อมที่มีการสู้รบซึ่งกองกำลังของศัตรูอาจใช้ขีปนาวุธติดตามอินฟราเรดขั้นสูง

โครงสร้างภายในของเครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะผสมที่มีความแข็งแรงสูงและวัสดุผสม ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์มีความทนทานในขณะที่ยังคงรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมได้ โครงสร้างน้ำหนักเบาโดยไม่ลดทอนความแข็งแกร่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องยนต์รุ่นที่ 5 ช่วยให้ Su-57 ทำความเร็วได้สูงขึ้นและประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ซึ่งองค์ประกอบของ AL-51 จะช่วยลดน้ำหนักโดยรวมของเครื่องบิน ซึ่งหมายความว่าเครื่องบินสามารถบรรทุกเชื้อเพลิง อาวุธ หรืออุปกรณ์สำคัญอื่นๆ ได้มากขึ้นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภารกิจระยะไกล ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกปอนด์ล้วนมีความสำคัญในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิงและความจุของน้ำหนักบรรทุก

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ AL-51 คือ การผสมผสานรวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนเครื่องบินที่ทันสมัยและระบบควบคุมเครื่องยนต์แบบดิจิทัล เครื่องยนต์ใช้หน่วยควบคุมดิจิทัลขั้นสูงซึ่งตรวจสอบพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น การไหลของเชื้อเพลิง ปริมาณอากาศเข้า และอุณหภูมิไอเสียอย่างต่อเนื่อง

ระบบควบคุมแบบดิจิทัลนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ ทำให้เครื่องยนต์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพการบินที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที ถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับนักบินที่ต้องการการควบคุมที่แม่นยำในสถานการณ์การสู้รบ นอกจากนี้ ระบบนี้ยังช่วยให้สามารถวินิจฉัยและบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ได้ ลดระยะเวลาหยุดทำงานและทำให้ Su-57 พร้อมสำหรับภารกิจ

อย่างไรก็ตามความซับซ้อนของ AL-51 ทำให้มีปัญหาบางประการ แม้ว่าเครือข่ายท่อและข้อต่อภายนอกที่หนาแน่นจะบ่งบอกถึงความซับซ้อนของเครื่องยนต์ แต่ก็ทำให้ต้องมีการบำรุงรักษามาก ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ห่างไกลหรือท้าทาย เครื่องยนต์เหล่านี้อาจต้องใช้อุปกรณ์สนับสนุนเฉพาะทางและบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการใช้งานเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ที่เรียบง่ายกว่า

ในแง่ของการพรางตัว แม้ว่า AL-51 จะมีคุณสมบัติในการลดอินฟราเรดบางประการ แต่ก็อาจไม่ถึงระดับการลดอินฟราเรดที่พบในเครื่องยนต์รุ่นที่ห้าของตะวันตก เช่น F135 ที่ใช้ใน F-35 สิ่งนี้อาจทำให้ Su-57 ถูกตรวจจับได้ง่ายขึ้นในบางสถานการณ์ อย่างไรก็ตามปรัชญาการออกแบบของรัสเซียมักให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและความทนทานมากกว่าความสามารถในการพรางตัวเพียงอย่างเดียว โดยสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการตรวจจับกับความคล่องตัวในการใช้งานที่แข็งแกร่ง

ส่วนประกอบที่โดดเด่นอย่างหนึ่งที่มองเห็นได้ใน AL-51 คือส่วนเผาไหม้ท้าย เครื่องยนต์เผาไหม้ท้ายช่วยเพิ่มแรงขับอย่างมาก ทำให้ Su-57 สามารถบินด้วยความเร็วเหนือเสียงได้โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม ทำให้สามารถบินแบบ “ซูเปอร์ครูซ” ได้ ซูเปอร์ครูซเป็นคุณสมบัติเฉพาะของเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 เนื่องจากช่วยให้บินด้วยความเร็วสูงได้โดยไม่ต้องเสียเชื้อเพลิงจำนวนมากจากการใช้ระบบเผาไหม้ท้าย

แม้ว่า AL-51 จะทำได้เพียงบางส่วน แต่รายงานบางฉบับระบุว่าเครื่องยนต์อาจไม่ประหยัดเชื้อเพลิงเท่าเครื่องยนต์ในเครื่องบินบางรุ่นของชาติตะวันตก ซึ่งอาจจำกัดความทนทานในภารกิจบางรูปแบบ

นอกจากนี้ การออกแบบเครื่องยนต์ยังรวมถึงการทำงานซ้ำซ้อนเพื่อเพิ่มความทนทานในสถานการณ์การรบ ระบบควบคุมซ้ำซ้อนและส่วนประกอบที่ทนทานต่อความผิดพลาดหมายความว่าหากระบบใดระบบหนึ่งเสียหาย เครื่องยนต์จะยังคงทำงานต่อไป ทำให้เครื่องบินสามารถกลับฐานได้ คุณสมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความอยู่รอดของเครื่องบินในสภาพแวดล้อมที่มีภัยคุกคามสูงซึ่งอาจเกิดความเสียหายได้

บทบาทของ AL-51 ในการเสริมศักยภาพการปฏิบัติการของ Su-57 นั้นไม่สามารถพูดเกินจริงได้ โดยเครื่องยนต์นี้รองรับความเก่งกาจของ Su-57 ในบทบาทต่างๆ ตั้งแต่ความเหนือกว่าทางอากาศและการสกัดกั้น ไปจนถึงการโจมตีภาคพื้นดินและการลาดตระเวน การผสมผสานระหว่างความเร็ว ความคล่องตัว และความสามารถในการพรางตัวของ Su-57 ทำให้ Su-57 สามารถตอบสนองภารกิจต่าง ๆ ได้หลากหลาย ซึ่งแต่ละอย่างต้องใช้คุณลักษณะเฉพาะที่ AL-51 มอบให้

โดยสรุปแล้ว เครื่องยนต์ AL-51 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรบของ Su-57 อย่างมาก โดยทำให้ Su-57 เทียบเท่ากับเครื่องบินรบรุ่นล่าสุด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความต้องการในการบำรุงรักษาที่สูงขึ้นและความสามารถในการตรวจจับอินฟราเรดที่สูงขึ้น แต่ก็มีคุณสมบัติด้านประสิทธิภาพอันทรงพลังที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ความเร็ว และความยืดหยุ่นในการปฏิบัติภารกิจของ Su-57

เครื่องยนต์ AL-51 ช่วยให้ Su-57 ปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพในน่านฟ้าที่มีการสู้รบ โดยมอบตัวเลือกการรบทางอากาศขั้นสูงให้กับกองทัพอากาศรัสเซีย ในขณะที่ Su-57 ยังคงพัฒนาต่อไป เทคโนโลยีในเครื่องยนต์ เช่น AL-51 ก็จะพัฒนาตามไปด้วย โดยสัญญาว่าจะมีความสามารถที่มากขึ้นสำหรับการปฏิบัติการทางอากาศของรัสเซียในอนาคต

การพัฒนาเครื่องยนต์ AL-51 สำหรับเครื่องบินขับไล่ Su-57 รุ่นที่ 5 ของรัสเซียเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายทางเทคนิคและทางการเงิน ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษปี 2000 เป็นต้นมา วิศวกรชาวรัสเซียต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการสร้างเครื่องยนต์ที่สามารถเร่งความเร็วได้เร็วและควบคุมแรงขับขั้นสูงได้ในขณะเดียวกันก็ต้องลดอินฟราเรดของเครื่องบินเพื่อความสามารถในการพรางตัว การบรรลุข้อกำหนดเหล่านี้ต้องใช้วัสดุทนอุณหภูมิสูงแบบใหม่และวิศวกรรมที่ล้ำสมัย ซึ่งทำได้ยากเนื่องจากงบประมาณของรัสเซียมีจำกัดและไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางอย่างได้ เส้นทางสู่การสร้าง AL-51 นั้นจึงดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยระยะเวลาของเครื่องยนต์ขยายออกไปเนื่องจากวิศวกรต้องจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความทนทาน การจัดการความร้อน และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง

ข้อจำกัดทางการเงินเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากงบประมาณด้านการป้องกันประเทศของรัสเซียถูกขยายออกไปสำหรับโครงการอื่นๆ หลายโครงการ ทำให้เงินทุนสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ AL-51 ไม่คงที่ โดยบางครั้งการพัฒนาก็ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง ทำให้ความสามารถในการควบคุมแรงขับของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญต่อความคล่องตัวของเครื่องบิน Su-57 ก่อให้เกิดความท้าทายทางเทคนิคที่สำคัญ เนื่องจากรุ่นก่อนๆ ไม่สามารถทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือภายใต้สภาวะกดดันสูง

ปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เมื่อชาติตะวันตกคว่ำบาตร ทำให้การเข้าถึงวัสดุและอุปกรณ์เฉพาะทางมีจำกัด ส่งผลให้วิศวกรของรัสเซียต้องหาทางเลือกในประเทศ ซึ่งเพิ่มเวลาและความซับซ้อนให้กับโครงการ

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 2010 ในที่สุด AL-51 ก็พร้อมสำหรับการผลิตในจำนวนจำกัด แม้ว่าจะยังคงเผชิญกับความท้าทายในการใช้งาน เช่น ความทนทานที่ลดลงและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ลดลงเมื่อเทียบกับเครื่องบินของชาติตะวันตก แม้ว่าจะมีฟังก์ชันการทำงานและทรงพลัง แต่ AL-51 ก็สะท้อนถึงการประนีประนอมหลายประการอันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและภูมิรัฐศาสตร์

ในปัจจุบันเครื่องยนต์ AL-51 ยังคงได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจากวิศวกรของรัสเซียที่พยายามจะลดช่องว่างด้านประสิทธิภาพกับคู่แข่งในระดับนานาชาติ โดยเครื่องยนต์ AL-51 ได้แสดงออกถึงความเพียรพยายามของรัสเซียในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอวกาศในการสร้างเครื่องยนต์เครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 5 ที่สามารถแข่งขันกับตะวันตกภายใต้เงื่อนไขที่ท้าทายได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่รับประกันต่อความมั่นคงของรัสเซียท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและตะวันตกทั้งในปัจจุบันและอนาคต 

‘กรณ์’ ประทับใจ ได้ไปดู!! ‘ลิซ่า’ โชว์ ชู!! สวย เก่ง เป็นกันเอง ไม่ทิ้งความเป็นไทย

(16 พ.ย. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘ลิซ่า’ โดยมีใจความว่า ...

เมื่อคืนก่อนประทับใจมากกับการได้ไปดู Lisa ออก mini-concert + fan meet ในงานที่จัดโดย Dentiste

ผมเป็นคนชอบ K-Pop อยู่แล้ว (ในระดับหนึ่ง..) แต่ไม่เคยเป็นแฟน Black Pink ผมไม่คุ้นกับดนตรีที่มีการ choreographed หรือ synthesise มากเกินไป แต่ก็ชอบในพลังและลีลาการเต้น คือเป็นโชว์ที่สนุก แต่ให้เปิดฟังเฉยๆคงไม่ใช่ (เว้น Psy ที่ยังฟังไม่เบื่อ)

แต่กับลิซ่าผมยอมเลย ออร่าการเป็น personality ระดับโลกชัดเจนมาก และไม่ใช่เพียงเพราะสวย เก่ง แต่เป็นเพราะบุคลิกนิสัยที่ทำให้แฟนๆ รู้สึกเป็นกันเองกับเขา ไม่มีอัตตาความเป็น Diva เหมือนนักร้องดังๆ บางคน ลิซ่าอายุเท่ากับลูกสาวผม ผมเลยมองเขาในฐานะผู้เป็นพ่อ และมีความรู้สึกปลื้มใจแทนคุณแม่และพ่อเลี้ยงของลิซ่า บนเวที ลิซ่าเล่าว่าบินเข้าไทยปุ๊บก็รีบดอดไปหาคุณแม่ทันที และมีอีกช่วงที่แฟนๆขอให้เธอเต้นท่าหนึ่ง แต่ลิซ่าปฏิเสธแบบอายๆว่า ’ท่านั้นไม่ได้คะ คืนนี้คุณแม่มาดูด้วย‘ 

ช่วงที่ผมว่าน่ารักที่สุดคือช่วงที่เขาคัดแฟนคลับที่แต่งตัวเด่นๆขึ้นเวที ช่วงนี้ทำให้เห็นว่าทำไมลิซ่าถึงเป็นที่รักของแฟนๆ ลิซ่าสามารถทำให้ทุกคนที่ขึ้นเวทีรู้สึกเป็นบุคคลสำคัญของเธอในช่วงเวลานั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

สุดท้ายคือ ลิซ่าที่ไม่ใช่ ‘ลิซ่า แบลคพิงค์‘ สามารถแสดงออกถึงความเป็นไทยได้อย่างเต็มที่ (ในฐานะนักแสดงอีกด้วย) ตรงนี้มีผลต่อคะแนนนิยมชมชอบประเทศบ้านเกิดของเธออย่างมาก

ขอบคุณ Dentiste อีกครั้งนะครับ นอกจากสินค้าคุณภาพระดับโลกแล้ว การเลือกลิซ่าเป็น presenter แต่แรกๆ สะท้อนวิสัยทัศน์ที่แหลมคมมากของผู้ตัดสินใจ

‘อาจารย์อ๊อด’ ร่วมด้วย!! ช่วยแฉ ชี้!! ทนายกร่าง ทำแสบไว้หลายเรื่อง

(16 พ.ย. 67) อาจารย์อ๊อด หรือ อ.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์เคมีชื่อดัง ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ ‘SondhiX’ ซึ่งดำเนินรายการโดย นายนพรัฐ พรวนสุข บรรณาธิการอาวุโส สื่อเครือผู้จัดการ-News1 โดยได้พูดถึงประเด็นที่สังคมไทย กำลังให้ความสนใจ เกี่ยวกับ ทนายชื่อดัง โดยเนื้อหาในการพูดคุยกันนั้น มีดังนี้ ...

ผมก็ประกาศว่าเอาให้สุด ไม่เหมือนคุณอา (นายสนธิ) ส่วนนี้นะ คือสุดซอยของผมนี่คือจนตรอก ตรอกนี่จะเล็กกว่าซอยเอาให้จนตรอกไปเลย ไม่ว่าจะเป็นผมหรือเขานะ

ทำไมถึงแค้นขนาดนั้น?

มันเริ่มจากผมไปนั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับ บริษัทของ ‘เสี่ยเปี๊ยก’ ที่เพชรบุรี ผู้รับเหมาก็ฟ้องเสี่ยเปี๊ยก เสี่ยเปี๊ยกก็ฟ้องผู้รับเหมา ก็ฟ้องกันไปฟ้องกันมา แล้วปรากฏว่า ผมก็มีชื่อติดไปด้วย โดนฟ้องเป็นคดีแพ่งนะครับ ไม่ใช่คดีอาญา ซึ่งผมโดนหางเลขเพราะว่าผมก็ขอลาออกไปช่วยผู้รับเหมานะครับ ก็เลยโดนกล่าวหาว่าเห้ยเราไปฮั้วกับผู้รับเหมาอะไรประมาณเนี้ย มันก็เป็นเรื่องของการผิดสัญญาธรรมดา หลังจากนั้นเนี่ยทางเสี่ยเปี๊ยก เค้าก็มีทนายเค้าอยู่ละครับมันก็เป็นเรื่องภายในอะครับ

ปรากฏว่าสํานวนฟ้องมันหลุดไปได้ยังไงไม่รู้นะครับ แล้วก็ไปถึงมือหลายคน ซึ่งมาถึงบางอ้อหลังจากที่อาจารย์อ๊อดได้มีโอกาสไปกินข้าวกับทนายตั้ม ตั้มก็บอกว่าเรื่องพี่อ๊อดน่ะมาที่ผมเยอะมากเลย อ้าวแล้วทําไมตั้มไม่ทํา ตั้มไม่ทําตั้มส่งให้คนอื่นต่อเราก็เลยถึงบางอ้อไงเพราะว่าเรื่องเนี้ยก็ไปโผล่ที่ facebook ของทนายคนนึง

โพสต์เลย อาจารย์ชื่อดังที่มีความเชี่ยวชาญด้านกัญชงกัญชาโกงหลอกนักลงทุนร้อย 150 ล้านโหตรงเป๊ะเลยนะกับคําฟ้อง

จนในที่สุดเขาก็พยายาม สโคปเข้าเรื่อยๆ ให้นึกถึงเป็น ‘อาจารย์อ๊อด วีระชัย’ เนี่ย!!

หลังจากนั้น ช่วงประมาณ 25 ตุลาคม 2565 สื่อก็รุมกันเล่น อาจารย์ก็สู้แหลกเลย ทำให้ต้องทะเลาะกับทุกคนเลย ก็มีที่มาจาก ‘ทนายพม่า’ คนนี้แหละ ‘ดำรัฐฉาน’

ทนายคนนี้ เขาเอาไปเล่นใหญ่เลย อ.อ๊อด โกง 150 ล้าน 

ไม่ได้มีข้อเท็จจริงอะไรเลย จนในที่สุดเสี่ยเปี๊ยก ก็ไปจ้างคนนี้มาเป็นทนาย อ.อ๊อด ก็สู้เลยทีนี้ มาด่าว่าเราโกง สุดท้ายอาจารย์ก็โดนไป 44 คดี 

ส่วนใหญ่เป็นหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา คืออาจารย์อ๊อดพยายามโพสต์อธิบายครับมันก็ต้องพาดพิง แล้วเราไม่รู้ข้อกฎหมาย เราก็พูดชื่อเค้าตรง ๆ เค้าก็ฟ้องเลยแต่ศาลยกฟ้อง ก็ด้วยบอกว่าเรามีส่วนคือเราอธิบายความ ผมก็เพิ่งมารู้ข้อกฎหมายตอนหลัง เราเป็นอาจารย์เคมีไม่รู้เรื่องกฎหมาย 

มันเป็นกลยุทธ์ของเขา เพื่อที่จะหลอกให้เราไปตกหลุมพราง พอเราตอบโต้เขา ก็กลายเป็นหมิ่นประมาท จัดการเล่นเราตรงนั้น เรียกค่าเสียหายคดีละ 3 แสนบาท  วางศาลแค่ พันเดียว แต่เรียกเรา 3 แสน

เท่านั้นยังไม่พอ ใครมีเรื่องกับอ.อ๊อด ก็ไปเรียกเขามารวมกัน จะว่าความให้อีก อ.อ๊อด ก็ได้แต่ตั้งการ์ดรับอย่างเดียวเลย เหมือนนักมวยอ่ะ มาตุ๊บตั๊บ กันเต็มไปหมดเลย

จนในที่สุดผมก็ได้รับคำแนะนำที่ดีจาก ท่านอดีตศาลที่ท่านได้เกษียณไปแล้ว ผมถึงได้โต้กลับแล้วผมก็ชนะ

พฤติกรรมที่ทํากับผม ผมร่างหนังสือร้องสภาทนายความ ผมร่างก็คือขอให้สภาทนายความเนี่ยลบชื่อออกเลยนะ ผมก็เอาจากที่ให้คําสัมภาษณ์สื่อทุกวันเนี่ย ร้องต่อสภาทนายความ

ปรากฏว่าวันดีคืนดี มีหมายศาลครับมาที่บ้านบอกว่าเราไปร้องเรียนที่สภาทนายความเนี่ยร้องเท็จ

จาก ‘ทนายดํารัฐฉาน’ ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท แล้วก็แจ้งเท็จ ร้องเท็จ ร้องเท็จเนี่ยหนักโทษหนักนะครับ ฟ้องที่ศาลแขวงดอนเมือง 

แต่ก่อนที่หมายศาลจะมา มีจดหมายจากสํานักงานทนายเดรัจฉาน มาที่บ้านครับจะเราก็งง เอ๊ะเขามีหน้าที่อะไรส่งหมายศาลมาให้เราก่อน ก่อนที่หมายศาลจริงจะมาส่งจดหมายมาก่อน ว่าคุณถูกฟ้องนะมันเหมือนข่มขู่เราอะแต่เราก็งงมากได้รับมา แต่ว่าเผอิญอาจารย์อ๊อดเนี่ยโดนฟ้องมาเกือบทั้งชีวิต เราก็เลยเฉย ๆ นะ รับมาปุ๊บก็สู้คดีครับสู้ไปจนศาลก็ตัดสินให้เราชนะ ก็ชนะเค้าก็อุทธรณ์ ศาลไม่รับอุทธรณ์ เมื่อไม่รับอุทธรณ์ก็ไม่ถึงฎีกา คดีก็ถึงที่สุดเลย หมายความว่า เราชนะทั้งสามศาล

ทีนี้พอมาเห็นคุณอาสนธิโดนเนี่ย เราก็เลยมองแล้วว่าเอ๊ะมันคล้าย ๆ กัน เขาจะประกาศหาแนวร่วมแล้วเขาก็จะใช้ความรู้ทางกฎหมาย บิดข้อเท็จจริง แล้วเขาก็จะไม่เอ่ยชื่อ ซึ่งลักษณะนี้มันก็จะคล้ายกับของ อ.อ๊อด ไง

อาจารย์อ๊อตเป็นที่ปรึกษา แล้วก็ถูกฟ้องพ่วงไปกับผู้รับเหมาเป็นเรื่องของการผิดสัญญาการก่อสร้าง แต่ไปบอกคนอื่นว่า อาจารย์ชื่อดัง ม.เกษตร หลอกลงทุน จนอาจารย์ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม 

เขาจะถล่มใคร คนๆ นั้นต้องตายภายใน 3 วัน 7 วัน คือไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอะ
เป็นภัยสังคมนะอย่างนี้

เพราะว่าไม่ได้สู้ตามกระบวนการปกติ

ไปด่าคนอื่นว่าใช้ศาลเตี้ย ตัวเองน่ะเป็นศาลเลยเอาโซเชียลตัดสินเขาจนเขาต้องเข้าโรงพยาบาลคือเขาจะผิดจะถูกอะไรต้องให้ศาลตัดสินใช่ไหมครับแล้วที่สําคัญเนี่ยเขาจะยียวนกวนประสาท อาจารย์อ๊อด ต้องตั้งสติ ต้องไม่ตอบโต้เขา แต่ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมเขาถึงกร่างได้ แล้วเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน แล้วก็บิดเล็กบิดน้อยทั้งจิตวิทยาทั้งโซเชียลทั้งกฎหมาย

เอาให้สุดซอย และสุดตรอก จนตรอกเลยละกันนะ

คุณอาสนธิบอกว่า ‘คลานเข่า’ มาที่บ้านพระอาทิตย์ ก็ไม่เปิดให้ ของอาจารย์อ๊อดเนี่ย คลานมาหน้า ม.เกษตร อาจารย์ ‘เตะเสย’ เลยนะ!!

‘แพทองธาร’ ร่วมเวที ที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค!! ย้ำ!! สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน สู่เศรษฐกิจดิจิทัล

(16 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ในช่วงอาหารกลางวัน (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders) โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ ‘ประชาชน ภาคธุรกิจ และความรุ่งเรือง’ (People. Business. Prosperity.)ว่า ยินดีที่ได้มาร่วมกับสมาชิกสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) ซึ่งหัวข้อของการประชุมของ ABAC ในปีนี้สอดคล้องกับหัวข้อการประชุม APECของเปรูที่ว่า ‘เสริมสร้างพลัง การมีส่วนร่วม และการเติบโตอย่างยั่งยืน’ และตนสนับสนุนความคิดริเริ่มของเปรูในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจในระบบและเศรษฐกิจโลก (the transition to the formal and global economy)

โดยแรงงานมากกว่าครึ่งของเอเปคมาจากเศรษฐกิจนอกระบบ จึงเป็นเรื่องที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ รวมทั้งบทบาทของการใช้ดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อสร้างการเข้าถึงอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะ ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ และกลุ่มที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ในกลุ่มประเทศสมาชิกอย่างมาก  

ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับตัวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีความท้าทาย ในเรื่องต้นทุน และทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็น ดังนั้นการสนับสนุนผ่านโครงการเสริมสร้างศักยภาพโอกาส ในการเพิ่มทักษะและพัฒนาทักษะใหม่ๆตลอดจนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง รัฐบาลไทยได้ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่ามีมาตรการทางการเงินที่เหมาะสม

ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยัน สนับสนุนให้เอเปค พิจารณาโครงการชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนต่อไป เพื่อส่งเสริมระบบการเงินที่เสรี มีความปลอดภัยและแข่งขันได้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า นอกจากการค้า การลงทุน และการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ยังมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค นั่นก็คือการเติบโตทางนวัตกรรมทางการเงิน และระบบการชำระเงินดิจิทัลที่จะเป็นเครื่องมือช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ ได้ โดยประเทศไทย ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการวางระบบให้ประชาชนในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน สามารถชำระเงินผ่านรหัส QR code ระหว่างกันได้แล้วซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรม การเงิน ข้ามพรมแดน ได้อย่างสะดวกรวดเร็วอันเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศ

กองปราบ ยื่นขอหมายจับ!! ‘เจ๊พัช กฤษอนงค์’ ข้อหา 'กรรโชกทรัพย์ - ตัวกลางเรียกรับสินบน'

(16 พ.ย. 67) พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. ได้เข้าสอบปากคำ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ ‘บอสพอล’ กับ น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ บอสปัน ในเรือนจำ

เพื่อซักถามรายละเอียดทางคดีเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีที่ถูก น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ เจ๊พัช ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ เรียกเงินเพื่อแลกกับการไม่เปิดโปงธุรกิจดิไอคอน ก่อนนำมาประมวลเรื่องราวควบคู่พยานหลักฐาน

ก่อนที่ช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. จะนำหลักฐานและคำให้การของพยานในคดีทั้งหมด เข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อขออนุมัติการออกหมายจับน.ส.กฤษอนงค์ หรือ เจ๊พัช

ในความผิดฐาน ‘กรรโชกทรัพย์’ และ ‘เป็นตัวกลางเรียกรับสินบน’ จากกรณีแอบอ้างเรียกเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา

‘อนุสรณ์’ ย้ำชัด!! อุดร ยังเป็นเมืองหลวง ลุย!! เดินหน้า รักษาโมเมนตัม เชิงบวก

(16 พ.ย. 67) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ช่วยหาเสียงให้นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ว่า พรรคเพื่อไทยยังคงรักษาโมเมนตัมเชิงบวกจากชัยชนะในศึกเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก ผสานกับผลงานรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่ผลิดอกออกผล

ทั้งโครงการเงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ การเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม จากนี้ไปผลงานของรัฐบาลจะเห็นมรรคผลเป็นรูปธรรม ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้จัดงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศมาแล้ว 2 ปี อีก 2 ปีที่เหลือคาดว่านโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส สร้างรายได้ใหม่ แก้หนี้ ปราบยาเสพติด จะเดินหน้าเต็มสูบ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในสถานการณ์ยากลำบากที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยยังทำได้ดีขนาดนี้ เชื่อว่าช่วงเวลาที่เหลือตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้า จะได้เห็นแสงสว่างกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักสดใสอีกครั้ง

ทั้งนี้ นายศราวุธทำงานอย่างหนัก ชูการสานต่อนโยบายเดิม ริเริ่มนโยบายใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนอุดร พร้อมทำงานสอดประสานกับรัฐบาลที่กำลังเร่งสร้างผลงานอย่างเต็มที่ ปรากฏการณ์ที่นายทักษิณมาช่วยหาเสียง มาเยี่ยมพี่น้องคนอุดรในรอบ 18 ปี ในครั้งนี้ เป็นภาพยืนยันว่าอุดรธานียังคงเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง และเป็นบ้านของพรรคเพื่อไทย

“พรรคเพื่อไทยขอโฟกัสที่ตัวเอง เช่นเดียวกับพี่น้องชาวอุดรธานี ที่ตัดสินใจได้ไม่ยากว่า จะใช้โอกาสนี้เลือกคนทำงาน เลือกคนในพื้นที่ ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ ความสามารถ มาทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อสร้างโอกาสให้คนอุดรฯ ต่อไป” นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

สมุทรปราการ-วัดบางพลีใหญ่กลาง จัดใหญ่!! งานสืบสานประเพณีลอยกระทง ประจำปี 2567 

ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลางประกอบพิธีพิจารณากองผ้าป่าสามัคคีที่ทางญาติโยมได้นำมาถวายให้กับทางวัดบางพลีใหญ่กลาง ประจำปี 2567

ณ บริเวณลานกิจกรรมหน้าวิหารหลวงปู่กิ่ม วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี สมุทรปราการ โดยนาย ชาติชาย เตรยาวรรณ ประธานฝ่ายฆราวาส จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์ประกอบพิธีพิจารณากองผ้าป่าสามัคคี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา จากนั้น ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้นำองค์พระพุทธรูปพระพุทธเมตตามหาลาภ มอบให้กับนายชาติชาย เตรยาวรรณ ในฐานะประธานฝ่ายฆราวาส

ต่อมาท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) พร้อมด้วย คณะไวยาวัจกรวัดบางพลีใหญ่กลาง นำโดย นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ ประธานไวยาวัจกร นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี พ.ต.อ. ไพโรจน์ เพ็ชรพลอย ผกก.สภ.บางพลี ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ 

ร่วมเป็นสักขีพยานในการใส่สลากจับของรางวัล อาทิ ทองคำหนัก 1 บาท และทองคำหนัก 1 สลิง ทีวี ตู้เย็น พักลม จักรยาน รวมถึงของรางวัลใหญ่ๆ อีกหลายรายการ มูลค่านับล้านบาท นำมาจับฉลากภายในงานสอยดาวงานลอยกระทง ประจำปี 2567 ของทางวัดบางพลีใหญ่กลางสร้างความคึกคักและสร้างความฮือฮาแก่ผู้ที่เดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ภายในงานยังได้มีการจำหน่ายกระทงประดิษฐ์ โดยคณะนักเรียนและกลุ่มแม่บ้าน อสม. นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าและอาหารให้ประชาชนที่เดินทางมาร่วมงานได้ชิม ช็อป 

อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้จากการทำบุญทั้งหมดรวมถึงการจับฉลากสอยดาวในปีนี้ ทางคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลางจะนำไปเป็นทุนการศึกษาช่วยเหลือเด็กนักเรียน รวมถึงไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเผาศพไร้ญาติโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top